ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

ความพอเพียงที่แท้จริง(ของญี่ปุ่น)

12 มี.ค. 2009 - 18:03:43 น.

คอลัมน์ : บทความประชาทรรศน์
ดร.โสภณ พรโชคชัย*
.
อย่างไรหนอจึงเรียกว่า “พอเพียง” ในทางเศรษฐกิจ เราลองมาดูตัวอย่างจากญี่ปุ่นกันว่า “ความพอเพียง” ที่แท้เป็นอย่างไร การพึ่งตนเองที่แท้โดยไม่มีระบบอุปถัมภ์เป็นอย่างไร คล้ายกับเมืองไทยเราหรือต่างกันอย่างไร
.
.
มารู้จักหมู่บ้านอุมะจิ
.
ในขณะนี้หมู่บ้านต่าง ๆ ในญี่ปุ่นกำลังพังทลาย โดยในปี 2541 มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. ทั้งหมด 3,232 แห่ง ระดับต่ำสุดของ อปท. ก็คือหมู่บ้าน ซึ่งมี 570 แห่ง แต่พอถึงปี 2550 มีหมู่บ้านเหลือไม่ถึง 200 แห่งทั่วประเทศแล้ว
.
แต่หมู่บ้านอุมะจิกลับสามารถยืนหยัดและเติบโตสวนกระแสได้ หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ไกลปืนเที่ยงจริง ๆ คืออยู่กลางหุบเขา บนเกาะชิโกกุ ห่างไกลตัวเมืองโดยใช้เวลาเดินทางโดยรถแท็กซี่ประมาณ 2 ชั่วโมง ประชากรที่นี่มีเพียง 1,117 คน หมู่บ้านนี้เคยมีประชากรสูงสุดถึง 3,500 คนในสมัยอุตสาหกรรมป่าไม้รุ่งเรือง
.
.
ส้มยูสุเพื่อการพึ่งตนเอง
.
ในช่วงที่เป็นหมู่บ้านอุตสาหกรรมทำไม้ หมู่บ้านนี้พึ่งพิงรัฐเพียงอย่างเดียว จนมาตกต่ำสุดขีดเมื่อปี 2532 เมื่อบริษัททำไม้ล้มละลาย ดังนั้นหมู่บ้านนี้จึงต้องหาทางออกใหม่ เช่น การแปรรูปไม้เป็นกระเป๋าหรือผลิตภัณฑ์อื่นส่งไปขายทั่วโลก และการทำน้ำส้มยูสุ ตลอดจนการทำกิจการโรงแรมน้ำแร่ร้อนในหมู่บ้านเพื่อทดแทนอุตสาหกรรมป่าไม้ที่ ร่วงโรยไป
.
อย่างไรก็ตามการส่งเสริมการปลูกส้มชนิดนี้กันอย่างขนานใหญ่ในแถบตะวันตกของ ญี่ปุ่น ทำให้เกิดภาวะล้นตลาดในปี 2522 หมู่บ้านก็ยิ่งหดตัวลงอีก การทำอะไรตาม ๆ กันจึงไม่ใช่สูตรตายตัวแห่งความสำเร็จ ดังนั้นการเรียนรู้เพื่อการทำธุรกิจที่เป็นมืออาชีพของหมู่บ้านจึงได้เริ่ม ขึ้น
.
นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมีโรงแรมน้ำแร่ร้อน ปรากฏว่ามีรายได้ปีละ 150 ล้านเยน มีผู้ใช้บริการ 40,000 คนในปี 2541 และเป็น 50,000 คนในปี 2550 โดยพักค้างคืน 7,100 คนต่อปี และนับถึงบัดนี้มีผู้เข้าพักโรงแรมแห่งนี้นับล้านคนแล้ว
.
.
กลยุทธ์ธุรกิจที่พึงเรียนรู้
.
ความสำเร็จของหมู่บ้านนี้ไม่ใช่มาจากความพยายามแบบมวยวัด แต่เป็นการหยั่งรู้จริงของการบริหารและจัดการธุรกิจอย่างเป็นระบบที่ควรค่า แก่การศึกษายิ่ง เป็นการทำธุรกิจแบบมืออาชีพโดยแท้ที่ไม่น่าเชื่อว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ จะสามารถทำได้ (แต่ถ้าทำไม่ได้ก็คงถูกลบไปจากประวัติศาสตร์หรือพังทลายเช่นหมู่บ้าน ญี่ปุ่นอื่น ๆ แล้ว)
.
กลยุทธ์ธุรกิจในที่นี้ขอนำเสนอเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นชัดเจนดังนี้:
.
1. กลยุทธ์ขายตรงสู่ผู้ซื้อ ในการจำหน่ายสินค้าการขายตรงสู่ผู้ซื้อทำให้สามารถทำกำไรสูงสุดเพราะเน้นการ ติดต่อตรงระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค ลูกค้าจำนวนถึง 350,000 รายคงพอเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จตามกลยุทธ์นี้ได้ แต่การวางขายตามร้านก็มีเช่นกัน
.
2. การวิจัยผลิตภัณฑ์เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่เสมอ เช่น แต่เดิมแถบนี้ก็มีการผลิตน้ำส้ม แต่เป็นแบบเข้มข้นที่ต้องละลายน้ำ ผู้ซื้อเองก็อาจกะปริมาณน้ำที่จะผสมไม่ถูก รสชาติก็อาจเปลี่ยนไป หมู่บ้านนี้จึงคิดสูตรน้ำส้มแบบพร้อมดื่ม ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยอย่างหนัก
.
3. การออกบูธเพื่อส่งเสริมการขาย แต่ละครั้งก็มีต้นทุนประมาณ 200,000 - 300,000 เยน ไม่ใช่ไปขอทางห้างร้านหรือรัฐบาลอุปถัมภ์ ในการออกร้านยังมีหลักการสำคัญคือ นอกจากขายน้ำส้มแล้วยังมีซูชิขายด้วย เพื่อจูงใจให้ลูกค้าเข้าร้าน อย่างไรก็ตามการออกร้านซึ่งมักต้องเกี่ยวข้องกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่นั้น ผู้ทำธุรกิจก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของห้างเหล่านี้ด้วย ตัองระวังเรื่องปริมาณการสั่งซื้อที่อาจมากเกินความสามารถในการผลิต เรื่องการดึงให้ผู้ผลิตเข้าร่วมสงครามราคา รวมทั้งกำหนดการส่งสินค้าที่แน่นอน ไม่ยืดหยุ่น เป็นต้น
.
4. การลงทุนว่าจ้างมืออาชีพมาดำเนินการ (ไม่ใช่ไปขอแรงฟรี) สินค้าดีต้องอยู่ในรูปโฉมที่ดีด้วย ดังนั้นการออกแบบฉลาก และหีบห่อจึงมีความสำคัญและควรใช้มืออาชีพ นอกจากนี้การทำใบปลิว โปสเตอร์ ก็ควรใช้บริการมืออาชีพที่มีหลักวิชาที่ถูกต้องเช่นกัน
.
5. การลงทุนโฆษณาผ่านสื่อก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ไม่ใช่แบมือขอฟรี สื่อหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามก็คือหนังสือพิมพ์ หมู่บ้านนี้ทำ “หนังสือพิมพ์ยูสุ” ซึ่งคงออกรายสะดวกแต่มีจำนวนพิมพ์ถึง 30,000 ฉบับต่อครั้ง หมู่บ้านนี้ยังรู้จักลงทุนโฆษณาทางโทรทัศน์ ในปี 2532 เคยโฆษณาแบบปูพรมใช้เงินถึง 2,500,000 เยน ยิงโฆษณาไปถึง 250 ครั้ง จนมีอำนาจต่อรองกับสถานีโทรทัศน์
.
6. ความทันสมัยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หมู่บ้านนี้ทันสมัยทันโลก ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี รู้จักใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังสร้างโฮมเพจเผยแพร่ข่าวสารไปได้ทั่วโลกอีกด้วย
.
7. การสานสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าก็เป็นกลยุทธ์สำคัญเช่นกัน หมู่บ้านนี้แม้ไม่มีกอล์ฟ แต่ผู้บริหารก็เอาใจลูกค้าโดยพาไปตกปลาแทน กลยุทธ์การสานสัมพันธ์อีกอย่างหนึ่งก็คือการดูงาน ในแต่ละปีมีคนมาดูงานหลายพันคน ซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดีของหมู่บ้าน นอกจากนี้หมู่บ้านนี้ยังผูกใจลูกค้าด้วยการจัดส่งบัตรอวยพรไปให้ลูกค้าอยู่ เนือง ๆ แม้จะเสียเวลาและค่าใช้จ่ายบ้าง แต่ก็คุ้มค่าในระยะยาว
.
8. กลยุทธ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการหาเครื่องหมายรับรอง เช่น การยืมมือผู้มีชื่อเสียงมาสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น ครั้งหนึ่งมกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นก็เคยเสวยน้ำส้มของหมู่บ้านนี้มาแล้ว นอกจากนี้การแสวงหารางวัลเกียรติยศก็เป็นการสร้างหลักประกันของแบรนด์ทาง หนึ่ง การได้รับรางวัลเป็นการช่วยกระตุ้นยอดขาย อันถือเป็นใบเบิกทางสำคัญในการสร้างความเชื่อถือแก่ลูกค้า พอยี่ห้อติดมีชื่อเสียง ก็จะมีโอกาสดี ๆ ตามเข้ามา เช่น มีห้างร้านต่าง ๆ อยากได้สินค้าไปวางขายเพิ่มขึ้น หรือบริษัทผลิตขวดก็วิ่งเข้ามาหา เป็นต้น
.
.
รู้จักสร้างจุดขาย
.
ในญี่ปุ่นอาจมีส้มอื่นที่อร่อยกว่าส้มยูสุ แต่ส้มยูสุมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอันถือเป็นจุดขายของส้ม กล่าวคือการปลูกส้มยูสุในหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านอื่นบนเกาะนี้ก็มีความ เกี่ยวพันกับราชวงศ์ญี่ปุ่นในสมัยโบราณที่หลบหนีภัยการเมืองมาอยู่บนเกาะนี้ อย่างไรก็ตามสินค้าเกษตรอื่น ๆ อาจไม่มีจุดขายข้อนี้ แต่ก็ต้องพยายามค้นหาจุดขายในแง่ของตนเองให้พบจึงจะประสบความสำเร็จ
.
จุดอ่อนที่กลับกลายเป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งคือความเป็นบ้านนอก บ้านนอกยังมี “บางสิ่งที่เมืองใหญ่ทำหายไป” อย่างถนนทางเข้าหมู่บ้านที่คับแคบ แรก ๆ ชาวบ้านก็อยากให้ทางการช่วยขยายถนนให้ แต่เมื่อพบว่านักท่องเที่ยวชอบใจในความเป็นชนบท จึงได้คิด การมีถนนใหญ่เข้าถึงหมู่บ้านกลับยิ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้คนในหมู่บ้าน ย้ายหนีออกกันเสียอีก
.
.
บทสรุป
.
ที่นำเสนอข้างต้นก็คือตัวอย่างของจริงของความพอเพียง เราทำธุรกิจต้องเข้าใจการทำธุรกิจ แม้ผลิตภัณฑ์หมู่บ้านนี้จะไม่ใช่อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น แต่จัดอยู่อันดับต้น ๆ ของจังหวัด แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ก็เพราะความเป็นมืออาชีพในการบริหาร ธุรกิจโดยแท้ สินค้าที่จะประสบความสำเร็จ จึงไม่จำเป็นต้องมีรสชาติอันดับหนึ่ง แต่อยู่ที่การบริหารที่ดีเยี่ยมที่ต้องมีทรัพยากรบุคคลเพียงพอและมีระบบ องค์กรที่ดี หมู่บ้านนี้ยังสอนว่าผู้ทำธุรกิจที่ดีต้องพิจารณาการขยายตลาดอยู่เสมอ
.
อาจกล่าวได้ว่าในการในโลกของการทำธุรกิจ ไม่มีคำว่า “พอเพียง” ในความหมายของการหยุดหรือรักษาระดับอยู่ ณ ขีดใดขีดหนึ่ง แต่ภาวะความพอเพียงมีลักษณะพลวัตรที่ต้องก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ หยุดนิ่งไม่ได้ เหมือนน้ำ ถ้าหยุดหรือพอเมื่อไหร่ก็คงเน่า
.
สู้โลกาภิวัตน์ด้วยโลกาภิวัตน์ ไม่ใช่ถอยหลังเข้าคลอง หรือกลับไปอยู่ป่าแบบยืนกระต่ายขาเดียว ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือแต่อย่างใด
.
.
หมายเหตุ:
บท ความนี้เขียนจากการอ่านหนังสือชื่อ “ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ” ซึ่งเขียนโดยคุณมาซาฮิโกะ โอโตชิ และได้รับการแปลถ่ายทอดเป็นไทยโดยคุณมุทิตา พานิช สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา มีนาคม 2549. 283 หน้า
.
.
* ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ AREA sopon@area.co.th URL: //www.area.co.th

ที่มา ประชาทรรศน์




 

Create Date : 12 มีนาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:29:47 น.
Counter : 403 Pageviews.  

รวมกระทู้ไขปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินโดยคุณm_ple

ว่าด้วยเรื่องของน้ำมัน

น้ำมันแพงเพราะอะไร? มันจะทำให้เศรษฐกิจโลกล่มสลาย จริงเหรอ?

น้ำมันแพง-w1 : เก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ แถมยังมาลอยตัว LPG อีก รัฐคิดอะไรอยู่เนี่ย?

น้ำมันแพง-w3 : Stagflation คืออะไร? และภาครัฐควรแก้ปัญหานี้อย่างไร?

น้ำมันแพงเพราะการเก็งกำไร จริงเหรอ?

ว่าด้วยเรื่องของค่าเงินบาท

ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเพราะอะไร? ใครได้ ใครเสีย?

บาทแข็งเพราะอะไร และแบงค์ชาติทำไรอยู่?

ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเพราะอะไร ใครได้ ใครเสีย(เดจาวู)

เกิดอะไรขึ้นที่ Offshore (ภาคแก้ไข) กับ เล่นอะไรกันถึงขาดทุน 300,000 ล้าน!?

"พรบ.สถานบันคุ้มครองเงินฝาก ออกมาเมื่อไร เตรียมตัวเอาเงินไปใส่ไห" จริงเหรอ?

ตกลงเราควรขึ้นดอกเบี้ยหรือเปล่าครับ?

ว่าด้วยเรื่องวิกฤตBlack Tuedayเมื่อวันที่19 ธันวาคม 2549ของตลาดหุ้นไทย

มาตรการ 18 ธ.ค. 2549 : แบงค์ชาติทำอะไรลงไป

มาตรการกันสำรอง 30% คืออะไร และทำไมถึงมายกเลิกตอนนี้?

ว่าด้วยเรื่องของการเงินการค้าข้าว

ข้าวแพงเพราะอะไร? ชาวนาไทยรวยขึ้นจริงเหรอ?

ว่าด้วยเรื่องของSubprime

Subprime คืออะไร มันจะทำให้เศรษฐกิจโลกล่มสลายจริงเหรอ? (ภาคต้น)

Subprime คืออะไร มันจะทำให้เศรษฐกิจโลกล่มสลายจริงเหรอ? (ภาคกลาง)

Subprime คืออะไร มันจะทำให้เศรษฐกิจโลกล่มสลายจริงเหรอ? (ภาคจบ)

เกิดอะไรขึ้นที่กรีก?

เศรษฐกิจไทย พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว จริงเหรอ?

ดุลบัญชีเดินสะพัดคืออะไร? แล้วมันบอกอะไรเรา?

ว่าด้วยเรื่องของการลงทุนกับเทศกาลฟุตบอลโลก

ผมซึ่งไม่ได้เป็นนักเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็นับถือคุณm_pleจริงๆครับ ตีปัญหาได้แตกฉานกว่าสื่อคอลัมนิสต์นักเขียนข่าวเศรษฐกิจในหลายๆหัวเลย
เห็นว่าเจ้าตัวไม่เอาข้อมูลมาทำBlogสักทีหนึ่ง ก็เลยว่าแรกๆกะว่าจะลงข้อมูลเต็มๆในBlogแต่ไม่ค่อยอยากอัพลงไฟล์ภาพประกอบเท่าไหร่มันไม่สะดวก ก็เลยยกมาทั้งLinkกระทู้แทน




 

Create Date : 29 มกราคม 2552    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2554 16:38:40 น.
Counter : 2483 Pageviews.  

งานวิจัย"สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับการลงทุนทางธุรกิจ"

โครงการวิจัยอาวุโส สกว. ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร จัดเสวนาเรื่อง ‘โครงสร้างและพลวัตรทุนไทยหลังวิกฤตเศรษฐกิจ’ ณ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 29 มิ.ย. 2549 มีการนำเสนองานวิจัยในหัวข้อ ‘สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับการลงทุนทางธุรกิจ’ โดย รศ.ดร พอพันธ์ อุยยานนท์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

รศ. ดร.พอพันธุ์ นำเสนองานวิจัยว่า บทบาทสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมาย การเมือง และประวัติศาสตร์ จึงมีความเป็นสถาบันด้วย

จุด เปลี่ยนที่ทำให้เข้าสู่ช่วงที่ 3 คือ 2491-ปัจจุบัน รัฐบาลโดยนายควง อภัยวงศ์ พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มนิยมเจ้า แก้ไขเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2479 และพ.ศ. 2484 เป็น พ.ร.บ. จัดระเบียบฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491

พ.ร.บ.ดังกล่าวมี ผลให้สำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นนิติบุคคลที่คล่องตัวในการทำนิติกรรมสัญญา และแปลงสภาพจากราชวงศ์สู่มหาชนได้ อีกทั้งยังคุ้มครองทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ให้เป็นของบุคคลอื่น เว้นโดยพระบรมราชานุญาต แม้แพ้คดีก็ตามก็โอนให้อีกฝ่ายไม่ได้ อาวุธสำคัญในเวลาต่อมาคือที่ดินซึ่งมีจำนวนมากมาแต่เดิม

ส่วนผู้ บริหารสำนักงานทรัพย์สินก็คือเทคโนแครตชั้นเยี่ยมตั้งแต่สมัยนั้นถึง ปัจจุบัน ทั้งข้าราชการและข้าราชบริพารอย่างองคมนตรี แต่ก็มีคำถามถึงความคลุมเครือในการตีความสถานะขององค์กรเช่นกัน ซึ่งความคลุมเครือนี้เองกลายเป็นข้อดีของสำนักงานทรัพย์สินฯ คือเป็นหน่วยงานของรัฐก็ได้ หรือทำธุรกิจแบบเอกชนก็ได้

สำนักงาน ทรัพย์สินฯเข้มแข็งขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่สถาบันพระมหากษัตริย์มีความความเข้มแข็งจากมรดกการเมือง ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ปลุกเรื่องอุดมการณ์ชาตินิยมบวกชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เรื่องพระราชอำนาจที่มีจริง และโครงการพระราชดำริโดยเงินของรัฐที่มีมากกว่า3,000โครงการ มีราษฎรได้รับประโยชน์กว่า 7,000,000 คน ส่วนการตรวจสอบสามารถทำได้ยากเพราะต้องระวังอย่าให้มีการระคายเบื้องพระ ยุคลบาท

หลังสงครามโลก หรือตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เริ่มมีการลงทุนและพัฒนาที่ดินที่เป็นต้นทุนเดิมโดยให้กลุ่มธุรกิจต่างๆเช่า มีการเข้าไปถือหุ้นของธุรกิจโรงแรม อาทิ ดุสิตธานี ราชดำริ รอยัล ออคิด บางกอกอินเตอร์คอนติเนนตัล เมื่อเข้าสู่ช่วง พ.ศ. 2530 มีการขยายตัวขนานใหญ่ของสำนักงานทรัพย์สินฯไม่ต่างจากธุรกิจอื่น พ.ศ.2535 – 2539 สินทรัพย์ในธุรกิจทุกอย่างของสำนักงานทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว แต่ก็ตามมาด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ

ในวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ.2540 สำนักงานทรัพย์สินเสียหายกว่า 80,000 ล้านบาท จึงมีการปรับตัวหลังวิกฤติโดยเน้นธุรกิจหลักและดั้งเดิม อย่างเครือซีเมนต์ไทย เทเวศประกันภัย และธนาคารไทยพาณิชย์ ส่วนบทบาทในการลงทุนได้เปลี่ยนจากการถือหุ้นระยะยาวมาสู่ระสั้น และตั้งบริษัททุนลดาวัลย์เป็นผู้ดูแลหุ้นแทน ส่วนการลงทุนด้านที่ดินและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ได้ตั้งบริษัทวังสินทรัพย์ ดูแล

สิ่งที่น่าสนใจคือ การฟื้นตัวหลังวิกฤตเศรษฐกิจของสำนักงานทรัพย์สินฯเป็นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผ่าน พ.ศ. 2544 ธนาคารไทยพาณิชย์มีกำไรสูงกว่าธนาคารอื่นจนกลายเป็นทุนชั้นนำ วิกฤตกลับกลายเป็นโอกาสที่ดี ใน พ.ศ.2546 - 2548 สำนักงานทรัพย์สินได้รับเงินปันผลจากกองทุนลดาวัลย์และที่ดิน 30,000 กว่าล้านบาท โดยไม่มีทุนไหนมีกำไรเทียบเท่าในช่วงเดียวกัน

ปัจจัยที่ ทำให้สำเร็จนอกจากการปรับบทบาทมาสนเรื่องการพัฒนาที่ดินแล้ว อีกกรณีหนึ่งคือบทบาทพลังเหนือรัฐ หลังวิกฤติเศรษฐกิจทุกธนาคารถูกบังคับให้เพิ่มทุนรวมทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ โดยต้องเอาเงิน 30,000 กว่าล้านบาทเข้าโครงการ แต่สำนักงานทรัพย์สินฯขณะนั้นมีเงินไม่พอจึงเสียความเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทว่าภายหลังสำนักงานทรัพย์สินฯได้เอาที่ดินไปแลกหุ้นคืนจนกลับมาเป็นผู้ถือ หุ้นรายใหญ่ได้ บทบาทนี้จึงน่าสงสัยว่าถ้าเป็นธนาคารอื่นเอาที่ดินไปแลกหุ้นสามารถทำได้หรือ ไม่

หรืออีกกรณีคือที่ดินที่เอามาแลกนั้นสามารถสร้างประโยชน์ได้จริง แค่ไหน มีกฎหมายไหนระบุบ้างว่าสามารถทำได้ เหมือนกับการเอาที่ดินที่มิสกวันไปแลกหุ้น ปตท. ที่ดินแบบนี้จึงเป็นคำถามว่าสามารถทำประโยชน์ได้จริงแค่ไหน

ศ.ดร. เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นต่องานวิจัยของ รศ.ดร.พอพันธุ์ว่า การทำเรื่องนี้ทำให้มีการศึกษาเรื่องสำคัญต่อสังคมเศรษฐกิจไทย ถือเป็นความกล้าหาญทางวิชาการที่วิเคราะห์สถาบันที่สำคัญทางเศรษฐกิจ

เพราะ ถ้าศึกษากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่แต่ไม่แตะสำนักงานทรัพย์สินเลยจะไม่เห็นภาพ สิ่งที่ต้องแยกคือทรัพย์สินส่วนพระองค์ส่วนหนึ่ง กับทรัพย์สินส่วนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ย์อีกส่วนหนึ่ง แต่การอธิบายว่ามีอิทธิพลเหนือรัฐดูจะแรงไป ถ้าพูดว่ามีอิทธิพลต่อนโยบายของรัฐน่าจะเหมาะกว่า

ข้อสังเกตคือถ้า มองบทบาทหน้าที่ขององค์กรธุรกิจจะแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มทำหน้าที่เป็นกองทุนหาประโยชน์ กับทำหน้าที่เป็นกลุ่มลงทุนอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ บทบาทสำนักทรัพย์สินฯ ดูจะเป็นแบบแรก

ธุรกิจไทยที่ร่ำรวยเพราะ ที่ดินนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกและมีมากมาย เช่น ตระกูล ‘กาญจนพาส’ หรือธุรกิจเมืองทองทั้งหลาย เป็นการซื้อที่ดินราคาถูกมาลงทุนธุรกิจ ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินเป็นเจ้าที่ดินมาก่อนและมีบทบาทในสาธารณูปโภคต่างๆ ในเชิงธุรกิจมาก่อนก็เป็นลักษณะนั้น
แต่ในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศนั้น เห็นไม่ชัด ถ้าเปรียบเทียบกับกลุ่มทุนหลังสงครามโลกเหมือนกัน ในบางประเทศที่กลุ่มทุนมีอำนาจการเมืองหนุน เช่น เกาหลีใต้ นอกจากการแสวงผลประโยชน์แล้วจะมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศด้วย เช่น กลุ่มฮุนได ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินไม่ได้ทำตรงนี้

อย่างไรก็ตาม สำนักงานทรัพย์สินฯ ดูจะเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี เพราะถ้าเล่นการเมืองแต่ใช้อำนาจไม่ถูกระบบก็ยุ่งได้ ดังกรณีของกัมพูชา ที่สมเด็จพระเจ้านโรดมสีหนุเคยเล่นการเมือง แม้จะได้รับคะแนนเสียงมากมายแต่ก็ทำให้เกิดความขัดแย้งตามมา ดังนั้นการรักษาอำนาจที่เหมาะมีผลต่อประเทศ แต่ประเด็นนี้ค่อนข้างระเอียดอ่อน

ในประเด็นที่ระบุว่ามีอำนาจเหนือ รัฐ หรือมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐ อย่างกรณีธนาคารไทยพาณิชย์ ต้องทำตามโครงการ14 สิงหา ที่ต้องเพิ่มทุนและ หลังจากนั้นทำให้สำนักงานทรัพย์สินไม่ได้ถือหุ้นรายใหญ่ การรักษาสถานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต้องมองว่านโยบายออกมาอย่างไร การเอาที่ดินไปแลกหุ้นที่กระทรวงการคลังถือนั้นในสถานะของสำนักงาน ทรัพย์สินฯสามารถทำได้หรือไม่ ถ้ามองว่า สำนักงานทรัพย์สินฯเป็นสถาบันหลักที่สำคัญก็ทำได้ อย่างไรก็ตามคงต้องศึกษาวิเคราะห์ให้ชัดเจนออกมาด้วย เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก

ส่วนการเก็บค่าเช่าที่ดินของสำนักงาน ทรัพย์สินฯในสมัยใหม่ที่เอาหลักธุรกิจมาใช้มากขึ้นมองว่าถูกต้อง คือเมตตาที่คนอ่อนแอ แต่ใช้หลักธุรกิจมาจับกับคนที่เข้มแข้ง เช่น การเช่าที่วังเพชรบูรณ์ หรือเวิร์ลเทรดเดิมที่มีการเปลี่ยนมือให้อีกกลุ่มทุนหนึ่ง

รศ. วิทยากร เชียงกูล กล่าวเกี่ยวกับงานวิจัยเป็นคนที่สองว่า ข้อมูลตัวเลขในงานวิจัยควรต้องวิเคราะห์แหล่งต่างๆ ด้วยเพราะมีที่มาต่างกัน หรืออาจมีการปกปิด ส่วนสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ต่อคือ กลุ่มทุนลดาวัลย์ หรือโฮลดิ้งคอมพานีของสำนักงานทรัพย์สินฯ คือทุนใหญ่กลุ่มหรือตระกูลหนึ่งที่เหมือนเป็นของรัฐแต่เงินไม่ได้เข้ารัฐ เหมือนมีอภิสิทธิ์บางอย่างคล้ายสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ไม่ต้องเสียภาษี อย่างในประเทศอังกฤษต้องเสียภาษี ลักษณะแตกต่างนี้น่าสนใจ

นอกจากนี้ ต้องมองต่อว่า การลงทุนของกลุ่มนี้ทำให้เกิดประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม และมีประโยชน์ต่อส่วนรวมเพียงไร แต่ดังที่กล่าวมาก่อนว่ากลุ่มทุนนี้ทำเรื่องดังกล่าวน้อยไปถ้าเทียบกับกลุ่ม ทุนฮุนได ในประเทศเกาหลี

บางอย่างก็ล้าหลังไปหน่อย เช่น การเก็บภาษีหรือปฏิรูปที่ดินควรมีลักษณะก้าวหน้า แต่ตอนนี้ยังผ่านไปไม่ได้ นอกจากนี้ยังไม่มีการแข่งขัน เพราะกลุ่มทุนที่มีลักษณะอภิสิทธิ์ ไม่ว่าชินวิตรหรือโสภณพาณิช ก็เหมือนกันถ้าผูกขาดแล้วจะไม่ทำให้เกิดการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพ ตอนนี้เป็นการแข่งในกลุ่มธนาคารด้วยกันเท่านั้น

ต่างจากประเทศ ญี่ปุ่นที่มีเงินต้นทุนกับดอกเบี้ยเงินไม่ต่างกันมาก ทำให้มีการลงทุนสูง เมื่อมองแล้วเครือซีเมนต์ไทย และธนาคารไทยพาณิชย์มีก็มีกำไรและฟื้นตัวเร็ว แต่มีการพัฒนาอย่างอื่นนอกจากหากำไรอย่างเดียวหรือไม่ ควรศึกษาวิจารณ์ความเชื่อมโยงต่อระบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ต้องทำให้ส่วนที่เป็นของรัฐกับความเป็นเอกชนมีความชัดเจน อย่างในยุโรปประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ วังเก่าจะถือว่าเป็นของรัฐ แต่ไทยตอนนี้ยังไม่มีการแบ่งเกณฑ์ดังกล่าว หรือของขวัญที่ประเทศต่างๆ ให้แก่ประมุขจะถือเป็นของรัฐ เรื่องพวกนี้วันหนึ่งต้องมีการคิด จะปล่อยคลุมเครือไปเรื่อยๆไม่ได้ เพราะถ้าประเทศมีวิกฤตปัญหาจะตามมา เนื่องจากจะเกิดการตั้งคำถามว่าทำไมบางกลุ่มเลี่ยงภาษีแล้วโดนด่า จึงควรจะต้องเสียภาษีในฐานะสร้างการพัฒนาร่วมกัน และในฐานะที่ได้ประโยชน์จากแผ่นดิน

สุภาภรณ์ ตรีเสน หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมธุรกิจ สำนักงานทรัพย์สินฯ กล่าวว่า ผู้สนใจภารกิจของสำนักงานทรัพย์สินฯด้านข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงยินดีให้ ส่วนเรื่องบทบาทเหนือรัฐเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนที่ดินกับหุ้นธนาคารไทย พาณิชย์ ขอเรียนว่า ทำอย่างถูกตามกฎหมาย มีการใช้เวลานานกับหน่วยงานเกี่ยวข้องเพื่อกลั่นกรองโดยคำนึงถึงความโปร่งใส ยุติธรรม และจดทะเบียนชำระค่าธรรมเนียมอย่างถูกต้อง

ภารกิจ สำนักงานทรัพย์สินฯมีการบริหารทุนหลายประเภท แต่มีเจตนารมณ์ที่ความเป็นธรรม มั่นคง อนุรักษ์ผลประโยชน์ส่วนรวมตามรอยพระยุคลบาท หากผู้ใดสนใจมีเอกสารเผยแพร่

//www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/document/Porphant%20.pdf


เครือปูนซิเมนต์ไงครับ ยิ่งใหญ่ตระการตา พัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า พัฒนาผลิตภัฒฑ์ต่างๆออกมามากมาย ไม่เอาเปรียบคู้ค้า และมีโครงการเพื่อประชาชนในท้องถิ่นมากมาย

*** เพิ่มเติม หลังจากเข้าไปอ่านเอกสารแนบ ***

ผมยังคิดว่าสำรักงานฯเค้าก็หากำไรแบบพอเพียงนะครับ ไม่ได้ขูดรีดประชาชน
แต่เป็นการเข้าไปครอบครองเพื่อพัฒนามากกว่า ถ้าไม่เข้าไปครอบครองเพื่อพัฒนา ป่านนี้ตรงพื้นที่เหล่านั้นก็ไม่ได้เจริญเติบโตหรอกครับ

ถ้าไม่มีหน่วยงานนี้ จะให้ทรัพย์สินของจ้าวของนายเสื่อมไปเรื่อยๆตามเงินเฟ้อเหรอครับ
ที่สำคัญหน่วยงานนี้มีโครงการเพื่อ ปชช. เยอะมากๆ ทั้งผ่านทางหน่วยงานเอง และผ่านบริษัทที่หน่วยงานมีหุ้นส่วนอยู่

ผมมองว่าเป็นหน่วยงานที่น่าภูมิใจ และมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนคือเพื่อรับใช้พระมหากษัตริย์ของเรา
สิ่ง ที่เราควรจะทำก็คือให้ความสนใจกับความซื่อสัตย์สุจริตของผู้บริหารภายใน มากกว่า อย่าให้ใครมาโกงทรัพย์ของแผ่นดินของเราไป โดยเฉพาะทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์

จากคุณ : Shopzguy - [ 17 ต.ค. 51 10:59:19 A:192.168.50.20 X:119.42.69.178 ]

ทรัพย์ของสำนักงานทรัพย์สินฯเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน
อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการนำไปขายให้กับสิงคโปร์หรอกครับ
น่าจะทำให้คุณเห็นความแตกต่างระหว่างสำนักงานทรัพย์สินกับองค์กรเอกชนอื่นๆเช่นชินคอร์ปได้นะ

จากคุณ : อาจารย์ไฉไล - [ 17 ต.ค. 51 11:25:25 A:118.173.115.131 X: ]

ตอบคุณอาจาร์ยไฉไล

จากที่อ่านดู ประเด็นคือ ต้องการสร้างความชัดเจนในสถานภาพขององค์กรว่าเป็นองค์กรภาครัฐ หรือองค์กรเอกชน และประเด็นการเสียภาษี เพื่อมิให้เกิดการกล่าวอ้างการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมในอนาคต

การ แสวงหาพันธมิตรจากกลุ่มทุนข้ามชาติจึงเป็นเรื่องปกติทางการค้า และการขายกิจการให้กับกลุ่มทุนข้ามชาติ เช่น ช่วงวิกฤตปี 2540 บ.ซีเมนต์ไทยขายหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทลูกให้กับทุนต่างชาติ

(อ้างอิงจากงานวิจัย) สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้มีความสัมพันธ์กับ
กลุ่ม “ทุน” ชั้นนำในระดับภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็คือ กลุ่มทุนเทมาเซค (Temasek Holding) ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั่นเอง นายชุมพล ณ ลำเลียง อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่เครือซีเมนต์ไทยได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ บริษัทสิงคโปร์เทเลคอมมู
นิเคชั่น จำกัด หรือที่เรียกว่า Singtel (ตั้งแต่ปี 2547) ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะบริษัทในเครือของสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ปล่อยเงินกู้ร่วมกับธนาคารกรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท (โดยแบ่งกันในสัดส่วนร้อยละ 50) เพื่อปล่อยเงินกู้ให้กับ ซีอาร์ โฮสดิงส์ ที่มาธนาคารจากสิงคโปร์ค้ำประกันอยู่ ทั้งนี้เพื่อซื้อหุ้นของชิน คอร์ป ซึ่งมีผลให้กลุ่มทุนเทมาเซคถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของชินคอร์ปในต้นปี 2549 (โปรดดูรายละเอียดใน 25 คำถาม Shin เบื้องหลังดีลเทคโอเวอร์ชินคอร์ป 2549) นอกจากนี้ในคณะกรรมการของธนาคารไทยพาณิชย์ก็มีตัวแทนจากกลุ่มเทมาเซคอยู่ ด้วย คือ ปีเตอร์ เซียะ ลิม ฮวด (ซึ่งในปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่ง Temasek Advisory Paned Capital Land Limited, และ Government of Singapore Investment Corporation และเคยดำรงตำแหน่ง Singapore Technology
etc ซึ่งบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มเทมาเซคทั้งหมด (รายงานประจำปี ธนาคารไทยพาณิชย์ 2548) นอกจากนี้สำนักงานทรัพย์สินฯ โดยธนาคารไทยพาณิชย์และทุนลดาวัลย์ได้ร่วมทุนกับบริษัทในเครือของ Capital Land (อันเป็นบริษัทของกลุ่มทุนเทมาเซค) กลุ่มอิตัลไทย และอิสระว่องกุศลกิจ (กลุ่มน้ำตาลมิตรผล) ตั้งบริษัทพรีมัส (ประเทศไทย) เข้ามาจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือทรัพย์สินด้วย

จากคุณ : silkroad - [ 17 ต.ค. 51 11:56:44 A:211.122.116.169 X: ]




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2551    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:26:38 น.
Counter : 2030 Pageviews.  

นิมิตใหม่ชาวนาไทย ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมข้าว

คอลัมน์
โต๊ะกลมระดมความคิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2307 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 12 มิถุนายน 2008
โดย ณัฐวุธ วัชรกุลดิลก

นิมิตใหม่ชาวนาไทย ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมข้าว
สนธิสัญญาบาวริ่งผ่านมากว่าศตวรรษครึ่งแล้ว แต่การแบ่งปันผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมข้าวกลับล้าหลังกว่าอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายที่เกิดขึ้นภายหลัง?
วิกฤตราคาน้ำมันทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นตามไปด้วย ราคาข้าวสารในตลาดโลก 1,200-1,300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 38,000-41,275 บาทต่อตัน (อัตราแลกเปลี่ยนคิดที่ 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนราคาข้าวเปลือกในประเทศที่ชาวนาได้รับ 350-400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 11,000-13,000 บาทต่อตัน
เมื่อเทียบส่วนแบ่งจากราคาของผู้ที่ได้รับในสายการผลิตข้าว ระหว่างชาวนาต่อพ่อค้าส่งออกและโรงสี จะได้สัดส่วน 30:70 หมายความว่า ราคาข้าว 100 บาท ชาวนาจะได้ 30 บาท ส่วนพ่อค้าส่งออกและโรงสีจะได้ 70 บาท ยอดข้าวส่งออกมากกว่า 9 ล้านตันต่อปี จะมีมูลค่ารวมหลายแสนล้านบาท
พ่อค้าส่งออกและโรงสียักษ์ในสังกัดที่ผูกขาดขายข้าวที่มีอยู่เพียง 10 ราย รวมศูนย์ครอบครองส่วนแบ่งมูลค่าข้าวข้างมากอันมหาศาล ส่วนชาวนากว่า 10 ล้านครอบครัว จะกระจายรับส่วนแบ่งข้างน้อยคนละน้อยนิด ดังสะท้อนให้เห็นจากคุณภาพชีวิตที่ต่ำมากที่ได้จากการใช้จ่ายจากส่วนแบ่งนี้
พ่อค้าส่งออกและโรงสียักษ์ในสังกัด นอกจากผูกขาด ควบคุมการจำหน่ายข้าวไปต่างประเทศแล้ว ยังควบคุมการจำหน่ายข้าวในประเทศด้วย จึงต้องการให้ข้าวในประเทศมีราคาเท่ากับข้าวต่างประเทศ เมื่อรัฐบาลจะประกันรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาในราคา 14,000-16,000 บาทต่อตัน แต่จะขายข้าวสารแก่ประชาชนทั่วไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาในต่างประเทศเพียงเล็กน้อย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเมือง
เท่านั้นเอง กลุ่มพันธมิตรผูกขาดการเงินค้าข้าวที่เรียกว่า ธนกิจคาร์เทลข้าว(Cartel) ก็แผลงฤทธิ์วางยารัฐบาลทันที ไม่ยอมรับซื้อข้าวจากโรงสี โดยข้ออ้างสารพัด และโรงสีก็ไม่สามารถรับซื้อข้าวจากชาวนาได้ ซ้ำยังกดราคาข้าวชาวนาให้ต่ำลงกว่า 10,000 บาท ไล่เรียงลงมาเป็นทอดๆ

นักวิชาการเศรษฐศาสตร์คลาสสิกได้ออกมาโจมตีรัฐบาลที่ขายข้าวสารแก่ชาวเมืองในราคาถูก และต่ำกว่าราคาข้าวส่งออก 10-20% ว่าแทรกแซงกลไกตลาด ทำให้ราคาข้าวชาวนาตกต่ำ ประสานเป็นเสียงเดียวกับนายธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่การเกษตรเครือซี.พี. 1 ใน 5 เสือค้าข้าว คือซีพีอินเตอร์เทรด ได้กล่าวโจมตีการกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลว่า ทำให้ราคาข้าวชาวนาตกต่ำ
ความจริงแล้วภายใต้ลมปากที่พ่นออกมาเป็นหมอกมายาเหล่านี้ได้อำพรางเป้าหมายแท้จริงของกลุ่มธนกิจคาร์เทลข้าว ซึ่งก็คือความต้องการให้ราคาข้าวสารในประเทศสูงเท่ากับราคาข้าวสารต่างประเทศ พร้อมทั้งขู่กันไม่ให้รัฐบาลเสนอใครเข้ามาแย่งการค้าข้าวที่พวกตนผูกขาดอยู่ เพื่อจะได้รวบกำไรจากการขายข้าวในประเทศ 9 ล้านตัน และการขายข้าวในต่างประเทศอีก 9 ล้านตัน เป็น 18 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าที่มหาศาล? ข้าวจำนวน 18 ล้านตัน ซึ่งมีมูลค่ารวม 21,600-23,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 685,800-743,000 ล้านบาท
เมื่อคิดสัดส่วนการแบ่งผลประโยชน์จากราคาข้าวเปลือกและข้าวสารข้างต้นชาวนาจะได้ส่วนแบ่ง 30% เป็นเงิน 214,320 ล้านบาท เฉลี่ยครอบครัวละ 21,432 บาทต่อปี ส่วนพ่อค้าข้าวที่มีอยู่ 10 ราย จะได้ส่วนแบ่ง 70% เป็นเงิน 500,000 ล้านบาท เฉลี่ยรายละถึง 50,000 ล้านบาท เป็นความแตกต่างกันสุดขั้วราวฟ้ากับนรก! หากคิดรายได้ต่อหัวของชาวนา 10 ล้านครอบครัว หรือประมาณ 26 ล้านคน เฉลี่ยแล้วจะมีรายได้ 8,243 บาทต่อคน เมื่อหักค่าใช้จ่ายที่ประหยัดที่สุดแล้วครึ่งหนึ่งก็จะเหลือเงินคนละ 4,121 บาทต่อปี เพื่อใช้ยังชีพ ซึ่งต่ำกว่าเส้นความยากจนที่คนจนจะสามารถอยู่ได้ที่ 12,345 บาทต่อคนต่อปี ฉะนั้นชาวนาจึงต้องกู้หนี้ยืมสินมาชดเชย ในที่สุดก็เสียที่นาแก่นายทุนไป และเปลี่ยนเป็นการเช่านาแทน สัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้ 30% จากราคาข้าวต่างประเทศ แม้จะได้จากราคาข้าวในประเทศที่เท่ากันด้วยก็ตาม ย่อมไม่คุ้มกับการลงทุนลงแรงจริงของชาวนา
ฉะนั้นสัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์ควรจะต้องมากกว่านี้ ชาวนาถึงจะมีชีวิตที่สามารถทำงานต่อไปได้ ในระบบทุนนิยม กำไรต่อทุนที่แน่นอนหนึ่งจะถูกนำไปใช้พิจารณาตัดสินใจในการลงทุน และเมื่อนำเกณฑ์นี้ไปคำนวณหาสูตรการแบ่งปันผลประโยชน์ของผู้ทำงานจริงในสายการผลิตข้าวทั้งสายก็จะได้สูตรที่สมเหตุสมผลขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ในที่นี้สามารถอนุมานคร่าวๆได้จากสูตรของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย

การแบ่งปันผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมข้าวเปลือกและข้าวสารควรมีสัดส่วนของชาวนาต่อโรงสีข้าวและพ่อค้าเป็น 70:30 เช่นเดียวกับการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ไม่ใช่กลับหัวกลับหางดังเช่นในปัจจุบัน ทั้งๆที่ค่าใช้จ่ายการลงทุนของชาวไร่อ้อยและชาวนากับโรงงานน้ำตาลและโรงสีก็อยู่ในระดับที่ไม่ต่างกันนัก ซ้ำโรงสีเองก็ใช้เทคโนโลยีและการลงทุนที่ต่ำกว่าโรงงานน้ำตาล จึงสมควรได้น้อยกว่าด้วยซ้ำไป? อีกด้านหนึ่ง ซีกผลประโยชน์ที่ตรงกันข้ามกับชาวนา จะมีผู้ได้รับส่วนแบ่งคือ โรงสีและพ่อค้าข้าว แต่เมื่อเทียบเคียงกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายแล้ว พ่อค้าข้าวไม่ควรจะได้รับส่วนแบ่งส่วนนี้ เพราะโรงสีทั้งหลายที่มีอยู่เกือบ 1,000 โรง สามารถส่งออกข้าวและขายข้าวในประเทศได้เอง ดังที่สมาคมโรงสีข้าวได้เคยแจ้งต่อรัฐบาลที่ผ่านมาว่าจะขอค้าข้าวเอง แต่ก็ไม่สามารถกระทำได้เพราะถูกขัดขวางจากกลุ่มธนาคารเก่าแก่ สมาคมพ่อค้าข้าว ข้าราชการ และการเมือง ซึ่งยึดกุมอยู่บนโครงสร้างอำนาจส่วนบนทั้งทางเศรษฐกิจและอำนาจรัฐไว้! หากสูตรการจัดสรรผลประโยชน์ใหม่ของข้าวเป็นเช่นเดียวกับน้ำตาล ชาวนาก็จะได้ส่วนแบ่งใหม่นี้ ครอบครัวละ 50,000 บาทต่อปี หรือเฉลี่ยคนละ 19,234 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการลงทุนข้าวแล้วจะได้คนละ 15,000 บาทต่อปี ก็จะอยู่ได้เหนือเกณฑ์ความยากจน ชาวนาที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ 40% ของประเทศก็จะมีกำลังซื้อที่เป็นโมเมนตัมทางเศรษฐกิจซึ่งใหญ่โตมาก นั่นหมายถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่มั่นคงของประเทศต่อความไม่แน่นอนที่โกลาหลที่สุดของเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ หากรัฐบาลปัจจุบันสร้างระบบนี้ขึ้นมาสำเร็จจะเป็นนโยบายประชานิยมที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่า ทางด้านโรงสีข้าวและพ่อค้าส่งออกหากตัดพ่อค้าส่งออกที่ไม่จำเป็น และเสมือนเป็นกาฝากในสายการผลิตและจำหน่ายข้าว โรงสีขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีอยู่นับพันก็จะมีส่วนแบ่งในสูตรใหม่นี้โรงละถึง 213 ล้านบาทต่อปี แทนที่พ่อค้าส่งออกและโรงสียักษ์ในเครือที่มีไม่ถึง 10 โรง ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดเสรีการค้าข้าวแทนที่การผูกขาดเดิม?

Edit : กว่าจะโพสต์ได้ครบเพราะติดระบบกรองคำป้องกันพวกSpammerโฆษณาตรงคำว่า Incomeคนละ โดยเปลี่ยนคำว่า Income เป็นคำว่า รายได้ และต่อให้ใส่เครื่องหมายคั้นระหว่างคำระบบกรองคำก็ยังทำงานได้ สุดยอดจริงๆพับผ่าสิ




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2551    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:20:10 น.
Counter : 573 Pageviews.  

ทางเลือก ในยุคเงินเฟ้อสูง(สำเนาจากกระทู้)

ในช่วงนี้เงินเฟ้อวิ่งเป็นจรวดสำรวจดาวอังคารเลยครับ ทำให้หลายคนเริ่มมองหาการออมและการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินแต่เพียงอย่างเดียว เพราะว่าดอกเบี้ยที่ได้นั้นแพ้เงินเฟ้อแบบไม่เห็นฝุ่นเลยครับ
ณ วันที่เขียน เงินเฟ้อครึ่งปีอยู่ที่6.5% แต่ว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่0.75% ต่างกันประมาณ9เท่า!!!
หากสงสัยว่าเงินเฟ้อคืออะไร ทำให้เงินของเราด้อยค่าได้อย่างไร จำที่ผู้หลักผู้ใหญ่พูดได้ไหมครับ
“เมื่อก่อนนะ ก๋วยเตี๋ยวชามละสลึง ชามละบาท(ขึ้นอยู่กับอายุผู้พูดอิอิ) เดี๋ยวนี้ชามละ30เข้าไปแล้ว”
นั่นละครับเงินเฟ้อ คือการที่ข้าวของราคาแพงขึ้น ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้นน้อยกว่าของที่แพงขึ้น
ทำให้เราซื้อของได้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็นครับ

เมื่อเงินเฟ้อสูง คนเราก็ย่อมหาทางป้องกันการเสื่อมค่าของเงินในกระเป๋า ดังนั้นการลงทุนอื่นๆจึงเป็นที่สนใจขึ้นมาในเวลานี้ ทว่า ในปัจจุบันเป็นเวลาที่อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดต้องบอกว่า ถ้าไม่อยู่กับที่ก็รอวันขึ้นเท่านั้น การจะลดดอกเบี้ยลงไปมีโอกาสเกิดน้อยมาก เพราะตอนนี้ปัญหาเงินเฟ้อสำคัญกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจครับ
(การลดดอกเบี้ย จะทำให้เกิดเงินเฟ้อครับ) ดังนั้นหากเราเอาเงินไปวางไว้ผิดที่ ผลตอบแทนที่เราได้ก็อาจจะไม่เต็มที่เท่าที่ควร วันนี้ผมเลยจะขอสรุปการออมและการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เอามาอธิบายแบบง่ายๆดูครับ เผื่อใครสนใจนำไปปรับใช้กับพอร์ทของตัวเองได้

1.บัญชีออมทรัพย์
ลักษณะทั่วไป เรามาเริ่มกันที่การออมที่ทุกคนคุ้นเคยกันนะครับ การฝากบัญชีออมทรัพย์นั้น เป็นการออมเงินของคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย มีสภาพคล่องสูงมาก คือสามารถถอนเงินได้ทันทีในเวลาทำการของธนาคาร หรือถ้ามีบัตรเดบิต(บัตรATMเป็นอดีตไปแล้วครับT-T)ก็สามารถเบิกถอนได้24ชมที่ตู้ที่มีสัญลักษณ์ ATM POOL

อัตราผลตอบแทน ถ้าวงเงินไม่เกินสามล้านบาท ธนาคารใหญ่สามแห่งให้ 0.75%เท่ากันหมดครับ

ความปลอดภัยของเงินต้น ในที่สุดสถาบันเงินฝากจะประกันเงินไม่เกิน1ล้านบาทต่อบัญชีครับ สำหรับรายย่อยอย่างเราๆท่านๆก็สบายใจไปได้ แต่ถ้าเป็นรายใหญ่คงต้องกระจายฝากหลายแห่งหน่อย แต่บัญชีออมทรัพย์ก็ไม่ใช่บัญชีที่ปลอดภัย100%อีกต่อไป

ข้อดี มีสภาพคล่องสูงมากเบิกถอนได้ทันทีที่ต้องการ ถ้าเป็นบัตรเดบิต สามารถรูดซื้อสินค้าได้ไม่เกินเงินที่มีในบัญชี

ข้อด้อย อัตราผลตอบแทนแพ้เงินเฟ้อแบบน็อกตั้งแต่ยกแรกเลยครับ 0.75%ต่อ6.5% มีความเสี่ยงในการล้มละลายของธนาคาร ไม่ประกันเงิน100%แบบสมัยก่อน

2.บัญชีเงินฝากประจำ
ลักษณะทั่วไป บัญชีนี้เป็นบัญชีที่คนส่วนใหญ่จะคิดถึงต่อจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ครับ เพราะว่าให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า คนส่วนใหญ่นิยมฝากเงินที่ไม่ได้คาดว่าจะใช้ในอนาคตอันใกล้ เพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น
ระยะเวลาในการฝากเงินนั้น มีหลายระยะ เช่น 3 6 และ12เดือน ซึ่งยิ่งฝากในเวลาที่ยาวมากเท่าไหร่ ดอกเบี้ยก็จะมากขึ้นเท่านั้นครับ

อัตราผลตอบแทน 3เดือน 6เดือน 12เดือน 24เดือน
กรุงเทพ 2.35 2.5 2.75 3.5
กสิกรไทย 2.375 2.5 2.75 3.5
ไทยพานิชย์ 2.375 2.5 2.75 3.5

ความปลอดภัยของเงินต้น เหมือนกับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ครับ

ข้อดี ได้ผลตอบแทนมากกว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หลายคนใช้บัญชีนี้ออมเงินเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น ดาวน์บ้าน ดาวน์รถ ค่าเล่าเรียน นอกจากนี้บัญชีเงินฝากประจำยังสามารถนำไปค้ำประกันในตอนขอทำบัตรเครดิตได้อีกด้วย

ข้อด้อย สภาพคล่องต่ำมาก เพราะต้องเก็บเงินไว้ตามที่กำหนด ถ้าหากว่ามีการถอนออกมาก่อนกำหนด จะได้ดอกเบี้ยเท่ากับเงินฝากออมทรัพย์แทน

3. บัญชีเงินฝากระยะยาว
ลักษณะทั่วไป ผมไม่รู้ว่าจะเรียกเงินฝากพวกนี้ว่าอะไรดีครับ เพราะธนาคารจะออกมาเป็นแพ็คเกจต่างๆกัน ช่วงไหนที่ธนาคารต้องการระดมเงินฝากมากๆ บัญชีพวกนี้ก็จะให้ผลตอบแทนดีเป็นพิเศษครับ บัญชีพวกนี้มีทั้ง6 9 12 24 และ36เดือน

อัตราผลตอบแทน ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับแพ็คเกจที่แต่ละธนาคารออกมาครับ ถ้าธนาคารต้องการเงินด่วน ดอกเบี้ยก็สูงตาม

ความปลอดภัยของเงินต้น เหมือนกับสองบัญชีข้างต้นครับ

ข้อดี ให้ผลตอบแทนที่ดี ส่วนใหญ่มักจะออกมาในช่วงที่ธนาคารต้องการระดมเงินฝากมากๆ ดังนั้นผลตอบแทนอาจจะดีกว่าการฝากประจำ มีแพ็คเกจให้เลือกเยอะ เหมาะกับความต้องการผลตอบแทนและสภาพคล่องของเราๆ

ข้อด้อย สภาพคล่องต่ำมากเหมือนกับการฝากประจำครับ และที่สำคัญถ้าเราไปฝากไว้ที่นึง แล้วอีกธนาคารนึงออกใหม่ผลตอบแทนดีกว่าเก่า จะเกิดอาการ”เสียดาย” ได้ครับ

4. กองทุนรวมตลาดเงิน
ลักษณะทั่วไป เรียกอีกชื่อว่าMoney Market Fund(MMF) ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมครับ เพราะว่ากองทุนประเภทนี้โดยส่วนใหญ่จะได้เงินหลังจากการขายหน่วยลงทุนเพียงหนึ่งวัน บางกองทุนขายแล้วได้เงินในตอนนั้นเลยครับ คือมี “สภาพคล่องสูงเหมือนบัญชีออมทรัพย์ แต่ได้รับผลตอบแทนเท่าเงินฝากประจำ” เมื่อบัญชีออมทรัพย์เริ่มไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง100% คนจึงเริ่มมาสนใจกองทุนประเภทนี้กันเยอะครับ

ความปลอดภัยของเงินต้น มีความมั่นคงสูง เพราะพอร์ทการลงทุนของกองทุนส่วนใหญ่ลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาล เช่นพันฐบัรระยะสั้น ตั๋วเงินคลัง ตราสารที่รัฐบาลค้ำประกัน เช่นพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และที่ตราสารหนี้เอกชนที่มีความั่นคงในระดับสูงเท่านั้น
โดยปกติกองทุนนี้จะมีDURATIONหรือระยะเวลาการชำระหนี้ของตราสารโดยเฉลี่ยไม่เกิน1ปี แต่หลายกองทุนในปัจจุบันมีDURATIONประมาณ3-6เดือนเท่านั้นครับ ทำให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดไม่กระทบผลการดำเนินงานเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวเดียวตราสารเก่า(ที่ผลตอบแทนต่ำ)ก็หมดอายุ เอาเงินไปซื้อตราสารที่ออกใหม่ๆมีผลตอบแทนสูงได้เร็วกว่าครับ

อัตราผลตอบแทน ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยในท้องตลาดในเวลานั้นๆ เรียกได้ว่าลอยตัวตามอัตราดอกเบี้ยก็ว่าได้ ในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ2.5-2.7%

ความปลอดภัยของเงินต้น กองทุนประเภทนี้ลงทุนในตราสารของรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นความปลอดภัยมีสูงมากครับ

ข้อดี อย่างที่บอกเลยครับ ว่าผลตอบแทนเท่าเงินฝากประจำ แต่สภาพคล่องเหมือนบัญชีออมทรัพย์ ดังนั้นถ้าผลตอบแทนที่ได้เท่าๆกัน แล้วเราจะเอาเงินไปฝังไว้เป็นปีๆทำไม จริงไหมครับ

ข้อด้อย ถึงแม้ว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะชนะเงินเฟ้อครับ และข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากกองทุนนั้นๆมีขนาดใหญ่มากๆ อาจะทำให้หาซื้อตราสารที่มีผลตอบแทนดีๆได้ไม่พอ ต้องซื้อตราสารที่ให้ผลตอบแทนต่ำลงมา ดังจะเห็นได้ว่ากองทุนที่ใหญ่ที่สุดในระบบกองทุนรวมตอนนี้มีผลตอบแทนรั้งท้ายตลอดก็เพราะสาเหตุนี้เองครับ

5. กองทุนรวมตราสารหนี้
ลักษณะทั่วไป เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารแห่งหนี้(หุ้นกู้) ทั้งที่ออกโดยภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งพันธบัตรรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของกองทุนแต่ละแห่ง ว่าจะเน้นไปที่สัดส่วนไหนมากกว่ากัน ถ้าเน้นไปที่พันธบัตรก็เน้นที่ความปลอดภัยของเงินต้น ถ้าภาคเอกชนมากก็เน้นไปที่ผลตอบแทนการลงทุนกองทุนนี้จะต่างกับMMF ตรงที่อายุของตราสารจะยาวกว่า ดังนั้นผลตอบแทนการลงทุนจะมากกว่า และเช่นกัน หากขาดทุนก็จะขาดทุนมากกว่าเช่นกันครับ เพราะว่าดอกเบี้ยท้องตลาดขึ้นไปแล้ว แต่เราโดนล็อกผลตอบแทนไว้อีกหลายปี

อัตราผลตอบแทน ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด ยิ่งอายุตราสารยาวมากขึ้น ก็จะมีความผันผวนต่ออัตราดอกเบี้ยมากขึ้นเช่นกัน (กำไรหรือขาดทุนได้มากกว่าพวกอายุสั้นๆ)

ความปลอดภัยของเงินต้น ถ้ากองทุนเน้นไปที่พันธบัตรรัฐบาลก็จะมีความปลอดภัยมากกว่าครับ ส่วนตราสารเอกชนเองก็มีระดับความปลอดภัยหลายเกรด จากสำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้งหลาย ดังนั้นกองทุนประเภทนี้ต้องดูไส้ในกันเป็นกองทุนๆไปครับ

ข้อดี ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการออมประเภทก่อนๆที่ว่ามาครับ จากการดูข้อมูลย้อนหลัง20ปี กองทุนตราสารหนี้นั้น พอฟัดพอเหวี่ยงกับอัตราเงินเฟ้อเลย คือแพ้ชนะกันไม่มาก ดังนั้นหากต้องการลงทุนเพื่อรักษามูลค่าเงิน การซื้อกองทุนตราสารหนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งเลยครับ

ข้อด้อย ถ้าช่วงเวลานั้นๆอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น(แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้) กองทุนประเภทนี้จะทำให้เราเสียผลประโยชน์ไปครับ เพราะหากเราถือต่อไปเรื่อยๆ เมื่อตราสารที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าออกมาเราก็เสียโอกาสได้ดอกเบี้ยสูงๆไป หรือถ้าเราขายออกมา ก็จะขาดทุนจากราคาตลาดได้ครับ โดยเฉพาะถ้าเราลงทุนในกองทุนรวมซึ่งใช้ราคามาร์คทูมาร์เก็ตทุกวัน(แสดงเป็นราคาตลาด)

6. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
ลักษณะทั่วไป กองทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิในการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทั้งสองต่างกันนะครับ ตรงนี้ต้องระวังให้ดีๆ
กองทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(free hold)จะซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้นๆมาเลย ดังนั้นกองทุนแบบนี้จะไม่มีหมดอายุครับ ถ้าหากไม่ได้ขายอสังหานั้นออกไป กองทุนแบบนี้ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่

ส่วนกองทุนที่ลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์(lease hold)นี่สิครับ เพราะชื่อบอกแล้วว่าเป็นแค่สิทธิ ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินไปจริงๆ กองทุนประเภทนี้จะซื้อสิทธิไป20-30ปี โดยจ่าค่าเช่าเหมาให้เจ้าของไป แล้วเอาไปปล่อยเช่าต่ออีกที ซึ่งปัญหาคือ ถ้าหมดอายุการเช่า สิทธินั้นจะกลายเป็น0ทันที เหมือนเราไปเช่าที่เปิดท้ายขายของ คืนละ100บาท พอตอนเช้าเราคืนที่ เราก็ไม่ได้เงิน100คืนนะครับ เพราะเป็นค่าเช่าที่ไปแล้ว เพราะฉะนั้นผลตอบแทนที่ได้ จะมาจากเงินปันผลปีต่อปีเท่านั้น ตอนกองทุนหมดอายุเอาอสังหาไปขายไม่ได้นะครับ ดังนั้นหากกองทุนประเภทนี้จ่ายปันผล3.3%ต่อปีไป30ปี เท่ากับว่าพอครบอายุเราได้เงินคืน100% โดยไม่มีผลตอบแทนใดๆตลอดเวลา30ปีเลยครับ

นอกจากนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ยังมีความแตกต่างกันในประเภทของทรัพย์สินอีกครับ คือ บ้านเช่า คอนโด พื้นที่เพื่อการพานิชย์ โรงงาน ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีอัตราเช่า ราคาเช่า และเวลาเช่าที่แตกต่างกันไป เช่น คนเช่าบ้าน อาจจะย้ายออกเมื่อซื้อบ้าน ย้ายที่ทำงาน เบื่อ พื้นที่ขาย อาจจะดูภาวะเศรษฐกิจ โรงงานนี่ย้ายยากหน่อย เพราะมีปัญหาเรื่องเครื่องจักรและคนงาน

ถ้าจะให้ดี ดูกองทุนที่มีนโยบายขยายกองทุนไปเรื่อยๆก็ดีครับ คือซื้อทรัพย์สินเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ(สำหรับfree hold) ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นเรื่อยๆครับ

อัตราผลตอบแทน ขึ้นอยู่กับแต่ละกองทุนครับ ว่าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบไหน ทำเลและการบริหารเป็นอย่างไร แต่ในปัจจุบันกองทุนประเภทนี้ให้ผลตอบแทน5-8% เฉพาะค่าเช่า ถ้ารวมราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อด้วย(ในกรณีfree hold)ผลตอบแทนก็จะมากกว่านี้ครับ

หมายเหตุ
ในM&Wฉบับเดือนกรกฏาคมระบุว่า ผลตอบแทนจากการเช่าคอนโดในเขตเมืองของกรุงเทพเฉลี่ยอยู่ที่18%ก่าๆ รวมทั้งรายได้ค่าเช่า และราคาที่ที่เพิ่มขึ้นในอเมริกาผลตอบแทนย้อนหลัง20ปีของอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่11-12%ต่อปีครับ

ความปลอดภัยของเงินต้น กองทุนแบบนี้มีความเสี่ยงต่ำครับ เพราะยังไงไม่มีวันกลายเป็นกระดาษแปะข้างฝาแบบหุ้นแน่นอน เพราะว่ามีอสังหาริมทรัพย์จริงๆหนุนหลังอยู่ ยกเว้นกองทุนแบบสิทธิในการเช่า(lease hold)ที่มีเวลาในการใช้ประโยชน์

ข้อดี เป็นการลงทุนที่ชนะเงินเฟ้อได้ค่อนข้างแน่นอน เพราะว่าราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อไปด้วย แล้วเรายังได้ผลประโยชน์จากค่าเช่าอีก(free hold) แต่ถ้าเป็นกองทุนแบบสิทธิ(lease hold)เราจะไม่ได้ประโยชน์จากการเพิ่มค่าของราคาที่ดินนะครับ เพราะว่าเราเหมามาให้เช่าต่อ ไม่ได้ซื้อมาเป็นเจ้าของ ยังก็ตามกองทุนประเภทนี้ซื้อแล้วเก็บยาวได้ครับ ไม่ต้องดูแลมาก

ข้อด้อย กองทุนประเภทนี้ถึงแม้จะเป็นกองทุนประเภทเดียวกัน แต่อาจแตกต่างกันได้แบบสุดโลก ดังนั้นก่อนการลงทุนต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนครับ ว่าเป็นกองทุนประเภทไหนซื้อขาด หรือเช่าสิทธิ และทำเลป็นอย่างไรในพื้นที่นั้นๆมีความต้องการจริงหรือไม่ และหลายกองทุนเป็นกองทุนปิด ต้องซื้อในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ทำให้บางท่านอาจไม่สะดวกในการซื้อขายครับ

7. พันธบัตรรัฐบาล
ลักษณะทั่วไป คือตราสารที่ทางภาครัฐออกมาด้วยจุดประสงค์ต่างๆ เช่น เพื่อโปะการขาดุลงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในเรื่องของการออมเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการบริหารเงินแผ่นดิน

อัตราผลตอบแทน ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด และวัตถุประสงค์ที่ออกมาครับ จะประกาศเป็นคราวๆไป

ความปลอดภัยของเงินต้น 100%ครับ เพราะรัฐบาลเป็นผู้ออก มั่นคงกว่าการฝากธนาคารอีก เพราะแบ็งค์ยังเจ๊งได้ แต่ว่ารัฐบาลล้มละลายไม่ได้ครับ ถ้ารัฐบาลเจ๊งนี่ก็คงต้องไปอยู่ที่อื่นกันละครับ ทั้งนี้รัฐบาลเค้าใช้เงินคืนให้แน่ๆ แต่ถ้าพิมพ์เงินออกมาเยอะจนเงินมันเฟ้อ แล้วมูลค่าแท้จริงลด มันก็อีกเรื่องนะครับ อิอิ

ข้อดี มีความมั่นคงในเงินต้นมากที่สุด สำหรับตราสารที่ออกในประเทศไทยและถ้าเราซื้อตรงได้เองก็จะได้รับผลตอบแทนเต็มๆครับ เพราะถ้าเราไปซื้อผ่านกองทุนรวม เราต้องเสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายและค่าบริหารกองทุนด้วย

ข้อด้อย ถึงจะเป็นตราสารที่มั่นคงสูง แต่ในระยะยาวอาจแพ้เงินเฟ้อนิดหน่อยครับ ที่สำคัญ ถ้าอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น พันธบัตรรุ่นใหม่ๆก็จะห้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า ทำให้เราอาจเสียประโยชน์ในผลตอบแทนที่มากขึ้น ถ้าเรายังทนถือต่อไป หรือหากขายออกมาก้อาจขาดทุนจากราคาตลาดได้เหมือนตราสารหนี้ทั่วไปครับ

8. ทองคำ
ลักษณะทั่วไป ถ้าต้องการลงทุนควรเลือกเป็นทองคำแท่งครับเวลาซื้อขายจะมีส่วนต่างกัน100บาทสำหรับทองคำ5บาทขึ้นไป ถ้าเป็นทองคำขนาด1-2บาท จมีค่าบล็อกเพิ่มขึ้นอีกบาทละ50-100บาทครับ
ดังนั้นการซื้อทองคำขุ้นต่ำคือ 1บาท+ค่าบล็อกอีก150-200บาท รวมเงินก็หมื่นกลางๆ แต่ถ้าเงินต้นไม่มากพอแต่อยากสะสมทองคำ ก็สามารถลงทุนในกองทุนทองคำได้ครับ
โดยการลงทุนทั้งสองแบบมีสิ่งที่ต้องสนใจ คือ ราคาทองคำในตลาดโลกและราคาค่าเงินบาทครับ เพราะการที่ราคาทองโลกขึ้นไป เราอาจจะไม่ได้กำไรก็ได้ ถ้าค่าเงินของเราแข็งค่าขึ้นตามครับ

อัตราผลตอบแทน ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับวัฏจักร บางช่วงอาจขึ้นแบบบ้าเลือด บางช่วงอาจกระดึ๊บๆ แต่ในระยะยาวแล้ว ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อครับ (ยกเว้นคนที่ซื้อที่ดอยของรอบวัฏจักรพอดี)

ความปลอดภัยของเงินต้น ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาที่เราเข้าไปลงทุนครับ แต่ถ้าเราซื้อสะสมไปเรื่อยๆ ก็จะลดความเสี่ยงในจุดนี้ลงไปได้

ข้อดี ให้ผลตอบแทนในระยะยาวสูงกว่าเงินเฟ้อ และเป็นความสุขทางใจสำหรับหลายๆคน ถ้าเป็นกองทุนรวม สามารถทะยอยซื้อทีละไม่กี่พันได้

ข้อเสีย ถ้าเป็นทองคำแท่งอาจต้องมีค่ารักษา เพื่อป้องกันการสูญหาย การกะจังหวะเพื่อลงทุนทำได้ยากเมื่อเทียบกับข้ออื่นๆ

สำหรับกองทุนทองคำนั้น สิ่งที่ต้องดูมากที่สุด คือแนวโน้มราคาทองโลกครับ ซึ่งเราอาจคาดการณ์ได้จาก อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ค่าเงินดอลลาที่อ่อนตัวลง ความไม่สงบในภูมิภาคต่างๆ การเก็งกำไรของกองทุนต่างๆ หากมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ราคาทองคำ"มักจะ"เพิ่มขึ้นครับ

สอง คือ ค่าเงินบาท เมื่อเทียบกับสกุลดอลลา เพราะว่าถึงแม้ราคาทองคำในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเงินบาทแข็งค่าราคาทองเมืองไทยอาจจะไม่เพิ่มขึ้นเลยครับหรือเป็นการ กำไรทอง แต่ขาดทุนค่าเงินนั่นเอง
สมมติว่าเรากำไรทองคำมา1USD แทนที่จะขายได้เงิน35บาท แต่เงินบาทแข็งค่าขึ้น เหลือ33บาทต่อ1USD ทำให้กำไรเราที่เราควรจะได้ลดลงไป2บาทครับ (35->33)

ต้องขออธิบายเพิ่มว่ากองทุนไม่ใช่ของทางbankนะครับ แต่อยู่ภายใต้การจัดการของบลจ. ซึ่งอาจจะเป็นบริษัทลูกของbank หรือบริษัทหลักทรัพย์อีกทีหนึ่ง แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันในด้านการจัดการสักเท่าไหร่ครับ เช่น เวลาผมแนะนำกองทุนของบลจ.ทหารไทยให้เพื่อนๆบางคนไม่อยากซื้อ เพียงเพราะคำว่า "ทหารไทย" ทั้งๆที่จริงๆแล้ว กองทุนภายใต้การจัดการของบลจ.ทหารไทยมีดีๆหลายกองเลยครับ

และกองทุนเองก็มีการจัดตั้งขึ้นนั้นก็เป็นนิติบุคคลขึ้นมาอีกทีหนึ่ง นั่นหมายความว่าหากกองทุนล้มละลายต้องปิดกองลง ทางบลจก็ไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้น หรือหากบลจเองเกิดล้ม กองทุนก็ไม่ได้ล้มละลายตามไปด้วยครับ

และหากbankล้ม บลจก็ไม่ได้ล้มตามไปด้วย หากบลจล้ม ก็ไม่ได้หมายความว่าbankจะล้มด้วยครับ

ดังนั้นหากจะลงทุนอย่าดูเพียงภาพลักษณ์ของbankแม่ครับ นั่นมีผลเพียงความสะดวกในการซื้อ ขายกองทุนรวมเท่านั้น แต่ผลตอบแทนและความเสี่ยง ดูรายละเดเป็นกองทุนๆไปดีกว่าครับ(พวกนี้แถมครับ อิอิ)

หมดแล้วนะครับ ทั้งหมดนี่ผมเลือกการลงทุนที่ไม่ค่อยหวือหวา และเข้าใจได้ไม่ยาก เผื่อคนที่อยากต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ยังไม่รู้ว่ามีเครื่องมืออะไรบ้าง
ทั้งหมดนี้เป็นแค่รายละเอียดคร่าวๆในการลงทุนนะครับ ไม่ได้หมายความว่า
ถ้าไปออมเงินหรือลงทุนแล้วจะได้ผลอย่างนี้เป๊ะๆ
โดยเราต้องศึกษาสภาพแวดล้อมในขณะนั้นๆด้วยว่าเหมาะสมกับสิ่งที่เราจะลงทุนไหม
เช่น ถ้าอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เราก็ควรจะลงทุนกับตราสารที่มีอายุสั้นๆ
เพื่อที่ผลตอบแทนจะได้ขึ้นตามดอกเบี้ยในท้องตลาดได้
แต่ถ้าดอกเบี้ยเป็นขาลง เราก็ลงทุนในตราสารระยะยาว เพื่อล็อคผลตอบ
แทนสูงๆไว้ให้นานที่สุดครับ

จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ 22 ก.ค. 51 11:19:58 ]




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:30:22 น.
Counter : 1207 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.