เพลิงวารี & คชสีห์ ฿ Babylonia
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
7 พฤศจิกายน 2552
 
 

เราสามคน...หนทางเดียว22(เด็กๆ)

เจ้าธารกำลังตั้งใจเดินและพยายามปีนรั้วคอกเด็กอย่างตื่นตาตื่นใจ พร้อมคู่แฝดวัยขวบสองเดือนที่สนใจหลายอย่าง พอไม่ได้ขัดใจก็ร้องโวยวายตามๆ กันไป

“จะเอาอะไรอีกล่ะ ปีนทำไม” พ่อเดินเข้ามาอุ้มลูกชายที่กำลังพยายามปีนรั้วคอกเด็ก แม้จะไม่ได้รับความยินยอมเท่าไร

เมื่อได้ยินเสียงพ่อ เจ้าธรรม์ที่กำลังปีนอีกด้านก็เดินมาทางพ่อ ก่อนเรียกพ่อ “ดาดา” แล้วอ้าแขนสองข้างเพื่อให้อุ้มด้วยอีกคน

“มานี่ พ่ออยู่ทางนี้ต่างหาก” พ่ออีกคนก็เดินเข้ามาเรียกเขา

ธรรม์ก็หันไปมองตามเสียงแล้วงง แต่ก็เรียก “ดาดา” แล้วอ้าแขนสองข้างหันไปทางนั้น

“พ่ออยู่ทางนี้ต่างหาก” เขตต์เรียกลูกให้หันมามองเขาที่กำลังอุ้มธารอยู่

ธรรม์ก็หันไปมองแล้วเดินไปหา ก่อนถูกพ่ออีกคนเรียก “อ้าว จะไปไหน พ่ออยู่ทางนี้”

ทีนี้เจ้าธรรม์นั่งแล้วหันมองสองทาง อย่างงุนงง ก่อนมองไปตามเสียงประตู “มามา”

นลินมองพ่อสองคนแกล้งลูกอีกแล้ว จึงส่ายหน้า ก่อนมองขันธ์เดินเข้าไปอุ้มลูก “พวกพี่นี่แกล้งลูกอีกแล้ว ลูกยิ่งงงๆ อยู่”

“ก็ลูกมันน่ารักนี่” ขันธ์หอมแก้มธรรม์ที่มองพ่ออีกคนที่อีกฝั่งของเก้าอี้ยาวแบบสงสัย

“เดี๋ยวลูกก็ยิ่งสับสนหรอกค่ะ” นลินบอกก่อนมองลูกสองคนมองหน้าพ่อที่อุ้ม กับพ่อที่กำลังนั่งฝั่งตรงข้ามสลับไปมา แล้วสักพัก พ่อสองคนก็สลับกันยกมือขึ้นลูบผมลูกที่อยู่กับคู่แฝดตน

“เฮ้อ พอค่ะ ไว้ลูกโตกว่านี้ค่อยว่ากันอีกที” นลินรีบบอกให้พ่อๆ หยุดแกล้งลูก

“แหม ลูกไม่สับสนหรอก ดูสิ ลูกก็มีคู่แฝดเหมือนกัน ใช่ไหมเขตต์” ขันธ์หัวเราะเบาๆ กับคู่แฝดเขา

“นั่นสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย มีพ่อสองคนดีออก จะได้ไม่ต้องแย่งกันไง ไว้โตขึ้นก็ค่อยแย่งแม่กัน ทีนี้คงสนุก แย่งแม่ทีเดียวสี่คนเลย” เขตต์พูดแล้วก็ยิ่งหัวเราะกับขันธ์ ดูเหมือนคนลำบากจะเป็นนลิน

“บ้าจังพวกพี่เนี่ย ลูกไม่ค่อยได้ส่องกระจกก็จำไม่ได้หรอกค่ะว่าหน้าเหมือนกัน เด็กลืมเร็วจะตายไป ปล่อยให้ไปเดินในคอกเถอะค่ะ” นลินเห็นลูกจ้องพ่อสองคนสลับไปมาไม่วางตา ก็ต้องบอกให้พวกเขาหยุดแกล้งลูกสักที

“งั้นต้องทำให้ชิน” ขันธ์กับเขตต์ก็พาลูกไปยืนหน้ากระจกบานใหญ่ แล้วชี้ให้มอง

ทีนี้เจอคู่เหมือนเยอะไปอีก เจอพ่อสี่คน เจอพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันถึงสี่คน เจ้าแฝดน้อยก็ร้องไห้จ้า เพราะตกใจทำให้พ่อทั้งสองต้องรีบปลอบ

“สมน้ำหน้า ดูสิ ทำลูกร้องไห้เลย เพราะงั้นก็ปลอบให้เงียบเอาเองนะคะ” นลินปล่อยให้พ่อๆ รับมือ ส่วนเธอก็ลงไปเตรียมอาหารสำหรับเด็กๆ ในห้องครัวแทน โดยไม่รอให้พี่เลี้ยงซึ่งพักอยู่ยกขึ้นมาให้

“โอ๋ๆๆ พ่อขอโทษลูก” ขันธ์ต้องพาลูกไปให้ห่างจากกระจก และคู่แฝดของเขากับคู่แฝดของลูก เพราะยิ่งใกล้กันก็ยิ่งร้องไห้ใหญ่แล้วเกาะพ่อแน่น

เขตต์ก็เช่นกัน พาลูกถอยออกไปปลอบให้ห่าง “โอ๋ๆๆ เงียบนะครับ ไม่มีอะไรแล้วครับ พ่ออยู่นี่แล้ว”

พ่อสองคนก็เลยหัวปั่นแทน ขณะที่เด็กๆ ทั้งสองก็ค่อยๆ หยุดร้องแล้วกอดคอพ่อแน่น โดยไม่ได้เห็นพ่อสองคนที่หันมาสบตากันหน้าเจื่อน

จากนั้นก็พยักพเยิดให้ออกไปทีละคน ก่อนที่ลูกๆ จะสับสนมากไปกว่านี้ ถ้าเป็นเด็กเล็กมาก ทั้งสองก็คงไม่สับสนเท่าไร แต่เพราะยังโตไม่พอที่จะเข้าใจและรู้เรื่อง จึงต้องตื่นกลัวเป็นธรรมดา

แล้วก็มาดักรอแม่ของลูกที่หน้าห้อง ขณะที่นลินเดินกลับมาพร้อมถาดอาหาร หลังจากบอกให้พี่เลี้ยงมาดูลูกๆ ก่อน ด้วยคาดว่าพ่อทั้งสองคงป่วนไปแล้ว

“ยิ้มอารมณ์ดีเชียวนะ” ขันธ์แซวเธอที่เห็นเธออมยิ้มมาแต่ไกล

“ก็สะใจนี่คะ เห็นผู้ใหญ่ถูกเด็กเอาซะอยู่หมัดเลย” นลินยังคงรอยิ้มเอาไว้อย่างชัดเจน

“แล้วนี่เมื่อไรลูกจะชินสักทีล่ะ” เขตต์ออกจะกังวลกลัวลูกไม่ให้เข้าใกล้

“คิดมากจัง ถ้าไม่แกล้งเขา เขาก็ไม่ตกใจกลัวหรอกค่ะ ไปเถอะ หนีออกมาแบบนี้เดี๋ยวพอดีก็ไม่ชิน” นลินรีบบอกให้คนรักทั้งสองเข้าไปในห้อง

เขตต์จึงรับถาดอาหารมาถือไว้ แล้วเดินนำเธอเข้าไป ก่อนมองเธอนั่งลงข้างๆ ลูก แล้วอุ้มไว้คนละข้าง จากนั้นก็บอกให้พ่อทั้งสองนั่งลงตรงหน้าลูกๆ

“นี่คือพ่อของหนูทั้งสองคนนะ มีสองคนเหมือนหนูเลย” นลินค่อยๆ อธิบายให้ลูกฟัง แต่จ้าตัวเล็กยังสับสน เพราะถูกแกล้งมาแล้วหลายครั้ง “พี่สองคนจับมือลูกคนละข้างสิคะ หมายถึงทีละคนค่ะ”

นลินปล่อยธารลงนั่งอมนิ้วกับพื้นเบาะ ก่อนอุ้มธรรม์มาคลายความฉงนคนแรก แต่ธารก็ไม่อยู่เฉยๆ คลานกึ่งเดินมาจับขาของพ่อคนละข้าง แล้วตีเบาๆ ก่อนมองหน้าทั้งสองคนอีกครั้งให้แน่ใจว่าคนละคนกัน

“ดาดา” ธรรม์ที่กำลังแกว่งมือเล่นก็ชี้ไปทางพ่อคนนึงแล้วเรียก ก่อนหันไปมองพ่ออีกคนแล้วเอียงคอสงสัย

“ปาปาจ๊ะ” นลินบอกให้ลูกเรียกเขตต์แบบนั้น

“ปาปา” ธรรม์ชี้เขตต์แล้วเรียก ก่อนหันมาชี้แม่แล้วเรียก “มามา”

ทำให้พ่อแม่ทั้งสามหัวเราะ ก่อนขันธ์ดึงเจ้าตัวเล็กมาอุ้ม “เก่งมากลูก เก่งที่สุด น่ารักที่สุดเลยลูกพ่อ”

“โอ๋หนูก็เก่งลูก แต่ทำไมธารถึงไม่ค่อยพูดเลยล่ะ” เขตต์อุ้มธารที่พยายามปีนมานั่งตักเขาขึ้นมาหอมแก้ม

“ก็เขาไม่ชอบพูดนี่คะ แต่เขาพูดได้นะ ดูนี่ค่ะ ธารลูก เรียกมามาหน่อยลูก” นลินแหย่ลูกสักพัก เจ้าธารก็เรียกตามนั้น ก่อนทำตามที่บอกให้เรียกพ่อทั้งสองแตกต่างกัน

“เฮ้อ แล้วนี่พรุ่งนี้ต้องอธิบายใหม่ไหมเนี่ย” ขันธ์ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ก็จนกว่าจะจำได้นั่นแหละค่ะ เด็กลืมง่ายจะตาย คิดแล้วก็อยากเป็นเด็กอีก เผื่อจะลืมอะไรได้ง่ายๆ บ้าง” นลินเปรยๆ ออกมาอย่างไม่จริงจังนัก

ขันธ์ที่นั่งใกล้กว่าก็เอื้อมมืออีกข้างที่ว่างอยู่โอบเอวเธอเบาๆ “เอาน่า โตแล้วก็โตเลย เดี๋ยวลินเป็นเด็ก พวกพี่ก็โดนข้อหาพรากผู้เยาว์น่ะสิ จริงไหม เขตต์”

เขตต์มองความสนิทสนมของนลินกับคู่แฝดอยู่อย่างเงียบๆ เขาต้องคอยบอกตัวเองเสมอว่าให้ใจกว้างและใจเย็นขึ้น ช่วยไม่ได้ที่เขาเป็นคนทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้

ขันธ์ดูจะเข้าใจไม่แตกต่างจากนลิน จึงตบไหล่คู่แฝดเบาๆ ก่อนส่ายหน้าไม่ให้คิดมาก เพราะไม่อยากให้วันหยุดนี้เป็นวันที่น่าเสียดาย

“อืม เดี๋ยวเราไปนั่งในสวนกันดีไหมคะ อากาศดีแล้วก็อบอุ่นด้วย ถือโอกาสปิ๊กนิคกันในบ้านตามประสาครอบครัวไงคะ” นลินรีบชวนเผื่อบรรยากาศยังดีขึ้น

“ดีเลย บ้านเราสวนออกกว้าง แถมเขตต์ยังออกแบบมาเสียดิบดี” ขันธ์เห็นด้วยทันที ก่อนมองนลินป้อนอาหารให้กับลูกๆ ที่อยู่บนตักพวกเขา แต่ก็ยังต้องเอาของเล่นเข้าล่ออยู่ดี

เมื่อทานเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่พ่อแม่จะได้พักผ่อนบ้าน นลินปล่อยให้คนอื่นๆ เดินนำ ก่อนเดินเข้ามากอดแขนเขตต์แล้วซบพิง “อย่าคิดมากนะคะ”

เขตต์มองเธอแล้วยิ้มออก เพราะเขาทำใจอยู่แล้วว่าจะต้องเจออะไร “พี่เข้าใจ ขันธ์ก็คงรู้สึกแบบเดียวกับพี่เวลาที่พี่อยู่กับลินแบบนี้”

นลินมองตามท่าทางที่เขาสื่อ เห็นขันธ์มองมาเช่นกันก็ยิ้มขำ “แหม ก็นะ จะให้ทำไงได้ ลินเนี่ยเนื้อหอมจริงๆ ทั้งเด็กเล็ก เด็กโข่งอยากให้ลินเอาใจทั้งนั้น”

เขตต์มองเธอโน้มไปหอมแก้มลูกที่เขากำลังอุ้มอย่างเอ็นดู ก่อนก้มลงแล้วหันแก้มให้เธอบ้าง “หอมเด็กโข่งมั่งสิ”

“แก้มไม่หอมเหมือนเด็กเล็กก็ไม่รู้จะหอมทำไมสิคะ” นลินแกล้งเล่นแง่แล้วเดินเร็วขึ้นและก็รู้ว่าเขาจะต้องเดินตามมาจนทัน เธอจึงหันไปหอมแก้มเขาเบาๆ แล้วรีบเดินไปหอมแก้มจนครบทั้งสี่คน เด็กเต็มบ้าน เด็กเล็ก เด็กโข่ง

ขันธ์มองเธอชี้ลูกๆกับเขตต์ พอเธอชี้มาที่เขา เขาก็งับนิ้วเธอไว้ เพราะมือสองข้างอุ้มลูกอยู่ “นี่ก็เด็กเจ้าเล่ห์”

“ชิ มาว่าลิน” นลินแกล้งทำหน้างอแบบงอนๆ แต่ก็น่ารักได้ในแบบของเธอ

เธอมีหลากหลายสีหน้า เพียงเพราะความสับสนวุ่นวายทำให้เธอลืมไปว่าเธอเคยทำตัวน่ารักแค่ไหน และหลายครั้งที่เธอเกรงว่ายิ่งทำไปมากเท่าไร ก็ยิ่งรักมากเท่านั้น

นี่คือบทเรียนราคาแพงที่เธอได้จากรักครั้งเก่าก่อนเจอเขตต์...

*******************************************


สายลมที่โบกพัด เจ้าเด็กน้อยก็เดินเล่นและนั่งเล่นอยู่บนเสื่อ โดยมีพี่เลี้ยงมองอยู่ห่างๆ ขณะที่พ่อแม่ต่างก็ล้มลงนอนพักกายและใจจากชีวิตผู้ใหญ่ที่แสนวุ่นวาย

นลินนอนพักอยู่ตรงกลางระหว่างคู่แฝดตัวโต และกำลังมองกิ่งไม้ใหญ่กำลังโยกไปมาตามกระแสลมอ่อน ก่อนหันไปมองเขาที่กำลังพลิกตัวหันมาทางเธอ

“ลินมองอะไรอยู่” เขตต์ถามขึ้นเมื่อเห็นเธอมองตรงไปที่ต้นไม้

“ก็มองไปเรื่อยๆ แหละค่ะ” นลินตอบก่อนลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองลูกๆ ที่กำลังเดินเล่นด้วยกัน

สองเดือนแล้วที่นลินไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เธอแบบชิดใกล้เพียงลำพัง เธอยังคิดไม่ตกและยอมรับในสถานะที่เป็นไม่ได้ ซึ่งดูเหมือนว่าแฝดหนุ่มทั้งสองจะปล่อยให้เธอได้ทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

การจะเปลี่ยนความคิดที่ฝังรากหยั่งลึกมาของแต่ละคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก พวกเขาเป็นผู้ชายทำใจได้เร็วกว่า อีกทั้งยังเติมโตในสังคมที่เปิดกว้างกว่า

ขันธ์มองเธอนั่งพิงต้นไม้ ในสายตามีแต่ลูกๆ ก็พอเข้าใจ บางอย่างที่เก็บกดในความคิดเธอแสดงออกชัดเจน เขาจึงเอื้อมมือไปวางที่มือเธอ ก่อนพูดขึ้น “คิดมากอีกหรือเปล่าเนี่ย”

เธอถอนหายใจช้าๆ ก่อนยอมรับออกมาตามตรง “ก็ต้องคิดบ้างค่ะ ถึงจะพยายามไม่คิด แต่เรื่องแบบนี้มันหยุดคิดยาก การจะเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเราเองเชื่อมาตลอดมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

“พี่เข้าใจ แต่ก็อยากปลอบให้ลินอย่าคิดมาก พี่ไม่อยากให้ลินเครียด เพราะทุกครั้งที่เครียดลินจะไม่สบายได้ง่ายๆ” เขตต์สังเกตเห็นสิ่งที่เขามองข้ามมาตลอด เขาเรียนรู้จะใส่ใจเธอมากขึ้นเช่นเดิมกับตอนแรกเริ่ม

ความรักถ้าเกิดขึ้นแล้วไม่มีวันเก่า...แต่เกิดแล้วหรือยังและลืมไปแล้วหรือยังว่ายังรักกันอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องถามตัวเองและพยายามตอบตัวเองให้ได้ ก่อนจะบอกตัวเองว่ารักใครสักคน

ขันธ์มองเธออย่างเงียบๆ ก่อนทิ้งตัวลงนอนมองท้องฟ้า เขาได้เรียนรู้หลายอย่างจากความรักครั้งนี้ ความรักทำให้เราเห็นแก่ตัวได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้เราใจกว้างเพื่อคนที่เรารักได้เหมือนกัน

เขตต์ยังคงมองนลินอยู่เช่นเดิม เมื่อก่อนเขาเฝ้าถามตัวเอง เพราะอะไรจึงไม่สามารถตัดใจจากผู้หญิงคนนี้ได้ คำตอบนั้นมีร้อยแปด แต่ไม่เคยทำให้ความรักจืดจาง คงเพราะเขายังไม่เจอคำตอบที่ถูกต้อง หรือเขาอาจไม่ต้องการคำตอบที่ถูกต้องก็เป็นได้

นลินคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนนึกสนุกลุกไปเล่นไล่จับกับลูกๆ หยอกให้ลูกวิ่งเข้าหา แล้วถอยบ้างหลบบ้าง ปล่อยให้จับได้บ้าง เจ้าตัวเล็กก็เดินเตาะแตะเข้าหาแม่อย่างสนุกสนาน

เขตต์มองอย่างเพลิดเพลินก่อนหันไปมองคู่แฝดที่มองเธออย่างหลงใหล “ถามจริงๆ เถอะ ทำไมนายถึงปล่อยให้ฉันกลับมาอีก ทั้งที่เคยไล่ฉัน”

ขันธ์ละสายตาแล้วหันมามองคู่แฝดเขาก่อนตอบ “ฉันมีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่ฉันรัก แล้วทำไมลินจะอยู่กับคนที่ลินรักไม่ได้ แล้วบังเอิญคนคนนั้นเป็นนาย ฉันพอทำใจได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่คิดว่าทำใจได้หรอก ลินรักนายและลินก็รักฉัน และฉันก็รักนาย”

“ใช่ฉันรักลิน” เขตต์มองเธอเล่นกับลูกๆ ก่อนถอนหายใจ “แต่ฉันกลัวลินคิดมาก”

“ฉันรู้ว่าลินต้องคิดมาก แต่ฉันก็รู้ว่าเราสามารถทำให้ลินคุ้นเคยและยอมรับได้ ลินจะสบายใจกว่าถ้าไม่มีเราคนใดคนหนึ่งสร้างปัญหาให้กับเธอ ถ้าปัญหามาจากภายนอก ลินพร้อมจะสู้ได้อย่างเต็มที่ แต่สังเกตสิว่า พอฉันหรือนายสร้างปัญหา ลินกดดันและเครียดมาก นั่นเพราะลินรักพวกเรามากยังไงล่ะ เพราะงั้นอย่าสร้างปัญหาให้ลินอีก” ขันธ์อธิบายพร้อมเตือน

“ฉันต้องยอมรับว่ามันกล้ำกลืนจริงๆ กับสภาพนี้ แต่ฟังนายพูดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นายจะเปลี่ยนไปมากอย่างนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนายคงยักไหล่แล้วก็บอกฉันว่า สนุกกับมันแล้วอย่าไปสนใจมัน” เขตต์พูดแล้วก็หัวเราะ

“ใครไม่เคยรักก็พูดได้หมดแหละ พอรักไปแล้วอะไรก็ยอม พอหมดความอดทนก็หมดรัก มันเป็นวัฏจักรที่เราจะปฏิเสธไม่ได้ แต่ถ้ารักแล้วใครจะสนล่ะ ที่แน่ใจก็คือ ฉันจะไม่มีวันหมดรักลิน” ขันธ์ยังคงสายตาไปที่เธอกับลูก

นลินล้มลงให้ลูกล้มทับ กอดกันบนพื้นหญ้า หอมแก้มและจูบกันอย่างแสนรัก เจ้าตัวเล็กเดินไม่คล่องนักแต่ก็พยายามเดินกันทุกวันจนต้องคอยดูไว้ตลอดเวลา

“การที่ได้อยู่กับคนที่เรารักทำให้เรามีความสุขแบบนี้นี่เอง ฉันไม่น่าโง่ตั้งนาน ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมนายจึงยอมแลกทุกอย่าง เพื่อให้ได้อยู่กับพวกเขา ฉันรู้ว่าไม่ใช่แต่ลินที่ทำให้นายเปลี่ยนไป แต่ลูกๆ ด้วยสินะ” เขตต์ถามขึ้นและมั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิด

“สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เราต้องตระหนักและรับผิดชอบให้มาก พวกเขาบริสุทธิ์และเติบโตขึ้นมาทีละนิด รู้อะไรไหม โชคดีที่ครอบครัวเขาไม่ออกงานบ่อยอย่างครอบครัวอื่น เราอยู่กันอย่างเงียบๆ มานาน นี่ก็คือข้อดี เมื่อเราทำงาน เราเต็มที่กับงาน เมื่อเราอยู่บ้าน เราเต็มที่กับบ้าน พ่อแม่เราช่างดีจริงๆ ที่พวกเขาแบ่งเวลาให้พวกเราได้ในเวลาที่ต้องต่อสู้กับธุรกิจ” ขันธ์พูดเรื่องที่ไม่เคยพูดกับน้องชาย เหมือนระยะห่างที่เคยมีต่อกันขยับเข้าใกล้มากขึ้น

ไม่ใช่คู่แฝดทุกคู่จะมีความใกล้ชิดกัน...แต่อย่างน้อยก็มีสายสัมพันธ์ที่แตกต่างออกไป

“รู้ไหมการอยู่ด้วยกันก็ดีเหมือนกันนะ มันทำให้เราลดกำแพงลง แล้วยอมรับอีกคนมากขึ้น ว่าแต่ลินดูจะเกร็งๆ อยู่นะ นายว่าไหม” เขตต์ถามขึ้นและทำให้คู่แฝดเขาหัวเราะ

“ระแวงน่ะสิ กลัวว่าจะยอมเผลอใจให้...ไม่ฉันหรือนายไง ฮ่าๆ ผู้หญิงคนนี้คิดลึกนะเนี่ย” ขันธ์คิดอย่างขำๆ

เขตต์ทำหน้าเซ็งกับความคิดคู่แฝดแม้จะยอมรับ “ผู้หญิงจะคิดมากเรื่องนี้ก็ไม่แปลก ให้เวลาเขาหน่อยเถอะ”

“ก็ให้ไง ถึงไม่พยายามทำอะไรไง อดทนเข้าไว้ ใจเย็นๆ จะสนุกกว่านะ” ขันธ์พูดแล้วก็หัวเราะ

“นายนี่มันจริงๆ เลย เปลี่ยนไปมากนะ เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” เขตต์ส่ายหน้ากับคู่แฝดเขา ขณะที่เขาก็มองเธอแบบเดียวกัน

“ไม่เปลี่ยนก็คงไม่ได้ ใครให้มีเมียคนเดียวกับนาย แต่รู้อะไรไหม การที่เรามีเมียคนเดียวก็มีข้อดีนะ ช่วยกันดูแลลูกเมีย ได้แบ่งปันความสุขให้กันและกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องห่วง เพราะมีใครคนใดคนหนึ่งคอยดูแลเธอกับลูกเสมอ” ขันธ์นึกถึงแต่ข้อดีของการอยู่ร่วมกัน เพราะคงเปลี่ยนความจริงข้อนี้ยาก

“ฉันจะดูแลพวกเราให้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงฉันจะไม่พยายามก่อเรื่อง เฮ้อ แต่นายว่าเราจะทำสำเร็จไหม คือพ่อแม่ของเราจะยอมรับได้เหรอ ถ้าไม่ ลินก็คงคิดมากอยู่ดี” เขตต์ยังกังวลใจอยู่มาก เพราะสิ่งที่เขาเคยทำนั้นทำร้ายเธอมากเหลือเกิน

“เรื่องนี้เราก็ปล่อยไปก่อนนะ พ่อแม่เราน่ะรู้เรื่องได้ แต่พ่อแม่ลิน เราคงบอกอะไรมากไม่ได้หรอก” ขันธ์คิดเรื่องนี้หลายรอบอย่างหนักใจ

“นายควรจะเป็นคนที่ได้จดทะเบียนสมรสกับลินนะ เพราะยังไงก็จะทำให้พ่อแม่ลินเข้าใจได้ง่ายกว่า ทำหน้าแปลกใจทำไม ฉันพูดจริงๆ ฉันยอมรับได้นะ เพราะมันไม่สำคัญหรอก มันอยู่ที่การปฏิบัติต่างหากล่ะ” เขตต์ยอมรับแต่โดยดี หากเขาดื้อรั้นก็รังแต่จะทำให้เขาต้องห่างเหินจากเธอ

ขันธ์มองคู่แฝดอยู่พักหนึ่ง ก่อนยอมรับความจริง “นายก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนอะไรก็ต้องได้”

“เอาเป็นว่าฉันโตขึ้น เห็นลินเลี้ยงลูกๆ แล้วรู้สึกว่าลินต้องการการดูแลมากๆ และลูกๆ ก็ต้องการให้เราคอยช่วยดูแล” เขตต์ยังคงสายตาที่เธอกับลูกๆ ก่อนลุกขึ้น เมื่อเธออุ้มเจ้าตัวเล็กทั้งสองคนเดินมา “พี่ช่วยดีกว่า”

ต่อให้เหนื่อยสักแค่ไหน ถ้ายังมีหัวใจไว้รักใครสักคน กลับทำให้ร่างกายและจิตใจเข้มแข็งได้ แต่เมื่อไรหมดสิ้นความหวังกับหัวใจที่ว่างเปล่า ต่อให้ไม่ได้ทำอะไร กลับรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เหนื่อยเหลือเกิน

ขันธ์นั่งมองทุกอย่างก่อนเธอวางเจ้าตัวเล็กใส่เขา “อะไรเนี่ย”

“ลูกพี่สิ จะโดดลงไปเล่นน้ำ ลินก็เลยต้องจับมาให้พ่อทั้งสองอบรม ซนจริงๆ เดินได้หน่อยเดียวนะเนี่ย” นลินหอบหายใจก่อนนั่งลงบนเสื่อ

“แล้วทำไมต้องอุ้มพร้อมกันทั้งสองคนหนักจะตาย” เขตต์เป็นห่วงเธอมากกว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ ลินแข็งแรงดีแล้ว” นลินยิ้มตาหยี หากถามว่าทำไมเธออารมณ์ดีได้แบบนี้ คงเพราะสบายใจที่ได้เห็นพวกเขา...พวกเขาทั้งสี่คนที่ต่างวัยแต่เข้ากันได้ดี

“เปล่า เขตต์กลัวว่าลินจะทำลูกตกต่างหากล่ะ ใครเขาห่วงลินกัน” ขันธ์หัวเราะที่ทำให้เธอหันมาค้อนได้ ก่อนหอมแก้มเจ้าตัวซนใกล้มือเบาๆ “จะไปไหน แม่กลัวจะตกน้ำจะแย่อยู่แล้ว”

“ซนเหมือนพ่อเลย” ลินหันไปว่าเขามากกว่าว่าลูก เพราะเธอเอ็นดูลูกมากกว่าเอ็นดูพ่อ

“ลินว่านายอีกแหนะ เขตต์” ขันธ์โบ้ยไปให้คู่แฝดเขา

เขตต์หัวเราะเบาๆ และตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก “นายนี่เหลือเกิน ยั่วโมโหลินวันละร้อยรอบ”

“ก็ลินน่ารักนี่” ขันธ์ดึงมือลินมาหอม

“บ้า” ลินบ่นอย่างเขินๆ ก่อนถูกเขตต์โน้มมาหอมแก้มแล้วต้องหลบ เมื่อลินอายแล้วยกมือขึ้นจะตีเขา “พี่สองคนนี่ อายคนอื่นมั่ง”

“คิดมาก คนในบ้านนี้ก็รู้เรื่องพวกเราหมดแหละ แต่ไม่ต้องห่วง จะไม่มีใครเอาไปพูดให้ลินเสียหายหรอก ถ้ามันเกิดขึ้น พี่จะจัดการขั้นเด็ดขาดเลยจริงๆ” ขันธ์ให้ความมั่นใจกับเธอ พร้อมสายตาแวววับ

เขาพร้อมที่จะปกป้องครอบครัวของเขา ไม่ว่าจะต้องทำอะไรลงไปก็ตาม

“ใช่ พวกพี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เราอยู่ร่วมกันได้โดยที่ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย ลินก็อย่าคิดมากนะ” เขตต์จูบเรือนผมเธอเบาๆ อย่างทะนุถนอม แต่เจ้าตัวเล็กกลับจ้องเขม็ง เขาจึงก้มลงหอมแก้มเจ้าตัวเล็กอีกคน “แหมน่าจะบอกดีๆ พ่อจะหอมแก้ม”

ทั้งสามคนก็หัวเราะกับความขี้อ้อนของเจ้าตัวเล็ก พอคนหนึ่งได้หอม อีกคนก็ตะกายร่างพ่อที่กำลังกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่ ก่อนจะกอดพ่อตัวโตแล้วโยกเล่น

“ซนจริงๆ เจ้าธรรม์เนี่ย” ขันธ์จึงหอมลูกเบาๆ แต่เจ้าตัวเล็กขัดขืนแล้วก็ยังโยกเข่าอย่างสนุกสนาน ก่อนหัวเราะเมื่อพ่อลุกขึ้นมาไล่จับ “อย่าหนีนะ”

เสียงหัวเราะของเจ้าตัวเล็กดังขึ้น เมื่อได้เล่นหลบไปหลบมากับพ่อ ซึ่งปล่อยให้ลูกเข้าใจว่าหลบได้ไวและพ้น ทำให้นลินกับเขตต์ได้แต่ยิ้มเอ็นดูเจ้าตัวเล็ก ขณะที่ธารกลับชอบนั่งตักพ่อแล้วหันรีหันขวางหาของกินมากกว่า

“หิวแล้วเหรอเจ้าตัวเล็ก วิ่งเล่นนิดเดียวก็หิวแล้วเหรอครับ มามะ พ่อจะป้อนขนมนะ” เขตต์คว้าตะกร้า ก่อนหยิบผลไม้ปอกแล้วออกมาป้อนลูกชายบนตัก

นลินได้แต่มองทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความสุขเล็กๆ ที่ได้เห็นครอบครัวมีความสุข ช่างทำให้เธอปลาบปลื้มมากขึ้น มันคุ้มค่าที่ได้เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันในเวลานี้

บางครั้งอนาคตก็ให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะ...ตอนนี้ขอเพียงตักตวงความสุขเล็กๆ จากช่วงเวลานี้ก็เพียงพอ

คนเรามักคิดถึงแต่สิ่งที่ยังมาไม่ถึง...โดยมองข้ามสิ่งที่มีอยู่ หากตอนนี้นลินขอรักษาสิ่งที่มีอยู่เพื่อความสุขในปัจจุบันดีกว่าความสงสัยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเจอคำตอบ

ถ้าเด็กๆ จะเติบโตโดยมีพ่อถึงสองคน ที่ทั้งรักและดูแลพวกเขาอย่างดีเยี่ยม เธอไม่คิดว่าควรจะมีปัญหาอะไรให้กังวลอีก และเชื่อแน่ว่าพวกเธอสามารถสอนลูกให้เข้าใจทุกสิ่งได้

ในเมื่อพวกเขาเป็นลูกของพวกเธอ...คาดว่าคงไม่ยากถ้าจะชี้ให้เขาเห็นว่าความแตกต่างนั้นไม่ใช่สิ่งผิดปกติเลย

*******************************************


นลินมองห้องนอนที่ตอนนี้กลายเป็นที่นอนสำหรับคนสามคน สองเดือนที่ผ่านมาอาจเริ่มต้นด้วยการนอนไม่หลับ ก่อนหลับสบายเมื่อได้ยินเสียงขยับจากคนใดคนหนึ่ง

“จะจ้องพี่อีกนานไหมเนี่ย เขตต์ไปไหนแล้ว” ขันธ์ขยับวางหนังสือที่เขาอ่านค้างก่อนพักสายตา แล้วก็ยิ้มออกเมื่อเห็นเธอยืนมองเขา “มานี่มา ง่วงแล้วก็นอน”

นลินยังไม่ขยับ และยังคงมองเขาอยู่ทำให้เขาเริ่มงง

“อะไรน่ะ ลิน พี่ทำอะไรผิดปกติหรือเปล่า” ขันธ์ขยับนั่งแล้วยกมือขึ้นลูบหน้า

“เปล่าค่ะ ลินอยากแน่ใจว่าเราอยู่กันได้จริงๆ ลินอยากแน่ใจว่าเราตัดสินใจไม่ผิดพลาด” นลินบอกก่อนขึ้นไปบนเตียง แล้วดึงหมอนมากอดเอาไว้แล้วนอนคว่ำ

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะที่รัก” ขันธ์พลิกตัวนอนคว่ำ แล้วกอดเธอเอาไว้ ก่อนซบพิงศีรษะเข้าหากัน

เสียงเปิดประตูเขามาพร้อมอาการชะงัก ทำให้อีกสองคนต้องหันไปมอง

“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้น มาดิ” ขันธ์เรียกคู่แฝดและพยายามละเลยท่าทางของคู่แฝด

“เปล่าหรอก แค่ยังไม่คุ้น เดี๋ยวก็คงคุ้นแหละ” เขตต์ขยับมานอนอีกข้างแล้วนอนคว่ำแบบเดียวกัน ก่อนวางคอลงบนหมอน ก่อนหันไปหอมแก้มเธอเบาๆ “หอมจัง”

“นายช่วยหวานกับลินให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหม” ขันธ์แกล้งออกแรงผลักนลินให้ไปผลักน้องชายเขา

“พวกพี่แหละพอเลย เลิกแหย่ลินสักทีสิ” นลินยกมือขึ้นผลักทั้งสองคนออกไปให้ห่าง แล้วพลิกตัวขึ้นนอนมองเพดานแทน

“ก็รักนี่ถึงได้แหย่” ขันธ์ขยับตะแคงแล้วมองเธอ ก่อนมองคู่แฝดแล้วเอื้อมมือไปกอดเธอคนละข้างพร้อมกัน จากนั้นก็ชวนกันหลับแบบไร้คำพูด

นลินวางมือลงบนมือพวกเขา ก่อนหลับตานอน ถ้าจะเป็นคนไร้สติ เธอก็ขอเป็นในเวลาแบบนี้ อย่างน้อยเธอก็ยังเก็บเกี่ยวความสุขยามอยู่ร่วมกันได้

*******************************************


เสียงร้องดังขึ้นจากลำโพงเล็กๆ ที่นลินวางไว้บนหัวเตียง จากหนึ่งก็เป็นสองเสียงทำให้ทั้งสามคนในห้องค่อยๆ ขยับตัว โดยนลินขยับเป็นคนแรก

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่ไปดูเอง” เขตต์พูดขึ้น ก่อนลูบผมเธอเบาๆ

“แต่ร้องสองคนเลยนะคะ” นลินกำลังจะลุกขึ้น แต่เขาแตะห้ามไว้

“ไม่เป็นไรหรอก คงร้องเพราะตกใจน่ะ เดี๋ยวพี่ไปดูเอง นอนเถอะลิน” เขตต์บอก ก่อนลูบผมเธอเบาๆ แล้วลุกขึ้นไปห้องเด็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง

นลินจึงพลิกตัวเองไปทางขันธ์ แล้วกอดเขาเอาไว้หลวมๆ ขณะที่เขตต์เดินออกไปจากห้องแล้วปลอบลูกๆ จนหลับ แล้วก็เดินกลับมาที่ห้อง

เขามองเธอกอดคู่แฝดแล้วก็ถอนใจยาว แปลกแทนที่จะหึงหวงเหมือนเขากลับเฉยๆ แล้วมุ่งไปที่เธอมากกว่า คงเพราะความสุขที่ได้รับเมื่อทำใจให้เปิดกว้างได้

การได้อยู่ลูกๆ ที่น่ารักกับผู้หญิงที่เขารัก...อะไรก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

ทุกสิ่งกลายเป็นภาพลวงตาเมื่อเทียบกับความจริงที่อยู่ตรงหน้าเขา...

เขาขึ้นเตียงแล้วกอดเธอเอาไว้ โดยไม่สนใจว่าจะต้องอยู่ใกล้กับคู่แฝดเขาหรือไม่ เธอที่เขาต้องการกอดเอาไว้ ก่อนซบลงจูบเธอที่ซอกคอด้านหลัง ทำให้เธอขยับตัวเล็กน้อย แต่เมื่อเขตต์ดึงเธอไปกอด เธอก็ขยับตัวมากขึ้น

“อะไรกัน พี่เขตต์” นลินรู้ว่าเป็นใคร เพราะเธอยังหลับไม่สนิทเท่าไรนัก

“แค่กอดหอมไม่ได้เชียวเหรอ” เขตต์กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูอย่างเกรงใจคู่แฝดที่นอนอยู่ จากนั้นก็ถอนหายใจใส่หูเธอ เพื่อผ่อนคลายตัวเอง

“นอนเถอะค่ะ” นลินไม่ปฏิเสธแล้วก็พยายามหลับในอ้อมกอดเขา แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น

“พาลินไปห้องนายเถอะ ไป ก่อนจะลงแดงตายซะก่อน” ขันธ์บอกแล้วพลิกตัวหันหลังให้อย่างขำขัน

“หง่ะ ลินจะนอน” นลินเข้าใจความหมายก็รีบประท้วง

“ขอบใจ” เขตต์บอกคู่แฝด ก่อนอุ้มเธอขึ้นจากเตียง “ไปนอนห้องโน้นแล้วกัน”

“พี่เขตต์บ้า พี่ขันธ์บ้ากว่า” นลินทุบเขาเบาๆ อย่างไม่จริงจังนัก

หากเขตต์ก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ จึงพาเธอออกไปจากห้อง ขณะที่ขันธ์ปล่อยตัวเองให้หลับ โดยไม่ต้องกังวลใจ เขาทำใจมามากแล้ว จะเป็นไรไปถ้าจะต้องเจอเข้ากับสถานการณ์จริง

*******************************************


เสียงลูกๆ กลายเป็นเสียงปลุกที่ดีให้เขา เจ้าตัวเล็กตื่นเช้าทุกวัน ขันธ์ก็ทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ เพราะรู้ว่าพี่เลี้ยงคงจัดการเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว แม้เช้านี้เขาจะอยู่เพียงลำพัง แต่ก็ไม่ถึงกลับหงุดหงิดอะไร

เขาแวะไปดูเจ้าตัวเล็กที่อีกห้อง ซึ่งกำลังถูกพี่เลี้ยงและสาวใช้ป้อนอาหารอยู่ เขาจึงอุ้มคนหนึ่งขึ้นมาแล้วถาม “ไงลูก อร่อยเปล่า”

“ดาดา” ธารเรียกพ่อที่กำลังอุ้มอยู่

“วันนี้คุยแสดงว่าอารมณ์สินะ แหมเมื่อคืนตื่นมาปลุกพ่อแม่ทำเนี่ย” ขันธ์ตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนเช็ดแก้มลูกที่มีคราบอาหารเปื้อนอยู่

“ปาปา” ธรรม์เข้ามาเกาะขาแล้วเรียกพ่ออีกคน

ขันธ์จึงปล่อยธารลง แล้วอุ้มเจ้าธรรม์แทน “ไง เมื่อคืนทำฤทธิ์หรือเปล่า ฝีมือหนูแน่ๆ”

ธรรม์เอามือใส่ปากทำหน้าไม่รู้เรื่อง ยิ่งทำให้น่าเอ็นดูมากกว่าเดิม ก่อนหันไปหาคนป้อนอาหาร เพื่อกิน แล้วก็ถูกพ่อวางลง เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กกินอย่างเพลิดเพลิน

ขันธ์ส่ายหน้าก่อนหอมแก้มลูกคนละฟอด แล้วเดินออกไปจากห้อง เขาตรงไปยังห้องน้องชาย แล้วเคาะประตู หวังว่าน้องชายเขาคงไม่ลงแดงเสียจนยังไม่เสร็จธุระ แต่เมื่อไม่มีคนห้าม เขาก็เข้าไปในห้องมองเธอที่กำลังหลับสบายในอ้อมกอดน้องเขา

ถ้าเจ็บปวด ก็คงเจ็บปวดมานานแล้ว แต่เขานึกถึงความรู้สึกตอนแรก ที่เธอยังคงเป็นของน้องเขาแต่เพียงผู้เดียวมากกว่า เป็นความรู้สึกยากบรรยาย หากก็ไม่ถึงกับนึกหวงหรือขวาง

เขาลูบเรือนผมเธอเบาๆ ทำให้เธอรู้สึกตัวและลืมตามองเขาช้าๆ ก่อนบอกเธอ “พี่ไปทำงานละนะ”

“พี่ขันธ์” นลินปรับสายตามองรอบๆ ก่อนนึกได้

“ลินนอนเถอะ เด็กๆ ทานแล้วล่ะ” เขาก้มลงจูบเรือนผมเธอเบาๆ

หากเธอกลับดึงมือเขาเอาไว้แล้วจูบมือเขาเบาๆ แทนคำพูดในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะจัดการความรู้สึกอย่างไรดี แต่ก็ต้องปล่อยไป ในเมื่ออีกสองคนไม่มีปัญหา เธอก็ไม่รู้ว่าควรมีปัญหาอะไรเช่นกัน

เขตต์รู้สึกตัวบ้าง เขามองขันธ์กำลังจะเดินออกไปจากห้องแล้วบอก “งานที่นายสั่งฉันทำให้เสร็จแล้วนะ เจอกันบ่ายๆ เลย”

“เออ” ขันธ์ตอบแล้วก็ขำน้องชาย ที่ดึงนลินเข้าไปกอดอีกรอบ

ช่างมันเถอะ...อะไรก็ไม่สำคัญถ้าเรายังรักกัน

*******************************************

^^ มีผู้หวังดีทวงมา ก็เลยต้องหาทางมาโพสค่ะ
พอดีไม่สบายค่ะ เจ็บคอมาก ทำให้มีไข้ ก็เลยเพลียๆ นอนหลับไม่รู้เรื่องเลยค่ะ
ขออนุญาตไม่ตอบเม้น เพราะสมองมันตื้อไปหมดเลยค่ะ
ยังไม่ได้ทำอะไรกับชีวิตเลย หุหุ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
ป.ล. ถ้าหายไปกับคอที่ติดเชื้อจุดธูปตามได้ค่ะ




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2552
0 comments
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2552 1:25:40 น.
Counter : 456 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

เพลิงวารี
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ไหดองเหล็กไหล
New Comments
[Add เพลิงวารี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com