Reverse ไอเดีย "เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป" "วิชา พูลวรลักษณ์" สร้างโมเดลธุรกิจ...สเต็ปก้าว "เวอร์ชั่
Reverse ไอเดีย "เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป" "วิชา พูลวรลักษณ์" สร้างโมเดลธุรกิจ...สเต็ปก้าว "เวอร์ชั่นที่ 5"
กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ทบทวนบิซิเนสโมเดลทั้ง 4 ระยะของ "เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์" ในรอบกว่าทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 2537 จาก Stand Alone สู่โรงหนังในศูนย์การค้า โรงหนังต่างจังหวัด และโรงหนังใกล้บ้าน...วันนี้ "วิชา พูลวรลักษณ์" ปะทุไอเดียใหม่ หากคิดจะก้าวต่อไป เมเจอร์จะต้อง Reverse กลับไปสู่โมเดลแรก..อีกครั้ง
การ Reverse ไอเดีย หมายถึง การหันหลังกลับ หรือการย้อนกลับไปทบทวนอดีต เพื่อฟื้นอนาคตครั้งใหม่ให้กับ บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป
ภายใต้ตำแหน่ง "ผู้นำ" ที่ต้องแข่งขันกับตัวเอง
นั่นคือการสร้างไซส์ธุรกิจ..ก้อนเค้ก ที่ใหญ่ขึ้น มากกว่าการรุกเพื่อแย่งชิงมาร์เก็ตแชร์จากคู่แข่งขัน
ภารกิจครั้งนี้..พ่อมดแห่งโลกบันเทิง "วิชา พูลวรลักษณ์" จำเป็นต้องปรับโมเดลธุรกิจอีกครั้ง ครั้งนี้ถือเป็น "เวอร์ชั่นที่ 5" ในยุคที่ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเน้นความเป็นครอบครัวมากขึ้น
วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป อธิบายกระบวนการสร้างอาณาจักรโรงภาพยนตร์ของเครือเมเจอร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 โมเดล หรือ 4 สเต็ป
"สเต็ปแรก" เริ่มจากการสร้างโรงภาพยนตร์แบบ Stand Alone ต่อด้วย "สเต็ปที่ 2" ด้วยวิธีขยายโรงภาพยนตร์เข้าไปในศูนย์การค้า แต่หลังจากที่ขยายเข้าไปจนแทบจะไม่มีศูนย์การค้าใหม่ให้เข้า
จึงเริ่มสู่ "สเต็ปที่ 3" กับการขยายออกไปต่างจังหวัด โดยเกาะไปกับดิสเคาท์สโตร์อย่างเทสโก้-โลตัส และบิ๊กซี
ตามด้วย "สเต็ปที่ 4" โรงภาพยนตร์ใกล้บ้าน (Convenience) โดยเน้นความร่วมมือกับสยามฟิวเจอร์ (บริษัทย่อย) ทำโรงภาพยนตร์ประมาณ 6-7 โรง
รวมถึงการเทคโอเวอร์โรงภาพยนตร์ "อีจีวี" กระทั่งปัจจุบัน เมเจอร์สามารถก้าวขึ้นมากุมส่วนแบ่งตลาดโรงหนังได้ถึงประมาณ 75% จากมูลค่าตลาดปี 2550 ที่วิชาเชื่อว่าจะเติบโตขึ้นไปถึงตัวเลข 4,500-5,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2549 ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 3,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีที่ไม่ดีสำหรับธุรกิจนี้
จนเกิดคำถามตามมาว่า..ธุรกิจโรงหนังเริ่มเกิด "โอเวอร์ ซัพพลาย" แล้วใช่หรือไม่ ?
ขณะที่วิชาได้แก้เกมธุรกิจ โดยทำโปรเจคสำคัญเมื่อปี 2549 อย่าง "พารากอน ซีนีเพล็กซ์" และ "เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์" (Esplanade) และเขาก็ได้มุมมองเพิ่มว่า..ยังคงมีช่องว่างที่อุตสาหกรรมนี้จะสามารถโตขึ้นไปได้อีกมาก
วิชากล่าวว่า สาขาใหม่ทั้ง 2 แห่งนี้ จะเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยเร่งให้ผลประกอบการของเมเจอร์เติบโตอย่างมากในปี 2550 นี้
...โดยเฉพาะเอสพลานาด (แบบ Stand Alone) แม้จะทำโรงหนังไว้เพียงแค่ 12 โรง แต่หลังการเปิดมาเพียง 4-5 เดือน ตัวเลขรายได้ทะยานขึ้นมามาก จนเป็นสาขาที่ทำรายได้ติด "อันดับ 5" จากสาขาทั้งหมด 35 แห่ง (อันดับ 1 สาขารัชโยธิน) และเป็นโลเคชันที่ทำให้เมเจอร์ได้ตลาดใหม่เข้ามาค่อนข้างมาก
"นี่คือคำตอบของ Cycle ที่กำลังจะวนกลับไปยังสเต็ปแรก..อีกครั้งหนึ่ง หลังจากหลายปีที่ผ่านมา เมเจอร์ไม่ได้ทำโรงหนังประเภท Stand Alone มานาน เพราะไปผูกยุทธศาสตร์อยู่กับศูนย์การค้า และชอปปิงมอลล์เป็นส่วนใหญ่" วิชากล่าว
พร้อมทั้งอธิบายต่อไปว่า..."เมื่อเมเจอร์ขยายไปทำเอสพลานาด ทำให้ผมได้รู้ว่า (เงิน) มันอยู่ข้างหน้าเรานี่เอง และถือเป็นสัญญาณว่ายังมีพื้นที่สำหรับ Stand Alone อีก ที่จะให้เราทำ"
วิชาเชื่อว่า ถ้าทำตลาดหนังให้เป็น "เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์" เราก็จะได้ตลาดอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาค่อนข้างมาก..อย่างที่เอสพลานาด ถือว่าตอบโจทย์ของหลายคนที่มองกันว่าตลาดโรงหนังล้นแล้วหรือยัง ? และชี้ให้เห็นสัญญาณว่าเมเจอร์กำลังจะขยับไปตรงไหน
วิชาวิเคราะห์อนาคตเครือเมเจอร์ต่อไปว่า แนวคิดการทำโรงหนังแบบ Stand Alone ในปัจจุบัน จะทำตัวเลขได้ดีกว่าโรงหนังในศูนย์การค้า..โดยเฉพาะในแง่ของ "มาร์จิน" ที่สูงกว่า เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเช่า และยังมีโอกาสที่ดีกว่าในรอบดึก (รอบหลัง 3 ทุ่ม) ตลอดจนยังสามารถปรับไลฟ์สไตล์ของสถานที่ได้คล่องกว่า
แต่ต้องเป็นแหล่ง (Area) ที่มีตลาดใหญ่พอ ซึ่งแหล่งประเภทนี้..เรากำลังมองๆ อยู่
โดยเฉพาะในปี 2551-2552 เราจะต้องทำอะไรมากขึ้น เพียงแต่นโยบายการขยายการลงทุนจะยังอยู่ที่ "โรงหนัง" แต่เวลาที่เราจะบุก..ก็จะบุกทั้ง 4 โมเดล เมื่อเห็นว่าโมเดลไหนเป็นกระแส มันจะถูกนำมาใช้อีกครั้ง
ซึ่ง "คีย์ ออฟ ซัคเซส" ของเมเจอร์ นับจากนี้จะอยู่ที่ "การหากลุ่มลูกค้าใหม่" เข้ามา
"ธุรกิจที่คิดหาแต่ฐานลูกค้าเดิมๆ มันไม่พอ และที่เมเจอร์เราจะคิดตลอดเวลา โดยวางโพสิชั่นไว้เลยว่า เมื่อลูกค้าเข้ามาที่สาขาใหม่จะต้องเป็นลูกค้าเก่าเท่าไร และลูกค้าใหม่เท่าไร...ถ้าเป็นกลุ่มลูกค้าเดิม 90% และเป็นกลุ่มใหม่ที่ไม่เคยมาแค่ 10% ย่อมเท่ากับว่าพอร์ตไม่ดี..คือไม่แข็งแรง อนาคตเช่นนี้ธุรกิจจะไม่มี Growth" วิชาให้ข้อคิด พร้อมเผยอนาคตต่อว่า
สเต็ปต่อไป (สเต็ปที่ 5) ของเมเจอร์ จากตรงนี้จะต้องมองไปที่ "ตลาดใหม่" (New Market) คือ "ศิลปิน" (Artist) และ "แฟมิลี่" โดยทุกจุดที่เมเจอร์ขยายเข้าไป เราพยายามที่จะโฟกัสในจุดนี้
ที่สำคัญ ยุทธศาสตร์ที่เรามองออกไป..จะต้องมองเป็นภาพกว้างคือ "ทั้งประเทศ" ไม่ใช่แค่เฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น เพราะโอกาสใหม่ มันมีอยู่ทั่วประเทศ
วิชากล่าวถึงแผนการลงทุนในปี 2550 ว่า เมเจอร์จะยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ แต่จะใช้เงินลงทุนประมาณ 600-700 ล้านบาท เพื่อสร้างสาขาใหม่ที่พัทยา (8 โรง พร้อมกับฟิตเนส) ชลบุรี (4 โรง) และอยุธยา (6 โรง) ซึ่งทุกแห่งจะมีโบว์ลิ่งเข้าไปเช่นกัน
ส่วนเงินลงทุนอีกส่วน จะใช้ไปกับการ Renovate (ฟื้นฟู) ครั้งใหญ่ เพื่ออัพเกรดสาขารัชโยธินขึ้นมาทั้งในส่วนของโรงหนังและโบว์ลิ่ง หลังเปิดให้บริการมากว่า 8 ปี
ยิ่งตอนนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาพื้นที่ข้างเคียงสาขารัชโยธิน เป็นโครงการก่อสร้าง "ชอปปิงมอลล์" สไตล์เหมือนที่สาขาทองหล่อ (15,000 ตร.ม.) แต่ที่รัชโยธินเรามีพื้นที่ถึง 40,000 ตารางเมตร "ใหญ่กว่ากันมาก"
เมื่อสร้างเสร็จ สาขารัชโยธิน จะยังคงเป็น "หมายเลข 1" ของเมเจอร์ จากที่จอดรถที่มากขึ้น ร้านค้ามากขึ้น และอาจจะมีโรงเรียนสอนเปียโน เต้นรำ และแอโรบิก ซึ่งจะทำให้ได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เป็น "แฟมิลี่" เข้ามามากขึ้น
เพราะฉะนั้น ผลประกอบการของทั้งกลุ่มในปี 2550 จึงมีโอกาสโตขึ้นกว่า 30% หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 6,500 ล้านบาท เทียบกับรายได้ ณ สิ้นปี 2549 ที่มีรายได้ 5,452 ล้านบาท
"เป้าหมายนี้ ยังน่าจะเป็นไปได้..ไม่ยากเท่าไร"
โดยเฉพาะ "หนังไทย" กำลังมีกระแสค่อนข้างดี ยิ่งตอนนี้ (เรื่อง) อะไรก็ได้ตังค์หมด โดยเฉพาะต่างจังหวัดมันเป็นฐานหนังไทยทั้งนั้น และตลาดโรงหนังต่างจังหวัดก็ขยายตัวอย่างมาก หลายจังหวัดที่ไม่เคยมีโรงหนัง ตอนนี้โรงหนังเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นที่โคราช อุดรธานี และอุบลราชธานี ฯลฯ
และสัดส่วนรายได้หนังไทย (เทียบกับหนังฝรั่ง) ปีนี้น่าจะ 45% จากเดิม 35-40% ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมนี้แข็งแรงมากขึ้น จะเห็นว่าทุกกลไกของอุตสาหกรรมล้วนแต่ลงไปข้างล่าง..ที่ฐานพีระมิดทั้งหมด
เพราะแค่เพียงไตรมาสแรก เมเจอร์ทำเงินไป 1,598 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 197 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากหนังฟอร์มยักษ์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร" ทั้งภาค 1 และ 2 เป็นจำนวน 535 ล้านบาท
ส่วนไตรมาส 2 จะถือเป็นไตรมาสทำเงินของ "หนังฝรั่ง" ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "Spiderman 3" (180 ล้านบาท) "Pirates of The Carribbean" และ "Fantastic Four 2" ซึ่งเป็นหนังที่ได้ลุ้น 80-100 ล้านบาทขึ้นไป
ก่อนที่ไตรมาส 3 หนังไทยจะกลับมาแรงอีกครั้ง โดยจะมี "Harry Potter" เข้ามาฉายในไตรมาสเดียวกัน
ย้อนมามองที่งบการเงินของเมเจอร์ ณ สิ้นไตรมาส 1 วิชาบอกว่า เหลือสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (ดี/อี) เพียง 0.3 เท่า แค่นั้น
"ต้องบอกว่าปีนี้..ฐานะของเราแข็งแรงมาก และยังจะมีเงินอีกส่วนจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าประมาณ 2,400 ล้านบาท ..แต่เงินส่วนนี้จะเข้ามาที่เมเจอร์จริงๆ ประมาณ 1,000 ล้านบาท
หมายความว่า ปี 2551 เมเจอร์จะต้องลงทุนมากกว่าปี 2550 อย่างแน่นอน!!"
ซีอีโอเมเจอร์ระบุต่อว่า ตอนนี้เขามีโครงการอยู่ในใจเรียบร้อย..ส่วนจะตั้งงบลงทุนเท่าไหร่ ยังต้องรอขออนุมัติจากที่ประชุมกรรมการเสียก่อน
"เชื่อผมเถอะ! อุตสาหกรรมหนังยังเติบโตได้อีกมาก และอยู่ในวิถีที่เราจะสามารถขยายโรงหนังได้" วิชากล่าวอย่างเชื่อมั่น
-------------------------
Create Date : 12 กรกฎาคม 2550 |
| |
|
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 20:00:12 น. |
| |
Counter : 737 Pageviews. |
| |
|
|