ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

กฏของ Wattsในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

กฏของ Watts มีทั้งหมด 10 ข้อ

4 ข้อแรก เป็นกฏที่เป็นจริงเสมอ (Laws Absolute)

อีก 6 ข้อหลังเป็นกฏที่โดยปกติให้ยึดถือเอาไว้แต่ในบางสถานการณ์ก็สามารถยืดหยุ่นได้ (Rules Conditional)

แต่ละข้อว่าไว้อย่างไรบ้าง ไว้มาว่าต่อ (เหอๆ มาเขียนวันละนิด)

Quote
Rule Conditional #1 : การซื้อเฉลี่ย "ขาขึ้น" ดีกว่าการซื้อเฉลี่ย "ขาลง"

ธรรมเนียมทั่วไปนิยมเชื่อว่าการเฉลี่ยขาลงดีกว่าเพราะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลงเรื่อยๆ แม้ว่าสี่ในห้าครั้งที่เฉลี่ยขาลง ราคาหุ้นจะพลิกกลับขึ้นมา ทำให้มีกำไรได้ แต่จะมีอีกหนึ่งในห้าครั้งที่ ราคาหุ้นลงแบบถาวรไม่กลับขึ้นมาอีกเลยตลอดไป ซึ่งจะนำไปสู่การขาดทุนมหาศาลได้

ดังนั้น จึงควรเริ่มซื้อแต่น้อย เมื่อราคาหุ้นไต่ระดับขึ้นก็ค่อยๆ ซื้อเพิ่มอย่างเฝ้าระวัง เมื่อไรที่ราคาหุ้นปรับฐานลงจนชนต้นทุนเฉลี่ยเมื่อไรก็ควรขายหนีทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน ถ้าทำเช่นนี้ตลอด จะมีบางครั้งที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปอย่างมากทำให้ได้กำไรมหาศาลในครั้งนั้น กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงต่ำ และเมื่อใดก็ตามที่สำเร็จจะได้กำไรสูง ควรใช้กลยุทธ์ซื้อเฉลี่ยขาขึ้นเมื่อคาดว่าตลาดกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญและในจังหวะที่คุณมีเงินทุนพอเพียงที่จะทำเช่นนั้น


Quote
Rule Conditional #2 ตลาดโวลุ่มหาย แนวต้านไม่แข็งแรง คือตลาดที่ควรจะขาย
เพราะตลาดเช่นนี้มักจะพัฒนาไปสู่ตลาดขาลง แต่เมื่อไรก็ตามที่ตลาดเช่นนี้ได้ผ่านไปสู่ภาวะที่มีโวลุ่มหนาแน่นและเป็นขาลงแล้วต่อด้วยแรงขายแบบตื่นตระหนกเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่ควรจะซื้อมากๆ

ในทางตรงกันข้ามตลาดที่โวลุ่มหายแต่แนวต้านมั่นคงมักจะพัฒนาไปสู่ตลาดที่มีโวลุ่มหนาแน่นและมีฐานที่แข็งแรง หลังจากนั้นถ้าตลาดกลายเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ก็ควรจะขายออกมาอย่างมั่นใจ

Quote
Rule Conditional #3
ในการสร้างมุมมองเกี่ยวกับตลาด ปัจจัยด้านความน่าจะเป็นจะละเลยไม่ได้ จงคิดถึงความน่าจะเป็นเสมอ นโปเลียนวางแผนการรบจะเผื่อกรณีสุดวิสัยเอาไว้เสมอ อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นมาทำลายหรือหักล้างการคิดคำนวณที่ดีที่สุดได้ การคิดคำนวณจึงต้องรวมสิ่งที่คาดไม่ได้เอาไว้เสมอ คนที่คิดคำนวณความน่าจะเป็นไว้ด้วยคือยอดคน

จงสร้างมุมมองจากข้อมูลต่างๆ เช่น สภาวะของประเทศ ผลผลิตทางการเกษตร ตัวเลขการผลิต ฯลฯ สถิติเก่าๆ นั้นเป็นสิ่งที่มีค่า แต่จะต้องไม่มีอิทธิพลเหนือข้อมูลในการสร้างมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ข้างหน้า คนที่ยึดติดกับสถิติเก่าๆ มากเกินไปจะหลงทาง เคนนิ่งกล่าวว่า "there is nothing so fallacious as facts, except figures."
Quote
Rule Conditional #4
ในสถานการณ์ทั่วไป คำแนะนำของเราคือการซื้อในครั้งเดียวให้ได้จำนวนที่เหมาะสมกับทุนที่มีอยู่ไปเลย การ Cut loss หรือการ Take Profit ก็ให้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ หลักก็คือ Stop lossess and let profits run. ถ้าหากกำไรขนาดเล็กเรา Take ได้ ขาดทุนขนาดเล็ก เราก็ต้องกล้า Take ด้วย การขาดความกล้าที่จะขาดทุนขนาดเล็กและการรีบร้อนเกินไปที่จะ Take Profit คือหายนะ มันทำให้เสียงานมามากแล้ว

Quote
Rule Conditional #5
การซื้อขาลงต้องอาศัยกระเป๋าเงินที่ลึกและจิตใจที่มั่นคง บ่อยครั้งที่ความหายนะมาเยือนผู้ที่มีทั้งสองสิ่ง ยิ่งจิตใจมั่นคง โอกาสที่จะถือหุ้นไว้นานเกินไปยิ่งมาก อย่างไรก็ดี มีคนจำพวกหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จในการซื้อขาลงแล้วถือไว้เฉยๆ พวกนี้ซื้อทีละน้อย เข้าอย่างรอบคอบ และถือเอาไว้นานๆ พวกเขาเป็นคนที่ไม่รู้สึกถูกรบกวนใจเพราะความผันผวนของราคา พวกเขาเป็นนักตัดสินใจซึ่งซื้อในยามที่ตลาดแย่มากๆ แล้วถือไว้จนธุรกิจพลิกฟื้นตัวได้ แบบนี้เป็นการลงทุนไม่ใช่การเก็งกำไร

Quote
Rule Conditional #6
ความเห็นของตลาดนั้นจะละเลยไปเลยไม่ได้ เมื่อเกิดกระแสการเก็งกำไร เราควรเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด หลักก็คือ ตัดสินใจอย่างรอบคอบตลาดกระแสตลาด ถ้าจะสวนตลาดก็ให้ทำอย่างกล้าหาญ การแห่ตามตลาดแม้ว่าทุกอย่างจะดูดีนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย เมื่อทิศทางพลิกกลับเราจะลำบาก นักเก็งกำไรตระหนักดีถึงอันตรายของ "การมีเพื่อนมากเกินไป" ในขณะเดียวกันก็ต้องรอบคอบอย่างยิ่งในการสวนตลาด ตลาดมีชีพจรที่นักเก็งกำไรควรวางมือของตนไว้บนข้อมือของตลาดแบบเดียวกับแพทย์ ชีพจรนี้คือสิ่งที่จะบ่งบอกเราว่าควรทำเช่นไรและเมื่อใด

Quote
Law Absolute 1: Never Overtrade
การเปิดสถานะโดยมิประเมินทุนที่มีอยู่นำมาซึ่งหายนะ ความผันผวนที่รุนแรงจะปั่นหัวของนักลงทุนทำให้การตัดสินใจผิดพลาดไปหมด

Quote
Law Absolute #2 : Never "Double Up"

ห้ามกลับสถานะทีเดียวทั้งหมดในทันที ตัวอย่างเช่น กำลัง long อยู่ ห้ามขายทิ้งหมดแล้วเปลี่ยนมา short ทันทีในปริมาณที่เท่ากัน ในบางครั้งการทำเช่นนี้อาจประสบความสำเร็จแต่นับว่าอันตราย หากตลาดพลิกกลับมาขึ้นต่อ ใจกลับไปเก็งทิศทางเดิม นักเก็งกำไรจะทิ้ง short แล้วหันมา long ใหม่อีกครั้ง ถ้าหากว่าหนนี้ผิดพลาด ความปั่นป่วนในใจจะเกิดขึ้น

ดังนั้นเมื่อต้องการกลับทิศทางควรทำทีละน้อยอย่างระมัดระวัง ทั้งหมดก็เพื่อรักษาความสามารถในการตัดสินใจของเราให้ปลอดโปร่งอยู่เสมอ สร้างสมดุลของจิตใจ


กฎข้อนี้เป็นฐานของ position sizing
ซึ่งเป็นหัวใจของ money management
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสุดของ trading

บางตำราบอกว่า กฎนี้แยกระหว่างนักลงทุน
กับนักพนัน

Quote
Law Absolute #3 : Run Quickly or Not at All
ลงมือจัดการทันทีที่เห็นอันตรายเริ่มเคลือบคลานเข้ามาเป็นครั้งแรก แต่หากพลาดที่จะลงมือแต่เนิ่นๆ จนกระทั้งคนอื่นในตลาดเห็นอันตรายนั้นกันหมดแล้วก็จงอยู่เฉยๆ เหมือนเดิม หรือมิฉะนั้นก็ปิดสถานะเพียงแค่บางส่วน

Quote
Law Absolute #4: เมื่อลังเล ลดสถานะ
หากรู้สึกใจคอไม่ดีกับสถานะที่เปิดอยู่ หรือสถานะใหญ่เกินกว่าที่จะรู้สึกปลอดภัย ชายคนหนึ่งบอกชายอีกคนหนึ่งว่าเขานอนไม่หลับเลยเพราะสถานะของเขา ชายอีกคนตอบง่ายๆ ว่า "Sell down to a sleeping point."


Quote
1. พี่งตนเอง นักเก็งกำไรต้องคิดด้วยตัวเอง การเชื่อมั่นในความสามารถในการคิดของตนเองคือรากฐานที่สำคัญของความพยายามที่ประสบความสำเร็จ

2. มีการตัดสินใจที่ดี ความสามารถในการให้น้ำหนักของข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมคือการตัดสินใจที่ดี

3. กล้าหาญ คือ กล้าทำในสิ่งที่ได้คิดไว้ คติของมาริบูที่ว่า "จงกล้า กล้าต่อไป และกล้าอยู่ตลอดเวลา" ใช้ได้กับการเก็งกำไร

4. รอบคอบ คือ รู้จักประเมินความเสี่ยง ตื่นตัว และความระวังระไว ควรมีสมดุลระหว่างความกล้าหาญกับความรอบคอบ คือรอบคอบเวลาคิด กล้าหาญเวลาปฏิบัติ คิดแล้วทำอย่างรวดเร็ว

5. ยืดหยุ่น คือ ความสามารถในการเปลี่ยนความเห็น การกลับมาพิจารณาใหม่ เอเมอร์สันบอกว่า "ผู้สังเกตแล้วสังเกตอีกคือยอดคน"

คุณสมบัติทั้ง 5 ล้วนจำเป็นต่อการเป็นนักเก็งกำไรที่ดีแต่ที่สำคัญทั้งหมดจะต้องมีในระดับที่ได้สมดุลด้วย การขาดแคลนหรือการมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งมากเกินไปจะทำลายประสิทธิภาพของภาพรวมทั้งหมด คนที่จะมีคุณสมบัติทั้ง 5 อย่างสมดุลนั้นไม่ได้ง่าย นี้เป็นเหตุที่ทำให้ในชีวิตจริง นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จมีอยู่ไม่มากนัก

จากคุณ : emannigol - [ 16 ม.ค. 51 20:56:05




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:30:41 น.
Counter : 433 Pageviews.  

ลงดาบยักษ์มือถือ เมื่อ"พรีเพด" ห้ามหมดอายุ

นับจากประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรื่องมาตรฐานสัญญาบริการโทรคมนาคม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2549

หนึ่งในข้อบังคับที่ไม่เคยมีใครเหลียวแล ทั้งโอเปอเรเตอร์และผู้กำกับดูแล

คือข้อบังคับที่ 11 ที่กำหนดให้ "บริการโทรคมนาคมในลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการล่วงหน้าต้องไม่มีข้อกำหนดอันมีลักษณะเป็นการบังคับให้ผู้ใช้บริการต้องใช้บริการภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่ผู้ให้บริการจะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเป็นการ ล่วงหน้า"

โดยคณะกรรมการอาจกำหนดเงื่อนไขการให้บริการประกอบด้วย การถ่ายโอนมูลค่าที่เหลืออยู่ การคืนเงินค่าบริการในส่วนที่ไม่ได้ใช้ การกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการใช้บริการ การขึ้นทะเบียนชื่อที่อยู่ของผู้ใช้บริการ เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมการอาจจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะหรือรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภคด้วยก็ได้

และผู้ให้บริการตามวรรค 1 ต้องเผยแพร่แบบสัญญาที่คณะกรรมการเห็นชอบแล้วเป็นการทั่วไป และแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นหนังสือก่อนเริ่มใช้บริการ

หมายความว่า บริการโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน (พรีเพด) เข้าข่ายบริการที่มีการเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้าจึงกำหนดวันหมดอายุไม่ได้ เว้นแต่ กทช.จะอนุญาต

ตั้งแต่ประกาศมีผลบังคับใช้จนถึงขณะนี้ "พรีเพด" ก็ยังคงเป็นบริการที่มีกำหนดระยะเวลาในการใช้งาน

ผู้ใช้บริการมือถือแบบเติมเงิน ซึ่งมีสัดส่วนมากถึงกว่า 90% ของจำนวนคนใช้บริการในปัจจุบันที่มีกว่า 54 ล้านคนแล้ว จึงยังมีหน้าที่ต้องคอยเช็กวันหมดอายุใช้งานของตน ต้องคอยเติมเงินเพื่อรักษาสิทธิในการใช้เลขหมายนั้นๆ เฉลี่ยเดือนละไม่น้อยกว่า 300 บาท (ใช้ได้ 30 วัน)

กฎระเบียบ ถ้าสักแต่ออก ไม่ผลักดันหรือดูแลให้เกิดการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมไม่ต่างอะไรกับเสือกระดาษ

ในมุมของผู้บริโภค-ประชาชนคนใช้บริการ มีบ้างเหมือนกันที่ลุกขึ้นมาทวงสิทธิของตนเองเมื่อเห็นว่า กทช.ไม่ทำหน้าที่

โดยยื่นร้องเรียนต่อสถาบันคุ้มครอง ผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กรณีผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าว

"ผมใช้มือถือแบบเติมเงินของทรูมูฟมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปลายปี 2550 ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมต้องคอยเติมเงินเดือนละ 300 บาททุกเดือน เพื่อให้ได้ต่ออายุการใช้งานทีละ 30 วัน ทั้งๆ ที่เติมเงินไปแล้วก็น่าจะมีสิทธิใช้ถึงเมื่อไรก็ได้จนกว่าเงินที่เติมไว้จะหมด ทำไมต้องมีวันหมดอายุด้วย" พีรพงษ์ คงธนาสมบูรณ์ กล่าว และว่า

เหมือนกับเติมน้ำมันรถ เมื่อเติมไปแล้วเจ้าของรถก็ควรมีสิทธิใช้ไปได้เรื่อยๆ จนกว่าน้ำมันจะหมด ไม่ใช่ต้องคอยเติมน้ำมันทุก 7 วัน

คิดได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ "ไม่เติมเงิน" จนเดือน ม.ค.2551 ที่ผ่านมา เมื่อครบกำหนดวันหมดอายุจึงไม่สามารถใช้โทร.ออกได้ (ยังรับสายได้)

"พีรพงษ์" จึงร้องเรียนไปยัง "สบท."

เรื่องเข้าสู่กระบวนการร้องเรียนแล้ว เรื่อยมาจน 2 เม.ย.ที่ผ่านมา เลขหมายของเขาก็ไม่สามารถรับสายได้อีกต่อไป

"พีรพงษ์" ขอให้ "สบท." ช่วยคุ้มครองฉุกเฉินเพื่อให้เลขหมายของเขายังคงสามารถโทร.ออกและรับสายได้ต่อไป รวมถึงคุ้มครองเงินที่เหลืออยู่ในซิมการ์ดด้วย

ในที่สุดก็ได้รับความคุ้มครองเป็นเวลา 15 วัน จนถึงขณะนี้ได้ต่ออายุความคุ้มครองมาแล้วเป็นครั้งที่ 2

"ก็รู้สึกดีใจที่มี กม.ในลักษณะนี้ออกมา เราเริ่มใช้มือถือพรีเพดมาตั้งแต่ปี 2547 ถึงวันนี้ก็น่าจะเติมเงินไปแล้วหลายหมื่น รู้สึกว่าเป็นความสูญเสียของเรา เมื่อเติมเงินไปแล้วก็ควรใช้ได้โดยไม่มีกำหนดเวลา ยังมีเรื่องการคิดค่าโทร.จากเมื่อก่อนคิดเป็นวินาที ก็เปลี่ยนมาเป็นนาที โทร.เกิน 1 วินาทีก็โดนตัดเป็น 1 นาที เท่ากับเสียสิทธิไป 59 วินาที เรื่องแบบนี้อาจเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ถามว่าบริษัทได้กำไรไปเท่าไร"

"น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา" ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) มองว่า กรณีนี้เป็นข้อร้องเรียนแรกที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมโดยรวมด้วย ซึ่งในเบื้องต้นได้นัดให้คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายมาให้ข้อมูลแล้ว

"ฝั่งทรูมูฟอ้างว่า ทั้ง 4 โอเปอเรเตอร์เคยทำหนังสือไปยัง กทช.ตั้งแต่ปี 2549 แล้วว่า ข้อบังคับดังกล่าวมีปัญหาไม่สามารถปฏิบัติตามประกาศ กทช.ได้ และอ้างด้วยว่าเมื่อ กทช.ไม่มีจดหมายตอบกลับมาโอเปอเร เตอร์จึงเข้าใจว่าอนุญาตให้กำหนดวันหมดอายุได้ แต่เมื่อถามต่อไปว่ามี กม.หรือข้อบังคับอื่นใด ให้อำนาจโอเปอเรเตอร์กำหนดวันหมดอายุในลักษณะนี้ ก็ไม่มีคำตอบ"

โดยส่วนตัวมองว่า กับกรณีนี้กฎหมายเขียนไว้ชัดและยืนยันว่า การกระทำของโอเปอเรเตอร์ขัดต่อประกาศ กทช. "สบท." จึงจะทำข้อเสนอถึง กทช.ขอให้มีคำสั่งหรือแนวทางปฏิบัติออกมาว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป

เหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อได้เลยทีเดียว ด้วยว่าขนาดของตลาดพรีเพดใหญ่โตมาก

แนวปฏิบัติที่ "กทช." ต้องตัดสินใจ อาจกลายเป็นกรณีศึกษาและเป็นบรรทัดฐานในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการรักษาช่องสัญญาณ ต้นทุนค่าธรรมเนียมเลขหมายรายเดือน หรือกรณีโดนสั่งให้ต้องคืนเงินผู้บริโภคหากระงับการให้บริการจริง ก็ยังติดเรื่องภาษีที่ยักษ์มือถืออ้างว่าได้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้ว หรือนำส่งส่วนแบ่งรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่ายไปแล้ว และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นข้อมูลที่ยักษ์มือถือหยิบยกขึ้นมาอธิบายว่า ทำไมต้องกำหนดวันหมดอายุบริการพรีเพด

เรื่องนี้ยังทำท่าว่าจะร้อนขึ้นไปอีก

เมื่อ "ดร.อานุภาพ ถิรลาภ" ผู้อำนวยการสถาบันการบริหารสื่อสารไทย นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคม ลุกขึ้นมาลุยด้วย โดยระบุว่า ถ้าเรื่องนี้เงียบหายไปกับสายลม กทช.ไม่ทำอะไร ไม่มีมาตรการลงโทษโอเปเรเตอร์ ก็จะลุกขึ้นมาฟ้อง "กทช." ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

เมื่อถามไปยัง "กทช.-เศรษฐพร คูศรีพิทักษ์" ระบุว่า ยังไม่เห็นเอกสาร แต่ในทางปฏิบัติ กทช.จะพิจารณาจากรายละเอียดที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ข้อมูล

ซึ่งตนเข้าใจว่า ผู้ร้องเรียนต้องการ ใช้สิทธิ์ตามประกาศ กทช.ฉบับดังกล่าว แต่ก็ต้องดูในทางปฏิบัติด้วยว่าเป็นไปได้หรือไม่ เช่น หากมีวงเงินคงเหลือแค่ 5 บาทก็อาจต้องปล่อยให้ตัดการใช้งาน

ด้านแหล่งข่าวจาก บมจ.ทรู คอร์ปอเร ชั่น กล่าวว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายได้ทำหนังสือร่วมกันส่งถึง กทช.เพื่อชี้แจงว่า ไม่สามารถปฏิบัติตามประกาศ กทช.ในกรณีดังกล่าวได้ เพราะมีต้นทุนค่าธรรมเนียมเลขหมาย ค่าใช้จ่ายในการรักษาเลขหมาย ฯลฯ

หากไม่สามารถกำหนดวันหมดอายุได้ก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่ม และจำเป็นต้องผลักภาระไปยังผู้บริโภค

"ไม่มีหนังสือตอบกลับใดๆ จาก กทช. สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบไป"

แหล่งข่าวคนเดิมยอมรับว่า หากมีการบังคับใช้ประกาศอย่างเข้มงวดจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกรายอย่างแน่นอน เพราะเพียงแค่ 1% ของลูกค้าพรีเพดร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น ก็มีจำนวนเป็นแสนกว่ารายแล้ว

ขณะที่ "พลเอกชูชาติ พรหมพระสิทธิ์" ประธานคณะกรรมการ กทช. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาระเบียบ และประกาศของ กทช.ต่างๆ ที่บังคับใช้แล้วมีปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะที่ผ่านมาประกาศหลายฉบับได้รับการร้องเรียนมากว่า ทำตามได้ยาก

"ประกาศที่ออกมาแล้วสามารถแก้ไขได้ตามความเหมาะสม แต่จะเน้นผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก" พลเอกชูชาติกล่าวทิ้งท้าย

กับกรณีดังกล่าวถึงขณะนี้ยังไม่มีคำตอบ แต่น่าติดตามอย่างยิ่งว่า สุดท้ายแล้วจะลงเอยได้อย่างไร ระหว่างกฎระเบียบที่ปฏิบัติได้สำหรับผู้ประกอบการ โดยไม่ลืมยึดผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก


มาจาก นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับล่าสุด ๒๙ พฤษภาคม




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2551    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:30:54 น.
Counter : 446 Pageviews.  

คนจนคือชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย(แต่จนในความหมายไหนคิดเองดีกว่า)

คนจนในไทยมีเพียง 10% - กรุณาอย่าเอามาอ้างหากินบ่อย ๆ
.
ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย <2>
.
คนจนคือชนกลุ่มน้อยนิดในประเทศไทย! จากข้อมูลของ CIA ระบุว่าประเทศไทยมีคนจนอยู่เพียง 10% ของประชากรทั้งประเทศ <3> แล้วทำไมบางคนยังเข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ยากจนอยู่อีก เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตอนคุณรสนา โตสิตระกูลในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ ตอบโต้กับคุณปลื้ม ก็ยังอ้างว่าประชาชนไทย 70% ยากจน <4> เรามี “คนยากจน” หรือ “คนอยากจน” จำนวนมากกันแน่ คนที่มักวาดภาพว่าคนไทยส่วนใหญ่ยากจนนั้นเป็นเพราะความเข้าใจผิดหรือมีวาระซ่อนเร้นอะไร เรามักชอบเอาคนจนหรือความจนมาอ้างหรือไม่
.
.
ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
.
ข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งที่เชื่อถือได้ต่างระบุสอดคล้องกันว่าประชากรไทยที่ยากจนคืออยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนมีเพียง 9-10% โดยประมาณ แม้แต่เมื่อปี 2505 ประชากรไทยที่ถือว่ายากจนก็มีเพียงครึ่งหนึ่ง (57%) ไม่ใช่ 70% เช่นที่เข้าใจกัน และหลังจากนั้นประชากรที่ยากจนก็เป็นคนส่วนน้อยมาโดยตลอด
.
โปรดดูแผนภูมิที่ 1: ต่อไปนี้:

.
จากชุดข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ระบุว่า ณ ปี 2549 จำนวนคนจนลดเหลือ 9.6% ของคนไทยทั้งประเทศ หรือ 6.1 ล้านคนจาก 63.4 ล้านคน ช่องว่างความยากจนก็ลดลง ความรุนแรงของปัญหาความยากจนก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในการลงทะเบียนคนจนในสมัยรัฐบาลทักษิณปรากฏว่ามีผู้ลงทะเบียนถึง 8,258,435 คนหรือ 13.2% <5> ทั้งนี้อาจเป็นเพราะรวม “คนอยากจน” เข้าไว้ด้วย แต่ก็ยังถือว่าคนเหล่านี้เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย
.
สำหรับรายละเอียดรายได้ต่อหัวของสภาพัฒน์ฯ พบว่า เส้นความยากจนในเขตกรุงเทพมหานครอยู่ที่รายได้ 2,020 บาทต่อหัวต่อเดือน หมายความว่าในครอบครัวที่หัวหน้าครอบครัวมีรายได้ประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน หากต้องเลี้ยงคู่ครองที่ไม่มีรายได้และลูกอีก 2 คน ถือว่าเป็นคนยากจน แต่ถ้าเป็นในชนบทภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เส้นความยากจนอยู่ที่ 1,215 บาท ที่กำหนดไว้ต่ำกว่าก็เพราะค่าครองชีพถูกกว่าและชาวชนบทยังสามารถหาผักปลาจากแหล่งธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้เงินอีกด้วย
.
โปรดดูตารางที่ 1: ต่อไปนี้:

.
.
ประเทศไทยดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
.
ที่ว่าคนไทยที่ยากจนมีเพียง 10% นั้น ไม่ใช่ไปตีความแบบศรีธนญชัยว่า 90% เป็นคนรวย นอกจากคนยากจนแล้ว ยังมี “คนเกือบจน” คือผู้ที่มีรายได้สูงกว่าเส้นความยากจนไม่เกิน 20% อีก 8.2% แสดงว่าประชากรส่วนใหญ่ของไทยมากกว่า 80% ไม่ใช่คนยากจนอย่างแน่นอน และในอีกด้านหนึ่งประเทศไทยมี “คนจนค่นแค้น” หรือมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนเกินกว่า 20% เหมือนกัน แต่มีเพียง 3.8% เท่านั้น <6>
.
การที่ประเทศไทยมีคนจนน้อยลงอย่างเด่นชัดก็เพราะได้พัฒนาจากประเทศเกษตรกรรมเป็นประเทศอุตสาหกรรมแล้ว <7> ในปี 2494 ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ถึง 38% มาจากภาคเกษตรกรรม แต่ในปี 2548 เหลือเพียง 10% ในขณะที่ GDP ภาคอุตสาหกรรมเติบโตจาก 14% เป็น 38% ในช่วงเวลาเดียวกัน สินค้าออกสำคัญในอดีตคือข้าว ยางพารา ไม้สัก แต่ทุกวันนี้ได้แก่ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า รถยนต์ เป็นต้น
.
อย่างไรก็ตามประชากรไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในชนบท ซึ่งต่างจากประเทศที่จนกว่าไทย เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมือง ทั้งนี้มีเหตุผลที่ผู้คนมักไม่ทราบก็คือ ประเทศเหล่านี้เป็นประเทศเกาะ ประชากรจึงมักต้องอยู่ในเขตเมืองท่า แต่ประเทศไทยมีผืนดินติดต่อกันเป็นป่าไม้อันอุดม จึงมีการบุกรุกถากถางป่ากันมากมาย ประมาณว่าหมู่บ้านชนบท 70,000 หมู่บ้าน ครึ่งหนึ่งเกิดเมื่อ 50 ปีหลังนี้เอง <8>
.
เมื่อ 50 ปีก่อน แอปเปิล 1 ผลราคา 5 บาท แต่ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 10 บาท ครัวเรือนใดมีโอกาสรับประทานทุเรียนหรือมีโทรทัศน์ถือว่าเป็นผู้มีฐานะ แต่เดี๋ยวนี้คนไทยมีกินมีใช้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน อัตราการฆ่าตัวตายที่หลายคนคิดว่าเพิ่มขึ้นก็กลับลดลง และอยู่ในอัตราต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกเสียอีก โดยในปี 2549 มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 5.7 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน เป็นตัวเลขที่ลดลงจากปี 2548 ที่ 6.3 คน ปี 2547 ที่ 6.9 คน และปี 2546 ที่ 7.1 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน และหากเปรียบเทียบกับทั่วโลก อัตราการฆ่าตัวตายของไทยจัดอยู่อันดับที่ 72 จาก 100 ประเทศ <9>
.
.
การวิเคราะห์เปรียบเทียบ
.
ในภูมิภาคอาเซียน ประเทศที่ถือว่าไม่มีคนยากจนก็คือบรูไนและสิงคโปร์ ส่วนมาเลเซียดีกว่าไทยคือมีคนยากจนเพียง 5.1% สำหรับประเทศที่มีคนยากจนถึงหนึ่งในสามก็คือกัมพูชา พม่า ลาวและฟิลิปปินส์ ในกรณีประเทศเวียดนามซึ่งเพิ่งสำรวจล่าสุดเมื่อปี 2550 พบว่ามีคนยากจนเพียง 14.8% ดังนั้นถ้าใครจะคิดว่าไทยมีคนจนมากกว่าเวียดนามก็คงต้องคิดใหม่ หรือถ้าคิดว่าคนไทยยากจนเป็นส่วนใหญ่ก็คงเข้าใจว่าเราแย่กว่ากัมพูชาหรือพม่าเสียอีก
.
โปรดดูตารางที่ 2: ต่อไปนี้:

.
สำหรับกรณีชุมชนแออัดในเขตกรุงเทพมหานครนั้น ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของคนยากจนเป็นส่วนใหญ่ เพราะสภาพัฒน์ฯ ระบุว่า คนยากจนในกรุงเทพมหานครมีไม่ถึง 1% เท่านั้น หรือต่ำกว่าหนึ่งในร้อย ดังนั้นหากพบใครในกรุงเทพมหานครบอกว่าตนเองยากจน แสดงว่าเขาพูดเล่น โกหกหรือพูดโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้จากการสำรวจยังพบว่า ในชุมชนแออัด ยังมีมือถือ โทรทัศน์ เครื่องเล่นซีดี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า กันเป็นส่วนใหญ่และมีจำนวนมากกว่า 1 หน่วยในครัวเรือนหนึ่งอีกด้วย <10>
.
.
ผลร้ายของความคลาดเคลื่อน
.
การมีข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จะสร้างวิสัยทัศน์ที่สร้างสรรค์ได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักบริหารทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ก็ควรมีข้อมูลและความเชื่อที่ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง การจงใจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนย่อมก่อความเสียหาย เช่น การที่ NGO บางแห่งเคยให้ข้อมูลที่เป็นเท็จอย่างร้ายแรงว่า ประเทศไทยมีโสเภณี 2 ล้านคน ทำให้พจนานุกรมลองแมน เคยให้คำจำกัดความของกรุงเทพมหานครว่าเป็นนครแห่งโสเภณีในปี 2536 <11> จะสังเกตได้ว่านักเคลื่อนไหวทางสังคมมักพยายามโฆษณาว่าปัญหาที่ตนเกี่ยวข้องอยู่มีขนาดใหญ่ ด้วยหวังให้สังคมให้ความสนใจ และให้ความช่วยเหลือ แต่น่าเสียดายที่ทุกคนก็ใช้วิธีเดียวกันจนเฝือ สังคมเลย “มึน” และกลับคิดว่าปัญหาทั้งหลายนั้นสุดแก้ไข กลายเป็นปัญหาโลกแตกไป
.
รัฐบาลทักษิณที่ผ่านมา ก็ได้รับข้อมูลเท็จจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ชุมชนแออัดซึ่งเข้าใจว่าเป็นที่อยู่อาศัยของคนจนมีจำนวนมหาศาล โดยระบุว่าในประเทศไทยมีการบุกรุกที่ดินถึง 5,000 ชุมชน รวม 1.6 ล้านครอบครัว <12> จนเกิดโครงการ “บ้านเอื้ออาทร” และ “บ้านมั่นคง” แต่ความจริง ความต้องการที่อยู่อาศัยมีน้อยมาก สิ่งที่สร้างขึ้นกลับกลายเป็นการ “เอื้ออาทร” ต่อผู้รับเหมาและผู้ร่วมทุนโครงการมากกว่า แทนที่จะสร้างบ้านตามความต้องการจริง กลับสร้างตามความต้องการลวง หรือสร้างเกินกว่าความต้องการจนขายไม่ออก
.
คนที่ดีใจถ้าประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้น ก็คงมีแต่พวก NGO ลักษณะองค์กรนอกกฎหมายบางแห่งโดยเฉพาะที่รับเงินต่างชาติมาเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรม เพราะจะได้มีงานทำไปเรื่อย ๆ ผมว่าเราต้องรักศักดิ์ศรีของชาติและของคนไทย ต้องพัฒนาประเทศให้คนไทยหายจน ถ้าเรามัวคิดว่าเรายากจนและติดกรอบคิดแบบคนยากจนอยู่เรื่อย เมื่อไหร่ไทยเราจะลืมตาอ้าปากได้
.
คนไทยจน ๆ เป็นคนส่วนน้อย โปรดอย่านำมาแอบอ้างหากิน
.
หมายเหตุ:
<1> ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ที่ทำวิจัยต่อเนื่องเกี่ยวกับชุมชนแออัด โดยเป็นคนแรกที่ค้นพบชุมชนแออัดถึง 1,020 แห่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และสำรวจชุมชนแออัดในภูมิภาคทั่วประเทศ เคยได้รับมอบหมายจากองค์การสหประชาชาติหลายหน่วยงานให้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองและชุมชนแออัด เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็น ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา Email: sopon@thaiappraisal.org
.
<2> มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งให้ความรู้แก่สาธารณชนด้านการประเมินค่าทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง ปัจจุบันเป็นองค์กรสมาชิกหลักของ FIABCI ประจำประเทศไทย ถือเป็นองค์กรเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีกิจกรรมคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยจนได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.thaiappraisal.org
.
<3> โปรดดูรายละเอียดที่ https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/th.html#Econ
.
<4> โปรดอ่านบทความ “ถามต่อคำชี้แจงของ ‘รสนา โตสิตระกูล’” ในหนังสือพิมพ์ Online ประชาไท 14 มีนาคม 2551: //www.prachatai.com/05web/th/home/11491
.
<5> โปรดดูรายละเอียดที่ ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลพื้นฐานจำนวนผู้จดทะเบียน //www.khonthai.com/webpnr/stpnr1_link.php
.
<6> โปรดดู ตารางที่ 6 สัดส่วนและจำนวน คนจน จนมาก จนน้อย เกือบจน (ด้านรายจ่าย) ปี 2533-2549 ของสภาพัฒน์ฯ ที่ //poverty.nesdb.go.th/poverty_new/doc/news/wannee_20071130114433.zip
.
<7> รายงานของ Sopon Pornchokchai. Evaluation of Housing Finance Mechanisms in Thailand เสนอต่อองค์การสหประชาชาติด้านที่อยู่อาศัย (UN-HABITAT) ณ เดือนธันวาคม 2549
.
<8> Angel, S. Where Have All the People Gone? Urbanization and Counter-Urbanization in Thailand, UNCHS. 1985.
.
<9> ข่าว “เผยสถิติฆ่าตัวตายคนไทยลด จับตา ‘ระยอง’ มาแรงเสี่ยงแซงทุกจังหวัด” //www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=7653 และโปรดดูตารางขององค์การอนามัยโลก //www.who.int/mental_health/prevention/suicide/suiciderates/en และดูเพิ่มเติมในแผนที่โลกที่ //www.who.int/mental_health/prevention/suicide/suicideprevent/en
.
<10> รายงานของ Sopon Pornchokchai. Global Report on Human Settlements 2003 หน้า 22 จากการสุ่มสำรวจในชุมชนหนึ่ง เสนอต่อองค์การสหประชาชาติด้านที่อยู่อาศัย (UN-HABITAT)
.
<11> โปรดอ่าน “It has threatened to expel journalists who impugn the honour of Thai womenfolk, and forced Longman's dictionary to change its 1993 edition, the entry for Bangkok which included the line "a place where there are a lot of prostitutes." Thailand, in its turn, has been considerably abused by statisticians and NGOs. Claims that there are 2m or more prostitutes in the population of 64m, as was once stated in a Time cover story, are absurd. This much-quoted figure was drawn from the statistics of the Coalition Against Trafficking in Women, an international NGO. If true, it would mean that one in four Thai women between the ages of 15 and 29 in Thailand was a prostitute” ได้ที่ //www.prospect-magazine.co.uk/article_details.php?id=6889
.
<12> โปรดอ่านในกรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 7 มกราคม 2546 น.10 อ้างในหนังสือของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ถึงนายกรัฐมนตรี ที่ //www.thaiappraisal.org/Thai/letter/letter06.htm




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:24:28 น.
Counter : 2210 Pageviews.  

แชมป์รวยหุ้นไทยไม่ใช่อนันต์ อัศวโภคิน!?

1.จากข่าวนี้ครับ
'อนันต์ อัศวโภคิน'แชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 2007มูลค่า 13,230.23 ล้านบาท ทั้งนี้จากการจัดอันดับของนิตยสารการเงินการธนาคาร

//www.matichon.co.th/news_title.php?id=933

2.อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้นนิตยสารบลูมเบิร์กรายงานข่าวว่า คนที่เป็นแชมป์นักลงทุนที่รวยหุ้นที่สุดในตลาดหุ้นไทยไม่ใช่คุณอนันต์หรอกครับ แต่เป็นอีกท่าน
//www.bloomberg.com/apps/news?pid=20602005&sid=aZ0o4kBLphDs&refer=world_indices

3.เพื่อเป็นการนำเสนอข้อมูลที่แท้จริง จึงขอให้ทุกท่านได้ตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริงซึ่งตลาดหลักทรัพย์รายงานไว้ดังนี้ครับ

1.SAMCO : บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน)
-xxxถือหุ้นอยู่ 197,414,850 หุ้น
//www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=samco&language=th&country=TH

2.TIC : บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
-xxxมี 3,526,567 หุ้น
//www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=tic&language=th&country=TH

3.MINT : บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
-xxx 42,583,274 หุ้น
-xxx 17,300,800 หุ้น
//www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=mint&language=th&country=TH

4.SINGER : บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)
-xxx 1,383,770 หุ้น
//www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=singer&language=th&country=TH

นับจากตรงนี้เป็นส่วนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

5.DVS : บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน)
-xxx 10,475,992 หุ้น
//www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=dvs&language=th&country=TH

6.SCC : บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)
-xxx 360,000,000 หุ้น
//www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=scc&language=th&country=TH

7.SCB : ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
-xxx 100,265,685 หุ้น
-xxx 50,000,000 หุ้น
//www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=holder&symbol=SCB&language=th&country=TH

รวมมูลค่าตลาดที่ถือประมาณ150,000ล้านบาท มากกว่าที่นายอนันต์มีมูลค่าเพียง13,000ล้านบาท

จากคุณ : ป๋ามาแล้ว - [ 13 ธ.ค. 50 11:14:19 A:58.10.128.212 X: ]

ในหลวงของไทยครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ1ของประเทศ

โดยวิลเลียม เมลเลอร์ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
(*บลูมเบิร์กเป็นสำนักข่าวด้านการเงินการลงทุนที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของโลก-ผู้แปล)

นักลงทุนเองต่างได้พบความน่าสนใจประการหนึ่งเกี่ยวกับในหลวงของไทย นั่นก็คือว่าการถือครองสิริราชย์สมบัติผ่านทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กว่า5,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเรืองนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความผันผวนใดๆในประเทศไทย

ในเดือนกันยายน2549 คณะทหารได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร แบบไม่มีการนองเลือด,ตลาดหุ้นไทยซึ่งเคยบวกแรงไปกว่า136% ในปี2546 นับเป็นตลาดหุ้นที่ขึ้นได้แรงที่สุดในโลกในปีนั้น พอเกิดรัฐประหารได้ตกลง15% หรือมูลค่าการตลาดหายไป23พันล้านเหรียญภายในวันเดียว แต่เมื่อวันที่31กรกฎาคม2550 ดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นมาอยู่ที่859.76 จุด เป็นการปรับตัวขึ้นมาราว27%นับแต่ต้นปีนี้ แต่ก็ยังมาได้แค่ครึ่งทาง จากที่เคยทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ไว้ที่1,753จุด เมื่อปีพ.ศ.2537 ก่อนที่ไทยจะเจอปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ จนต้องลดค่าเงินบาทในปี2540 ส่งผลสะเทือนให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วภูมิภาคเอเชีย

นับแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ประเทศไทยซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ2ในบรรดา10ประเทศอาเซียน ก็ต้องมาเจอกับการต่อสู้เรียกร้องอิสระของกองโจรมุสลิมชายแดนภาคใต้ ในขณะที่คนไทยนับถือพุทธมากกว่า90% คณะทหารเมื่อเข้ามายึดอำนาจขับทักษิณออกไปแล้วก็มีการประกาศสวาะฉุกเฉินหลายพื้นที่ รวมทั้งปิดสภา แม้จะมีความยุ่งยากนานาประการ กระนั้นก็ดีหุ้นที่ในหลวงถืออยู่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าสภาวะของตลาด

"เพชร"

“ในหลวงทรงเป็นเพชรสำหรับสังคมไทย” จูดี้ เบนน์ กรรมการสภาหอการค้าอเมริกัน-ไทยกล่าวแสดงความห็น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดกว่า30%ในหุ้นเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีพนักงานในเครือกว่า24,000คน ผลิตสินค้านับตั้งแต่เคมีภัฑ์ ไปยันวัสดุก่อสร้างสารพัด ราคาหุ้นSCCหรือเครือซิเมนต์ไทยซื้อขายกันที่272บาท ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2550 นับจากที่เคยลงไปต่ำสุดที่17บาทในปี2541 หลังวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี40 เมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่ดัชนีหุ้นไทยลงไปแย่สุดในปี2541 ส่วนหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ หรือSCB ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับ3ของไทย และในหลวงทรงถือหุ้นอยู่21%ก็ปรับตัวเพิ่มมากถึง41%นับแต่ต้นปีถึงวันที่31กรกฎาคม2550 ส่วนเทเวศร์ประกันภัย ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินฯถืออยู่87% ก็ปรับตัวขึ้นมากกว่า28%นับแต่ต้นปี และขึ้นมามากถึง500%นับจากปี2541

หากนับหุ้นที่ถือผ่านสำนักงานทรัพย์สินฯแล้ว ก็จะคิดเป็น7.5%ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทย

“ซื้อหุ้นไทย”

เมื่อพิจารณาจากภาพรวมแล้วตลาดหุ้นไทยยังตามหลังตลาดหุ้นส่วนใหญ่อยู่มาก ณ 31 กรกฎาคม2550 ตลาดหุ้นไทยนับว่ายังถูกที่สุดเมื่อพิจารณาจากค่าP/E(อัตราส่วนของราคาหารด้วยกำไรของบริษัทในตลาด)ของตลาดหุ้นย่านเอเชีย 14 ประเทศ โดยมีค่าP/Eที่12.6เท่า ยิ่งหากไปเทียบกับตลาดหุ้นเซินเจิ้น และตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีนที่เทรดอยู่ ณ ระดับ38.5เท่า ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าหุ้นไทยถูกมาก

นักวิเคราะห์ในโบรกเกอร์HSBCที่มีฐานในลอนดอน และนักวิเคราะห์จากMcquarieที่มีฐานในซิดนีย์ได้พากันแนะนำให้ลูกค้าเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย

“ตอนนี้เป็นเวลายอดเยี่ยมที่จะซื้อหุ้นไทย”ดั๊ก บาร์เน็ตต์ กรรมการผู้อำนวยการเควสต์แมเนจเมนต์ ซึ่งมีวงเงินลงทุน300ล้านเหรียญฯในกองทุนโฟกัสไทยอิควิตี้เผย ทำนองเดียวกับมหาเศรษฐีหุ้นฮูเลี่ยน โรเบิร์ตสัน และจอห์น เทมเพิลตัน ที่กล่าวว่า”หุ้นไทยถูกมาก ยังจะวิ่งได้อีกราว40% ถึงจะไปทันราคาเฉลี่ยของตลาดหุ้นอื่นๆในย่านเอเชีย”

ประชาธิปไตยจะกลับมา?

“ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปได้อีก50%”แกรี อีแวนส์ นักกลยุทธ์ของHSBCที่มีฐานในฮ่องกงกล่าว โดยเขาบอกว่ามีโอกาสมากกว่า70%ที่การฟื้นฟูประชาธิปไตยในไทยจะบรรลุผลสำเร็จ

การฟื้นฟูประชาธิปไตยดูมีความก้าวหน้าขึ้น โดยเมื่อวันที่6กรกฎาคม2550 สภาของระบอบปกครองเผด็จการได้สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และหากผ่านการลงประชามติ การเลือกตั้งทั่วไปก็คาดว่าจะมีขึ้นภายในวันที่25พฤศจิกายนนี้เป็นอย่างเร็ว ทั้งนี้จากการเปิดเผยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

นักลงทุนซึ่งตกใจกลัวจากเหตุการณ์รัฐประหารก็กำลังเฝ้าจังหวะที่จะกลับมาช้อนซื้อหุ้นไทยอยู่ แต่ระหว่างนั้นก็เข้าไปลงทุนในหุ้นที่ในหลวงทรงถือหุ้นใหญ่อยู่ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงอยู่ในพระราชบัลลังก์มาอย่างมั่นคงกว่า61ปีแล้ว ก็นับว่าเป็นหุ้นที่ปลอดภัยที่สุดของประเทศไทย รวมทั้งเป็นประเทศเกษตรและอุตสาหกรรมที่มีความน่าเชื่อถือ โดยเป็นทั้งประเทศที่ส่งออกข้าวใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นศูนย์หกลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน

“ตอนนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังต่ำกว่าจุดสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อปี2537อยู่มากถึง60%”ดร.มาร์ค โมเบียส ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนมูลค่ากว่า320พันล้านเหรียญฯให้กับเทมเพิลตันแอสเซ็ทแมเนจเม้นต์ในสิงคโปร์กล่าว และเปฌ็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย รวมทั้งหุ้นที่ในหลวงทรงถือหุ้นใหญ่ด้วยคือเครือซิเมนต์ไทย และธนาคารไทยพาณิชย์

“เป็นที่รู้กันดีว่าหุ้นของบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่โดยพระราชวงศ์ของไทยที่ได้รับการสักการบูชาสูงยิ่งก็จะได้รับการเอื้ออำนวยในด้านต่างๆด้วย”โรเบิร์ต เพนนาลูซา ประธานบริหารของกองทุนอะเบอร์ดีน แมเนจเม้นต์ ที่มีฐานในกรุงเทพฯกล่าว

“เราได้พบคุณค่าที่น่าดึงดูดใจในหุ้นเหล่านี้”เพนนาซูลาซึ่งบริหารเงินลงทุนกว่า2.2พันล้านเหรียญฯ รวมทั้งหุ้นSCC SCBกล่าว

กษัตริย์ของไทยทรงอยู่ในราชบัลลังก์อย่างมั่นคง แม้ว่าจะ ผ่านการยึดอำนาจรัฐประหารมากว่า18ครั้ง และการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมา26คน นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ประชาธิปไตยเมื่อปี2475 แม้จะมีการออกกฎหมายจำกัดพระราชอำนาจของกษัตริย์ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญเหมือนประเทศอังกฤษ

ยุวกษัตริย์พระชนม์18

ในปี2476 พระปกเกล้าฯทรงสละราชสมบัติ และพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระเชษฐาของในหลวงองค์ปัจจุบันได้ทรงสืบราชบัลลังก์มาร่วม10ปี โดยเสด็จไปประทับในสวิตเซอร์แลนด์ระหว่างรับราชสมบัติ แต่ในปี2488ได้เสด็จนิวัติประเทศไทยเพื่อทำพิธีราชาภิเษก 6เดือนถัดมาพระองค์เสด็จสวรรคตบนเตียงในพระราชวังบรมพิมานที่กรุงเทพฯ โดยต้องกระสุนปืนที่วางอยู่ข้างพระวรกาย มีชาย3คนถูกจับกุมตัวและต้องหาว่ากระทำการลอบปลงพระชนม์ และถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา

เมื่อในหลวงภูมิพลทรงพระชนมายุ18พรรษานั้น ไทยเกือบจะไร้กษัตริย์ ทั้งนี้จากการเปิดเผยของมีชัย วีระไวทยะ อดีตประธานธนาคารกรุงไทย แบงก์ใหญ่ดันดับ2กล่าว

ในหลวงภูมิพลซึ่งศึกษาในวิชารัฐศาสตร์,รัฐประศาสนศาสตร์และกฎหมายในมหาวิทยาลัยโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องทรงพระราชอุตสาหะในการเสด็จกลับมาฟื้นฟูพระเกียรติแห่งราชบัลลังก์ ทรงเสด็จไปยังท้องถิ่นทุรกันดารของประเทศ จัดตั้งฟาร์ม สนับสนุนการชลประทานเพื่อการประมง และสนับสนุนฟื้นฟูชนบทซึ่งกว่าครึ่งอยู่ในสภาพยากจนข้นแค้น

สมาชิกในพระราชวงศ์ได้ผลักดันให้รัฐบาลคืนทรัพย์สินที่ดินและหลักทรัพย์ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ถูกยึดไปนับแต่ปี2475 ด้วยความที่เป็นที่ชื่นชมพระบารมีอย่างสูงยิ่ง ทำให้พระราชบารมีเป็นที่แผ่ไพศาลมั่นคง ทั้งนี้จากการรายงานของพอล แฮนด์ลีย์ ผู้เขียนหนังสือ The King Never Smile

สิริราชย์สมบัติ

ในปัจจุบันพระเจ้าอยู่หัวทรงมีที่ดิน13,000เอเคอร์ ในนั้นกว่า3,000เอเคอร์อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทย โดยพื้นที่บางแห่งมีมูลค่ากว่า30ล้านเหรียญต่อเอเคอร์ ทั้งนี้จากการประเมินของบริษัทซีพีริชาร์ดเอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก

พื้นที่บางส่วนถูกนำไปพัฒนาเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นช็อปปิ้งมอลล์ใหญ่ที่สุดของประเทศ,สวนลุมไนต์บาร์ซ่า พื้นที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ,พื้นที่ถนนราชดำเนินอันเต็มไปด้วยตึกสวยงามและสถานที่ตั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ แลโรงแรงโฟร์ซีซั่น และโรงแรมดุสิตธานี

พระเจ้าอยู่หัวยังทรงถือหุ้น87%ในโรงแรมเคมเพนสกี้ ซึ่งมีฐานมาจากมิวนิคด้วย ผ่านทางบริษัทCPB EQUITY ทั้งนี้รายงานในปี2548ระบุว่าเคมเพนสกี้ในไทยมีมูลค่ากว่า716ล้านเหรียญฯ

ตีโต้ได้อย่างน่าทึ่ง

“พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงรื้อฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง”คริส เบเกอร์ นักประวัติศาสตร์ผู้เขียนเรื่อง”ประวัติศาสตร์ไทย”ร่วมกับดร.สุก พงษ์ไพจิตร โดยชี้ว่า”สำนักงานทรัพย์สินฯคือองค์กรธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย”

ด้วยพระราชสิริราชย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ พระเจ้าอยู่หัวกลับไม่มีพระราชประสงค์จะทำตัวเป็นดั่งมหาเศรษฐีทั่วไป พระองค์ท่านเสวยข้าวที่ไม่ด่านโรงสีไฟฟ้าเพื่อดำรงพระชนม์ชีพ ทั้งนี้จากหนังสือของแฮนด์ลีย์ หลังจากพระเชษฐาเสด็จสวรรคต พระองค์และสมาชิกพระราชวงศ์ชั้นในได้ย้ายออกจากพระราชวังทองไปอยู่ในพื้นที่60เอเคอร์ซึ่งเล็กกว่าพระราชวังเดิม ต่อมาเรียกว่าพระราชวังสวนจิตรลดา ซึ่งอยู่ในใจกลางกรุงเทพฯ

พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปยังต่างประเทศเพียงหนเดียวเท่านั้นในรอบ40ปีที่ผ่านมา นั่นคือประเทศลาว ซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ในทางตรงกันข้ามพระองค์ท่านได้พุ่งความสนพระราชหฤทัยไปยังสิ่งที่ได้สถาปนาขึ้นใหม่ และพระองค์เรียกว่า”เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งก็คือเศรษฐกิจที่เน้นความมั่นคงและพัฒนาอย่างยั่งยืนมากกว่าเน้นการเจริญเติบโตแบบมืดบอด และมีความเสี่ยงสูงมากกว่า

(รายงานข่าวถัดจากนี้เป็นเรื่องยั่วล้อว่าหากบางทีสำนักงานทรัพย์สินฯจะใส่ใจในทฤษฎีใหม่บ้างคงดีไม่น้อย และว่าเนื่องจากไทยอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมโลกเลยหนีไม่พ้นความเสี่ยงสารพัด รวมทั้งการที่ค่าเงินบาทแข็งก็ส่งลกระทบต่อกำไรของทั้งเครือซิเมนต์ไทย และแบงก์ไทยพาณิชย์ให้หดตัวลงมากในช่วงครึ่งแรกของปี2550ด้วย แต่ทว่าราคาหุ้นกลับขึ้น เพราะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนักลงทุน)

สยามยามอดีต

สิริราชย์สมบัติทั้งปวงนั้นสืบทอดมานับแต่ไทยยังเป็นราชอาณาจักรสยาม และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นเจ้าของทุกสิ่งอย่าง พระราชวงศ์จักรีนั้นสถาปนาโดยพระรามาธิบดีที่1ซึ่งเป็นพระราชบรรพบุรุษของในหลวงองค์ปัจจุบัน ที่คนในโลกตะวันตกรู้จักดีคือคิงมงกุฎ รัชกาลที่4 ซึ่งถูกนำไปสร้างเป็นละครเพลง”เดอะคิงแอนด์ไอ”และสร้างเป็นภาพยนตร์ในปีค.ศ.1956 โดยมียูล บรีนเนอร์รับบทเป็นคิงมงกุฎ แต่ก็ถูกห้ามฉายในประเทศไทย

กษัตรย์องค์ที่5ของพระราชวงศ์จักรี คือคิงจุฬาลงกรณ์นั้นทรงสถาปนาสำนักงานพระคลังข้างที่ขึ้นมาในปีค.ศ.1890 นักประวัติศาสตร์คือนายเบเกอร์อธิบายว่า เป็นสำนักงานการลงทุนแห่งแรกของกษัตริย์ และในปีค.ศ.1906หรือพ.ศ.2449กว่า100ปีที่แล้วสมาชิกในพระราชวงศ์ได้ก่อตั้งแบงก์สยามกัมมาจล หรือธนาคารไทยพาณิชย์ขึ้น

สละราชสมบัติ,สวรรคต
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่6 กษัตริย์วชิราวุธ และเป็นพระปิตุลาในหลวงองค์ปัจจุบันด้วย ก่อตั้งบริษัทปูนซิเมนต์สยามขึ้นในปี2453 โดยเมื่อแรกเริ่มดำเนินธุรกิจบรรทุกไม้และขนส่งตามแม่น้ำลำคลอง

การสละราชสมบัติของรัชกาลที่7 และการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่8 สร้างให้ในหลวงภูมิพลเป็นที่รู้จักในพระนามรัชกาลที่9 พระองค์เสกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิตติยากร บุตรีทูตไทยในฝรั่งเศส และทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา4พระองค์

เช่นเดียวกับชายไทยทั่วไป พระองค์ได้ทรงออกผนวชเป็นพระภิกษุอยู่2สัปดาห์ ส่วนการผ่อนคลายพระราชอิริยาบถนั้นพระองค์ท่านทรงโปรดแซกโซโฟนในดนตรีแจซ

(มีความเกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจไทยยุคฟองสบู่แตก,บทบาทของในหลวงเกี่ยวกับพระบารมีในการดับวิกฤตการณ์การเมือง รวมทั้งกรณีพฤษภาทมิฬ2535 และกรณีพระรัชทายาทอีกด้วย ท่านที่สนใจกรุณาแปลเองนะครับ)

บทความสรุปลงท้ายว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามด้วยพระบารมีของในหลวงก็ได้ทำให้นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศได้พบคุณค่าสำคัญประการหนึ่ง นั่นก็คือความมั่นคงในพระราชบัลลังก์อันยาวนาน สามารถ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆมาได้และเพิ่มพูนพระราชอำนาจพระราชบารมี ก็ทำให้นักลงทุนเหล่านั้นต่างเห็นว่าแม้บ้านเมืองของไทยจะเป็นอย่างไร แต่หุ้นที่ในหลวงทรงถืออยู่นั้นมั่นคงปลอดภัยสำหรับการลงทุนเสมอ
(ความสุดท้ายนี้ท่าจะจริงครับ เมื่อวานตอนที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กออกรายงานข่าวนี้ และหุ้นไทยตกหนักกว่า30จุดนั้น หุ้นSCCไม่ตกซักบาท ส่วนหุ้นไทยพาณิชย์ ตกแต่พองาม2บาทต่อหุ้น โดยมีแรงซื้อหนุนอยู่ตลอดเวลาที่ข่าวนี้เผยแพร่ไปทั่วโลก)

จากคุณ : Semi - [ 2 มิ.ย. 51 12:15:45 ]


ทุกท่านอ่านประวัติความเป็นมาของสำนักงานทรัพย์สินฯก่อนก็จะดีนะครับ
bloomberg เข้าใจอะไรผิดบางอย่าง เกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนักงานทรัพย์สินฯ
และอาจจะทำให้คนตีความได้หลายทาง เช่น เข้าใจผิดว่าในหลวงทรงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องหุ้น
//www.crownproperty.or.th/history.php

ผมรักในหลวงเช่นกัน

จากคุณ : Crazy Rabbit - [ 2 มิ.ย. 51 16:54:13 ]

ผมเพิ่งจะรู้ว่าพ่อหลวงของเราก็ทรงเป็นนักลงทุนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างชาญฉลาดไม่แพ้นักลงทุนมหาเศรษฐีของโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตจริงๆ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2550    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:31:20 น.
Counter : 1453 Pageviews.  

มายาคติคนไทยกรณี ปตท. อภิสิทธิ์นักการเมืองจองหุ้นปตท.คำร่ำลือที่เกินจริงที่ถูกเชื่อง่าย

รายงาน-ในความสำเร็จอย่างล้นหลามที่ใช้เวลาในการจองหุ้นเพียงแค่ 77 วินาที ในการขายหุ้นจอง ปตท.ปลายปี 2544 ซึ่งคนในวงการรัฐบาลและตลาดหลักทรัพย์โหมประโคมกันได้กลายเป็นภาพตรงกันข้ามขึ้นมาทันที หลังจากที่ปรากฏรายชื่อนักลงทุนรายย่อยที่ ก.ล.ต. นำมาเปิดเผยเมื่อเวลาผ่านไป ปรากฎว่าในรายชื่อระดับหัวแถวของนักลงทุนที่ได้รับหุ้นจองเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นรายชื่อผู้ใกล้ชิดนักการเมืองซีกรัฐบาลได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น นายทวีฉัตร จุฬางกูร หลานชายนายสุริยะ รุ่งเรืองกิจ ได้หุ้นไป 2.1 ล้านหุ้น นายประยุทธ มหากิจสิริ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย (ในขณะนั้น) และเครือญาติ ที่ได้หุ้น ปตท.รวมกันถึง 5.1 ล้านหุ้น นอกจากนี้ หากพิจารณารายชื่อนักลงทุนรายย่อยที่ได้รับการจัดสรรหุ้น ปตท.กว่า 1 หมื่นคน ในขณะนั้น พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่มีนามสกุลเดียวกันได้รับการจัดสรรหุ้น เช่นจิราธิวัตน์ ได้หุ้นรวมกัน 9 แสนหุ้น ตรีทองได้หุ้นรวมกัน 3 แสนหุ้น ตระกูลนำศิริกุล ได้หุ้นรวมกัน 5 แสนหุ้น ลีนะบรรจง ได้หุ้นรวมกัน 4 แสนหุ้น ไม่เพียงเท่านั้นยังมีนักการเมืองและบุคคลใกล้ชิดนักการเมืองทั้งซีกรัฐบาลและฝ่ายค้านอีกหลายสิบคนที่ได้รับการจัดสรรหุ้น ปตท.ในครั้งนั้นอย่างทั่วถึงด้วย แต่ ข้อเท็จจริงที่ปรากฎว่า ยอดรวมจำนวนหุ้นที่คนเหล่านี้ได้รับไปผ่านการจองซื้อ มี 25.56 ล้านหุ้น เมื่อคิดจากจำนวนหุ้นที่แบ่งให้กับนักลงทุนรายย่อย 480 ล้านหุ้น จะมีสัดส่วนเท่ากับ 5.3% ของจำนวนหุ้นที่แบ่งให้นักลงทุนรายย่อย และหากเทียมกับจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายรวม 800 ล้านหุ้น จะมีสัดส่วนเพียง 3.1% เมื่อนำไป เทียบกับจำนวนหุ้นรวมหลังเพิ่มทุนของปตท. จำนวน 2,800 ล้านหุ้น หุ้นดังกล่าวจะมีสัดส่วนเพียงแค่ 0.09% เท่านั้น

สัดส่วนของกลุ่มคนที่ระบุมา จึงไม่มีนัยสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงข้อกล่าวหาในเวลาต่อมาว่าใช้อภิสิทธิ์แสวงหาลาภอันมิควรได้ แต่รายชื่อดังกล่าว ก็เป็นเชื้อไฟที่ดีสำหรับการกล่าวหาในลักษณะสาดโคลนทางการเมืองได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะสังคมที่มีความรู้สึกเปราะบางกับพฤติกรรมคอรัปชั่นของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ

รายชื่อของคนเหล่านี้ ถูกนำไปขยายความในลักษณะ tall tales (เรื่องเล่าที่เกินจริง) ในทันทีโดยนักวิชาการ กลุ่มต่อต้านการปฏิรูป และกลุ่มนักฉวยโอกาสทางการเมือง ผ่านสื่อมวลชนต่างๆ เพื่อระบุถึงความไม่ชอบมาพากลของการขายหุ้นจองของ ปตท. ในปลายปี พ.ศ.2544 โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ผลประโยชน์ทับซ้อน การคอรัปชั่นทางนโยบาย และ การใช้อภิสิทธิ์แสวงค่าเช่าส่วนเกินทางเศรษฐกิจ

การเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้น ก.ล.ต. ได้อธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า ไม่ถือเป็นความผิดปกติ การที่นายทวีฉัตรได้รับการจัดสรรหุ้นสูงสุด 2.2 ล้านหุ้น เพราะรับจัดสรรในรูปการจองผ่านธนาคารพาณิชย์ 1 แสนหุ้น ในฐานะลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ และเป็นหุ้นในส่วนของผู้มีอุปการคุณของ ปตท. อีก 2.1 ล้านหุ้น

ส่วนรายของนายประยุทธ และนางสุวิมล มหากิจศิริ นั้น กลต. ก็ได้ชี้แจงว่า นายประยุทธได้ซื้อผ่านธนาคาร 1 แสนหุ้น และได้รับการจัดสรรผ่านบริษัทหลักทรัพย์และในฐานะผู้มีอุปการคุณอีก 1.96 ล้านหุ้น ส่วนของนางสุวิมลก็ซื้อผ่านธนาคาร 1.1 ล้านหุ้น และจัดสรรผ่านตลาดหลักทรัพย์และในฐานะผู้มีอุปการคุณอีก 4.46 แสนหุ้น ซึ่ง ก.ล.ต. ถือว่าถูกต้องตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทุกประการ

ในช่วงที่ราคาหุ้นของ ปตท.ที่ซื้อขายในตลาด แสดงอาการหลุดจอง ข้อกล่าวหาดังกล่าว ดูมีน้ำหนักต่ำและไม่น่าเชื่อถือ แต่เมื่อราคาหุ้นกลับทะยานขึ้นมาในระดับที่สูงขึ้นเหนือ 50 บาท ในเวลาต่อมา ก็เข้าทางของกลุ่มต่อต้านการแปรรูป และสื่อบางแห่งที่สามารถใช้จินตนาการทางลบ สร้างเรื่องให้ใหญ่เกินจริงขึ้นมา โดยพยายามคำนวณว่า หากคนเหล่านี้ ยังคงถือหุ้นเอาไว้ จนถึงตอนที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาในระดับที่”ได้กำไร”แล้ว จะได้กำไรเท่าใด

ตัวอย่างเช่นสื่อหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์แหน่งหนึ่ง คำนวณกันง่ายๆเลยว่า หากคนเหล่านี้ถือหุ้นทั้งหมดที่ได้รับมา จนถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2546 (หลังจากหุ้นปตท. เข้าซี้อขายในตลาดแล้ว 19 เดือน) ซึ่งราคาปิดของหุ้น อยู่ที่ 66 บาท นายทวีฉัตรจะมีกำไรจากราคาหุ้นเมื่อหักลบต้นทุนในช่วงที่ซื้อครั้งแรกถึง 95 ล้านบาทเลยทีเดียว นายประยุทธ มหากิจสิริและเครือญาติ จะมีกำไรถึง 158 ล้านบาท ตระกูลจิราธิวัตน์ จะมีกำไรถึง 27.9 ล้านบาทตระกูลตรีทอง จะมีกำไรถึง 9.3 ล้านบาท ตระกูลนำศิริกุล จะมีกำไรถึง 15.5 ล้านบาทตระกูล ลีนะบรรจง จะมีกำไรถึง 12.4 ล้านบาท

นิทานจอมปลอมดังกล่าว ต่อมาถูกขยายใหญ่โตมากขึ้นไปอีกว่า สาเหตุที่นักการเมืองและเครือญาติ ตลอดจนคนใกล้ชิดผู้มีอำนาจในการจัดสรรหุ้น ปตท.ในครั้งนั้น ส่วนใหญ่ยังคงถือหุ้นไว้เป็นจำนวนมากเป็นเวลายาวนาน เพราะได้หุ้นมาในราคาพาร์ 10 บาท ไม่ใช้ราคาจองซื้อ 35 บาท ตามที่เข้าใจกัน

นักต่อต้านการแปรรูปบางคน อย่าง นายวุฒิพงศ์ เพียบจริยวัฒน์ ซึ่งเคยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทจัดอับดับความน่าเชื่อถือบริษัทแรกของไทย (ทริส เรตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด) มาก่อน ก็กลับใช้วิธีการเบี่ยงเบนอย่างน่าประหลาดในการกล่าวหาว่า หุ้น ปตท. ก็เหมือนหุ้นพลังงานอื่นกำลังถูกต่างชาติครองงำหลังแปรรูป เพราะดูเมื่อรายชื่ออันดับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 20 อันดับแรกตามทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์ไทย ล้วนปรากฏชื่อของบริษัทต่างชาติที่ซ้ำซ้อนกัน

ข้อมูลที่เหมาเชื่อเอาเองอย่างนี้ สำหรับคนที่คุ้นเคยกับตลาดหุ้น ย่อมรู้ดีว่ารายชื่อของบริษัทต่างชาติเหล่านี้ ซึ่งมักจะลงท้ายด้วยคำ nominee ซึ่งหมายถึงบริษัทที่ถือหุ้นแทนนักลงทุนอื่นๆ (ทั้งที่เป็นคนไทยหรือต่างชาติ) ที่ไม่ต้องการระบุชื่อของตนเองด้วยเหตุผลต่างๆ กันเพื่อเหตุผลในการเก็งกำไรมากกว่าเพื่อถือหุ้นระยะยาวโดยมีเป้าหมายในเชิงมุ่งเป็นกรรมการ หรือ มุ่งยึดอำนาจบริหาร ไม่ใช่ต่างชาติจริงเป็นผู้ถือหุ้น เรื่องเล่าเกินจริงประสบความสำเร็จ ได้ถูกขยายความเพิ่มเติมโดยนักการเมืองฝ่ายค้าน ได้ถือโอกาสนำเรื่องนี้ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณในกลางปี 2546 โดยเฉพาะนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ซึ่งนายสุริยะก็ได้ตอบตีในรัฐสภาไปว่า “...เรื่องหลานของผม ทวีฉัตร จุฬางกูร ไม่ใช่เพิ่งมาซื้อหุ้นตอน ปตท.ถ้าไปดูประวัติเวลาหุ้นบริษัทใหม่ๆ ที่ออก IPO ทาง กลต. จะมีประกาศรายชื่อ 20 อันดับแรกว่าใครไปซื้อบ้าง หลานผมติดอันดับ 5 อันดับ 6 อันดับ 7 ติดอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นคือ เค้ามีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ตลอด และท่านทราบไหมครับวันที่ท่านอภิปรายฯผม ถ้าผมจำไม่ผิด วันที่ 23 พ.ค. 2545 วันที่ท่านบอกว่าไปเอื้อให้หลาน วันนั้นหุ้น ปตท.ราคา 33.50 บาท ต่ำไปกว่าราคาจอง 1.50 บาท ซึ่งวันนั้นหลานผม ก็ขาดทุนไปแล้ว 3 ล้านกว่าบาท รมต.กระจอกจริงๆ จะช่วยหลานทั้งทีทำให้หลานขาดทุน

คำตอบโต้ดังกล่าว ไม่ได้มีผลให้เรื่องเล่าลือเกินจริงเงียบหายไป เพราะยังมีการนำมาเล่าซ้ำกันอีกหลายๆครั้งไม่รู้จบ จนถึงปัจจุบัน เมื่อตอกย้ำความไม่ชอบมาพากลในการแปรรูปให้ได้ แถมยังมีคนเจตนาที่จะยินยอมเชื่อโดยไม่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ส่วนหนึ่งด้วยจนถึงทุกวันนี้ ข้อกล่าวหานี้ยังไม่หมดไปจากความเชื่อของคนบางกลุ่ม ซึ่งอาศัย ฎการวกกลับของจิตวิทยาฝูงชน”ที่ต่อต้านรัฐบาลทักษิณเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างภาพความฉ้อฉลในการแปรรูป ปตท. ทั้งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ชัดเจนว่า มีจริงหรือไม่

ข้อเท็จจริงอย่างย่อก่อนเข้าตลาดหุ้นปลายปี 2544 ภายหลังจากการแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนละปรับโครงสร้างหนี้รวมทั้งตัดขาดทุนสะสมที่เคยมีอยู่มากก่อนหน้านั้น ปตท. มีหนี้สินทั้งสิ้น 224,494 ล้านบาทมีส่วนของผู้ถือหุ้น 40,425 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่ระดับ 4.6 เท่า โดยมีมูลค่าหุ้นทางบัญชี หรือ book value ที่หุ้นละ 14.78 บาท โดยมีการกระจายหุ้นใหม่ให้กับประชาชนทั่วไป 850 ล้านหุ้นในราคาวางแผนไว้หุ้นละ 35 บาท ช่วงแรกที่เสนอขาย เป็นจังหวะไม่ดี เพราเพิ่งเกิดวิกฤตการเมืองโลกหลังจากวันที่ 11 กันยายน 2544 มาไม่นาน กองทุนต่างประเทศได้รวมตัวกันกดราคารับซื้อเหลือเพียงหุ้นละ 31บาทอ้างว่า ราคาแพงเกินไปทำให้ปตท.ปรับแผนมากระจายหุ้นที่จะขายต่างชาติมารวมกับที่จะขายให้คนไทยในประเทศเป็น 600 ล้านหุ้น ซึ่งปรากฏว่า มีคนจองล้นหลามในการเปิดขายครั้งแรก 220 ล้านหุ้น ใช้เวลาเพียงแค่ 1.17 นาทีเท่านั้นก็หมดเกลี้ยง ต้องทำการเปิดใหม่โดยปรับปรุงวิธีการเดิมให้ดีขึ้นท้ายสุดจึงขายหุ้นได้ทั้งหมดในราคา 35 บาทต่อหุ้นสำเร็จ ซึ่งในขณะนั้น ก็ยังมีบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นแพงเกินไปวันนี้ มูลค่าทางบัญชีของหุ้นปตท. อยู่ที่ 114.53 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ราคาซื้อขายในกระดานอยู่ที่ระดับ 350 บาทต่อหุ้น ก็ยังมีคนเชื่อว่า การขายหุ้นเพื่อแปรรูปครั้งนั้นเป็นการขายชาติ และเป็นการฉ้อฉล ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง กระทรวงการคลัง ไม่เคยขายหุ้น ปตท. ออกมาแม้แต่หุ้นเดียวนับแต่ปี 2544 เป็นต้นมา

หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น วันที่ 13 ธันวาคม 50




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2550    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:20:58 น.
Counter : 477 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.