รอยเท้าบนทางธรรม 2
เป็นคำถามของผู้เขียน ที่ได้รับคำแนะนำจากกัลยณมิตรที่ช่วยในการปฏิบัติธรรม ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ที่จะรวบรวมไว้ที่เดียวกัน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังหัดปฏิบัติธรรม และช่วยบอกเส้นทางที่ผมกำลังก้าวเดินไปอีกด้วย
ข้อความเหล่านี้มิได้มีเจตนามุ่งหวังว่า ผมเก่งหรือมีความสามารถแต่อย่างใด จึงขออภัยล่วงหน้ามา ณ.ที่นี้ด้วย
ถาม รบกวนช่วยแนะนำครับ ยังดูเผลอคิดไปไม่เป็นในแต่ละวัน ผมเป็นตัณหาจริต ฝึกด้วยการนั่งสมาธิให้จิตสงบ ปกติก็จะนั่งสงบบ้างไม่สงบบ้าง ถ้าไม่สงบก็ดูเผลอคิด ดูจิตเกาะลม แต่ถ้าสงบมีปีติ ก็จะมีจิตผู้รู้นิ่งอยู่ ออกจากสมาธิ แล้วก็ดูกายเป็นหลัก ดูลมหายใจบ้าง
ในแต่ละวันก็คอยดูอารมณ์ก็ดูได้ ถ้าดูได้ดีก็เห็นกายเคลื่อนไหวไปมา จิตก็มีความสุขเป็นพักๆ พร้อมกับเห็นความคิดเกิดดับ หรือนั่งสมาธิก็ จะเห็นความคิดได้ดีช่วงนั้น แต่ถ้าเป็นระหว่างวันไม่ค่อยจะเห็นความคิด เลย
ก็เลยอยากถามว่า ถ้าเป็นทิฏฐิจริตนี้จะดูเผลอคิดได้ดีกว่าหรือเปล่า( แบบที่พระ อ.ปราโมทย์พาดู) แล้ว ถ้าจะดูเผลอคิดจิตต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูก่อนอย่างต่อเนื่อง หรือเปล่า หรือมันจะค่อยๆดูได้มากขึ้นไปเอง คือกลัวว่าตัวเองยังต้องฝึกอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่าน่ะครับ เช่นต้อง บริกรรมพุทโธแบบเล่นๆ ที่อ.ปราโมทย์แนะนำน่ะ เคยทำแต่ไม่จริงจังเลยยังทำไม่ได้ รบกวนให้คำแนะนำด้วย จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ โดยคุณ อิกคิว [วันที่ 05/02/2009 19:55
ความคิดเห็นที่ 1 จริงๆแล้วคนส่วนใหญ่จริตจะไม่เด่นไปด้านใดด้านเดียวตลอดครับ แม้เราจะมีจริตนิสัยที่ค่อนไป ทางตัณหาจริตแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะดูกายได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่างที่คุณอิกคิว เล่ามาว่านั่งสมาธิแล้วดูจิตที่เผลอคิดได้ ตรงนั้นจิตก็พลิกเป็นการดูจิตไงครับ เพียงแต่ผู้ที่มีทิฏฐิจริตนั้น จะดูจิตที่หลงคิดได้ง่ายกว่า แต่ในทางปฏิบัติแล้วเราก็สามารถดูไปได้ทั้งกายหรือจิต ขึ้นกับว่าขณะนั้น สภาวะใดเด่นชัด เราก็รู้ทันตรงนั้น ไม่ต้องพะวงว่าเราจะต้องดูกายมากกว่าดูจิต หรือเราเป็นตัณหาจริตแล้ว จะดูจิตไม่ได้ฯลฯ
แล้ว ถ้าจะดูเผลอคิดจิตต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูก่อนอย่างต่อเนื่อง หรือเปล่า หรือมันจะค่อยๆดูได้มากขึ้นไปเอง เมื่อเราก็หัดดูจิตที่หลงคิด จิตสงสัย จิตกังวลฯลฯ และหมั่นคอยรู้คอยดูอยู่เนืองๆ ไม่นานก็จะเข้าใจสภาวะ ของจิต แล้วจิตจะพลิกเข้าสู่ความสงบ(ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู)เป็นระยะๆเป็นขณะๆ ถ้าตั้งมั่นต่อเนื่องนานให้รู้ทัน ว่าอาจจะเพ่งหรือประคองไปแล้วนะครับ
คือกลัวว่าตัวเองยังต้องฝึกอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่าน่ะครับ กลัวก็รู้ทันว่าใจที่กลัว กังวลก็รู้ทันใจที่กังวล ตรงนั้นก็คือการตามดูจิตแล้วไงครับ
เจริญในธรรมยิ่งขึ้น โดยคุณ pin [วันที่ 06/02/2009 08:11]
ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณคุณ pin มากๆครับ
แสดงว่าผมยังอาจจำสภาวะของจิตยังไม่แม่นพอก็คงต้องสังเกตบ่อยๆให้มากกว่านี้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าปกติแล้วอารมณ์มันไม่ชัดเจน คือ ผมเป็นคนเฉยๆ ไม่ค่อยโกรธ บ่อย ส่วนใหญ่กิเลสที่เห็นตอนนี้จะเป็นพวกความอยากก่อนที่จะทำอะไรมากกว่าครับ ที่คุณ pin แนะนำแสดงว่า พออารมณ์ไม่ชัดและผมสังเกตไม่เก่งก็เลยดูได้แต่กายมากกว่า ใช่ไหมครับ
ผมเคยมีสภาวะที่จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้อยู่แล้วเวทนา กาย ก็แยกกัน ตอนใช้ชีวิตประจำวันนี่เอง จิตผู้รู้จะอยู่เหนือหัวทางด้านขวา แล้วก็รู้สึกว่ากายจะห่างๆออกไป ความรู้สึกก็รู้สึกจะไม่ได้เกี่ยว กับกาย จิตจะเบาๆ รู้กายและใจได้ค่อนข้างสบายและต่อเนื่อง สภาวะนี้ใช่สัมมาสมาธิหรือเปล่า หรือเป็นการเพ่งหรือประคองมากไป แต่ตอนนี้ ไม่มีสภาวะนี้มาหลายวันแล้ว เพราะมัวแต่สงสัยนี่แหละครับ โดยคุณ อิกคิว [วันที่ 06/02/2009 16:06]
ความคิดเห็นที่ 3 คุณอิกคิว อย่าดูให้ได้เหมือนกันทุกวันนะครับ และขณะใดเห็นกายชัด ก็หัดรู้กายไป ขณะใดเห็นจิตชัด ก็หัดดูจิตไป ไม่ต้องเจาะจงว่าต้องดูอะไรเป็นพิเศษนะครับ เพราะการดูกายก็จะเห็นถึงจิตได้ และการดูจิตก็สามารถเห็นถึงกายได้เช่นกัน แม้แต่ขณะที่จิตใจกำลังเฉย ๆ หากหัดดูไปเรื่อย ๆ ต่อไปก็เห็นจิตไหลไปมอง ฟัง คิด ฯลฯ เห็นว่าเผลอไปได้ครับ โดยคุณ สุรวัฒน์ [วันที่ 06/02/2009 19:40]
ความคิดเห็นที่ 4 ขอบพระคุณ อ.สุรวัฒน์มากๆ ผมจะตั้งใจดูกายดูใจต่อไปเรื่อยๆ ครับ โดยคุณ อิกคิว [วันที่ 10/02/2009 15:16]
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
2 comments |
Last Update : 9 สิงหาคม 2554 14:31:53 น. |
Counter : 496 Pageviews. |
|
|
|
ท้อใจสะกดยังไง
สะกด..มันเอาไว้
ด้วยความอดทน
สะกด..มันเอาไว้ ด้วยหัวใจไม่ยอมแพ้
ให้เหมือนเด็กในภาพ
เธอเกิดมาด้วยร่างกายที่มีเพียงครึ่งเดียวของเรา แต่หัวใจเธอฮึดสู้มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
เก็บภาพนี้ไว้ในใจ
ยามหัวใจคุณอ่อนแอ