เพลิงวารี & คชสีห์ ฿ Babylonia
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
18 พฤศจิกายน 2552
 
 

เราสามคน...หนทางเดียว25-จบ-(เสียงหนึ่ง)

อีกครั้งที่คู่แฝดรุ่นใหญ่ถูกกันให้ห่างจากนลินกับลูกๆ เพียงแต่ไม่ใช่เพราะนลิน แต่เป็นเพราะพ่อแม่ทั้งสองคู่นั่นเอง ทำให้ขันธ์หงุดหงิดที่เข้าใกล้คนรักกับลูกๆ ไม่ได้

ส่วนเขตต์ก็ได้แต่คอตกและทำอะไรไม่ถูก เพราะแม่ของกัลยายังพยายามร้องขอ ให้เขาช่วยดูแลลูกสาวที่เรียกร้องหาแต่เขา อีกครั้งที่ผู้หญิงคนนี้ทำให้ชีวิตเขาวุ่นวายแม้เวลาจะผ่านไปนานสิบปีก็ตาม

ขณะที่เกษมกับระรินพยายามทำเป็นไม่รู้เรื่อง และกลบความคิดเกี่ยวกับลูกสาวกับคู่แฝดด้วยการสนใจแต่หลานๆ ที่ตอนนี้ไว้ใจปู่ย่าตายายมากขึ้น

เมื่อได้โอกาส ผู้ใหญ่ก็คุยกับนลินอย่างจริงจัง โดยขวัญฤดีเป็นคนพูดขึ้นก่อน “เราอยากให้หนูลินกลับไปอยู่เมืองไทยกับพวกเรา เราจะได้ดูแลหนูลินกับหลานๆ ได้อย่างใกล้ชิด จะไม่มีใครทำร้ายหนูลินกับหลานๆ ได้อีก ก็อย่างที่เห็นนะ ขันธ์งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาดูแลลินได้เลย”

ทุกคนพยายามไม่คิด เรื่องที่เขตต์อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ร่วมกับนลินและขันธ์ เพราะง่ายกว่าและไม่ต้องจินตนาการไปไกลนัก เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้ให้วุ่นวายใจไปเปล่าๆ

“แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพี่เขตต์นะคะ มันเป็นเหตุสุดวิสัยทั้งหมด แล้วพี่ขันธ์ก็ไม่ผิดอะไรด้วย ไม่มีใครตั้งใจให้เกิด แล้วถ้าจะโทษใครเพิ่มอีกก็ต้องเป็นลินด้วยที่ปล่อยลูกไว้กับพี่เลี้ยง เห็นไหมคะ โทษคนนั้นคนนี้ก็ไม่จบกันพอดี อีกอย่างเราไม่สามารถเฝ้าเด็กๆ ไว้ได้ตลอดเวลาหรอกค่ะ” นลินให้เหตุผลอย่างใจเย็น และพยายามจับลูกๆ ที่ต้องการจะออกไปเล่นแล้ว

“ลิน พ่อรู้ แต่เราก็อยากให้มั่นใจว่า จะอยู่ได้อย่างสงบจนกว่าเด็กๆ จะโตมากกว่านี้ เพื่อความสบายใจของทุกคน ทำไมลูกทำให้ไม่ได้เชียวหรือ ทำไมลูกถึงอยากอยู่ที่นี่มาก เสียจนยอมเสี่ยงอย่างนี้” เกษมถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่อยากฟัง

นลินถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนต่อรองขอเวลาอีกสักนิด “ลินขอเวลาคิดให้ละเอียดอีกทีนะคะ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเอายังไงถึงจะดีที่สุดสำหรับเด็กๆ ค่ะ ตอนนี้ขอลินพาลูกๆ ไปเล่นที่สวนได้ไหมคะ”

ผู้ใหญ่ทั้งหมดได้แต่พยักหน้า แม้จะรู้ว่าหญิงสาวในความดูแลดื้อเงียบแค่ไหน ก็ทำอะไรมากไม่ได้ ด้วยเกรงว่าจะพยศขึ้นมาแล้วไม่มีใครเอาอยู่นั่นเอง

************************************


เมื่อนลินปูเสื่อแล้วปล่อยให้ลูกๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานใต้เงาไม้ เธอก็ทิ้งน้ำหนักลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายเข้ามาควบคุมดูแลทุกอย่าง ก็ทำให้ระยะห่างระหว่างเธอกับพ่อของลูกๆ มากขึ้น

นั่นไม่ทำให้เธอหนักใจเท่ากับความต้องการของผู้ใหญ่ทั้งสี่คน ซึ่งกังวลความปลอดภัยของเด็กๆ มากขึ้นทุกที นลินครุ่นคิดอย่างลำบากใจ โดยไม่รู้ว่ามีหนทางไหนที่จะประนีประนอม

เธอครุ่นคิดไปเรื่อยๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเด็กๆ วิ่งกรูเข้ามาหาเธอ แต่กลับมีใครบางคนกอดเธอเอาไว้ “พี่เอง”

นลินหันไปมองเขตต์ที่กำลังนั่งลงกอดเธอ ก่อนถูกลูกๆ รุมเข้าหา

“ปาปา ดาดา” เด็กๆ เรียกกันให้มั่วไม่รู้ว่าพ่อคนไหนเป็นคนไหน

“ครับ” เขตต์กอดลูกๆ เอาไว้ ก่อนมองนลินที่กำลังขมวดคิ้ว แล้วถอนหายใจยาว “พ่อแม่ไม่ให้พี่เข้าใกล้ลินเลย พี่เสียใจจริงๆ นะ ที่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายแบบนี้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ลินเข้าใจ ท่านคงเป็นห่วงลินกับลูกๆ มาก คราวนี้เรื่องใหญ่จริงๆ ลินก็เหนื่อยๆ ยังไงก็ไม่รู้” นลินรู้สึกอิ่มกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วนึกอยากพักบ้าง ดูเหมือนจะไม่มีชีวิตสงบสุขให้กับเธอง่ายๆ

“พี่เสียใจ” เขตต์พูดขณะกอดเล่นกับลูกๆ แต่สายตาเขาจับจ้องที่เธอ อย่างไม่รู้ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง

“ค่ะ” นลินได้แต่รับคำ

ใจเธออยากจะพักเช่นกัน เพียงแต่ไม่อยากถูกพ่อแม่เขาหรือพ่อแม่เธอควบคุมความประพฤติอีก และเหตุผลของพ่อแม่ก็ใช่ว่าจะไม่น่าฟัง เพราะมีเหตุผลอันควรอยู่มาก

หากจะต้องกลับไป ก็หมายความว่าความสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างเธอกับเขาทั้งสองจะต้องจบลงด้วย นี่คือสิ่งที่เธอหนักใจ ไม่รู้ว่าอะไรเลวร้ายกว่ากันแน่

ไม่ใช่เพราะต้องการอยู่กันแบบนี้ แต่เธอไม่จำเป็นต้องลงโทษเขตต์หรือขันธ์ ด้วยการแยกพวกเขากับลูกๆ หรือกับเธอ เรื่องนี้ไม่มีใครผิดทั้งสิ้น แม้แต่กัลยาที่เสียสติอยู่แล้ว

เสียงอีกฝีเท้าหนึ่งเดินเข้ามา นลินรู้ได้เลยว่าใคร ก่อนยิ้มให้แล้วถามขึ้น “หลบพ่อแม่มานี่กันหมดเลยเหรอคะ”

“ไม่มีเวลาล้อเล่นกันแล้วนะ” ขันธ์พูดเสียงขรึม ขณะที่เจ้าตัวเล็กเปลี่ยนไปหาพ่ออีกคนเมื่อเห็นหน้า เขากอดลูกก่อนนั่งลงไม่ห่างจากเธอ จ้องมองเธอเป็นเชิงถาม

“ลินรู้ค่ะ แต่ยังไงท่านก็เป็นพ่อแม่เรา เป็นปู่ย่าตายายของลูกๆ เรา แล้วเราจะทำเหมือนตัดพวกเขาออกไปจากชีวิตเราไม่ได้ เพราะเรามีชีวิตได้ก็เพราะท่านให้เรามานะคะ ชีวิตที่เป็นอยู่ของพวกพี่ ก็เพราะท่านให้มาไม่ใช่เหรอ” นลินย้อนถามอย่างเข้าใจ

เธอเดาว่าเขาอาจจะตัดปัญหา ด้วยการพาเธอกับลูกๆ ไปให้ไกลจากกลุ่มพ่อแม่

“เมื่อกี้ท่านบอกลินแล้วล่ะสิ” ขันธ์ถามขึ้น ขณะที่เขตต์เพียงมองเฉยๆ เพราะลูกกำลังเล่นกับพ่อทั้งสองอยู่

“ค่ะ ลินยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่เราเป็นผู้ใหญ่กันแล้วไม่ใช่เหรอคะ เวลาก็คงไม่เป็นปัญหาสำหรับเราเท่าไร แต่ลูกๆ ต้องการเวลา ลินก็ต้องการพัก ไว้ลินตัดสินใจได้เมื่อไร ลินจะบอกพี่นะคะ” นลินตัดบทการสนทนา ให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ดีกว่า

บางสิ่งที่ต้องประนีประนอมกันไปจนกว่าจะพร้อม...และเธอกับลูกๆ อาจยังไม่พร้อม

เสียงลมพัดผ่านหูไปเรื่อยๆ นลินหยุดมองพวกเขา แล้วภาวนาให้หัวใจหยุดรักเพื่อพักบ้าง...แล้วหวังว่าอะไรจะดีขึ้น

ขันธ์ได้แต่มองเธอ เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาคิดว่าเขารู้ จึงได้แต่ถอนหายใจยาว แล้วก็หันมาแหย่เจ้าตัวเล็ก

นี่ไม่ใช่หนทางที่ยากจะอยู่ร่วม...แต่เป็นหนทางที่เราต้องรอคอยอย่างมีความหวังเท่านั้น

************************************


ค่ำคืนที่เงียบเหงาทำให้นลินต้องตื่นขึ้นกลางดึกอย่างบอกไม่ถูก ลูกๆ กำลังหลับสนิทบนเตียงเดียวกับเธอ เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวให้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

เธอกอดอกเหม่อมองออกไปนอกบ้านที่กำลังคุ้นเคย สวนที่เขตต์เป็นคนจัดเองเพื่อเธอกับลูกๆ และชีวิตที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเธอยอมรับได้แล้วกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ นลินพอรู้ว่าเวลานี้คงไม่มีใครเคาะนอกจากเขาคนใดคนหนึ่ง จึงเดินไปเปิดประตูก่อนที่ปู่ย่าตายายทั้งสี่จะตื่นขึ้นมาจัดการ

“มีอะไรคะ พี่เขตต์” นลินอ่านออกจากสีหน้าท่าทางได้ทันที

“ดีจังที่ลินยังไม่หลับ” เขาเดินเข้าไปในห้อง มองไปยังร่างเล็กๆ ที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อปิดประตู เขาก็กอดเธอเอาไว้แน่น “ขันธ์บอกว่าลินเลือกกลับเมืองไทยแน่ๆ ใช่ไหม”

“ค่ะ จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย” นลินตอบรับอ้อมกอดเขาได้ไม่ยาก

แม้อยากหยุดรักแต่ก็ยากเต็มที เพราะรักเขาไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์ ยังเจือปนความผูกพันหลายอย่าง ถึงเขาจะเคยเลวร้าย แต่เมื่อโจรกลับใจ...ใครจะใจแข็งได้นาน

บังเอิญที่หัวใจไม่ได้ทำด้วยวัตถุที่เย็นชืด แต่เป็นกล้ามเนื้อที่ใช้สายใยรักหล่อเลี้ยง คงดีถ้าเราไม่มีหัวใจ แต่คงทำยากเมื่อเธอมีอารมณ์อ่อนไหวคล้ายตัวละครที่เธอสร้างสรรค์

“พี่กลับห้องล่ะ ไว้คุยกันนะ” เขตต์ตัดใจ เมื่อเธอยืนยันสิ่งที่คู่แฝดเขาคาดการณ์

“เดี๋ยวค่ะ” นลินกอดเขาจากด้านหลัง เพราะรู้ว่าเขาคงทำใจยาก คนอ่อนไหวอย่างเขากำลังหวาดหวั่น “ลินรักพี่นะคะ”

เขตต์ได้แต่ถอนหายใจยาว แล้วหันมากอดเธอเอาไว้อีกครั้ง ก่อนออกจากห้อง และไม่ต้องรอนาน นลินก็ต้องเปิดประตูต้อนรับอีกคน

“เขตต์ไปแล้วเหรอ” ขันธ์ซึ่งยืนรอได้พักใหญ่ ก็เดินเข้ามาหลังจากที่น้องชายเขาเดินออกไปจากห้องเธอ

“พี่น่าจะเห็นแต่แรกนะคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” นลินถามขึ้น ก่อนมองเขาที่นั่งที่เตียงลูบเรือนผมลูกเบาๆ

“ลินตัดสินใจแล้วใช่ไหม” ขันธ์ถามให้แน่ใจมากขึ้น เขาเชื่อว่าเขารู้ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร

“ค่ะ” นลินยืนยันอีกครั้ง จึงถูกเขาดึงไปกอด

“พี่รักลิน เพราะงั้นพี่จะให้ลินตัดสินใจ เงินที่จะใช้ซื้อบ้าน พี่เอาเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งค่าตกแต่งกับขนย้ายด้วย” ขันธ์บอกในสิ่งที่เขาลงมือทำโดยไม่ต้องรอให้เธอบอก

“แต่ คือ ลินว่า” นลินพยายามจะแย้ง

“ให้พี่ทำเถอะ อย่างน้อยพี่จะได้สบายใจว่าลูกเมียพี่อยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องกังวลใจอะไร” ขันธ์บอกก่อนจูบที่หน้าผากเธอเบาๆ แล้วกอดเอาไว้

ถึงคาดเดาไม่หมดว่าเงื่อนไขเธอมีอะไร แต่เรื่องบางเรื่องเขาปล่อยให้เธอทำตามลำพังไม่ได้ อย่างน้อยเขาขอมีส่วนร่วม แม้เธอจะไม่ร้องขอก็ตาม

ขันธ์แตะหน้าผากกับเธออย่างเหนื่อยอ่อน ถึงรู้ว่าความสัมพันธ์ยังไม่ถึงทางตันเสียทีเดียว แต่เขาก็รู้ว่าการรอคอยนั้นยากเพียงไร

“ฝากดูแลพี่เขตต์ด้วยนะคะ เขาเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย” นลินนึกหนักใจกับเขตต์มากกว่าขันธ์

“แล้วพี่ล่ะ ไม่ห่วงพี่บ้างเหรอ” ขันธ์เข้าใจเธอแต่อยากอ้อนเธอมากกว่า

ไม่ใช่ทุกคนที่เขาอยากฟัง...ไม่ใช่ทุกคนที่เขาอยากอ้อน...แต่กับเธอเท่านั้นที่เขาอยากให้เป็นทุกอย่างในชีวิต

“ห่วงกลัวว่าจะอดตายเพราะไม่มีผู้หญิงมากกว่าค่ะ” นลินพยายามเบี่ยงหลบเมื่อเขาทำท่าจะทำมากกว่าแค่กอด

“ไม่หรอก รอได้ พี่เรียนรู้แล้วว่าที่ผ่านมาไม่มีความหมาย ถ้าการมีอะไรกันไม่ได้มีกับคนที่เรารัก ถ้าเพียงเพื่อความสนุกชั่วครู่แล้วก็หายไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไร้ค่า มันไม่มีค่าเลยจริงๆ” ขันธ์กอดเธอเอาไว้แล้วมองลูกๆ ที่กำลังนอนหลับอย่างสงบ ก่อนยิ้มออกเมื่อลูกหันมากอดกันแบบไม่ตั้งใจ

“ลินจะได้เห็นภาพนี้ทุกวัน ส่วนพี่ก็คงได้แค่รอคอยเวลาเท่านั้น อีกอย่าง เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่แน่ว่าลูกๆ จะยังคงกอดกันและกันเอาไว้แบบนี้อีกหรือเปล่า” ขันธ์รู้ว่าเขาจะไม่มีสิทธิได้อยู่กับเธออีกแน่ เพียงไม่รู้ว่านานแค่ไหน เมื่อเธอย้ายไปอยู่ในความดูแลของปู่ย่าตายายที่เป็นห่วงหลานๆ มากแบบนี้

“รู้ไหมคะ นี่อาจเป็นข้อพิสูจน์ว่า เราจะยังคิดถึงกันไหม เราจะยังห่วงใยกันหรือเปล่า และสุดท้ายเราจะยังรักกันไหม หรือที่ผ่านมาเรารักกันจริงๆ หรือเปล่าก็ได้นะคะ” นลินพูดขณะนั่งบนตักเขาแล้วหันไปมองลูกๆ เช่นกัน

“พูดเป็นนิยายไปได้ แต่ช่างเถอะ ไม่ว่ายังไงลินก็พูดถูกเสมอแหละ” ขันธ์พูดแล้วก็หอมแก้มเธอเบาๆ “ไม่ว่าลินจะตัดสินใจอยู่เมืองไทยนานเท่าไร พี่ก็พร้อมรับเสมอนะ”

“พี่รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงคะ ไม่คิดบ้างเหรอว่าลินจะอยู่กับพ่อแม่ลิน” นลินยังคงสงสัยอยู่

“พี่ว่าลินคงทนความกดดันจากพวกท่านไม่ไหวหรอก เพราะลินอิสระมานาน ถึงไงพี่ว่าลินคงหาบ้านอยู่เองมากกว่า” ขันธ์อธิบายตามที่คาดเดา ก่อนบอกในตอนท้าย “เป็นพี่ก็คงทนไม่ได้หรอก โตจะตายอยู่แล้ว ยังจะควบคุมเป็นเด็กๆ ไปได้”

“ว่าพ่อลินเหรอ” นลินแกล้งตีแขนเขาเบาๆ

“โอ๊ย จะกล้าเหรอ นี่ยังเก็บรอยแผลเอาไว้เตือนตัวเองอยู่เลย ไม่ยอมให้หมอรักษาหรอก ปล่อยให้หมดหล่อนี่แหละ” ขันธ์ยังจำกระถางต้นไม้ได้ดี

รสชาติความเจ็บปวดที่เขาจะไม่มีวันลืม แต่ไม่ใช่เพราะโกรธแค้นพ่อนลินแต่อย่างใด หากมีไว้บอกให้เขารู้ว่าเขาจะต้องทุ่มเทเพื่อเธอให้มากขึ้นทุกวันและทุกวินาที

“พี่กลับไปนอนเถอะค่ะ ถ้าวันพรุ่งนี้ลินจะใจร้ายกับพี่ ก็ขอให้พี่รู้นะคะว่าลินทำเพื่อเรา” นลินบอกกับเขาเมื่อมองเขาอีกครั้ง แม้ในห้องจะมีเพียงแสงไฟสลัว แต่ขันธ์ก็พยักหน้า

เขาลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินออกไปจากห้องอย่างทำใจ และเมื่อออกไปก็เจอคู่แฝดตัวเองยืนดักรออยู่ “นึกว่ากลับห้องนอนซะแล้วอีก”

“ลินบอกอะไรบ้าง” เขตต์นึกขึ้นได้จึงย้อนกลับมา และเห็นคู่แฝดเดินเข้าไปในห้องเธอ เขาจึงรอเพื่อถาม

“ไปคุยที่ห้องฉันเถอะ” ขันธ์เดินนำหน้าคู่แฝด เมื่อเข้าห้องได้ คู่แฝดเขาก็ล้มลงนอนบนเตียงก่อนโดยไม่รออะไรอีก “ลินฝากบอกว่าถ้าพรุ่งนี้ลินจะใจร้ายกับพวกเรา ก็ขอให้รู้ไว้ว่าลินทำเพื่อพวกเรา”

เสียงถอนหายใจดังขึ้น เขตต์รู้ดีว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนการตัดสินใจของเธอได้อีก หนทางแห่งความยากลำบากกำลังจะมาถึง ความรู้สึกจะต้องถูกทดสอบอีกครั้ง

“นานแค่ไหน” เขตต์ถามขึ้น

“ไม่รู้เหมือนกัน เราก็คงรู้พร้อมๆ กับพ่อแม่ทุกคนแหละ” ขันธ์ตอบอย่างจนปัญญา

“เฮ้อ” เขตต์ได้แต่ถอนหายใจซ้ำๆ

“เอาน่าถอนหายใจก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่พวกเราทำมาตลอดสองปีกว่าที่ได้รู้จักลิน มันก็มากพอให้ผู้ใหญ่ไม่ไว้ใจเราให้ดูแลลินไม่ใช่เหรอ อีกอย่างอย่าให้พวกท่านรู้ว่าเราอยู่ยังไงจะดีกว่านะ” ขันธ์ทำใจเย็นและรอคอย ทั้งที่ผ่านมาเขาหงุดหงิด หากเพราะคำพูดไม่กี่คำของเธอ ทำให้เขาสงบลงได้

“ขอนอนห้องนี้นะ ไม่อยากนอนคนเดียวว่ะ” เขตต์หันหลังแล้วนอนทันที

ขันธ์ได้แต่ส่ายหน้า ก่อนล้มลงนอน “ถ้าเราผ่านพ้นมันไปได้ ทุกอย่างจะดีขึ้น”

ความหวังเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี...

************************************


เช้าวันรุ่งขึ้น เขตต์ก็ตัดสินใจออกจากบ้านอีกครั้ง เขารู้ว่าในสายตาผู้ใหญ่เขาไม่มีสิทธิกอดเธอ หากสายตาที่เขามองเธอมานั้นสื่อความหมายมากมาย ทำให้หลายคนเข้าใจแต่ไม่พูดออกมา คล้ายสถานการณ์เหล่านี้เป็นบาดแผลที่ไม่อาจแตะต้อง

นลินได้แต่มองส่งเขา แล้วพยายามกอดลูกๆ ที่เรียกร้องหาดาดาหรือปาปาตลอด จนขันธ์ต้องเข้ามากอดเอาไว้ หากเด็กๆ ก็มองพ่อคนนี้กับพ่อคนนั้นสลับกันไปแล้วเรียกอีก

ขวัญฤดีกับปีเตอร์ได้แต่ใจแข็ง ขณะที่พ่อแม่นลินไม่ออกมาดู เพราะรังแต่จะมีปัญหาไปเรื่อยๆ

“คราวนี้ดีนส์ไม่ได้หนีปัญหาหรอกนะครับ แต่เขาแค่ยอมรับไม่ได้เท่านั้น” ขันธ์บอกแต่ไม่กระจ่าง

เขารู้ว่าคู่แฝดไม่ได้จากไปเพราะหนีปัญหาหรือไม่ยอมสู้ แต่ถ้าขืนอยู่ก็คงรับภาพที่จะได้เห็นเธอเดินจากไปไม่ได้ จึงต้องหักใจจากไป ก่อนที่จะต้องมองเธอกับลูกๆ หันหลังให้เขา

นลินถอนหายใจยาว รู้ว่าครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง ไม่ใช่การทำประชด แต่เป็นการรักษาความรู้สึกไว้ จนกว่าจะผ่านพ้นการรอคอยครั้งนี้

เธอไม่แน่ใจว่าเขตต์อยู่รอดได้นานแค่ไหน คนอารมณ์อ่อนไหวอย่างเขายากจะทำใจกับหลายเรื่องในชีวิต นี่คือเหตุผลที่ทุกคนคอยดูแลเอาใจใส่เขาตลอดเวลา หากเธอก็ได้แต่หวังว่าเขาจะทำใจได้

และเมื่อถึงช่วงบ่ายของวัน นลินประกาศการตัดสินใจของตนเองที่จะย้ายไปอยู่กับเพื่อน เพื่อเลี้ยงดูลูกตามลำพัง บทสรุปที่เธอจะต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้

“แล้วหนูจะเลี้ยงลูกพร้อมกับทำงานได้ยังไง” ขวัญฤดีถามขึ้นอย่างสงสัย

“ลินมีเงินเก็บกับเงินที่พี่ขันธ์ให้ไว้ทุกเดือนค่ะ ลินจะทำร้านเล็กๆ อยู่กันเอง แล้วก็ไม่ไกลจากบ้านเพื่อนเท่าไร ปอยไงคะ แม่ พลกับปอยอยู่แถวนั้น พวกเขาจะคอยช่วยลินเองค่ะ” นลินอธิบายอย่างมั่นใจ

ระรินได้แต่หันไปมองสามีที่มีท่าทีเคร่งขรึม ก่อนพูดออกมาอย่างใจเย็น “ลินโตแล้ว แม่เชื่อว่าอะไรที่ลินตัดสินใจ คงคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว แม่หวังว่าหนูจะทบทวนมาอย่างดีแล้วนะลูก”

เกษมกระแทกลมหายใจอย่างแรง แม้ขัดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อทบทวนดูแล้วว่าไม่ควรบังคับลูกมากไปกว่านี้ ก็สงบใจลงได้มาก

“แต่ว่า” ขวัญฤดีดูจะเป็นห่วงมากที่สุด

ปีเตอร์แตะไหล่ภรรยา ก่อนหยักหน้าให้พอ “เอาล่ะ ฉันจะทำตามที่เคยให้ไว้กับเธอ ฉันจะสนับสนุนทุกอย่าง แล้วมีเงื่อนไขอะไรอีกไหม นอกจากจะไปอยู่ที่นั่นกับลูกเพียงลำพัง”

“ลินจะไม่ติดต่อกับพี่ขันธ์หรือพี่เขตต์เป็นเวลาสองปีค่ะ ลินต้องอยู่กับลูกๆ ให้ได้ ไม่ว่าจะมีพวกเขาหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าหลังจากสองปีนี้ใครจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตามด้วยค่ะ” นลินตัดสินใจแน่วแน่

ขันธ์ฟังแค่นี้ก็ลุกขึ้น ถือว่าเขาหมดสิทธิรับรู้อะไรเกี่ยวกับเธอต่อ เขาสบตาเธออีกครั้ง ก่อนอุ้มลูกทั้งสองออกไปจากห้อง อย่างน้อยเขาก็มีสิทธิที่จะอยู่กับลูกจนกว่าจะถึงเวลาที่เธอกับลูกๆ จะไปจากเขา

แม้มันเศร้าแต่เขาก็จะทำใจอดทนรอคอยให้ได้ เขารู้ว่าเธอจะเป็นสิ่งล้ำค่าที่เขาจะต้องรอคอยจึงจะได้มา เมื่อทุกอย่างต้องพิสูจน์กันด้วยใจเท่านั้น

นลินมองเขาออกไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “หมดแล้วค่ะ ส่วนเรื่องอื่นพ่อแม่จะจัดการยังไงก็แล้วแต่เห็นสมควรค่ะ”

เธอเดินออกไปจากห้อง แต่ไม่เดินไปหาเขากับลูกๆ เพราะเธอกำลังจะฉกชิงเวลาที่เขาจะได้เฝ้ามองลูกๆ ไปจากเขาถึงสองปี แล้วไม่ว่ากับใครก็คงยาวนานมากเพียงพอให้รู้สึกว้าวุ่นสับสน

ชะตากรรมไม่เคยให้คนมีกรรมได้หยุดพัก แต่เธอก็หวังให้เวลาสองปีช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น บางทีถ้าการจากกันเป็นเรื่องเลวร้าย ก็คงดีกว่าให้เด็กๆ เติบโตอยู่ในความสับสนวุ่นวายที่ไม่มีคนจัดการ

เวลาสองปีอาจช่วยทำให้ทุกคนเข้าใจความต้องการของตัวเองได้อย่างแท้จริง...

เวลาที่ช่วยให้ทุกคนได้ฟังเสียงของหัวใจตนเองได้อย่างละเอียดรอบคอบ...

************************************


หนึ่งปีหกเดือนเป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วงสำหรับทุกคนที่รอคอย แต่ก็ผ่านไปได้อย่างดีเยี่ยมถ้าเพียงทำตัวให้ยุ่ง คิดเรื่องอื่นให้มากกว่าสิ่งที่คาดหวัง

นลินฟังเสียงเด็กๆ ตะโกนร้องหาปู่ย่า ที่แวะมาเยี่ยมสามสี่เดือนครั้ง แล้วก็ส่ายหน้า เพราะความซนไม่ธรรมดาของลูกๆ ทำให้เธอต้องยอมรับพี่เลี้ยงที่ปู่ย่าหามาให้

“แกรนด์ แกรนด์” ธรรม์กอดสะโพกของย่าไว้หลวมๆ ขณะที่ธารก็กอดขาของปู่ไว้หลวมๆเช่นกัน

“โตไวนะเนี่ย ไม่เห็นแค่สี่เดือนแทบจะถึงคอย่าแล้ว” ขวัญฤดีพยายามอุ้มหลานชายใกล้มือเอาไว้ แต่ก็ยาก เพราะความอวบอ้วนของเด็กชาย “ตายจริง อ้วนไปหรือเปล่า ย่าอุ้มไม่ไหวแล้วเหรอเนี่ย”

“แกรนด์นี่อุ้มธรรม์ไม่ไหวเหรอ” ธรรม์กอดคอย่าเมื่อได้ระดับ อ้อนเสียจนย่าต้องยิ้มเอ็นดูไม่ไหว

ธารเอียงคอมองปู่แล้วก็ชี้ที่แก้มปู่เบาๆ “แกรนด์พาผอมจัง”

ปีเตอร์ได้แต่ยิ้มเอ็นดูหลานๆ ก่อนพูดอย่างไม่จริงจังนัก “ไม่มีใครป้อนข้าวนี่”

“แกรนด์พาโตแล้วไม่ต้องให้ใครป้อนหรอก” ธารพูดประสาซื่อทำให้ผู้ใหญ่ได้หัวเราะ

“ปล่อยพวกแกวิ่งเล่นเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะเหนื่อยแย่” นลินยิ้มให้ปู่ย่าของลูกๆ หลังยกมือไหว้ตามธรรมเนียมไทย

“เป็นไงบ้างกิจการไปได้เรื่อยๆ ใช่ไหม” ปีเตอร์ถามตามความถนัด มองคนเข้าออกไปเรื่อยๆ แล้วก็พยักหน้า

“เรียบร้อยดีค่ะ ไปเรื่อยๆ ดีกว่าค่ะ จะได้มีเวลาดูแลลูกๆ ด้วยค่ะ” นลินที่ตอนนี้รูปร่างอวบท้วมเต็มที่ยิ้มให้อย่างสดใส

“ยังลดไม่ลงอีกเหรอ เท่าเมื่อตอนหลังคลอดเจ้าพวกนี้ไหมเนี่ย” ขวัญฤดียิ้มออกเมื่อเห็นแม่ของหลานๆ สมบูรณ์เต็มที่

“ก็ไม่เท่าหรอกค่ะ ลดลงไปหลายกิโลแล้วค่ะ แค่คอยดูแลเจ้าทโมนสองคนนี่ก็ลดไปเยอะทีเดียว” นลินตอบเป็นภาษาอังกฤษให้ปีเตอร์เข้าใจไปด้วย

“ดีนะที่นี่มีโรงเรียนอนุบาลนานาชาติไม่งั้นฉันคงลำบาก” ปีเตอร์ส่ายหน้ากับความลำบากด้านภาษา

“ค่ะ อยากให้เด็กๆ ได้ฝึกไว้ด้วยค่ะ” นลินรับคำ ก่อนมองลูกๆ ออกไปวิ่งเล่นที่สนามนอกบ้าน

“อีกครึ่งปีสินะ โชคดีที่อะไรๆ ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ดีที่หนูเปิดร้านอยู่ในบ้าน ไม่งั้นคงต้องเหนื่อยกว่านี้แน่ๆ” ขวัญฤดีมองร้านกึ่งบ้านของนลอนแล้วก็นึกชอบใจ

“ก็คิดไว้ว่าอยากมีเวลาดูแลลูกๆ ไปด้วยค่ะ งานเขียนก็ไปได้ดี ร้านก็ไปเรื่อยๆ มีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด มีเวลาเลี้ยงเด็กๆ ด้วย ถึงยังไงก็ยังเป็นวัยที่ต้องการการดูแลเยอะน่ะค่ะ” นลินอธิบายไปตามเรื่อง ก่อนพาผู้ใหญ่ทั้งสองไปยังห้องรับแขก

“แล้วนี่เดือนก่อน แม่หนูลินบอกฉันว่ามาเยี่ยมเด็กๆ เดือนนี้ฉันเลยเคลียร์งานแล้วรีบมาเลยนะเนี่ย” ปีเตอร์ก็คิดถึงหลานๆ ไม่น้อย แต่เขาก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลเช่นกัน เพราะไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ ตามประสาคนเคยทำงานก็ทำต่อไป

นลินเพียงยิ้มรับเท่านั้นแต่ไม่ออกความเห็น รู้แต่ว่าพ่อแม่กับเธอไม่พูดถึงเรื่องที่ผ่านมา แล้วใช้เวลาอยู่กับเด็กๆ ให้มากที่สุดเท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว...ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นอะไรอีก

พอออกมานอนบ้านก็เห็นเด็กหญิงวัยสองขวบกว่ากำลังเกาะหลังธรรม์ที่ยังคงกระโดดโลนเต้นอยู่ จนแม่ของเด็กหญิงต้องร้องตะโกน “ยัยพลอยลงมาจากหลังพี่ธรรม์นะลูก”

“แม่ขา” พลอยกลับโบกมือให้แม่ จนหลุดจากหลังแล้วตกไปนั่งลงกับพื้น แล้วหัวเราะออกมาอีก

“ลูกสาวฉัน ทำไมเหมือนลิงแบบนี้” ปอยได้แต่ส่ายหน้าให้ลูกสาว

“พลจะมารับเมื่อไรเหรอ ปอย” นลินหันมาถาม

ปอยยกมือไหว้ผู้ใหญ่ก่อนบ่น “ก็อีกพักจ๊ะ แถวนี้รถติดนะ จริงๆ ก็เกรงใจพลอยู่ บอกว่าขับรถกลับเองได้ก็ไม่ฟัง สงสัยกลัวลูกชายคลอดก่อนกำหนด”

“อ่ะนะ ท้องโตขนาดนี้แล้วไม่ระวังได้ยังไง” นลินบอกแล้วส่ายหน้า “อืม หนูขวัญหลับอยู่เหรอ”

“ใช่ แมรี่ดูแลอยู่ข้างใน แม้แต่ก็เถอะนะ แมรี่ก็ก็เก่งนะ มาอยู่เมืองไทยได้ปีกว่าแล้วก็ไม่ย่อท้อ ไม่บ่นอยากกลับอเมริกาบ้างเหรอ” ปอยนึกชอบใจพี่เลี้ยงของหลานๆ ที่แม้แต่ลูกสาวเธอที่นำมาฝากเลี้ยงที่นี่ ยังเอาอยู่

“ก็อยากกลับอยู่ แต่เขาก็ไม่มีใคร ตัวคนเดียวแล้วก็ติดเด็กๆ แล้วด้วย โอ๊ย ธรรม์ ระวังหน่อยลูก” นลินต้องรีบกอดลูกชายที่เข้ามากระโดดเข้าหา และต้องระวังอีกคนที่พูดน้อยแต่เลียนแบบกันหมด

“คุณพ่อคุณแม่เข้าไปด้านในเถอะค่ะ หนูขวัญยังไม่ตื่นเลย หลับเล่นตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ ถ้าตื่นก็คงวิ่งให้วุ่น สิบเอ็ดเดือนก็วิ่งแล้วค่ะ” นลินรีบบอก ก่อนปล่อยเจ้าวัยซนสองคนไปเล่นต่อ

“แหม หนูขวัญนี่โตไวนะ ไม่เหมือนธารกับธรรม์เดินก็ช้า พูดก็ช้า” ขวัญฤดีพูดไปตามเรื่องแต่กลับทำให้นลินต้องถอนหายใจ

ลูกสาวคนนี้...เธอพยายามดูแลสภาพจิตใจให้เข้มแข็ง จึงเป็นเด็กโตไวเลี้ยงง่าย แต่ลูกฝาแฝดของเธอก็ใช่ย่อย ตอนนี้ฉลาดเป็นกรด ซนเป็นลิงเลยทีเดียว

ใครจะคิดว่าเธอจะมีลูกติดท้องมาด้วย แน่นอนว่าเป็นลูกของเขตต์ เพราะช่วงนั้นขันธ์อยู่ที่ญี่ปุ่นตลอด เพียงแต่ไม่มีใครบอกพวกเขาที่อยู่ไกล หากคาดว่าอีกเพียงครึ่งปีทุกอย่างก็จะจบลงด้วยดี

เวลาอีกเพียงสั้นๆ ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างสวยงาม เมื่อต่างก็ได้พิสูจน์กันและกันแล้ว แต่ผลที่ว่าสวยงามจะเป็นอย่างไร นลินมีทุกความหวังให้กับตัวเอง

ขาดเขาคนใดคนหนึ่ง...

ขาดเขาทั้งสองคน…

หรือมีเขาทั้งสองคน...

อย่างไรก็ต้องมีบทสรุปแน่นอน...

************************************


เสียงผุดลุกผุดนั่งดังขึ้นตลอด เวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว น่าแปลกที่สามเดือนหลังไม่มีใครมาเยี่ยมเธอ นอกจากพ่อแม่ของนลิน แต่ก็คงไม่แปลก เพราะต่างก็รอคอยบางอย่างเหมือนกัน

นลินได้รับโทรศัพท์ห่างไปมาก ก็คงเท่ากับเวลาที่ทางฝ่ายนั้นไม่มาเยี่ยมอีก เธอไม่รู้จะบอกลูกๆ อย่างไร ที่อยู่ๆ ครอบครัวทางฝั่งพ่อของเด็กๆ ขาดช่วงไป

“มามา วันนี้ปาปากับดาดาจะมาไหม” ธรรม์เดินเข้ามาถาม ขณะที่มองน้องสาววัยขวบกว่า กำลังพยายามตักอาหารเข้าปากเอง

ธารหันมามองแม่แทนอย่างสงสัย แล้วก็ถามอีกคน “ดาดากับปาปาจะจำพวกเราได้ไหม แล้วธัญญ่าจะได้เจอดาดากับปาปาไหม”

นลินพูดไม่ออกได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนบอกอ้อมๆ “วันนี้ยังมีเวลาอีกทั้งวันนี่ลูก อีกอย่างดาดากับปาปาก็รู้ว่าจะต้องมาหาเราวันนี้”

“อืม แล้วถ้าไม่มา หนูจะบอกเพื่อนที่โรงเรียนว่าไงดีฮับ” ธรรม์เปลี่ยนมาพูดไทยบ้าง สลับกับประโยคภาษาอังกฤษที่เพิ่งพูดไป

“ก็อย่าเพิ่งไปคิดสิจ๊ะ อะไรยังไม่แน่ไม่นอน หนูก็อย่าเพิ่งไปคิดมาก ไว้เที่ยงคืนแล้วค่อยคิด” นลินบอกปัด เพราะเธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

ทุกอย่างช่างเงียบงันเสียเหลือเกิน...แต่เธอจะห้ามไม่ให้ลูกชายทั้งสองคาดเดาได้ยังไง

ธรรม์ลุกจากเก้าอี้เมื่อทานเสร็จก่อนเดินไปจูงมือคู่แฝดแล้วชวน “ธาร เราไปเอารูปปาปา ดาดา มาดูดีกว่า”

นลินได้แต่โล่งใจที่ไม่ต้องตอบคำถามอะไรอีก ก่อนหันมาสนใจลูกสาวคนเล็กที่พยายามทานอาหารเองเป็นการฝึกหัด เธอมองด้วยความสงสาร ที่ลูกสาวคนนี้แทบไม่ได้รู้จักพ่อเลยแม้สักคนเดียว

เด็กๆ ปล่อยให้เวลาระหว่างวันผ่านไปอย่างช้าๆ ต่างก็ถือรูปถ่ายที่ถ่ายกันพร้อมหน้ามาถือไว้ แล้วก็ชี้ว่าคนไหนคือปาปากับดาดาทั้งวัน

จิตใจของนลินแทบไม่เป็นอันทำอะไร ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นที่จะได้พบกับพวกเขา แต่กลัวว่าเด็กๆ จะเสียใจถ้าไม่มีใครมา หากเธอก็แข็งใจไว้ ไม่โทรไปหาปู่ย่ากับเด็กๆ เพราะเกรงคำตอบและเกรงใจอีกด้วย

เธอไม่กล้าพอเช่นกัน...

************************************


พอถึงมื้อเย็น นลินก็เตรียมอาหารขึ้นโต๊ะให้ลูกๆ ตามปกติ แต่เจ้าคู่แฝดน้อยกลับนั่งมองโต๊ะอาหาร แล้วชะเง้อถาม “รอปาปากับดาดาก่อนได้ไหมฮับแม่ เผื่อปาปากับดาดามาแล้วหิว จะได้มีอะไรทาน”

“จ๊ะ แต่น้องขวัญต้องทานก่อนนะลูก” นลินบอกและเห็นเด็กๆ พยักหน้า ก่อนเดินมายืดตัวหอมแก้มน้องสาว ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทานอาหารเด็ก แล้วไปนั่งรอที่เก้าอี้รับแขกในบ้านอีกครั้ง

“วันนี้ฉันจะบอกให้นายจรเฝ้าประตูไว้จนถึงเที่ยงคืนนะคะ คุณ” แม่บ้านที่ขวัญฤดีจ้างมาบอกกับนายหญิงของบ้าน

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” นลินได้แต่ตอบรับ แล้วก็หันมาเฝ้ามองลูกสาวที่กำลังพยายามหัดทานอาหารเอง จากนั้นก็บอกแมรี่ “คุณไปพักเถอะค่ะ ฉันดูแลพวกเขาได้”

“แน่ใจนะคะ ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณได้” แมรี่ออกจะเป็นห่วงเด็กๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตารอพ่อ

“ไม่เป็นไรค่ะ เด็กๆ ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริง และอย่างน้อย พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะดูแลกันและกัน ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูแลเท่านั้นค่ะ” นลินยิ้มให้หลังจากอธิบายทุกอย่าง

เธอสอนลูกไม่ให้ซ้ำรอยเดิมของพ่อฝาแฝด โดยให้ทั้งสองดูแลกันและกัน ช่วยเหลือกันและกัน ห่วงใยกันและกัน ไม่ใช่เพียงเพราะอีกคนอ่อนแอกว่า จะต้องปล่อยให้อีกคนดูแลอยู่ฝ่ายเดียว

ทั้งสองจะต้องดูแลกันและกันอย่างเท่าเทียม...

หากพอดึกมากขึ้น ท้องทั้งสองคนก็ร้องประท้วง นลินจึงยกจานข้าวทั้งสองจานมาวางไว้ให้ “ทานจ๊ะ อย่ารอเลย มามาเก็บส่วนของดาดากับปาปาไว้แล้วล่ะ”

ธัญญาหรือขวัญกำลังซบบ่าแม่ แล้วหลับตาลงอย่างง่วงๆ ก่อนจะหลับไปจริงๆ ทำให้พี่ๆ ต้องมอง

“ธัญญ่าหลับแล้ว เจ้าหญิงหลับแล้ว” ธรรม์มองน้องสาวอย่างหมดหวัง คิดว่าน้องคงไม่รอพ่อแล้ว

“น้องยังเด็ก หนูก็ยังเด็ก นี่ก็สามทุ่มแล้วไปนอนดีกว่าไหม พรุ่งนี้ไปโรงเรียนนะ” นลินตัดใจแล้วจะพาลูกๆ เข้านอน

“ไม่ฮับ ผมจะรอปาปากับดาดา ใช่ไหมธรรม์” ธารเกิดฮึดขึ้นมาจึงบอกกับคู่แฝด

“รอถึงเที่ยงคืนนะฮับ พรุ่งนี้ไม่ไปโรงเรียนได้ไหม หนูอยากรอปาปากับดาดา” ธรรม์เห็นด้วยก็หันมาอ้อนแม่

“งั้นมามาพาน้องไปนอนก่อนนะ หนูรอตรงนี้นะ” นลินหันไปล็อกประตูหน้าบ้านอีกรอบ ก่อนอุ้มพาลูกสาวคนเล็กขึ้นชั้นบน ห่มผ้าให้แล้วนำลำโพงเล็กๆ ของลูกลงไปชั้นล่าง

เธอต้องถอนหายใจเมื่อเด็กแทบจะทานไม่ลง อาหารยังไม่ลดมากนัก “หนูต้องทานนะลูก ไม่งั้นจะมีแรงรอ ปาปากับดาดาเหรอ”

บางครั้งเธอก็ชักโกรธแฝดตัวโตทั้งสองคน แต่จะโทษใครได้ เธอไม่น่าบอกลูกๆ ว่าจะมีใครมาในวันนี้ หากเพราะถูกรบเร้าจากจอมซนทั้งสอง ทำให้เธอต้องบอกออกมาอย่างเสียไม่ได้

เมื่อเวลาผ่านไป เด็กๆ ทานอาหารหมดแล้ว ก็นั่งพัก สี่ทุ่มก็แล้วห้าทุ่มก็แล้ว ได้แต่ชะเง้อรอหา แต่พอเที่ยงคืนผ่านไป เด็กๆ ก็หมดแรงผล็อยหลับที่เก้าอี้โซฟา นลินได้แต่รอจังหวะนี่เท่านั้นที่จะอุ้มเด็กๆ ขึ้นนอนได้

วันเวลาที่นัดกันไว้ผ่านไปแล้ว เมื่อเธอเอื้อมมือจะไปอุ้มลูก มือก็พลันสั่นทั้งสองข้าง

พรุ่งนี้เช้าเธอจะบอกลูกว่าอะไรดี...

“หนูเป็นเด็กดีนะฮับ ดาดา ปาปา” ธรรม์ละเมอดังขึ้นทำให้นลินแทบกลั่นน้ำตาไม่อยู่

หรือเธอตัดสินใจผิดพลาด...

หรือเธอไม่ควรปล่อยพวกเขาให้ห่างไป...

หรือเธอควรตัดพวกเขาออกไปจากชีวิตแต่แรก...ก่อนที่ลูกๆ จะต้องเสียใจกับการรอคอย

ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอที่ทำให้ลูกๆ มีความหวังที่จะได้พบพ่อ...

เธอเอื้อมมือที่สั่นเทา ค่อยๆ ลูบเรือนผมสีอ่อนของเด็กๆ แล้วพยายามเก็บกดน้ำตากับเสียงสะอื้นไม่ให้รบกวนการนอนหลับของเด็กๆ

เธอจะต้องเข้มแข็งเพื่อลูกทั้งสามคน...

หากคล้ายดังชะตาเล่นตลก เมื่อเธอพยายามอยู่ด้วยตนเองให้ได้ โดยไม่มีคนอื่นนอกจากลูกๆ กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น นลินมองไปที่ประตูด้วยหัวใจที่ดิ่งลึก บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร

หัวใจเธอกำลังว้าวุ่นอีกครั้ง...

เสียงกริ่งหน้าประตูยามค่ำคืนปลุกให้เด็กๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ...

นาฬิกาบอกเวลาหลังเที่ยงคืนได้พักใหญ่กลับบอกอะไรมากกว่าเวลา...

ธารกับธรรม์ตื่นขึ้นแล้วกรูกันไปที่ประตูอย่างมีความหวัง...

เบื้องหลังประตูคงจะมีใครสักคนที่พวกเขารอคอย...

************************************

(จบไม่บริบูรณ์)

************************************
^^ ยิ้มแป้นแล้วก็ต้องวิ่งหนี
จบแบบนี้จะเป็นไรไหมหนอ
มุดลงไหก่อนนะคะ แต่ก่อนไปขอถามก่อนค่ะ
อยากให้โพสตอนจบพิเศษไหมคะ
(คนที่ขอพาสไปก็อย่าน้อยใจนะคะ จริงๆ กะว่าจะถามอีกรอบตอนท้ายน่ะค่ะ
เพราะไม่แน่ใจว่าจะลงดีไหมด้วยค่ะ)
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2552
6 comments
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 10:59:51 น.
Counter : 443 Pageviews.

 

ตามมาลุ้นที่บล็อกต่อ อิอิ

 

โดย: sea IP: 61.7.180.99 18 พฤศจิกายน 2552 11:47:16 น.  

 

ลงคะตอนพิเศษว่ามาหรือไม่มา

 

โดย: pik IP: 202.28.48.217, 202.28.48.211 18 พฤศจิกายน 2552 12:17:05 น.  

 

ตามเข้ามาดูที่บล็อกว่าแอบตอนพิเศษ ไว้หรือป่าว...

 

โดย: tuk_ora 18 พฤศจิกายน 2552 13:04:08 น.  

 

ให้อภัย
ยอมให้ลงตอนพิเศษ
จะได้เสมอกันงัย

 

โดย: หนึ่ง IP: 58.9.189.150 19 พฤศจิกายน 2552 11:36:45 น.  

 

ขอคำตอบของเรื่องนี้ด่วน !!!!!
ก่อนที่จะอกแตก..เพราะความอยากรู้
please
please
(สายลมบางเบาที่บังเอิญผ่านมาสัมผัส)
แต่ได้โปรด...อย่าเมินคำขอ.....
ว่าเราเป็นเพียง..สายลม...บังเอิญ..)

 

โดย: lilli IP: 192.168.0.11, 58.9.42.64 19 พฤศจิกายน 2552 17:02:39 น.  

 

โห มาช้านะพี่ เนี่ยลูกรอจนหลับ

 

โดย: fiona IP: 117.47.131.80 24 พฤศจิกายน 2552 13:48:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

เพลิงวารี
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ไหดองเหล็กไหล
New Comments
[Add เพลิงวารี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com