เพลิงวารี & คชสีห์ ฿ Babylonia
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
1 ตุลาคม 2552
 
 
เราสามคน...หนทางเดียว015(พึ่งพิง)

ปวดหัว...

นลินอึดอัดมากกว่าเดิม เพราะพวกเขาต่างก็ผลัดกันเข้าใกล้เธอเมื่อมีโอกาส ทำราวกับแข่งกันทำอะไรสักอย่าง ถ้าอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งตามลำพัง แล้วถ้าอีกคนอยู่บ้านก็ต้องโผล่หน้ามา

“เมื่อไรสัญญาก่อนแต่งงานจะเสร็จสักทีล่ะ ฉันรอนานแล้วนะ” เขตต์ถามขึ้นเมื่อไม่เห็นว่าคู่แฝดจะจัดการให้เสร็จสักที

“ก็ต้องดูก่อนว่าสัญญาก่อนแต่งเนี่ยเป็นธรรมกับลินหรือเปล่า” ขันธ์ตอบไม่ชัดเจน แต่ก็พอรอดตัวไปได้บ้าง

“ไม่ต้องมียังได้ ฉันไม่หย่าหรอกน่า” เขตต์ตอบอย่างมั่นใจ

“ใจเย็นๆ อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน เพราะงั้นกันไว้ดีกว่า” ขันธ์ตอบอย่างรู้ทัน

“ลินไปดูลูกนะคะ” นลินเบื่อจะต้องตกอยู่ตรงกลาง จึงรีบทานให้เสร็จๆ แล้วออกไปให้เร็วที่สุด จะได้ไม่ต้องฟังพี่น้องสองคน ที่พยายามดึงเธอเข้าไปร่วมด้วย

“เดี๋ยวสิพี่ไปด้วย ได้ยินว่าวันนี้ลินจะพาลูกๆ ออกไปที่สวนไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนนะ” เขตต์พูดอย่างอารมณ์ดี

“ไม่มีงานการทำรึไงวะ ออกไปทำงานได้แล้ว” ขันธ์ขัดคอขึ้นมาทันที ก่อนยิ้มให้ลิน “อย่าพาลูกตากแดดมากนะ แดดสายๆ มันแรง”

“ค่ะ” นลินรับคำ แล้วรีบออกไปจากห้อง

“อย่าอู้ มีทั้งลูกมีทั้งเมียพร้อมจะเอาอะไรมาอ้างอีก” ขันธ์ส่ายหน้าแล้วพาคู่แฝดออกไปทำงาน

นลินเลี่ยงได้เข้ามาในห้องก็มองลูกๆ อยู่ในคอกเด็กบนเตียงใหญ่ เธอพยายามแยกกับลูกๆ ให้น้อยที่สุด เพื่อตัดปัญหาจากพ่อของเด็กๆ มันคงดีถ้าเธอหนีไปให้พ้นๆ ได้

หากจะหนีใจตัวเองได้หรือไม่นั้น...คงเป็นคำถามที่เธอพยายามเลี่ยงจะตอบ

เธอเอื้อมไปกอดลูกคนนั้นทีคนนี้ที มีลูกแฝดก็มีทั้งดีและไม่ดี ดีตรงที่เพื่อนเยอะขึ้น ไม่ดีตรงที่เวลาร้องไห้พร้อมกันไม่รู้จะปลอบคนไหนก่อน แต่ก็ยังสบายใจกว่ามีฝาแฝดตัวโตคอยจ้องแต่จะแย่งกัน

อีกทั้งลูกฝาแฝดมีพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลเวลากลางวันทำให้ไม่ลำบากมาก แต่ที่น่าเจ็บใจก็เพราะพ่อฝาแฝดของลูกๆ ที่คิดจะย้ายลูกออกไปจากห้องแม่ ทำให้เธอต้องย้ายลูกมานอนในคอกเด็กบนเตียงกว้างแทน แล้วเหลือที่บางส่วนให้เธอนอน

********************************************


คืนนี้มีความเคลื่อนไหวแตกต่าง เมื่อนลินไม่ยอมแยกจากลูก เธอก็เดาได้ว่าต้องมีสักคืนที่พ่อฝาแฝดตัวโตจะต้องเข้ามารบกวนแน่นอน

“มีอะไรคะ” นลินถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“ขอเข้าไปหน่อยสิ” เสียงคนใดคนหนึ่งดังขึ้น

“ดึกแล้วค่ะ ลูกก็นอนแล้ว ลินก็กำลังจะนอน” นลินไม่เปิดให้ เพื่อตัดปัญหา

“เปิดเถอะน่า” น้ำเสียงระบุความแตกต่างได้ทันที

“มีอะไรก็พูดมาเลยค่ะ จะนอนแล้ว” นลินก็ยังคงตั้งมั่นที่จะไม่เปิด

“ขอนอนด้วย สักคืนได้ป่ะ เพิ่มอีกสองคนคงไม่เป็นไรหรอกน่า” ขันธ์ดูจะต่อรองแบบแย่ๆ ได้ผลกว่า

“พื้นนะคะ ไม่เหลือที่บนเตียงแล้ว จะมาเบียดกันทำไมเนี่ย นอนห้องใครห้องมันก็ดีแล้ว” นลินส่ายหน้าช้าๆ ก่อนเปิดประตูให้

เขตต์รีบเข้าไปก่อนกลัวเธอจะเปลี่ยนใจ ตามมาด้วยขันธ์ที่เดินเข้ามาสบายๆ พร้อมด้วยเครื่องนอนของใครของมัน เหมือนจะรู้กันอยู่แล้วว่าในห้องนี้ก็คงเหลือที่พื้นที่เดียวนั่นแหละ

“ปวดหลังกันหน่อย ถ้าอยากนอนที่นี่นะคะ แล้วก็เงียบๆ ด้วย ลูกหลับแล้วค่ะ” นลินเตือนอีกครั้ง เพราะที่เธอไม่อยากให้วุ่นวาย เพราะไม่อยากให้ลูกตื่น ถ้าคนหนึ่งตื่น อีกคนก็ตื่นตามเพราะเสียงร้องของอีกคน

จากนั้นเธอก็ปล่อยให้พวกเขาจัดที่จัดทางเอาเอง แล้วเดินไปที่เตียง ซึ่งตอนนี้ถูกจับให้ชิดกำแพง มีคอกเด็กวางไว้ เพื่อกันไม่ให้วัยหัดคลานตกจากเตียง

“ง่วงแล้วเหรอจ๊ะ” เขตต์ถามขึ้น เมื่อเห็นนลินนอนกอดหมอนข้าง หันหน้าไปทางลูก

“ค่ะ เดี๋ยวลูกๆ ตื่นเช้า ลินก็ต้องตื่นด้วยนี่คะ” นลินตอบเบาๆ

ขันธ์สบตาเขตต์ ก่อนบอก “ลงมานอนข้างล่างด้วยกันน่า ให้อยู่ตรงกลางเลยอ่ะ”

“ฝันไปเถอะ นอนได้แล้วค่ะ” นลินกอดหมอนแล้วซุกหน้าหลับอย่างไม่สนใจ

ความอึดอัดดูจะขยายวงกว้างขึ้น เธอนึกไม่ออกว่าจะยอมรับสภาพนี้ได้อย่างไร มันเหนือการควบคุม และเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ถ้าตัดปัจจัยเดียวออกไปได้ทุกอย่างก็ไม่วุ่นวายสักนิด

ไม่ควรรัก...

เขตต์ถอนหายใจยาว นึกว่านลินจะใจอ่อนลงบ้างแต่ก็ไม่เลย นับวันเธอยิ่งใจแข็งมากขึ้น และไม่ยอมอยู่ใกล้เขาหรือคู่แฝดเพียงลำพังนานๆ

ขันธ์กลับไม่สนใจมากนัก ลุกขึ้นเดินไปที่ปลายเตียงแล้วชะโงกหน้าดูลูกสองคน จากนั้นก็ก้าวขึ้นเตียงเข้าไปใกล้ๆ ลูก ทำให้นลินตกใจ

เธอตั้งสติมองหน้าแล้วก็เรียกชื่อได้อย่างถูกต้อง “พี่ขันธ์”

“ดูลูกหน่อยจะเป็นไร ไม่คิดจะเบียดหรอกน่า เหลือที่แค่เนี่ยมันพอให้ลินนอนคนเดียวแหละ” ขันธ์ตอบขำๆ แล้วก็สนุกที่แกล้งเธอได้

นลินเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ ก่อนบอกเบาๆ “ห้ามทำลูกตื่นนะคะ แล้วปิดไฟด้วยลินง่วงแล้วค่ะ”

“กินกับนอนแค่เนี่ย ไม่อ้วนไงไหวเนี่ย” ขันธ์ยังคงต่อล้อต่อเถียงกับเธอ

“พอทีเถอะน่า ขันธ์” เขตต์เตือนคู่แฝดไม่ให้กวนอารมณ์เธอ

“ไม่พอใจก็ไปหาที่พอใจเลย” นลินยังเถียงต่อไป แต่พยายามไม่ให้ดังมาก

ขันธ์ทำท่าจะเขม่นต่ออีก จึงถูกคู่แฝดลากให้มานอนบนพรมซึ่งปูผ้าไว้ง่ายๆ ก่อนเขตต์จะส่ายหน้าไม่ให้กวนใจเธอที่รักมากไปกว่านี้

รอ...สิ่งที่พวกเขาทำได้ ทั้งที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำกับผู้หญิงคนไหน

ยาก...นิยามที่ผู้หญิงคนนี้ให้เขารอ โดยที่เธอไม่คาดหวังว่าเขาจะรอจริงๆ

ถ้าเธอรอได้ พวกเขารอไม่ได้ก็เรื่องของพวกเขา ส่วนเธอก็จะมีแต่ลูกเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของชีวิต ชีวิตเธอมีความหมายอีกครั้ง เมื่อลูกทั้งสองถือกำเนิดขึ้น

รักที่ปราศจากเงื่อนไขใดๆ...

รักโดยไม่ต้องพยายาม...

********************************************


เสียงในความคิดวนเวียน นลินตัดสินใจไม่ได้ รู้สึกเหมือนตัวคนเดียว และเธอไม่คิดจะพึ่งใครเพราะความเกรงใจและยืนได้ด้วยตัวเองมานาน

หากสุดท้ายเธอก็รู้ว่าเธอไม่สามารถแก้ไขปัญหาคนเดียวได้...

“สวัสดีค่ะ” ภาษาไทยชัดเจน คนตอบสดใส

“ไง ปอย” นลินเรียกชื่อเพื่อน

“ไอ้ลิน แกหายไปไหนมาฮะ แกรู้ไหมว่าแค่ตอบเมลมันไม่พอ ออนเอ็มก็ไม่เจอ แล้วยังมีไอ้บ้ามาตามล่าหาแกอีก” ปอยบ่นเป็นชุดจนได้สติ

“เฮ้อ มีเรื่องเยอะแยะที่ฉันไม่รู้จะบอกแกยังไง ฉันพยายามแก้ปัญหาอยู่ แต่มันก็ยังไม่ดีเท่าที่ฉันต้องการเลย ฉันสับสนล่ะปอย แต่ไม่อยากรบกวนแกล่ะ แกก็รู้ว่าฉันน่ะดื้อจะตาย” นลินยอมรับความจริงไปตามเรื่อง

“เรื่องอะไรของแกวะ ครั้งสุดท้ายโทรหาพ่อแก พ่อแกบอกว่าแกไปนอกกับพี่เขตต์ แล้วแกก็ตอบเมลฉันสั้นมากๆ แค่บอกว่าไม่เป็นไรไม่ต้องห่วงเนี่ยนะ มันไม่พอให้ฉันสบายใจได้หรอก หนึ่งปีมันนานมากนะไอ้ลิน” ปอยค่อยๆ ไล่ระดับเสียงจนดังขึ้นสามีต้องเดินเข้ามาดู

“ใจเย็นๆ สิปอย กำลังท้องอยู่นะ” พลเตือนภรรยาที่ช่วงนี้อารมณ์ขึ้นลงตามฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้น

“นั่นสิ ใจเย็นๆ ก่อน เออ จริงสิ ฉันยังไม่ได้บอกแสดงความยินดีเลยนี่นา ดีใจด้วยนะ” นลินพยายามพูดเพื่อนให้เพื่อนใจเย็นลง

“จ๊ะ” ปอยเผลอยิ้ม ก่อนนึกขึ้นได้แล้วกลับมาเสียงขรึม “อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ว่ามาว่ามันอะไร เฮ้อ แต่ฉันรู้ว่าถ้าไม่ที่สุดแกจะไม่โทรหาฉันหรอก ว่ามาเถอะ”

นลินเริ่มเล่าเรื่องจากตะกุกตะกักก็ลื่นไหล และได้ยินเสียงเพื่อนเหมือนจะพูดหลายครั้งแต่ก็ได้แต่บอกว่าเล่าต่อสิ จากที่ชอบโวยวายก็โวยวายไม่ออก สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจยาว

“เฮ้อ ไม่รู้จะพูดอะไรได้ ขอตั้งสติหน่อย” ปอยพูดตบท้ายหลังจากฟัง ก่อนจะพูดขึ้น “ทำไมแกถึงยอมไปนอกกับพวกเขาวะ มันเหมือนแกถูกล้อมกรอบด้วยคนอื่น แกควรจะอยู่กับพวกเรามากกว่า จะได้ไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยว”

“เฮ้อ ช่วงนั้นมันสับสนน่ะ มีหลายเรื่องเกินไปจนฉันเลิกคิดอะไรไปเลย มันทั้งโกรธ ทั้งสงสาร บอกไม่ถูกว่าควรเลือกอย่างไหนดี เฮ้อ” นลินถอนหายใจหลายครั้ง

“ฉันไม่รู้จะแนะนำแกยังไงดีเหมือนกัน เพราะเรื่องมันเลยเถิดไปขนาดนี้แล้ว เรื่องสำคัญที่สุดก็คือแกควรจะบอกพ่อแม่ว่าท่านมีหลาน มันไม่ถูกเลยที่ไม่บอกพวกท่าน ก็ไม่ต้องบอกละเอียดก็ได้ แต่ควรจะบอก ลิน ฉันรู้ว่าบางครั้งความรักก็ทำให้เราสับสน แต่เราต้องตั้งสติเสมอนะ” ปอยพยายามเตือนอย่างใจเย็น

“ฉันรู้ แต่ เฮ้อ ฉันเหมือนกับมันคือภาระหนัก ไหนจะลูก ไหนจะพวกเขาอีก” นลินยอมรับความจริงเหล่านี้มานาน แล้วพยายามจัดการปัญหาให้กับตัวเอง แต่ดูเหมือนจะถึงทางตัน ยิ่งคิดว่าต้องบอกพ่อแม่

“อย่าไปสนใจพวกเขา เมื่อผู้หญิงเรามีลูก ลูกต้องมาก่อน ถ้าตัดปัญหาได้ก็ตัด อย่าไปสนใจ ยิ่งตอนนี้แกก็ยังไม่ได้ผูกมัดกับเขาในทางกฎหมาย แกก็ควรจะเลือกหนทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเองกับลูกนะ” ปอยแนะนำจนทำให้สามีสงสัย เธอจึงส่ายหน้าแล้วโบกมือให้ออกไปก่อน

“ฉันควรจะกลับไปใช่ไหม ฉันไม่ควรจะอยู่กับพวกเขาอีกแล้วใช่ไหม” นลินพยายามหาคนมาตัดสินใจแทน เมื่อเธอพยายามตัดสินใจเองมานาน

“อันนี้ฉันตอบไม่ได้แทน แต่ขั้นต้น แกควรจะคิดหลายๆ ทาง เอาเป็นว่ามันควรจะเป็นทางที่แกกับลูกๆ สบายใจที่สุด ถ้าพวกเขารักแกอย่างที่ว่าจริงๆ พวกเขาควรเลือกทางที่เหมาะสมไม่ใช่ทางที่เห็นแก่ตัว พูดแล้วเกลียดทั้งสองคนเลยให้ตายเถอะ” ปอยนึกอย่างหงุดหงิด เพราะถ้าอยู่เมืองไทย ป่านนี้เธอคงพาสามีไปลุยแล้ว

“ฉันเข้าใจ” นลินตอบแบบไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“เอาเป็นว่า ขอให้แกตัดสินใจโดยนึกถึงลูกเป็นหลัก คิดทบทวนดูให้ดีว่า อีตาพี่เขตต์เหมาะจะเป็นสามีในทางกฎหมายของแกไหม แล้วแกยอมรับเรื่องสองผัวหนึ่งเมียได้จริงๆ หรือเปล่า ถ้าแกคิดว่ารักพวกเขามากพอ แต่ยังยอมรับไม่ได้ ให้ขอเวลาจากพวกเขาเพิ่ม ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก เพราะฉันยังไม่แน่ใจเลยอะไรคือคำตอบของปัญหาอ่ะนะ” ปอยรู้สึกว่าเรื่องของเพื่อนซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้หมด

ไม่อย่างนั้นนลินคงไม่เสียเวลาโทรมาเธอถ้าแก้ปัญหาออก แต่ที่โทรมาก็คงต้องการระบายมากกว่า

“อ้าวร้องไห้ซะแล้ว ร้องมาเถอะจ๊ะ เพื่อน ถึงฉันจะช่วยแกแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาดไม่ได้ แต่รู้ไว้ว่าฉันจะอยู่ใกล้ๆ แกเสมอ” ปอยได้ยินเสียงเพื่อนร้องไห้ก็ปลอบไปตามเรื่อง ทั้งที่ใจจริงอยากจะร้องไปพร้อมเพื่อนด้วย

“ขอบใจแกนะที่รับฟังฉัน ฉันนึกว่าจะถูกด่าซะแล้วสิ” นลินพยายามกลั้นสะอื้นแล้วพูดอย่างยากลำบาก

“อยากจะด่าอยู่ แต่เรื่องแกมันละเอียดอ่อนเกินไป ขืนฉันด่า ฉันก็อาจจะเสียใจ ถ้าฉันตัดสินใจเรื่องนี้ผิด ฉันก็เสียใจอีก เฮ้อ เอาเป็นว่าฉันช่วยแกได้แค่นี้แหละ อยากจะบ้าตาย อยากช่วยมากกว่านี้” ปอยถอนหายใจยาว อยากช่วยเพื่อนแก้ปัญหา

“ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้คุยกับแกฉันก็สบายใจมากขึ้นแล้วล่ะ งั้นฉันจะโทรหาพ่อกับแม่นะ ซึ่งฉันแน่ใจแล้วว่าท่านจะให้ฉันทำยังไง” นลินค่อนข้างมั่นใจกับปฏิกิริยาหลังพ่อแม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ

“ฉันก็พอรู้อยู่นะ แต่ให้ผู้ใหญ่ตัดสินใจก็ดีเหมือนกันแหละ ฉันรู้ว่าที่แกไม่บอกพ่อแม่แต่แรก เพราะแกรักพวกเขา แต่ฉันว่าพวกเขาเอาความรักมาใช้ผิดๆ ล่ะ ถึงจะพยายามฟังอย่างเป็นกลางที่สุดนะ ก็ยังทำใจไม่ได้เหมือนกันแหละ” ปอยบอกตามตรง...ทำใจยาก แต่คาดเดาว่าเพื่อนคงรักไม่งั้นคงไม่ทน

หนีไปก็หลายรอบแล้วกลับมา ทนอยู่ไปเรื่อยๆ ทั้งที่เจ้าตัวก็สามารถไปได้เมื่อต้องการ ถ้าไม่รักแล้วเรียกว่าอะไร หากก็เป็นความรักในรูปแบบที่ยากแก่การเข้าใจ

“ทั้งรักทั้งเกลียด ทั้งอยากหนี ทั้งอยากอยู่ นี่คือสิ่งที่ฉันเป็น ฉันว่าตอนนี้ความสามารถในการตัดสินใจฉันต่ำมาก ฉันคิดถึงตัวเอง...คนที่เคยตัดสินใจแล้วก็ควบคุมชีวิตตัวเองได้ล่ะ ปอย” นลินพูดก่อนปล่อยโฮอีกครั้ง

“อย่าคิดเรื่องควบคุมหรือการตัดสินใจ ฉันว่าตอนนี้แกต้องพยายามเข้มแข็งก่อน เรื่องอื่นช่างหัวมัน ความเป็นแม่จะเป็นให้แกเข้มแข็งเชื่อฉันเถอะ พอแกเข้มแข็งแล้วการควบคุมกับการตัดสินใจจะมาเอง ฉันว่าเพราะแกคิดเรื่องตัดสินใจมากเกินไป ทำให้สูญเสียความเข้มแข็งแล้วก็การตัดสินใจที่ดีนะ ใจเย็นๆ เพื่อน แกยังมีพวกเราเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” ปอยทำใจเย็นปลอบเพื่อน และโชคดีที่ฮอร์โมนไม่โจมตีเธอในเวลานี้

“ฉันเสียใจที่ปล่อยให้ชีวิตมันยุ่งแบบนี้” นลินยังคงร้องไห้จนกระทั่งตั้งสติได้ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู “ฉันต้องไปแล้วนะปอย เจอกันที่เมืองไทย”

“ได้เลยจ๊ะ มาอะไรรีบโทรมาเลยนะ จะกี่โมงกี่ยามก็ต้องโทรรู้ไหม” ปอยรีบบอกเพื่อน ก่อนฟังเสียงเพื่อนตัดสาย

นลินพยายามหากระดาษเช็ดหน้า ก่อนตอบ “มีอะไรคะ”

“คุณลินครับ ทุกคนพร้อมที่ห้องรับแขกแล้วครับ” อาเธอร์เคาะเรียกจากหน้าห้อง

“อีกสักครู่ค่ะ” นลินตัดสินใจในทันที ก่อนโทรศัพท์อีกครั้ง

********************************************


คนสามคนนั่งรอด้วยอาการที่แตกต่างกัน ทนายความเก่าแก่ประจำตระกูลถูกเรียกมา พร้อมสัญญาก่อนแต่งงานที่พิลึกพอควร แต่ก็ทำใจได้จึงนั่งนิ่งเฉย

ทายาทฝาแฝดก็นั่งอยู่คนละมุม เขตต์ยิ้มยินดีเหมือนโล่งใจ ขณะที่ขันธ์กลับเฉยเสียจนแปลก ทำให้ยากคาดเดาได้

เมื่อนลินเข้ามาภายในห้อง ก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาแดงบวมช้ำ ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรเธอก็พูดขึ้นก่อน “ขอโทษค่ะ แต่ลินจะกลับเมืองไทย”

“อะไรนะ” เขตต์ร้องเสียงหลง

“ขอบคุณที่มา ยังไงคุณช่วยเก็บเอกสารนี้ไว้ก่อนนะครับ เราอาจจะต้องใช้ในอนาคต ขอบคุณ” ขันธ์รู้หน้าที่จึงบอกกับทนายประจำตระกูลไป ก่อนที่อีกฝ่ายจะต้องนั่งฟังคำโวยวายของน้องชายเขา

“ค่ะ ลินจะกลับเมืองไทย ลินจะไม่จดทะเบียนกับพี่เขตต์ แล้วก็จะกลับเมืองไทยพร้อมลูกๆ ด้วย พ่อรู้เรื่องแล้ว และต้องการให้ลินพาลูกๆ กับไปอยู่กับท่านค่ะ” นลินบอกตามตรง

“ยังไงพี่ไม่เข้าใจ ลินตกลงแล้วนี่ หมายความว่ายังไง” เขตต์โกรธจัดที่เธอเปลี่ยนใจในตอนหลัง ทั้งน้อยใจและเสียใจที่เธอทำราวกับที่ผ่านมาไร้ความหมาย

ขันธ์พยักหน้าให้พ่อบ้านปิดประตู เพื่อคุยกันสามคน “ลินบอกพ่อใช่ไหม”

“ค่ะ แล้วท่านก็ให้ลินกลับทันทีที่เป็นไปได้” นลินตัดสินใจแน่วแน่

“แต่ว่าลินตกลงแล้วนี่ ทำไมเปลี่ยนใจง่ายๆ แบบนี้ หรือว่าพี่ไม่มีความหมายกับลินเลย” เขตต์ตัดพ้ออย่างปวดร้าว เหมือนความหวังได้หลุดลอยไป

“ถ้าพี่รักลินอย่างที่พูดจริงๆ พี่ก็ต้องรอได้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าพี่รอไม่ได้ ลินก็ไม่บังคับพี่อีกเหมือนกันค่ะ” นลินตัดสินใจแน่วแน่ ดูเหมือนการได้คุยกับพ่อทำให้นลินเข้มแข็งขึ้น

เขตต์มองอย่างเคืองโกรธ หลากหลายความรู้สึกระคนกัน เสียงกระแทกลมหายใจแรงแทนคำตอบของทุกอย่าง เขาเดินออกไปจากห้องแล้วอยู่แต่ในห้องตัวเองตลอดวัน

ขันธ์ถอนหายใจยาว แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไร เธอก็พูดขึ้นก่อน

“อย่าพยายามกล่อมให้ลินตามใจพี่เขตต์อีกเลยค่ะ แล้วถ้าพี่อยากรู้ว่าลินบอกอะไรพ่อ ลินบอกไปว่าเป็นลูกพี่เขตต์ เพราะมันคงทำใจได้ง่ายกว่า ที่จะรู้ว่าลูกสาวตัวเองมั่วกับทั้งพี่ทั้งน้อง” นลินฟังสิ่งที่ตนเองพูดแล้วพยายามกลั้นสะอื้นอย่างที่สุด

ขันธ์ไม่พูดมากเดินเข้ามากอดเธอเอาไว้ ทำให้เธอร้องไห้อย่างหนัก “สำหรับพี่ มันหมายถึงลินปกป้องพี่ด้วย ไม่เป็นไร พี่จะรีบเคลียร์งานแล้วกลับไปพร้อมลิน”

“อย่าเลยค่ะ พ่อกำลังโกรธ ลินรู้ดีถึงท่านจะไม่พูดอะไรเลยก็ตาม” นลินห้ามทันที

“แล้วไง ยังไงพี่ก็ต้องรับมือกับพ่อตาอยู่แล้ว” ขันธ์พยายามพูดติดตลก

“อะไรนะคะ” นลินฟังแล้วงง

“พูดเล่นน่ะ แกล้งหัวเราะก็ไม่ว่ากันนะ” ขันธ์ยิ้มแหย่ๆ

เธอเพียงพ่นลมหายใจขำขัน แต่ไม่ถึงกับหัวเราะ “พี่ไม่ไปดูพี่เขตต์หน่อยเหรอคะ”

“เขตต์โตแล้ว อย่างน้อยก็ตัวโตละนะ เอาล่ะ เดี๋ยวพี่จะจัดการเรื่องเอกสารเดินทางให้เจ้าตัวเล็กทั้งสองคนด้วยนะ ลินไม่ต้องห่วงเรื่องเดินทางหรือว่าเขตต์หรอก พี่เสียใจที่กดดันลินมากเกินไป ขอบใจที่ไม่หนีไปแบบไม่บอกเหมือนคราวก่อนอีก” ขันธ์ลูบเรือนผมเธอเบาๆ เพื่อปลอบโยน ก่อนนึกถึงปัญหาที่จะตามมา

ความเงียบจากเขตต์ก็ใช่ว่าจะดีนัก...พวกดื้อเงียบนั้นน่ากลัวที่สุด

********************************************


จริงดังคาด เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นเขตต์ก็สั่งคนขนของอย่างรวดเร็ว หลังจากเก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวันทั้งคืน หากเธอตัดสินใจจะไป เขาก็ควรไปเช่นกัน

“ทำอะไรแต่เช้าน่ะ” ขันธ์ถามคู่แฝดอย่างสงสัย แม้จะพอเดาได้บ้าง

“ก็ไปหาที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยน่ะสิ” เขตต์ตอบอย่างชัดเจน

“นายจะเอาแบบนี้ใช่ไหม” ขันธ์ย้ำอีกครั้ง

เขตต์มองหน้าคู่แฝดแล้วยิ้มหยัน ก่อนประชดประชันขึ้น “ถ้านายคิดจะใช้เรื่องเงินมาขู่กันอีกล่ะก็ ฉันก็ไม่โง่พอที่จะให้นายทำแบบนั้นหรอกน่า ฉันก็กลัวว่าลินจะเปลี่ยนใจเหมือนกัน เพราะงั้นฉันจึงซื้อบ้านหลังหนึ่งเอาไว้แล้วก็มีเงินมากพอจะทำให้ฉันเรียนจบได้”

“ถ้านายคิดว่าฉันจะขัดขวาง ไม่แล้วล่ะ ฉันเหนื่อยใจกับนายพอๆ กับลินนั่นแหละ ขอให้โชคดีกับทางที่นายเลือก” ขันธ์ตอบแล้วเตรียมหันหลังเดินออกไปจากบ้าน

“ฉันจะไม่ไปทำงานอีกแล้ว” เขตต์บอกต่อ

“ตามใจนาย ฉันคงบังคับนายไม่ได้หรอก” ขันธ์ตอบ โดยไม่หันกลับมา

หากจะมีใครเห็นแก่ตัวเพิ่มอีกสักคน...ก็คงจะไม่เป็นไรแล้ว

“นายคงมีความสุขกับลินล่ะสินะ นายคงเตรียมทุกอย่างเอาไว้แต่แรก เพราะนายก็จ้องจะแย่งลินไปจากฉันแต่แรกแล้วนี่” เขตต์พูดทุกอย่างที่เขาสงสัยออกมา

ขันธ์หันกลับมาอีกครั้งแล้วมองน้องชายด้วยความสมเพช “ถ้าฉันจะทำอย่างนั้นมันก็ง่ายนิดเดียว เพราะฉันภาษีดีกว่านายเยอะ ไม่ต้องรอให้นายคิดว่าฉันให้ความหวังนายแล้วค่อยทำก็ยังได้ ฉลาดคิดหน่อยแล้วชีวิตจะดีขึ้น”

เขตต์นิ่งอึ้งไป ด้วยส่วนลึกเขาก็เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น ท่าทางของนลินชัดเจน ถ้าเขาไม่คอยยื้อไว้ เธอคงไปจากเขานานแล้ว แต่เขาก็พูดประชดอีก “แน่สิ นายมันดีกว่าฉันเยอะนี่ บางทีฉันก็สงสัยนะว่าลินอาจจะเต็มใจมีอะไรกับนายก็ได้”

ขันธ์ชกคู่แฝดล้มไปนอนกับพื้นด้วยความโกรธ “นายไม่ได้รักลิน นายก็แค่ไม่ได้เธอในแบบที่นายต้องการ เพราะถ้านายรักลิน นายจะไม่พูดถึงเธอแบบนี้ จำไม่ได้แล้วเหรอ เมื่อก่อนนายต่างหากที่เป็นคนพูดปกป้องลิน หรือว่าหมดรักถึงได้พูดแบบนี้ อยากไปไหนก็เชิญ ดีจะได้ไม่รกหูรกตา”

เขตต์ได้แต่นิ่งอึ้ง ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปไม่พูดสักคำ แล้วเมื่อออกมาก็เจอกับนลินที่ยืนพิงกำแพงฟังอยู่ เขามองเธอไม่เต็มตานัก

“พ่อพูดถูก คนเราถ้ารักก็ต้องรอได้ ก็ต้องรู้จักให้เกียรติและไม่เห็นแก่ตัว ลินเข้าใจแล้ว รักของพี่มันไม่ได้หมายถึงพี่รักลินหรอก แต่มันหมายถึงพี่รักตัวเองต่างหาก” นลินกลั้นสะอื้นและน้ำตาแล้วรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้น

เขตต์มองตามอย่างสับสน เขาไม่รู้จะปฏิเสธคำพูดเธอหรือคู่แฝดยังไง บางอย่างทำให้เขาเลือกไม่ถูก อธิบายไม่ได้เหมือนเขากำลังหลุดโลกไปแล้ว

มันคงดีและง่ายขึ้นถ้าเขายังสามารถควบคุมสิ่งที่เขาเคยเป็นได้ แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรเพียงพอเลยสักอย่างสำหรับเขา ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางสายน้ำเชี่ยวยากที่จะควบคุม

********************************************


เมืองไทยคือบ้าน...ที่นลินคิดถึงตลอดเวลาที่อยู่ที่โน้น ปีกว่าที่เธอคิดอยากกลับมาที่นี่ทุกครั้ง แต่ก็ลังเลเกินกว่าจะกลับมาได้ และเมื่อกลับมาแล้วเธอก็ไม่คิดอยากกลับไปไหนอีก

“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้พี่ลงไปส่ง ได้โปรดเถอะลิน” ขันธ์ถามย้ำอีกครั้งก่อนขอร้อง

“ลินไม่รู้ว่าพ่อใจเย็นหรือยัง ลินว่าอย่าเพิ่งเลยดีกว่า” นลินตัดบทชัดเจน

“แต่พ่อก็รู้เรื่องที่พี่สองคนพยายามแย่งลินอยู่ไม่ใช่เหรอ” ขันธ์รู้ว่าเธอบิดเบือนเรื่องเล็กน้อย เพื่อให้ทุกอย่างฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้น

“ก็ใช่ค่ะ แต่ลินไม่แน่ใจว่าควรแนะนำพี่ตามตรงดีหรือเปล่า คือถ้าแนะนำตามตรง พ่อก็รู้ก็ดูออกว่าเรื่องที่ลินเล่าไม่จริงทั้งหมด” นลินไม่แน่ใจและลังเล

“เฮ้อ ให้พี่ลงไปส่งนะ อะไรจะเกิดก็ช่าง พ่อลินคงไม่ถึงขั้นเอาปืนมายิงพี่หรอกใช่ไหม” ขันธ์ไม่กลัวถูกยิงเลยสักนิด แต่เขาพยายามให้โอกาสเธอตัดสินใจมากกว่าบังคับ

มีคนว่าเขาเผด็จการมากพอแล้ว...

“ก็ได้ค่ะ” นลินไม่รู้จะห้ามยังไงจึงปล่อยตามใจเขา

หากเธอก็ไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกันแน่ และไม่แน่ใจว่าพ่อเชื่อเธอแค่ไหน แต่คิดว่าคงไม่เชื่อเท่าไรนัก นลินต้องทำใจเมื่อกดกริ่งที่หน้าบ้าน

สีหน้าระรินยิ้มยินดีแต่ก็เจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าผู้ชายที่มาส่งลูกสาว ก่อนตั้งสติทักทาย “มาแล้วเหรอนี่ใช่ไหมหลานแม่”

“สวัสดีค่ะ แม่” นลินกอดแม่ทันทีที่เห็นหน้า แล้วก็ปล่อยโฮตรงนั้นอย่างเหนื่อยอ่อน

ขันธ์ที่กำลังถือที่นั่งของลูกสองคนถึงกับอึ้งไปเลย เขาทำหน้าไม่ถูกและยิ่งวุ่นวายขึ้น เมื่อลูกสองคนก็พากันร้องไห้ตาม จนเขาต้องวางที่นั่งเด็กลงแล้วปลอบลูกๆ

นลินได้ยินลูกร้องก็หยุดร้องไห้แล้วหันมาทางลูก ช่วยกันโอ๋ลูกจนเด็กทั้งสองหยุด “สงสัยนั่งไม่สบายค่ะ พาลูกเข้าบ้านแล้วปล่อยเขาคลานเล่นดีกว่านะคะ”

“นั่นสิ ขออุ้มหลานยายหน่อย คนไหนเป็นคนไหนล่ะเนี่ย” ระรินพยายามทำให้สถานการณ์คลายความตึงเครียด

“เอ่อ คนนั้นธารครับ ส่วนคนนี้ธรรม์ครับ คนเงียบๆ หน่อยชื่อธาร ส่วนคนที่ดูร่าเริงได้ตลอดก็คือธรรม์ครับ” ขันธ์เรียนรู้ที่จะอยู่ใกล้ลูกมากขึ้น เมื่อคนที่เขาต้องการให้อยู่ใกล้ลูกเพื่อสร้างความผูกพันกับลูกเขา...ไม่ต้องการจะอยู่ด้วย โอกาสที่เขามอบให้น้องชาย ซึ่งปฏิเสธมัน

เมื่อเขายกที่นั่งเด็กวางในบ้าน นลินก็จัดการปล่อยลูกออกจากที่นั่ง แล้วเด็กสองคนก็คลานกันให้วุ่นวาย แล้วก็หยุดที่ขาของใครคนหนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองกันและกัน

สายตาเข้มงวดมองเด็กทารกสองคนอย่างช้าๆ ทำให้เด็กสองคนแตกตื่นแล้วทำท่าจะร้องไห้ หากพอมือทั้งสองข้างลูบผมเด็กทั้งสองคนพร้อมกัน ก็ทำให้หัวเราะออกมาได้

“สวัสดี ทุกคน มานี่สิลิน” เกษมเรียกลูกสาวเข้ามาใกล้ๆ หลังจากกลับมาจากโรงกล้วยไม้ด้านหลัง

นลินเดินเข้าไปก่อนยกมือไหว้ แล้วก็ใจชื้นขึ้นบ้างเมื่อพ่อยกมือขึ้นลูบผมเบาๆ

“เอาเจ้าสองตัวนี่ไปที พ่อเดินไม่สะดวกเลย” เกษมพูดถึงเจ้าหลานชายสองคน ที่กำลังเกาะขาแล้วเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทำให้ทุกคนหัวเราะได้

“ค่ะๆ” นลินก้มลงไปอุ้มลูกคนหนึ่ง ก่อนระรินเดินไปอุ้มหลานอีกคน

เกษมมองชายหนุ่มที่เคยเป็นคู่หมั้นของลูกสาว ก่อนถามขึ้น “คุณคนไหนกัน”

“ผม เอ่อ แพทริกซ์ครับ ขันธ์ครับ” ขันธ์ทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอสายตาเข้มงวด เขาพอเข้าใจความรู้สึกน้องชายตอนที่มายืนอยู่ตรงหน้าพ่อเธอ

“ดี ชอบกล้วยไม้ไหม คนแก่ก็งี้แหละ ยกถุงปุ๋ยไม่ค่อยไหว อ๋อ พ่อกับแม่แต่งห้องให้ใหม่ จะได้อยู่กันสบายสามคนแม่ลูก พอเจ้าแฝดโตขึ้นหน่อยค่อยทำห้องเพิ่ม” เกษมพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ข่มขวัญคนฟังได้ชะงัก

“ขอบคุณค่ะ” นลินบอกพ่อ ขณะที่มองหน้าแม่อย่างรู้กัน

ไม่มีใครได้เข้าไปในโรงกล้วยไม้ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ และจะออกจากโรงกล้วยไม้ไม่ได้ ถ้าเจ้าของโรงกล้วยไม้ยังไม่ได้รับความจริง

นลินรู้ว่าพ่อเดาได้ว่าเธอต้องปิดบังความจริงเอาไว้อย่างแน่นอน

“อย่าคิดมากเลย ลูก มาเถอะ หลานๆ คงหิวแล้วล่ะ” ระรินโอบไหล่ลูกสาวแล้วพากันไปหาคู่แฝดตัวน้อยที่กำลังพยายามหาอะไรแทะแล้ว

“นั่นสิคะ” นลินเห็นด้วยกับแม่ “แต่หนูก็มีเรื่องจะบอกแม่เหมือนกันจ๊ะ”

“งั้นเข้าไปในห้องก่อน หาอะไรให้หลานๆ ทานก่อนเถอะ แม่ไม่มีอะไรต้องรีบทำอยู่แล้ว” ระรินพูดอย่างเข้าใจ

พ่อลูกคู่นี้ไม่ค่อยพูดกันอย่างตรงไปตรงมามากเท่าไรนัก อยู่แบบห่างๆ อย่างห่วงๆ มากกว่า พูดกันประหยัดถ้อยคำ แต่ก็ดูจะเข้าใจกันดี ขณะที่คนกลางอย่างระรินก็ได้แต่มองอยู่ห่างๆ เช่นกัน

ใครว่าความเงียบไร้ภาษา...เพียงใส่ใจ ความเงียบย่อมมีแต่ความเข้าใจ

********************************************

วันนี้ขออนุญาตไม่ตอบแต่ละเม้นนะคะ
เดี๋ยวไม่ทันใจหลายท่านที่รออยู่
^^" อย่างที่บอกที่กระทู้โน้นค่ะ คอมเจ๊ง
แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยสบายด้วยค่ะ
แพ้อากาศอย่างรุนแรง ถ้ามันยังไม่คงที่แบบนี้ก็คงเป็นเรื่อยๆ ต่อไปค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ



Create Date : 01 ตุลาคม 2552
Last Update : 1 ตุลาคม 2552 7:36:49 น. 3 comments
Counter : 385 Pageviews.

 
เปนกำลังใจให้ครับ ฝันดีครับ


โดย: อเสวนา วันที่: 1 ตุลาคม 2552 เวลา:21:01:22 น.  

 
อ่านมาถึงตอนนี้แล้วก็ยิ่งสนับสนุนว่าให้ลินเลือกขันธ์หรือไม่ก็ไม่เลือกใครเลยแต่อย่าเลือกเขตต์ไม่เหมาะจะเป็นทั้งสามีทั้งพ่อใครจริงๆ


โดย: mimny วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:15:48:18 น.  

 
ดูแลสุขภาพด้วยนะค่ะ
ขอให้อาการดีขึ้นเร็วๆ นะค่ะ


โดย: wor IP: 58.8.14.108 วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:22:18:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

เพลิงวารี
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ไหดองเหล็กไหล
New Comments
[Add เพลิงวารี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com