เพลิงวารี & คชสีห์ ฿ Babylonia
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
21 ตุลาคม 2552
 
 
เราสามคน...หนทางเดียว017(สายสัมพันธ์)

สองอาทิตย์ต่อมา นลินก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเขาดูหงุดหงิดงุ่นง่านเวลาเธอเข้าใกล้ จนเธอต้องพาลูกไปให้ห่างๆ แต่พอถอยออกไป เขาก็เดินตามลูกมาอีก แล้วก็ถอยห่างเธอ จนกระทั่งเธอพาลูกเข้านอน

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” นลินถามเมื่อได้อยู่กันตามลำพัง เพราะวันนี้ปู่กับย่าขอหลานๆ ไปนอนด้วย ขณะที่นลินกับขันธ์ก็ยังแยกห้องกันอยู่

“เปล่าจ๊ะ” ขันธ์ยิ้มแล้วเดินไปโอบไหล่เอาใจ ก่อนแอบถอนหายใจแล้วพยายามโอบให้ห่าง ไม่แนบชิดมากเกินพอดี

“แน่ใจนะคะว่าไม่มีอะไร งั้นก็ออกไปจากห้องลินได้แล้วค่ะ” นลินออกปากไล่ ทั้งผลักทั้งไส แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะดูเหมือนระยะห่างจะไม่ลดลงเลย

“ที่ถาม...พี่ก็นึกว่าอยากให้อยู่ใกล้ๆ” ขันธ์ได้ที ยิ้มกริ่มอย่างอดใจไม่ไหว

จากที่คิดว่าจะห่างก็ยากจะห้ามใจขยับเข้าใกล้เรื่อยๆ จนกอดเธอเอาไว้แน่น แล้วสูดกลิ่นหอมผสมกลิ่นนมของลูก ก็เลิกห้ามใจหอมไปฟอดใหญ่ จนคนในอ้อมแขนต้องดิ้นรนหนี

“ปล่อยค่ะ ก็แค่เห็นพี่เหมือนไม่สบายใจ ลินก็เป็นห่วง” นลินตอบอ้อมแอ้มพยายามแกะมือเขา แต่ดูจะยากเต็มที

“ยิ่งกว่าเต็มไม้เต็มมือนะเนี่ย ทั้งนุ่มทั้งหอม ขอชิมสักหลายๆ คำนะ” ขันธ์พูดแล้วมือก็เริ่มซน

“ลินไม่ใช่ของกินนะคะ” นลินพยายามแกะมือของเขาออกจากตัวแต่คงยาก

“แต่ก็อร่อยแหละ” ขันธ์ไม่พูดมาก ไล่จูบอย่างกระหาย แม้เธอจะเบี่ยงหลบก็ตาม

คราวนี้นลินไม่ยอมง่ายๆ แน่ เธอใช้มือทั้งสองข้างผลักหน้าเขาให้พ้น แต่แล้วก็นึกอยากมีมืออีกสองข้างไว้ปลดมือเขาที่กอดเอวเธอเอาไว้แน่น ก่อนเห็นเขาหัวเราะแล้วยังคงพยายามกอดรัดเธอเอาไว้

“โอบเกือบไม่รอบ อ้วนขึ้นเยอะนะเรา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเสร็จไปนานแล้ว” ขันธ์พยายามรวบกอดให้แน่นไว้ ก่อนหอมแก้มฟอดใหญ่ เมื่อเธอเปลี่ยนทีท่า แล้วก็ต้องสะอึก เมื่อโดนหมัด

“อีตาบ้า” นลินเปลี่ยนจากผลักธรรมดาเป็นชกเข้าที่อกเขาแรงๆ “ก็ฝีมือใครล่ะ”

“ฝีมือเจ้าแฝดน้อยนั่นต่างหากล่ะ กินจุตั้งแต่ในท้องแม่เลยเชียว” ขันธ์หอมแก้มเธอเมื่อมีโอกาส ถึงจะจุกบ้างแต่เธอก็น่ารักได้ในอ้อมแขนเขา

นลินเหนื่อยก็หยุด แต่ดูเหมือนเขาจะอึดกว่าเธอหลายเท่า แน่สิ...แม้จะทำงานหนักเขาก็ยังมีเวลาออกกำลัง ขณะที่เธอไม่ชอบออกกำลังกาย เอาแต่นอนกอดลูกแล้วก็เล่นกับลูกทั้งวัน

“เหนื่อยแล้วเหรอ” ขันธ์หอมแก้มอีกข้างที่ว่างอยู่นั้น ขณะที่เธอนั่งตักแล้วหันหลังให้เขา

“ก็เหนื่อยแล้วอ่า หิวน้ำด้วยค่ะ” นลิน พยายามเอื้อมคว้าเหยือกน้ำที่หัวเตียงแล้วรินลงในแก้ว ก่อนอึดอัด เพราะเขาไม่ยอมปล่อยอีก “จะกินน้ำค่ะ ปล่อยเถอะ ไม่หนีแล้ว”

ขันธ์ก็ยังไม่ปล่อยแต่กอดเอาไว้หลวมๆ แล้วปล่อยเธอดื่มน้ำ เมื่อเธอดื่มเสร็จ เขาก็เข้ามาคลอเคลียออดอ้อนด้วยภาษากาย ไล้จมูกที่แก้มอวบอิ่ม ก่อนจูบแรงๆ อีกฟอดใหญ่

“แหม ชื่นใจจริงๆ” ขันธ์พูดขึ้นก่อนใช้แก้มลูบแก้มเธอ จนเธอต้องดิ้นรนอีกครั้ง “ไหนว่าไม่หนีแล้วไง”

นลินหันหน้ามามองอย่างขัดใจ “ก็ใครว่าหนีล่ะ ยังไม่ได้ไปไหนเลยเห็นไหมคะ”

ขันธ์ก็พยักหน้านิดๆ แล้วยิ้มหน่อยๆ พูดจากรุ่มกริ่ม “ไม่อยากรู้แล้วเหรอว่าพี่เป็นอะไรน่ะ”

“ไม่ค่ะ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ไม่อยากรู้แล้วค่ะ” นลินมองสายตาเขาแล้วชักกลัว แต่ต้องบอกว่ากลัวแต่แรกแล้ว เพียงแต่เขาเหมือนจะจริงเหมือนจะเล่นอยู่นั่นแหละ

“อยากบอกนี่จ๊ะ” ขันธ์ยิ้มอย่างสบายใจ

มีหรือ...เขาจะไม่คิดทบต้นทบดอก ทั้งกอดทั้งหอมสาวร่างอวบให้อ้อมแขน แล้ววางคอที่ไหล่หนาของเธอ ก่อนจะรวบแขนอวบทั้งสองข้างเข้าหากัน

“ลีลาจัง ไม่ต้องเล่าละ” นลินพยายามให้หลุดจากอ้อมแขนเขา แต่ก็คงยาก เพราะเขากดคางลงเบาๆ แทนคำตอบ

“คุณแม่ลูกสองใจร้อนจัง คืองี้ มันเป็นช่วงหนึ่งของผู้ชาย ช่วงอันตรายสำหรับผู้หญิง” ขันธ์พูดแล้วก็ยิ้มขำ

นลินขมวดคิ้ว ก่อนถามขึ้น “ช่วงอะไร ทำไมอันตราย”

“อ้าว ก็ช่วงที่ผู้ชายอยาก...” ขันธ์แกล้งลากเสียงยาวเป็นเชิงบอกอ้อมๆ

นลินได้ฟังก็ตาโต ก่อนลุกขึ้นจากตักเขา แต่ก็ยากอีก เพราะเขาก็กดคางที่วางไว้ที่ไหล่ลงอีก ก่อนพยายามหลบเลี่ยง “ในเมื่อเป็นช่วงอันตราย ลินก็ควรจะให้พี่ออกไปจากห้องได้แล้วใช่ไหมคะ”

สุดท้ายขันธ์ทำหน้าเซ็ง เมื่อเห็นแม่ของลูกเขายืนได้สำเร็จแต่ไม่สบตาเขา จึงดึงแขนเธอเอาไว้ ไม่บังคับให้นั่งตักเขาอีกแล้ว “รักพี่ไหมอ่า ช่วยพี่หน่อยไม่ได้เหรอ”

นลินหน้าแดงรีบสะบัดมือให้หลุด “งั้นลินไปห้องพี่ พี่นอนห้องลินก็แล้วกัน อย่าทำเลอะเทอะนะคะ”

ขันธ์หรี่ตาลง ชักไม่สนุก ก่อนออกอาการตัดพ้อนิดๆ “ตลอดเลย หลายเดือนแล้วนะ ไม่ได้ไปหาใครมาหลายเดือนแล้วนะ อยากกอดอยู่คนเดียว แต่เป็นคนเดียวที่ไม่ยอมให้กอด ไม่สงสารพ่อของลูกตาดำๆ บ้างเหรอ”

นลินกอดอกแล้วทำท่าเหมือนคิดอยู่นาน จนคนรอใจห่อเหี่ยว แล้วเธอก็จับดวงหน้าหล่อเหลาของเขามามองสำรวจ “ตาไม่เห็นจะดำ สีน้ำตาลชัดๆ”

“ยัยลิน” ขันธ์รวบร่างอวบอ้วนของเธอมานั่งตัก ก่อนยึดไว้แล้วแล้วเมื่อสบตากัน เขาก็โน้มลงประทับริมฝีปากกับเธออย่างอ่อนโยน

ความรู้สึกอ่อนหวานที่เขาไม่ค่อยได้สัมผัส ด้วยธาตุไฟร้อนในตัวเขานั้นวุ่นวายจากกิจกรรมประจำวัน เมื่ออยู่กับเธอ...เขากลับนึกอยากทำในสิ่งที่แตกต่าง

ความทรงจำไม่ดีที่เกิดขึ้นในครั้งแรกที่เขาสัมผัสเธอ มันสอนให้เขารู้ว่าเขาทำให้เธอตื่นกลัวเสียแล้ว ดังนั้นเขาต้องเรียนรู้ที่จะอ่อนหวานลงบ้าง แม้ไม่ถนัด ถ้าเพื่อเธอ...เขาจะทำ

เขาถอนลมหายใจที่พยายามเก็บกดความร้อนแรงในตัวออกมาอย่างยากเย็นหลังจากถอนจูบ ก่อนแตะหน้าผากกับหน้าผากเธอ แล้วถามเธอตรงๆ “ลินยังรักเขตต์อยู่ใช่ไหม”

นลินรู้สึกสะดุดไปในทันที ราวกับความจริงที่ไม่อยากขุดคุ้ย เธอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนลังเลใจ แล้วบอกกับเขา “ลินว่าปิดไฟนอนกันดีกว่านะคะ ลินง่วงแล้ว”

เธอไม่ตอบ...ก็เหมือนตอบ

ขันธ์ถอนหายใจ ก่อนเดินไปล็อกประตู แล้วเดินเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง เพราะเธอไม่ยอมเผชิญหน้ากับเขา ก่อนบอกกับเธอ “พี่ไม่หึงหรอก พี่ไม่ใช่เขตต์ ที่จะได้หึงบ้าบอ อะไรก็ได้ที่ลินมีความสุข แล้วยังยืนอยู่ในชีวิตพี่ พี่พร้อมเสมอไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม”

นลินรู้สึกผิด จึงหันมามองเขา ก่อนก้มหน้าเล็กน้อยช้อนตาขึ้นมอง “แต่ไม่ได้หมายความว่าลินไม่รู้สึกอะไรกับพี่นะคะ ถ้าลินจะต้องเป็นคนหลายใจ เพราะยอมรับความจริงละก็ ลินรักพี่เช่นกันค่ะ”

ขันธ์ถอนหายใจยาว แล้วไม่ยอมปล่อยเธอให้หลุดลอยไปจากอ้อมแขน เขาเชยคางเธอขึ้นสบตา ก่อนจูบเธออย่างอ่อนหวานอีกครั้ง

“จะให้เอาอะไรมาแลกกับลินพี่ก็ไม่ยอมหรอก อยู่กับพี่แล้วมีชีวิตอยู่ในชีวิตพี่ ก็เพียงพอแล้ว” เขาบอกแล้วกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน “พี่รักลินและพร้อมจะแก้ตัวทุกอย่างเพื่อลินกับลูกๆ ของเรา”

“ขอบคุณค่ะ” นลินซบอกเขา แล้วโอบกอดเขาเอาไว้ด้วยใจหวัง

ขอให้เขา เธอและลูกๆ ได้พักเหนื่อยจากความวุ่นวายบ้างก็พอ...

***************************************


พานธูปเทียน...กรวยใบตอง...พวงมาลัย

ของสามอย่างวางตรงหน้าขันธ์ ทำให้เขางุนงง และมองดวงหน้าของสาวร่างอวบก็ต้องสงสัยหนักขึ้น “อะไรเนี่ย ลิน เอามาทำไมเหรอ”

“เอาไปขอโทษพ่อลินค่ะ” นลินยิ้มแฉ่งเมื่อเห็นเขางง

“ของพวกนี้เนี่ยนะ ทำอะไรได้ มันมีไว้ทำอะไรพี่ยังไม่รู้เลย” ขันธ์มองแล้วขมวดคิ้ว

“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ทำตามที่ลินบอกเดี๋ยวก็ดีเอง มันเป็นพิธีแบบไทยๆ ค่ะ เป็นการขอโทษตามแบบไทย” นลินอธิบายก่อนมองเขาส่ายหน้า

“พี่ว่ามันไม่มีประโยชน์หรอกนะ อืม ถ้าจะให้พี่ชดเชยแบบเป็นรูปธรรมล่ะก็ ขอเป็นใบทะเบียนสมรสระหว่างพี่กับลินดีกว่า อันนั้นสิถึงจะดูจริงจังกว่า” ขันธ์มองในแบบของเขา แต่ก็เห็นเธอเก็บของเหล่านั้นไปทางอื่น จากนั้นก็หันไปเล่นกับลูกๆ แทน “พี่พูดอะไรผิดหรือเปล่า”

นลินเงยหน้าขึ้นแล้วก็ยิ้ม “เปล่าค่ะ ไม่ผิดเลย มันก็ถูกต้อง แต่ถ้าจะรอ ก็ได้ค่ะ ไว้ลินพร้อมจะผูกมัดตัวเองกับพี่เมื่อไร เราค่อยไปขอโทษพ่อลินกัน ส่วนตอนนี้ พี่จะกลับไปทำงานก็ไปเถอะค่ะ แต่ลินจะอยู่เมืองไทยอีกนาน จนกว่าพ่อลินจะใจเย็นมากกว่านี้”

ขันธ์กระแทกลมหายใจออกมาอย่างแรง ไม่ใช่เพราะขัดใจ แต่เพราะเจอบทรั้นของเธอเข้าให้ หากก็พยายามใจเย็นอธิบาย “พี่ว่าท่านจะเข้าใจได้ง่ายกว่านะ และเป็นการรับรองแบบเป็นหลักฐานทางกฎหมายได้ด้วย”

“ไม่ใช่ว่าลินไม่เข้าใจนะคะ ว่ายุคนี้อะไรๆ ก็ต้องมีหลักฐาน แต่บังเอิญมันเป็นหลักฐานว่าลินต้องถูกผูกมัดด้วยนี่สิคะ ถ้าลินอยากจดทะเบียนกับใครในช่วงนี้ละก็ ลินคงจะจดกับพี่เขตต์ไปแล้วค่ะ เฮ้อ พูดแล้วลินก็ไม่หวังให้พี่เข้าใจหรอกนะคะ” นลิน หันไปจูบแก้มเล็กๆ อย่างเอ็นดูคนละที แล้วก็จับมาชนแก้มพร้อมกันก่อนแหย่เล่นอีกเล็กน้อย

ช่างน่ารักเหลือเกิน...ลูกแม่

ขันธ์ถอนหายใจยาว ก่อนบอกตัวเองให้ยอมรับความจริงให้ได้ว่า ถ้าเขาคิดจะจัดการกับเธอ หรือคิดว่าเธอสามารถจัดการได้ เขาต้องคิดให้หนักมากกว่านี้ ดูแลองค์กรยังง่ายกว่าจัดการแม่ของลูกเขาอีก

“อืม เดี๋ยวลินว่าจะไปหาปอยสักหน่อย พาลูกไปให้ดูด้วย อืม แล้วลินอาจจะคิดเรื่องทำงานทำการให้มันเรียบร้อยสักที ไม่ไหวค่ะ ขืนอยู่อย่างงี้ลินประสาทตายแน่ๆ” นลินไม่ปล่อยให้เขาพูดอีก แล้วเป็นฝ่ายพูดเอง

ขันธ์เข้ามากอดเธอจากด้านหลัง ก่อนเอื้อมไปลูบผมลูกอย่างเอ็นดู “ลินอยากได้อะไร พี่ก็จะทำให้ทั้งนั้นแหละ ขออย่างเดียว ขอพี่อยู่กับลินกับลูกนะ”

“สิ่งที่พี่ต้องทำนั้นไม่ยากหรอกค่ะ แค่ทำให้พ่อลินใจเย็น ไม่ต้องถึงกับให้อภัย แค่ทำให้ใจเย็น โดยไม่ต้องมีทะเบียนสมรส เพราะนั่นจะทำให้พ่อลินโมโหมากขึ้นเท่านั้นเอง” นลินอธิบายอย่างใจเย็น ขณะที่มองมือเขาที่ปล่อยจากเอวเธอข้างหนึ่งไปลูบ ที่หน้าท้องเด็กเล็กทั้งสองทีละคน ทำให้เด็กๆ หัวเราะ

“แล้วของที่ลินให้เอาไปน่ะ มันช่วยได้เหรอ” ขันธ์หันไปมองหลังจากดึงเธอมากอดแนบอก

“ช่วยทางวัตถุไม่ได้ แต่ช่วยทางใจได้ค่ะ คนไทยชอบ แต่ถ้าพี่ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ลินก็ไม่บังคับ แต่ลินขออยู่แบบนี้ละกัน ถ้าพี่กลับมาเมืองไทย เราก็อยู่ด้วยกันได้ แต่ถ้าจะให้ลินตามไป ลินคงไม่ค่ะ ลินรับปากพ่อพี่ว่าจะไม่ย้ายไปย้ายมา เพราะงั้นลินก็จะอยู่ที่นี่กับลูกๆ จนกว่าพ่อลินจะใจเย็น ลินถึงจะตามพี่ไปอยู่ที่โน้น” นลินอธิบายให้เขาเข้าใจ แล้วก็ทิ้งน้ำหนักซบอกเขา

“ครับ พี่จะทำทุกอย่างเลย” ขันธ์รับปาก

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำอย่างไร้เหตุผล แล้วก็ยอมรับว่าเธอคงรู้เรื่องพ่อเธอดีกว่าเขา แต่ก็อดรู้สึกสะอึกไม่ได้ เมื่อเธอปฏิเสธการผูกมัดกับเขา...น่าเศร้า เมื่อเขารู้สึกว่าเขาดีไม่พอสำหรับเธอ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นคะ ลินไม่ได้ปฏิเสธพี่ เพราะลินไม่ได้รักพี่หรอกนะคะ แต่ถ้าทะเบียนสมรสยังคงเป็นเพียงกระดาษใบหนึ่ง ที่ไม่มีค่าอะไรในตอนที่เรายังไม่ได้จดมัน ลินก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้นต่อไปดีกว่าค่ะ

ลินรู้ว่าสำหรับคนระดับพี่ มันไม่ใช่เพียงกระดาษใบหนึ่ง มันคือข้อผูกมัดทางกฎมาย ซึ่งต้องใช้ในงานสำคัญต่างๆ และลินยังไม่พร้อมจะก้าวไปกับพี่ในระดับ ถ้าพี่ยังไม่ทันได้สังเกต ชีวิตเรายังวุ่นวายเกินกว่าที่จะทำแบบนั้นนะคะ” นลินลูบแขนเขาเบาๆ ขณะอธิบาย หากสายตายังมองดูเจ้าตัวเล็กที่ผลัดกันคลาน

เขาได้แต่ถอนใจยาว ดูเหมือนเธอจะพูดดักทางเขาไปเสียหมด “เฮ้อ คุยกับลินเนี่ย พี่จนปัญญาเลยนะเนี่ย”

“อะไรคะ ว่าลินเถียงข้างคูๆ เหรอคะ” นลินทำท่างอนๆ อย่างไม่จริงจังนัก หากเขาก็ยังคงรวบเธอเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างแสนรัก

“เถียงข้างๆ พี่นี่แหละ ไม่ต้องไปถึงคูๆ หรอกนะ แต่ที่พี่พูดแบบนี้ก็เพราะพี่แย้งลินไม่ได้ต่างหาก เฮ้อ คนเราเนี่ยจะหาเหตุผลอะไรมาแย้งคนที่เรารักได้บ้างหนอ” ขันธ์พูดแล้วก็หอมแก้มเธออีกฟอดใหญ่ ทำเอาเจ้าตัวเล็กหันมามองตาแป๋วเมื่อแม่โวยวายขึ้นมา

เขามองตาดำๆ ทั้งสองคู่แล้วก็ยิ้มให้ ก่อนปล่อยตัวประกันในอ้อมแขน “ไปกันเลยไหม หรือต้องรอลูกนอนกลางวันดี เฮ้อ ลูกติดแม่มากเลยนะเนี่ย ทำยังไงลูกถึงได้หลงแม่มากขนาดนี้ อืม หรือว่า...ติดบ่วงเหมือนพี่ โอ๊ย”

นลินทำหน้างอ ก่อนลุกขึ้นไปอุ้มลูกคนหนึ่งลงที่นั่งเด็ก แล้วก็หันไปอุ้มอีกคนหนึ่งค้างไว้ เพราะเขาเข้ามากอด “ปล่อยค่ะ จะเอาลูกลงที่นั่ง จะไปกันหมดนี่แหละ เห็นหน้าหลานพ่ออาจจะใจเย็นกว่าเห็นหน้าพ่อหลานอย่างเดียว”

“ลินน่ะ งอนอีกแล้ว พี่ก็ง้อไม่ค่อยเป็นด้วยสิ” ขันธ์พยายามง้อแม้จะไม่ถนัด เพราะเธอไม่ได้เอาลูกลงที่นั่งอย่างที่บอก แต่เหวี่ยงเพื่อให้เขาปล่อย

“อุ้มลูกหน่อยสิคะ” นลินพยายามหาเหตุให้เขาอุ้มลูก แทนที่จะตามติดประชิดเธอตลอดแบบนี้

ขันธ์ได้แต่ยอมแพ้ ถ้าคิดจะแตะต้องเธอ เขาต้องขอแบบตรงๆ มากกว่าแล้วล่ะ พักหลังใครอย่าหวังจะบังคับให้เธอตามใจได้ เพราะเธอจะขัดขืนเต็มที่

ถ้าจะมีอะไรกับเธอ...คงต้องขืนใจเธอ ซึ่งเขาไม่คิดจะทำอีกแล้วในชีวิต ครั้งเดียวที่เขาจะจดจำไปจนวันตาย แต่ก็ทำให้เขารู้ว่าการได้รับการให้อภัยนั้นมีค่า ถ้ามันมาอย่างจริงใจ

ทว่าไม่มีใครรอดพ้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในการกระทำที่ชั่วร้ายแม้เพียงครั้งหนึ่ง เขาซึ้งเรื่องนี้ดี เมื่อเขาไม่อาจถอนตัวถอนใจจากแม่สาวร่างอวบ

เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขาเอง...แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องเลวร้าย หากเพราะเขาติดใจเธอแต่แรกแล้ว...

เขาไม่แน่ใจว่าเธอคิดแตกต่างจากกรอบสังคมหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆน้ำหนักของเธอดูจะไม่มีปัญหากับปีกแห่งอิสระ แล้วถ้าเขาไม่คว้าไว้ เธอคงบินหนีไปไกลเกินกว่าที่เขาคาดไว้ได้

เธอพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสถานการณ์เดิม หากเขาคงไม่เข้มแข็งพอ โดยเฉพาะเขาพบคนที่ถูกใจแล้ว

***************************************


สายตาที่มองมาบอกได้หลายอย่าง แต่ที่ขันธ์แน่ใจได้คือ...ไม่พอใจอย่างแรง หากเจ้าตัวเล็กในที่นั่งก็ร้องอยากเป็นอิสระ จนคนเป็นยายกับแม่ต้องเข้าไปช่วยกันแกะออก

ขันธ์ถือพานเอาไว้อย่างมึนๆ สายตาที่สบกันยากจะถอนสายตา เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาถอนสายตาเพียงชั่วครู่ เขาอาจเป็นฝ่ายสูญเสียมากกว่า

นลินจัดการปล่อยให้เด็กทั้งสองคลานเล่น วางของเล่นลงแล้วก็กระซิบกับแม่ “พ่อใจเย็นลงหรือยังคะ”

“ยังหรอก แต่เขาไม่อยากตวาดต่อหน้าหลานน่ะ รีบๆ จบเถอะ จะยังไงก็ได้ของทุกอย่างสงบลง สักพักก็ยังดีนะลูก” ระรินพูดขณะพยายามหยอกให้เจ้าตัวเล็กทั้งสองสนใจ

ธรรม์กำลังกอดนัวเนียกับคู่แฝด ขณะที่ธารก็กอดรับเล่นกันเองอย่างสนุกสนาน ระรินได้แต่มองหลานชายทั้งสองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็ต้องถอนหายใจ

นลินหันกลับมาทางพ่ออีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้พูดก็ต้องเป็นฝ่ายฟังก่อน

“ไหนว่าจะไม่กลับไปหามันไง” เกษมตบโต๊ะเสียงดังเมื่อเก็บอารมณ์ไม่อยู่ สายตาที่มองพานนั่นแล้วมองคนถือก็เฉียบขาดไม่แพ้กัน

เสียงเด็กน้อยก็ร้องไห้เพราะตกใจ นลินหันไปทางลูกทั้งสองทันที ขณะมองแม่อุ้มคนหนึ่งมาปลอบ เธอก็อุ้มอีกคนมาปลอบ ขณะที่ขันธ์หันไปมองลูกชายแล้วก็หงุดหงิด

“ผมขอโทษแล้วก็เสียใจที่ทำอะไรแบบไร้ความคิด ผมรู้ว่าเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัย แล้วผมก็รู้ว่าเป็นการหน้าด้านที่จะร้องขอ แต่ผมรักลิน รักลูกจริงๆ นะครับ ผมจะทำทุกอย่างถ้าสามารถชดเชยให้ท่านได้” ขันธ์พูดอย่างรวดเร็วจนลิ้นแทบพันกัน แล้วหันไปมองลูกชายสองคนที่กำลังมีน้ำตาชุ่ม แต่หยุดร้องแล้ว

ช่างน่ารักซะนี่กระไร...

“ลูกบอกเองว่าจะไม่กลับไปหามัน” เกษมไม่พูดกับคนถือพาน แต่พูดกับลูกสาว

“พ่อคะ ลินไม่ได้อยู่กับเขาเพราะเขาหรอกนะคะ แต่ลินอยู่กับเขาเพราะคำขอร้องของคนที่เป็นพ่อเหมือนกันค่ะ แล้วเขาก็เป็นปู่ที่ห่วงไม่อยากให้หลานลำบาก ซึ่งลินก็เห็นด้วยค่ะ” นลินอธิบาย ขณะอุ้มลูกคนหนึ่งที่กำลังดูดนิ้วน้ำตาอาบแก้ม

ขันธ์ฟังแล้วยังสะอึก แต่ก็ต้องทำใจเย็น...อะไรก็ได้ที่ทำให้เธออยู่กับเขา “ผมขอโอกาสอีกสักครั้งนะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่เป็นการบังคับใจลินอีก ผมสัญญาจะถนอมน้ำใจเธอให้มากนะครับ”

เกษมถอนหายใจยาว มองหลานสองคนอย่างสงสาร แต่ยังไม่หายโกรธ หากน้ำตาจากดวงตาคู่เล็กๆ ทั้งสองคู่ก็เพียงพอให้เขาสงบใจลงได้บ้าง

“อยากทำอะไรก็ทำไป” เกษมตัดใจพูดขึ้นก่อนเดินออกไปจากห้อง

“หนูย้ายกลับมาอยู่บ้านช่วงนี้นะคะ” นลินถามพ่อขึ้น

เกษมหยุดแล้วก็พยักหน้าแต่ไม่หันมาคุยด้วย...หากนี่ก็เพียงพอให้เข้าใจได้

“ดีแล้วล่ะที่กลับมา ถ้าไปอยู่ที่อื่นพ่อก็จะยิ่งอารมณ์ไม่ดีน่ะ มาอยู่เสียด้วยกัน ขันธ์ด้วยนะ” ระรินบอกให้เข้าใจได้ แล้วค่อยหันไปหอมแก้มหลานชายในอ้อมแขน “ฝีมือหนูสองคนเลยนะเนี่ย”

นลินยิ้มแห้งๆ หันไปถามเขา “ว่าไงคะ กล้าไหม”

“มีอุปกรณ์ทำแผลไหมครับ” ขันธ์ถามขึ้น ก่อนเดินไปเอาของลงจากรถ

นลินส่ายหน้าก่อนหันมาหาแม่ “ดีเหรอคะ ให้เขาค้างที่นี่ พ่ออาจจะอารมณ์เสียก็ได้นะคะ”

“ไม่หรอกจ๊ะ พ่อจะได้พิจารณาว่าควรให้โอกาสเขาไหมไง” ระรินตอบ ก่อนวางหลานอีกคน แล้วอุ้มหลานอีกคน “น่ารักจริงๆ เลยหลานยาย”

ขันธ์ขนของของลูกชายเข้ามาก่อน แล้วมองเธอกับแม่คุยกัน ก่อนถาม “จะไปเก็บของกันเลยไหม ลิน ก่อนค่ำ”

“ฝากเจ้าตัวเล็กกับแม่ได้ไหมคะ” นลินหันมาถามแม่

“ได้แน่นอน ดีเสียอีก พ่อจะได้มีเวลาใกล้ชิดกับหลานๆ แล้วอาจจะใจเย็นขึ้นก็ได้นะ เชื่อแม่เถอะทุกอย่างต้องดีขึ้น” ระรินเชื่อว่าหลานชายทั้งสองคงช่วยให้สามีใจเย็นลง

“ขอบคุณค่ะ/ครับ” ทั้งสองรับพร้อมกัน ก่อนออกไปจากบ้าน เพื่อกลับมาอีกครั้ง

ระรินมองพานกรวยขอโทษที่วางอยู่ รู้ดีว่าสามียังทำใจไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าจะทำยังไงให้สามีสบายใจขึ้น จึงเดินเข้าไปหาอธิบายด้วยคำพูดอย่างใจเย็น

“คุณคะ เขาก็พยายามดูแลลูกกับหลานๆ ของเราอย่างดี คนหนุ่มสาวก็ทำอะไรผิดพลาดได้ แม้แต่เราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เราก็ยังผิดพลาดกันหลายอย่างนี่คะ สงสารหลานด้วย ถึงยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่เขาก็ต้องการทั้งพ่อและแม่ แล้วถ้ามันยังไม่ไหว เราค่อยว่ากันอีกทีนะคะ คุณ” ระรินสวมกอดสามีที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นอน

เกษมได้แต่ถอนใจ ก่อนแตะที่แขนภรรยาเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าตัวเล็กแฝดนั่นใครดูแลล่ะ”

ระรินนึกขึ้นได้หันไปมองทั้งสองคลานแข่งกันมาอยู่ตรงขาเก้าอี้นอน ก่อนแตะๆ ขาคุณตาเล่น แล้วเงยหน้ามองและเอียงคออย่างสงสัย

เกษมมองแล้วก็มองอีก ก่อนยื่นมือออกไปดูว่าเจ้าเด็กสองคนจะยอมให้อุ้มไหม แล้วเจ้าธรรม์ก็ใจง่ายยกแขนออกคนแรก ทำให้เขาต้องบ่น “ดูมันใจง่ายจริงๆ”

ระรินก็หัวเราะ ก่อนช่วยสามีอุ้มหลานขึ้นนั่งตักให้ถนัด “โธ่ คุณก็ หลานก็คงอยากให้คุณตาอุ้มนี่คะ”

“ก็ว่างั้น” เกษมมองเด็กน้อยแตะมือเล่น ก่อนโบกมือให้เจ้าแฝดที่กำลังถูกยายอุ้มอยู่ “ติดกันแจเลย”

ระรินจึงวางหลานอีกคนไว้ที่ตักสามีเพิ่ม แล้วก็ยิ้มให้ “หลานสองคน อุ้มกันจนเมื่อยเลยนะคะ อ๋อ แล้วเดี๋ยวทั้งลินทั้งขันธ์ก็จะค้างที่นี่นะคะ คุณ”

“อืม ได้ยินอยู่” เกษมมัวมองหลานสองคนแล้วก็บ่นอีก “เหมือนกันจริง คนไหนเป็นคนไหน จะรู้ได้ยังไง”

“อย่างน้อยเสื้อผ้าก็ไม่เหมือนกันค่ะ” ระรินบอกกับสามีแล้วก็แหย่เด็กทั้งสองที่สามีประคองเอาไว้ให้นั่งบนขาคนละข้างอย่างเอ็นดู

“แก่กันแล้วนะเราเนี่ย” เกษมพูดกับภรรยาด้วยความรัก

เมื่อนึกย้อนไปก็แต่งงานกันมากว่าสามสิบปีแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องให้ต้องห่วงลูกสาวคนเดียวอีก หากคงจะพูดอะไรมากไม่ได้นอกจากบอกว่าเป็นเรื่องของกรรมเวรที่ทำกันมา...คงอธิบายได้ง่ายที่สุดแล้ว

***************************************


เสียงขีดเขียนของเขาดังอยู่ในห้องทำงานของบ้านบนเกาะแมนฮัตตัน หลังจากลูกชายนั่งเล่นกับพี่เลี้ยงเด็ก นลินเดินมามองเขา ที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวและทำงานอย่างตั้งใจ ก่อนเอื้อมมือมาแตะไหล่เขา แล้วถามอย่างห่วงใย “งานยุ่งเหรอคะ”

“ก็นิดหน่อยน่ะ” ขันธ์ตอบขณะพิมพ์ข้อความลงในคอมพิวเตอร์

“แล้วไม่ทำงานที่ทำงานละคะ แบกมาก็เหนื่อยแย่” นลินบีบที่ไหล่เขาเบาๆ เมื่อเขาจับมือเธอบีบผ่อนคลาย “ว่างแล้วไปสปาร์สิคะ จะได้สบายตัว”

ขันธ์วางทุกอย่างลงแล้วรวบร่างอวบอ้วนมาไว้บนตัก แม้ทุลักทุเลแต่เขาก็ทำสำเร็จ “ไม่เป็นไร แค่ยกลินทุกวัน ให้ลินทุบให้ก็หายเมื่อยแล้วล่ะ รับรองว่าแข็งแรงแน่นอน”

นลินนิ่งคิด ก่อนถามขึ้น “อยากให้ลินผอมลงไหมคะ”

“ไม่ต้องก็ได้ ลินก็เป็นอย่างนี้แหละ จนกว่าจะสบายใจ อยากทำอะไรก็บอกเถอะ เดี๋ยวก็อึดอัดอีก” ขันธ์กอดเอาไว้แน่น แม้จะรอบวงแขนกว้างกว่าเดิมก็ตาม หากก็อบอุ่น

“ยังไงลินก็มีเวลาอยู่แล้ว ว่าแต่พี่อยากเสียเงินหรือเปล่าเท่านั้น เพราะถ้าให้ลินทำเองคงยาก” นลินถามขึ้นบ้าง

“อยากสิ จริงๆ พี่ไม่รังเกียจที่ลินอ้วนหรอกนะ แต่อยากให้ลินผอมอย่างมีสุขภาพดีอ่ะ กลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจ คราวก่อนพี่ตกใจแทบแย่นะ อย่างที่รู้กัน ความอ้วนทำให้มีปัญหาเกี่ยวความดันเรื่อง แล้วก็สุขภาพอีกเยอะ พี่เป็นห่วงด้วยล่ะ” ขันธ์ยิ้มก่อนชนแก้มกับเธออย่างพอใจ

แม้รู้สึกว่ากำลังใช้ชีวิตคู่กับเธอ แต่เขาก็ไม่รู้สึกอึดอัดอย่างที่เคยคิดไว้ในตอนแรก ซึ่งถ้าเขารู้ว่าจะมีความสุขแบบนี้ เขาคงเลือกจะสละโสดมานานแล้ว เพียงแต่ถ้าคิดอีกที...หากไม่ใช่นลินก็คงไม่เป็นแบบนี้อีกเช่นกัน

“ค่ะ” เธอโอบรอบคอเขา

“แล้วก็เป็นปัญหาเวลาโดนนั่งทับด้วยนะ” ขันธ์ยิ้มขำ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดมือไป

“งั้นก็ปล่อย ลินจะไปอยู่กับลูกจนกว่าลินจะผอมก็แล้วกันค่ะ” นลินบอกขณะพยายามลุกจากตักเขา แล้วก็หัวเราะเพราะเขาทำให้เธอจั๊กจี้ “พอค่ะ โอ๊ย”

“นี่แหละเด็กดื้อต้องเจอแบบนี้” ขันธ์ผ่อนคลายแล้วสนุกกับเธอให้มากขึ้น

พักหลังเขารู้สึกว่าทั้งเธอกับเขามีเรื่องต้องคิดมาก เรื่องที่ยังคาราคาซังก็ยังไม่ได้แก้ ต่างก็ทำเฉยเหมือนไม่อยากแตะต้องบาดแผล...ช่างเถอะ

“พอแล้วค่ะพอแล้ว” นลินต้องดิ้นรนให้รอดขณะที่ยังหัวเราะสนุกสนานไปกับเขา

ขันธ์รู้ว่าควรพอเมื่อไร เขาโอบกอดรอบเอวเธออีกครั้ง วางศีรษะลงที่ไหล่เธอ แล้วพ่นลมหายใจออกมา “รักจัง เวลารักใคร มันเป็นอย่างนี้เหรอ”

นลินเอียงคอสงสัย ก่อนมองเขา “ยังไงเหรอคะ”

“ก็เห็นแก่ตัวมากขึ้น อยากให้คนที่รักอยู่ใกล้มากขึ้น อยากกลับมาเห็นหน้าคนที่เรารักตลอดเวลา อยากพาเขาไปด้วย อยากอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมาย คนอื่นอาจไม่เป็นแต่พี่เป็นนะ อยากเห็นแก่ตัวมากขึ้น” ขันธ์พูดขณะกอดเธอเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น

หากเสียงโทรศัพท์เขาดังขึ้น นลินอยู่ใกล้จึงหยิบให้เขา ก่อนเห็นชื่อไมค์และนามสกุล “ออกไปเที่ยวบ้างนะคะ ยังไงเราก็ไม่ได้ห่างกันจริงๆ นี่นา”

ขันธ์รับมาแล้วส่ายหน้า ก่อนตบที่สะโพกเธอเบาๆ เป็นการหยอกล้อ และหัวเราะเมื่อเธอว่า ก่อนหันไปคุยกับเพื่อน “เออว่าไง”

“ตาบ้า” นลินลูบสะโพกที่ถูกเขาตี ก่อนเดินทำหน้างอนๆ ออกไปจากห้องอย่างไม่จริงจังนัก

ไมค์ได้ยินเสียงเธอก็ยิ้ม เมื่อเพื่อนกับเธออยู่ด้วยกันอีกครั้ง ถึงไม่ใช่เขาแต่ก็หวังให้เธอมีความสุข มากกว่าทนทุกข์อยู่อย่างนั้น แบบหาทางออกไม่เจอ อย่างน้อยเขาก็ยังมีโอกาสได้คุยกับเธอ

“ออกมาดื่มกัน พีทีบอกให้โทรหานายน่ะ” ไมค์บอกเพื่อน

“ไม่ว่ะ งานล้นมือยังเคลียร์ไม่เสร็จเลย” ขันธ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

งานเขาไม่เยอะเสียจนไปไม่ได้ หากดูเหมือนชีวิตกลางคืนจะไม่เป็นที่ต้องการของเขาอีกแล้ว ในเมื่อเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว

“ได้ไงวะ พีทีมันอยากเจอ อะไรกัน เพื่อนฝูงไม่คบแล้วหรือไง” ไมค์หัวเราะชอบใจที่เพื่อนเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือ แต่ก็ดีกับนลินที่น่ารักสำหรับเขา

“ชอบใจจริงนะ” ขันธ์ก็ต้องยอมรับว่าเขายังคิดถึงชีวิตกลางคืนบ้างบางครั้ง แต่พักหลังเขาใช้มันไปกับการออกสังคมและอยู่กับเธอ กับลูกฝาแฝดของเขา

“มาหน่อย พีทีมันบอกว่าคิดถึง ฮ่าๆๆ ตอนเมา” ไมค์หัวเราะเมื่อนึกถึงคำพูดเหมือนเกย์ของเพื่อน แต่แน่นอนว่า เพื่อนหนุ่มห้าคนในกลุ่มไม่มีใครเปนเกย์แน่นอน

“พูดซะหลอนตลอดเลย ติดนัดไว้ก่อนละกัน อีกยี่สิบนาทีต้องแต่งตัวออกบ้านไปงานเลี้ยงแล้ว” ขันธ์มองนาฬิกาแล้วต้องออกงานเลี้ยงเพียงลำพัง

สี่ชั่วโมงที่เขาต้องยืนอยู่บนสังคม...เป็นชั่วโมงแห่งความอ้างว้าง เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน คนที่แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน โลกที่นลินยังไม่พร้อมจะกลับไปเผชิญหน้า และเขาก็ไม่อาจร้องขอให้เธอไปยืน ณ จุดนั้นกับเขา

“ยังไม่แต่งตัวเหรอคะ เดี๋ยวออกสายนะ” นลินเดินเข้ามาเตือน พร้อมอุ้มลูกคนหนึ่งเอาไว้ ส่วนอีกคนก็พี่เลี้ยงช่วยอุ้ม

“ค่ำแล้วแต่งตัวลูกเหมือนจะไปไหนกันเลยนะ เดี๋ยวพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะ” ขันธ์มองลูกชายสองคนที่พยายามจะคลานเอง

ลูกชายวัยเจ็ดเดือนกว่าที่น่ารักของเขากำลังอยากรู้อยากเห็น...

“เปล่าค่ะ ก็น่ารักดีค่ะ ไว้ใกล้เข้านอนค่อยเปลี่ยนก็ได้ค่ะ” นลินหอมแก้มลูกในมือ ก่อนหันไปมองอีกคนที่จ้องเธอตาแป๋ว แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไปหอม เขาก็ก้าวเข้าไปอุ้มแล้วหอมแก้มเจ้าตัวน้อย

“เฮ้อ ต้องห่างกันอีกแล้วเจ้าหนู” ขันธ์อุ้มเจ้าตัวแสบน้อยๆ ที่พอคลานได้ก็พยายามจะคลานไปทั่วบ้าน แล้วยังป่วนพ่อบ้านได้อีก

คิดๆ แล้วพ่อแม่เขาก็คงไม่ลำบาก แต่ถ้าเป็นนลินเพียงลำพังละก็ เขาเชื่อว่าเธอคงปวดหัวแน่นอน ถ้าไม่วางคอกเด็กไว้ มีหวังอาเธอร์และพี่เลี้ยงได้เล่นซ่อนหาทั้งบ้านแน่ๆ ซึ่งก็ทำให้เขาต้องติดตั้งประตูกั้นบันไดบ้านไว้หมด ด้วยเกรงว่าเจ้าตัวเล็กจะฝึกคลานขึ้นลงบันได


***************************************
^^ มาแบบไม่ตอบใครแล้วจะโดนตีหัวไหมเนี่ย
รู้สึกว่าเรื่องนี้คุยเยอะมากไปแล้ว เฮ้อ เครียดมากๆ ค่ะ กับการแต่งเรื่องนี้
พอแต่งจบก็ว่าจะหลบไปเขียนอย่างอื่นดีกว่า
Y____Y มันเครียดนะเนี่ย
ไม่มีใครได้อย่างใจไปเสียทุกอย่าง
ไม่มีคำว่า "เห็นด้วย" จากทุกคนไปซะหมด
อย่างที่หลายท่านพูด "นานาจิตตัง" ละกันเนอะ
ไม่อยากเครียดแล้วค่ะ
(ตอบเม้นไม่ไหว มึนมากๆ พักผ่อนน้อย อากาศแย่ ไวรัสลงคอม ToT ปีคอมเลวร้ายค่ะ)
ไปงานหนังสือมาด้วยค่ะ เมาท์ๆ แล้วก็กลับ อิอิ หมดเงินไปหลาย
นิยายออกกันเยอะมากจนไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี แต่ก็หมดไปตั้งสามพันกว่าค่ะ
นิยายเทพจีนทั้งนั้น อิอิ จะหนีไปเขียนกำลังภายในแย้ว โฮะๆๆๆ
ขอบให้มีความสุขกับวันหยุดนะคะ แล้วจะมาโพสใหม่ในเร็ววัน
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ


Create Date : 21 ตุลาคม 2552
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 3:27:10 น. 2 comments
Counter : 392 Pageviews.

 
ชอบนิยายของคุณคะ ติดตามตั้งแต่เรื่องพาย แล้วคะ เป็นแนวที่แปลกใหม่ออกไป และตัวเองเห็นว่ามันใกล้กับชีวิตของคนเราจริง ๆ แต่งต่อไปนะคะ ชอบคะ ตอนนี้กำลังติดตามเรื่อง เราสามคน หนทางเดียวคะชอบคะแปลกใหม่ดี


โดย: pik IP: 202.28.48.217, 202.28.51.71 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:14:44:16 น.  

 
แวะมาทักทายค่ะ ยังไม่ได้ไปงานหนังสือเลย ไม่มีลิสต์รายกาย อิอิ หวังว่าคงไม่ต้องเสียเงิน


โดย: greentea IP: 125.24.207.156 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:15:01:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

เพลิงวารี
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ไหดองเหล็กไหล
New Comments
[Add เพลิงวารี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com