BlogGang.com : : hoon

แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น

มะขามแขก” ใบทำชาลดอ้วน

“มะขามแขก” ใบทำชาลดอ้วน [16 ต.ค. 49 - 15:47]

ในยุค สมัยก่อนใบ “มะขามแขก” เป็นสินค้านำเข้าจากประเทศมาเลเซีย และประเทศอินเดีย เพราะในประเทศไทยไม่มี ส่วนใหญ่นำเข้ามาใช้ประโยชน์ทางยา มีราคาแพงมาก ซึ่งใบแห้งตกกิโลกรัมละไม่น้อยกว่า 40-50 บาท นิยมใช้กันแพร่หลายทั้งชาวไทยและชาวเทศ โดยเอา ทั้งใบและผักปรุงเป็นยาถ่ายสำหรับคนท้องผูกเรื้อรัง ใช้เป็นครั้งคราว ใบจะมีฤทธิ์มากกว่าฝัก หมอยาจึงมักเอาไปใช้รวมกับยาจำพวกขับลมในลำไส้ เหมาะกับเด็กและคนที่มีรูปร่างผอมบาง มีคุณสมบัติพิเศษสำหรับคนเป็นริดสีดวงทวาร

ฝัก โดยมากใช้ในโรคท้องผูกเรื้อรังเช่นเดียวกับใบ แต่จะออกฤทธิ์กับลำไส้ใหญ่ สตรีมีครรภ์จึงไม่ควรใช้ยานี้ ตำรายาบางพื้นที่เอา ใบ “มะขามแขก” เคี่ยวกวนกับมะขามเปียก ฝักคูน น้ำตาล กะจำนวนอร่อยพอรับประทานใช้เป็นยาระบายอ่อนๆดีมาก ปัจจุบันใบ “มะขามแขก” ถูกนำไปเป็นตัวยาสำคัญในการเข้าตำรับ “ยาลดอ้วน” ชงดื่มเป็นชายี่ห้อดังๆมากมาย และ ยังส่งใบแห้งไปขายต่างประเทศด้วย ส่วนฝัก “มะขามแขก” มีขายตามร้านยาทั่วไป

มะขามแขก หรือ CASSIA ACUTIFOLIA อยู่ในวงศ์ SAESALPINEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-20 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบหลักออกเรียงสลับใบย่อยออกตรงกันข้ามเป็นคู่ๆ 8-9 คู่ เป็นรูปรีคล้ายใบมะขามไทย แต่จะยาวและปลายใบแหลมกว่า ดอกเหมือนดอกมะขามไทย “ผล” เป็นฝักเล็กยาวคล้ายฝักถั่วแปบหรือฝักสีเสียด ออกดอกและผลปีละครั้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ 21 แผง “คุณพร้อมพันธุ์” ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ตามที่กล่าวข้างต้น

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ประดับหายาก” ของ “นายเกษตร” เหลือเล่ม 2 ไม่ถึง 50 เล่ม กับเล่ม 3 ประมาณ 8 เล่ม ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อ สั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณฝ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ดีบัวลูกกลอน แก้อัมพฤกษ์อัมพาต, ดีบัวแคปซูล ช่วยขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมอง, ข่อยสีฟัน รักษาเหงือก ดับกลิ่นปาก, มะขามป้อม ผสมสมุนไพรหลายชนิดช่วยลดอ้วน, ครีมกันแดดกระชายดำ, กวาวเครือแดง สำหรับบุรุษ, ครีมนวดผมสูตรตะไคร้, ครีมโลดทะนง รักษาสิวฝ้า ทำให้หน้าเนียนใส รูขุมขนตีบลง,ฟ้าทะลายโจร ลดความดันโลหิต, ว่านชักมดลูก ช่วยทำให้มดลูกกระชับ แก้น้ำคาวปลา, ตรีผลา ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน บำรุงไต บำรุงกำลัง, คอลลาเจนบริสุทธิ์ 100% ช่วยชะลอรอยย่นบนใบหน้า โทร.0-2275-2692 ครับ.

“นายเกษตร”

Create Date : 15 ตุลาคม 2549

0 comment

Last Update : 15 ตุลาคม 2549 21:04:24 น.

Counter : 2223 Pageviews.

Share
Tweet

กระแจะ” แก้ลมบ้าหมูได้

กระแจะ” แก้ลมบ้าหมูได้ [13 ต.ค. 49 - 17:01]

ผู้อ่าน จำนวนมากเข้าใจผิดคิดว่าต้น “กระแจะ” เป็นต้นเดียวกับที่คนโบราณนำไปทำเป็นแป้งประทินโฉม ซึ่งขอยืนยันว่า ไม่ใช่และเป็นคนละต้นกัน ดังนั้น จึงนำเอาเรื่องราวของต้น “กระแจะ” เสนอในคอลัมน์ให้ผู้สงสัยได้กระจ่างไม่คิดผิดอีก

กระแจะ หรือ HESPERETHUSA CRENU-LATA ROXB. อยู่ในวงศ์ RUTACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 3-8 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน มีรอยแตกเป็นร่องลึกตามแนวยาวของลำต้น ตามกิ่งก้านมีหนามแหลมยาว ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับมีใบย่อย 7 ใบ เป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ มีกลีบดอก 4 กลีบ โคนติดกัน ดอกเป็นสีขาว เมื่อบานเต็มที่ปลายกลีบจะงองุ้มลง มีเกสรตัวผู้ 8 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน เป็นรูป แจกัน สีเขียว “ผล” รูปทรงกลม ติดผลเป็นช่อหรือเป็นพวง 8-10 ผล เมื่อสุกเป็นสีดำ มีเมล็ดขนาดเล็กหลายเมล็ด ดอกและผลมีตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง นอกจากชื่อ “กระแจะ” แล้ว ยังมีชื่อเรียกอีกคือ พญายา (ภาคกลาง) ขะแจะ (ภาคเหนือ) และ ตุมตัง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 21 แผง “คุณพร้อมพันธุ์” ส่วนใหญ่เป็นต้นที่ตอนกิ่ง ติดรากดีแล้ว ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป

สรรพคุณทางยา ใบ ต้มน้ำดื่มแก้คนเป็นโรคบ้าหมู (โรคลมชัก สมัยก่อนเป็นกันมาก) ราก ต้มน้ำดื่มเป็นยาถ่ายและ แก่น ใช้ดองกับสุราขาว 40 ดีกรี กิน วันละ 3 เวลา ครั้งละ 1 เป๊ก ก่อนอาหารและก่อนนอน เป็นยาแก้กระษัย โลหิต พิการ และ ดับพิษร้อน ได้เด็ดขาดนัก

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ประดับหายาก” ของ “นายเกษตร” เหลือเล่มที่ 2 ไม่ถึง 50 เล่ม เล่ม 3 ไม่ถึง 10 เล่ม ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อ สั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ. 48 ปณฝ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร สบู่เหลวโลดทะนง สำหรับผู้เป็นสิวฝ้าน้อยๆดี, สบู่เหลวเปลือกทับทิม ใช้แก้สิวโดยเฉพาะ, ขมิ้นชันผสมสมุนไพรอื่น กินรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้, โทนเนอร์ เช็ดหน้า ทำให้หน้าสะอาด, ครีมบำรุงรอบดวงตา มีส่วนผสมของโสม วิตามินอี ทำให้ต่อมใต้ตากระชับ, ครีมโลดทะนง รักษาสิวฝ้า หน้าเนียนใส รูขุมขนตีบลง, ตรีผลา ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ฟ้าทลายโจร ลดความดันโลหิต, ว่านชักมดลูก ช่วยให้มดลูกกระชับ แก้น้ำคาวปลา, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย เกาต์ ลดเบาหวาน บำรุงไต บำรุงกำลัง, คอลลาเจนบริสุทธิ์ 100% ช่วยชะลอรอยย่นบนใบหน้า โทร. 0-2275-2692 ครับ.

“นายเกษตร”

Create Date : 13 ตุลาคม 2549

0 comment

Last Update : 13 ตุลาคม 2549 5:30:33 น.

Counter : 616 Pageviews.

Share
Tweet

ดองดึง พืชพิษที่มีประโยชน์ โปรดฟังอีกครั้ง!

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย

ดองดึง พืชพิษที่มีประโยชน์ โปรดฟังอีกครั้ง!

เมื่อราว 2-3 สัปดาห์ เกิดเหตุการณ์บ้านแต่มิใช่การเมือง เมื่อหนูน้อยรายหนึ่งรับประทานยาขับพยาธิซึ่งปรุงด้วยผลมะเกลือ แม่ของเด็กหวังดีแต่ขาดความรู้ที่ถูกต้อง ทำให้ลูกชายตาบอดไปอย่างน่าเสียดาย มะเกลือเป็นสมุนไพรที่หมอพื้นบ้านแต่โบราณนำมาใช้เป็นยาขับพยาธิ นักวิชาการก็เคยทำการศึกษาฤทธิ์ของมะเกลือยืนยันว่า สามารถช่วยขับพยาธิได้โดยเฉพาะพยาธิปากขอ ส่วนพยาธิเส้นด้าย ตัวตืด ตัวกลมก็ขับได้เช่นกันแม้จะได้ผลไม่ดีเท่าขับพยาธิปากขอก็ตาม

เหตุการณ์ที่ใช้สมุนไพรแล้วเกิดพิษนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ไม่ถูกวิธี และใช้ไม่ถูกต้นหรือไม่ถูกส่วนของพืชนั้นๆ เช่น ตำรายาให้ใช้ใบอ่อน แต่ไปใช้ใบแก่ เป็นต้น กรณีมะเกลือก็เช่นกัน องค์ความรู้แต่โบราณให้ใช้ผลหรือลูกมะเกลือสดที่ยังไม่สุก คือยังไม่เปลี่ยนสีเป็นเหลืองๆ อมเทา และต้องไม่ใช้ลูกที่ช้ำและมีสีดำ นอกจากนี้วิธีปรุงยาก็มีส่วนสำคัญมาก คือ

ตำราโบราณให้ใช้ผลมะเกลือราว 10 ลูก หรือมากน้อยกว่านั้นตามความเหมาะสมแก่วัย เช่น อายุ 15 ปีใช้ 15 ลูก แต่ถ้าอายุเกิน 25 ปี ให้ใช้แค่ 25 ลูกเท่านั้น นำมาตำคั้นน้ำผสม "หัวกะทิ" ดื่ม

ข้อห้ามที่สำคัญ คือ ไม่ควรนำไปต้มกิน และห้ามผสมหรือปั่นกับน้ำปูนใส เพราะจะทำให้สารสำคัญชนิดหนึ่งสลายตัวได้ แล้วถูกดูดซึมเข้าร่างกายจนทำให้ตาบอด

การศึกษาสมัยใหม่อธิบายภูมิปัญญาโบราณได้ว่า ที่ให้กินพร้อมกะทิหรือไขมันนั้น เพราะสารสำคัญชนิดนี้ไม่ละลายในไขมัน เมื่อกินกับกะทิจึงมีความปลอดภัยขึ้นนั่นเอง เพราะถ้าสารสำคัญที่เป็นอันตรายนั้นละลายกับน้ำมากขึ้นก็จะถูกดูดซึมได้ง่ายขึ้นและเป็นอันตรายมากขึ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวัง อย่ากินมากเกินจำเป็น และหากเกิดอาการตามัวให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

สําหรับดองดึง ซึ่งผู้ที่อยู่ในวงการสมุนไพรรู้ดีว่านักวิชาการเขาจัดให้อยู่ในกลุ่ม พืชพิษ แต่มีดอกสวยงาม จึงน่ารู้จักดองดึงสักนิดก่อนที่จะรู้ซึ้งถึงพิษ ดองดึงมีชื่อในภาษาอีสานหลายชื่อ ได้แก่ หอนขวน (หัวขวาน) พันมหา หรือหมอยหีย่า บางคนก็เรียกดองดึงขวาน ชื่อในภาษาอังกฤษที่เรียกกันทั่วไปก็มีชื่อ เช่น กลอลี ลิลลี่ (Glory lily) ไคลมบิง ลิลลี่ (Climbling lily) หรือ กลอริโอซา ลิลลี่ (Gloliosa lily) หรือ SUPERB LILY, TURK"S CAP

ในอดีตเราพบเห็นดองดึงได้ทั่วไปตามหัวไร่ปลายนา จากรายงานของกองพฤกษศาสตร์และวัชพืชให้ความรู้ว่า ดองดึงเป็นพืชที่เจริญได้ดีในทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะตามชายหาดใกล้ๆ ทะเล แต่ทุกวันนี้ใครไปเที่ยวทะเลรับรองว่าไม่เห็นดองดึงโต้ลมชมอาทิตย์ตกดินแน่นอน ดองดึงวันนี้จึงเป็นพืชที่หายากในธรรมชาติ ถ้าพูดตามภาษาวิชาการดองดึงเป็นพืชที่อยู่ในสภาวะถูกคุกคาม!

ดองดึงเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ที่มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย งอกงามได้ดีในช่วงฤดูฝน และจะลงหัวในฤดูแล้ง มีดอกสวยงามมาก กลีบดอก 6 กลีบเมื่อตูมมีสีเขียว แต่เมื่อบานกลีบดอกหยิกเป็นคลื่นไล่ระดับจากโคนกลีบที่สีเขียว ส้ม ส้มอมแดง และแดงที่ปลายกลีบ กลีบดอกเมื่อบานเต็มที่มีลักษณะหยิกเป็นคลื่น สวยงามมาก เวลานี้ได้ยินมาว่าประเทศญี่ปุ่นใช้เทคโนโลยีด้านการตัดต่อยีน จนสามารถเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเฉพาะส่วนที่เป็นดอก แล้วผลิตออกมาเป็นกระเช้าดอกไม้ที่มีเฉพาะส่วนของดอกออกจำหน่าย โครงการหลวงก็มีการปลูกเพื่อผลิตดองดึงเป็นไม้ดอกออกจำหน่ายเช่นเดียวกัน

นี่คือประโยชน์ของพืชพิษที่นักเล่นดอกไม้มองเห็น

ในทางยาคนอีสานแต่โบราณรู้ว่าดองดึงมีพิษ จึงใช้พิษให้เกิดประโยชน์โดยใช้หัวดองดึงเป็นยาเบื่อสุนัข โดยเอาส่วนหัวซึ่งมีลักษณะเป็นรากสะสมอาหารมาทุบให้แหลกผสมกับข้าวเหนียวโยนให้สุนัขกิน

ความเป็นพิษของดองดึงนี้หมอพื้นบ้านกล่าวว่า ถ้าคนรับประทาน (หัวดองดึง) เข้าไปภายในเวลา 2-6 ชั่วโมง จะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง และอาจมีถ่ายออกมาเป็นเลือดด้วย

การศึกษาความเป็นพิษของดองดึงพบว่า สารสกัดจากดองดึงที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ เมื่อนำมาผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ในขนาด 0.125 กรัม/น้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม จะทำให้หนูทดลองตายลงร้อยละ 50

ถึงแม้ว่าดองดึงจะจัดว่าเป็นพืชพิษแต่ถ้ารู้จักนำมาใช้ก็สามารถรักษาโรคได้ เช่น การรักษาโรคเรื้อน โรคคุดทะราดและไขข้ออักเสบ ในตำรับยาไทยจัดว่าหัวดองดึงเป็นยาที่ให้รสร้อนเมา ใช้ในการรักษาได้หลายชนิด เช่น แก้บาดแผล รักษาโรคผิวหนัง ขับผายลม แก้พรรดึก แก้ลมเป็นก้อน แก้ริดสีดวงแบบต่างๆ แก้ปวดเมื่อย แก้พิษสัตว์ต่างๆ

นอกจากนี้ เมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสมยังใช้เป็นยาขับพยาธิในวัว ควาย ได้อีกด้วย แต่การใช้รักษาโรคเหล่านี้ต้องอาศัยหมอพื้นบ้านที่ชำนาญ มิใช่นำมาใช้กันเอง

และจากการศึกษาทางวิชาการพบสารสำคัญหลายชนิดซึ่งมีในทุกส่วนของดองดึง แต่มีสารตัวหนึ่งที่สำคัญมากคือ สารโคชิซีน (colchicines) ซึ่งมีอยู่มากในส่วนของเมล็ดและหัว สารโคชิซีน เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการระงับการแบ่งเซลล์ ดังนั้น ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันจึงนำสารโคชิซีนจากดองดึงมารักษามะเร็งบางชนิด ในวงการเกษตรยังใช้สารโคชิซีนกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมในพืช เพื่อให้ได้สายพันธุ์แปลกๆ หรือสายพันธุ์ที่หลากหลายอีกด้วย

จากการสังเกตดองดึงที่ปลูกไว้ในสวนจะเป็นที่โปรดปรานของหอยทากมาก และมีรายงานว่าใบของดองดึงเป็นที่โปรดปรานของแมลงหลายชนิด ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า สัตว์เหล่านี้เมื่อกินใบดองดึงเข้าไปแล้วอาจเกิดการกลายพันธุ์ จึงมีความหลากหลายของพันธุ์เพิ่มขึ้น

ดังนั้น ถ้าปลูกเป็นแปลงขนาดใหญ่จะต้องระมัดระวังผลกระทบต่อการกลายพันธุ์ของสัตว์ที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ด้วย

ดองดึงเป็นพืชพิษแต่มีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง คนไทยยังนำมาใช้เพื่อเป็นการค้าน้อยมาก เท่าที่ทราบกองพฤกษศาสตร์และวัชพืช กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกำลังศึกษาการปลูกเพื่อเป็นการค้า และการผลิตโคชีซินเพื่อการแพทย์ รวมถึงการผลิตเป็นไม้ประดับ หากใครสนใจปลูกขอให้นำผลการศึกษาที่ว่า การนำส่วนหัวมาปลูกจะให้อัตราการเจริญเติบโตที่ดีกว่าการเพาะเมล็ด อย่างไรก็ตาม พบว่าสายพันธุ์ที่มีอยู่ในประเทศยังให้ผลผลิตน้อย จึงต้องศึกษาเพื่อการคัดสายพันธุ์ต่อไป

ดองดึง สมุนไพรพืชพิษที่มีประโยชน์อีกชนิดหนึ่งที่รอการ "ปฏิรูป" ต่อไป

Create Date : 10 ตุลาคม 2549

2 comment

Last Update : 10 ตุลาคม 2549 11:10:01 น.

Counter : 862 Pageviews.

Share
Tweet

โป๊ยกัก” แก้หวัดนก [6 ต.ค. 49 - 15:13]

โป๊ยกัก” แก้หวัดนก [6 ต.ค. 49 - 15:13]

การ คิดค้นหาวิธีผลิตยาหรือวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดนกเท่าที่ทำได้เพียงแค่ระดับหนึ่ง หาความชัดเจนหรือเด็ดขาดยังไม่ได้ ในทางสมุนไพรเองก็มีอยู่ หลายสูตร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ไม่เด็ดขาดเช่นกัน แต่ “โป๊ยกัก” ถือว่าเป็นสมุนไพรตัวที่ดีที่สุด ใช้แล้วได้ผลดีในเวลานี้ มีขั้นตอนเอาไปให้ไก่กินแบบง่ายๆคือ

เอา “โป๊ยกัก” ชนิดแห้ง มีขายตามร้านยาจีน ทั่วไป บดเป็นผงแล้วผสมกับอาหารที่จะให้ไก่กินในอัตราส่วน “โป๊ยกัก” บดสำเร็จ 2 ช้อนโต๊ะพูนๆ ต่ออาหารไก่ น้ำหนัก 22 กิโลกรัม ซึ่งใน “โป๊ยกัก” จะมีสารชนิดหนึ่ง เมื่อไก่กินแล้วจะช่วยป้องกันไม่ให้ไก่เป็นโรคไข้หวัดนกได้ แต่ต้องให้กินอย่างต่อเนื่องไม่ขาดระยะ ในประเทศแถบยุโรป ทราบว่าเอา “โป๊ยกัก” ไปวิจัยพร้อมกับทำเป็นตัวยาให้ มนุษย์รับประทานเพื่อต้านโรคไข้หวัดนกได้ มีการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว

อย่างไร ก็ตาม ถ้า “โป๊ยกัก” มีสรรพคุณแก้ไข้หวัดนกได้จริง ผู้ที่เกี่ยว ข้องกับการป้องกันโรคไข้หวัดนกควรนำไปเผยแพร่ให้เกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงไก่ หรือสัตว์ปีกได้ทราบโดยทั่วกัน จะได้นำเอา “โป๊ยกัก” ไปใช้ประโยชน์ตามที่กล่าวข้างต้นได้

สำหรับ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ของ “โป๊ยกัก” มีผู้รู้ที่เป็นเพื่อน “นายเกษตร” เช่น “คุณกิจจา อ่อนอำไพ” ยืนยันว่า เป็นดอกและผลของต้น “อบเชย” ซึ่งเปลือกต้นใช้ต้มพะโล้ ส่วนดอกและผลเรียกว่า “โป๊ยกัก” ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น จริงก็พอจะนำข้อมูลเกี่ยวกับต้น “อบเชย” พร้อมสรรพคุณแนะนำให้รู้จักได้

อบเชย หรือ CINNAMOMUM- TAMMALA (RATA NIGEANTU)�(TALISH PATIRI) อยู่ในวงศ์ LAURACEAE เป็นไม้ ยืนต้น สูง 4-10 เมตร เปลือกต้นและใบมีกลิ่นหอม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรง กันข้าม รูปวงรีแกมรูปขอบขนาน มีเส้นใบหลัก 3 เส้น เห็นชัดเจน สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย สีเหลืองอ่อนขนาดเล็กจำนวนมาก “ผล” รูปกลมรี เป็นผลสด มี 8 พู หรือ 8 แฉก คล้ายดาว เมื่อแห้งเป็นสีน้ำตาลแดง มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเล็ก ซึ่งตามร้านขายยาจีนเรียกส่วนนี้ว่า “โป๊ยกัก” มีหลายสายพันธุ์คือ อบเชยจีน อบเชยญวน และ อบเชยไทย ทั้ง 3 สายพันธุ์มีสรรพคุณเหมือนกันหมด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ ประดับ สวนจตุจักร โครงการ 9 แผง “คุณมนูญ” หรือโครงการ 21 แผง “คุณพร้อมพันธุ์” ราคาสอบถามกันเอง สรรพคุณทาง ยา เฉพาะเปลือกต้น ปรุงผสมกับยาหอม และยานัตถุ์ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย แก้จุกเสียด แน่นท้องเด็ดขาดครับ.

Create Date : 05 ตุลาคม 2549

0 comment

Last Update : 10 ตุลาคม 2549 18:47:10 น.

Counter : 892 Pageviews.

Share
Tweet

เท่าไหร่จึงจะนับว่าแก่

เท่าไหร่จึงจะนับว่าแก่

หมู่นี้ถูกถามเรื่องความแก่บ่อยขึ้น ผมถูกเชิญไปพูดหลายแห่ง พูดเสร็จก็จะมีบางคนมารุมล้อมถามคำถาม คำถามส่วนมากก็คือ

“อาจารย์อายุเท่าไหร่แล้วครับ”

พอผมบอกอายุไปแล้ว ก็จะถูกถามต่ออีกว่า

“โอ ทำอย่างไรถึงไม่แก่ มียาดีอะไรจะแนะนำไหมครับ?”

คราวนี้แหละเรื่องสั้นก็เลยเป็นเรื่องยาว เพราะจะพูดสั้นๆไม่ได้ ก็เลยเกิดความคิดขึ้นว่า บทความครั้งนี้น่าจะเอาเรื่องความแก่มาพูดสักนิด คราวหน้าจะได้ไม่ต้องตอบคำถามยาวๆและนานๆเกี่ยวกับเรื่องความแก่

ถ้าจะพูดถึงความแก่ เรามักจะดูกันสองอย่าง อย่างแรกดูที่ตัวอายุ

การกำหนดอายุนี้ มักจะเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ทางรัฐหรือทางสังคมจะให้แก่ คนแก่

ตรงนี้มีข้อซึ่งจะต้องเกรงใจกันมากมายโดยเฉพาะคำว่า คนแก่ สมัยก่อน (40-50 ปี มาแล้ว) ใครหน้ามืดตามัว หูตึงเดินง่องๆแง่งๆเป๋ไปเป๋มา เราก็เรียกว่า “คนแก่”

เรามักจะไม่คิดถึงตัวเลขของอายุ ว่าอายุเท่าไหร่ จึงจะเรียกว่าคนแก่ แต่เราจะดูที่ท่าทางอากัปกิริยาว่างกๆเงิ่นๆมากหรือเปล่า

แต่ต่อมาเมื่อมีการดูแลและมีกฎเกณฑ์ของสังคมมากขึ้น สังคมมักจะให้ความเอื้อเฟื้อว่า คนแก่จะต้องมีคนดูแล คนแก่เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนที่สังคมต้องให้ความช่วยเหลือ

จึงเกิดมีการกำหนดอายุขึ้นมาว่า อายุเท่านั้นเท่านี้ ถือว่าเป็นคนแก่ และจะได้รับผลประโยชน์บางอย่างเป็นการตอบแทนจากสังคม

ในสหรัฐอเมริกา แต่ก่อนถือว่าอายุ 60 เป็นคนแก่ แต่ว่าตอนนี้เพิ่มอายุถึง 65 จึงจะถือว่าเป็นคนแก่

และอายุถึงขนาดเท่าที่เขากำหนดไว้นี้ ทางรัฐและสังคมก็มีผลประโยชน์ตอบแทนให้ เช่น การรักษาพยาบาลไม่ต้องเสียเงิน เสียครึ่งเดียว เวลาเดินทางไปไหน ขึ้นรถลงเรือขึ้นรถไฟจะได้ลดราคาครึ่งหนึ่ง หรือไปพักผ่อนที่ไหน สถานตากอากาศที่ไหนก็ได้ลดราคาอีกเช่นกันดังนี้เป็นต้น

และที่สำคัญก็มีการเรียกคนแก่อย่างเกรงใจไม่เรียกว่า “คนแก่” แต่เรียกว่า ผู้สูงอายุ หรือผู้อาวุโส (SENIOR หรือบางทีก็หลุดคำว่า OLD AGE ออกมาบ้างก็มี)

ถ้าจะพูดไปก็เป็นการแสดงความเกรงใจและเอื้อ�เฟื้อไม่ให้ผู้ที่รู้สึกว่า “ฉันกำลังจะแก่ตายอยู่แล้ว” รู้สึกชุ่มชื่นใจขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง

และเพราะผลประ�โยชน์ที่ทางรัฐหรือสังคมมอบให้เช่นนี้เอง จึงต้องพิสูจน์ว่าตัวเองแก่จริง ไปไหนมาไหน ต้องพกบัตรประจำตัวแสดงอายุติดไปเสมอ

นั่นคือแก่ตามตัวเลข ซึ่งถ้าจะเอาตามหลักชีวจิต หรือเอาตามแนวซึ่งผมมักจะไปบรรยายตามที่ต่างๆแล้ว ผมจะไม่ถือตัวเลขอายุเป็นของสำคัญ

แต่ผมจะเอาสภาพความเสื่อมของร่างกายเป็นตัววัด และนี่คือการดูความแก่ที่แท้จริงตามหลักของชีวจิต

นี่คือการดูความแก่ตามแบบที่สอง

ตอนนี้ละครับ เรื่องยาวล่ะ คุณที่คิดว่ากำลังจะแก่ หรือว่าไม่ยอมแก่ ต้องอ่านตอนต่อไปนี้อย่างละเอียด และก็ถ้าสนใจจริงๆ ต้องแจ้งให้ผมทราบนะครับ จะด้วยการคุยกันหรือโทรศัพท์มาก็ได้ โทร.ฝากข้อความ 0-2570-8220 หรือแฟกซ์ 0-2570-8273 ก็ได้ หรือจะจดหมาย 36/31 หมู่ 13 โชคชัย 4 ลาด�พร้าว กทม. 10230 ก็ได้

ถ้ามีคนสนใจมาก ผมจะได้เขียนอย่างละเอียดตอนต่อไป มิฉะนั้นก็จะเขียนเรื่องเจ็บป่วยธรรมดาเท่านั้น

ความแก่ตามแบบที่สองนั้น เราต้องดูที่ความเสื่อมของร่างกาย

ขอแยกแยะตามตำราไว้ให้ดูดังนี้

1. สมองเสื่อม ความจำเสื่อม ความคิดการตัดสินใจเลอะเลือน ตัดสินใจเรื่องง่ายๆไม่ค่อยได้

2. ตา สายตาเสื่อมเร็ว

3. หูตึง ใครพูดระยะห่างไม่ค่อยได้ยิน หรือบางทีห่างหรือใกล้ก็ไม่ค่อยได้ยิน

4. ฟัน ฟันเสีย ฟันหัก ฟันร่วงหมดปากหรือเกือบหมดปาก

5. ลิ้น กินอะไรไม่ค่อยรู้รส ทุกอย่างดูจืดไปหมด ต้องกินรสจัดๆโดยเฉพาะรสหวานรสเค็ม

6. กระดูกสันหลัง โดยเฉพาะตอนต้นคอ ต้นคอแข็ง ปวด ปวดคอและมักจะลามไปถึงปวดหัวด้วย คอมักจะแข็ง เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก หันไปมองอะไรด้านข้างหรือด้านหลัง มองเห็นลำบาก

7. หลอดอาหาร เคี้ยวอาหารเสร็จแล้ว กลืนลงลำบาก บางทีดื่มน้ำหรือของเหลว จะสำลักง่ายๆ

8. ปอด หายใจไม่เต็มที่ เหนื่อยง่าย ขึ้นที่สูง อย่างขึ้นกระไดบ้านก็เหนื่อย

9. หัวใจ หัวใจเต้นไม่ปกติ เดี๋ยวเต้นเร็ว เดี๋ยวเต้นช้า บางครั้งหมดแรงเหมือนจะเป็นลมง่ายๆ ทำงานออกแรงระยะยาวไม่ได้

10. กระบังลม (DIAPHRAGM) คือที่กั้นระหว่างช่องระบบหายใจกับช่องท้อง จะเป็นแผ่นดันขึ้นดันลงเวลาเราหายใจ ถ้าผู้สูงอายุให้ระวังเรื่องอาหารให้มากๆ เพราะถ้าอาหารไม่ย่อย จะทำให้การหายใจเป็นไปอย่างลำบาก ส่วนมากผู้สูงอายุมักจะกินอาหารที่ย่อยยาก ทำให้ท้องมีแก๊สหรือมีลม และจะดันกระบังลมให้ขึ้นไปอัดอยู่ข้างบน จึงมักจะหายใจไม่ค่อยออก เป็นลมง่ายๆ นั่นเป็นเพราะช่องท้อง ไม่ใช่เป็นเพราะช่องระบบหายใจ

11. ตับ ตับทำงานเสื่อมลง ยิ่งสมัยอายุยังหนุ่มสาวกินเหล้ามาก การทำงานของตับจะเลวลงมาก ทำให้ท้องอืดมีลม เสียดท้องอยู่เป็นประจำ

12. กระเพาะ กินอาหารไม่ค่อยได้ เพราะน้ำย่อยในกระเพาะเป็นกรดมากเกินไป หรือเป็นกรดน้อยเกินไป ก็จะเป็นปัญหาต่อระบบย่อยทั้งระบบ

13. ถุงน้ำดี ถ้ากินของพวกหวานๆมันๆเป็นประจำ การย่อยพวกโปรตีนและไขมันจะทำไม่ได้ดี ทำให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย เรื่องนี้เป็นเรื่องยุ่งมาก ต้องคุยกันโดยละเอียดเฉพาะเรื่องนิ่วในถุงน้ำดี

14. ตับอ่อน ถ้าทำงานเสื่อมลง จะมีปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือดสูง และเป็นปัญหาเรื่องเบาหวาน ซึ่งผู้สูงอายุที่มีน้ำหนักมากเกินไป จะมีปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือดแทบทั้งสิ้น

15. ไต ตัวสำคัญที่สุดตัวหนึ่งในการขับถ่ายสิ่งมีพิษออกจากร่างกาย ถ้ากินผิดมาตั้งแต่ต้นๆ จะเป็นปัญหาเรื่องไต

16. ต่อมหมวกไต ก็มีปัญหาอย่างมากกับผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตสมบุกสมบันมาแต่หนุ่มๆสาวๆ จะมีปัญหาเรื่องฮอร์โมนต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนสำคัญ ทำให้มีแรง มีชีวิตชีวา ต่อมหมวกไต มีปัญหาก็มีปัญหาตอนแก่มากแหละครับ

เขียนแบบย่อๆ 16 อย่าง ก็หมดเนื้อที่แล้ว เหลืออีก 12 อย่าง ขออนุญาตพูดต่อคราวหน้า อย่าลืมเขียนจดหมายมาคุยนะครับ

0 0 0 0 0

คอร์สสุขภาพสำคัญ

ไม่อยากเจ็บป่วยโดยไม่จำเป็น เข้าคอร์สฟื้นฟูสุขภาพแนวชีวจิต กับอาจารย์สาทิสและทีมพี่เลี้ยง 2-5 พฤศจิกายนนี้ ที่สวนสาม�พราน สอบถามที่คุณพร 0-9788-9833 คุณอุษณา 0-9680-4027 คุณสุรีย์ 0-9992-5187 คุณสิริแก้ว 0-1625-7875 คุณสุนีย์ 0-6563-9191.

อาทิตย์ที่แล้วได้พูดกันถึงความแก่ ได้ยืนยันไว้อย่างหนึ่งว่า ความแก่ที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่อายุซึ่งเป็นตัวเลข

แต่อยู่ที่ความเสื่อมของร่างกาย

ความเสื่อมมากน้อยของร่างกายเป็นตัววัดว่าผู้นั้นแก่หรือไม่แก่ และได้พูดถึงความเสื่อมของอวัยวะต่างๆไว้ 16 อวัยวะ ซึ่งยังไม่หมด จึงจะขอต่ออวัยวะต่างๆ ซึ่งเสื่อมและเกี่ยวข้องกับความแก่อีก 12 อวัยวะให้ครบถ้วนต่อไป

แต่ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อ 16 คือ ต่อมหมวกไต ซึ่งเขียนไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วยังไม่จบ ขอต่อข้อ 16 เรื่องต่อมหมวกไตให้จบดังนี้

ต่อมหมวกไต ยังมีความสำคัญในด้านสร้างฮอร์โมนสำคัญๆโดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนที่จะช่วยในการย่อยอาหารและฮอร์โมน ที่จะทำให้เกิดพลังพิเศษเวลาตกใจหรือเวลาที่จะต้องต่อสู้เอาตัวรอดด้วย

ฉะนั้น คนที่แก่เพราะความเสื่อมจริงๆจึงดูเงอะงะไม่กระฉับกระเฉง ก็เพราะความเสื่อมของต่อมหมวกไตนี้เองที่เป็นสาเหตุร่วมกับอวัยวะสำคัญๆอีกหลายอย่าง

17. ไต (สองข้าง) เมื่อพูดถึงต่อมหมวกไตแล้วก็ต้องพูดถึงไต รูปร่างไตจะเหมือนรูปถั่วแดงยักษ์ห้อยอยู่สองข้างด้านหลังของร่างกาย

ที่น่าสนใจก็คือ ไตสองข้างสูงไม่เท่ากัน ไตข้างซ้ายจะอยู่สูงกว่าไตข้างขวา

หน้าที่ของไต คือขับของเสียออกจากร่างกาย ของเสียนั้นอยู่ในปัสสาวะ เมื่อขับของเสีย เช่น ยูเรีย เกลือ และของเสียอย่างอื่นแล้ว ก็จะเอาของเหลวซึ่งกรองสะอาดแล้ว คืนสู่เลือดและนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายต่อไปอีก

คนที่ไตเสื่อม หน้าที่สำคัญคือขับของเสีย และเก็บของมีประโยชน์กลับไปใช้ ก็จะทำหน้าที่ไม่ได้เต็มที่

นั่นคือความเสื่อมของร่างกายและแสดงว่าร่างกายแก่มากแล้ว

18. ลำไส้ใหญ่ หน้าที่ของลำไส้ใหญ่ คือ ขับถ่ายของเสีย (อุจจาระ) ออกจากร่างกาย แต่ก่อนจะเป็นอุจจาระก่อน ลำไส้จะต้องเตรียมระบายน้ำจากของเสียทีละน้อยจากตอนต้นของลำไส้ใหญ่ ค่อยๆเคลื่อนไปตอนกลางและเคลื่อนไปตอนปลาย อุจจาระจากของเหลวจะข้นเข้าๆ และกลายเป็นอุจจาระก้อนยาวในที่สุด

คนแก่การทำงานของลำไส้เกี่ยวกับการขับถ่ายอุจจาระจะค่อยๆเสื่อมลง การเสื่อมของสำไส้ใหญ่นี้ทำให้ท้องผูกหรือท้องเสียได้

จึงเป็นอีกอวัยวะหนึ่งซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเป็น “คนแก่” หรือยัง จากระบบขับถ่ายของลำไส้ใหญ่นี้

19. ลำไส้เล็ก เป็นส่วนที่ยาวที่สุดของระบบย่อยของคนเรา ยาวประมาณ 23 เมตร และเป็นส่วนที่ช่วยย่อยอาหารโปรตีนและไขมัน และหน้าที่สำคัญก็คือ ช่วยดูดซึมสารอาหารซึ่งย่อยแล้วส่งเข้าไปในกระแสโลหิตและไปเลี้ยงร่างกายต่อไป

ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์ก็เพราะอาหารถูกย่อยและดูดซึมเข้าไปเลี้ยงร่างกายจากลำไส้เล็กนี้

ฉะนั้น ผู้สูงอายุหลายคนมักจะมีปัญหาจากอาหารย่อยไม่ดีและดูดซึมไม่ดี ทำให้ไม่มีแรง

สำไส้เล็กจึงเป็นตัวการสำคัญอีกตัวหนึ่งที่แสดงว่า “เราแก่” แล้วหรือยัง

20. ท่อน้ำปัสสาวะจากไต (URE TER) เป็นท่อน้ำปัสสาวะซึ่งไตขับออกมา แต่แทนที่จะออกจากไตโดยตรง น้ำปัสสาวะจากท่อสองท่อนี้จะถูกนำไปเก็บรอไว้ที่กระเพาะปัสสาวะก่อน

ผู้ที่การทำงานของไตและการขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติ บางครั้งปัสสาวะไม่ออก น้ำปัสสาวะจะย้อนผ่านท่อยูรีเทอร์ขึ้นข้างบนไปถึงไตเป็นอันตรายมาก

ส่วนมากเป็นเพราะระบบขับถ่ายปัสสาวะเกิดผิดปกติ ความเสื่อมเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับความแก่อย่างแน่นอน

21. กระเพาะปัสสาวะ เวลามีปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะ มักจะมีปัญหาร่วมกันของไต ท่อยูรีเทอร์ กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ อย่างเช่น ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะราด มักจะเป็นปัญหาร่วมกันระหว่างอวัยวะต่างๆดังกล่าวแล้ว

และปัญหาร่วมกันนี้แหละ แสดงให้รู้ว่าเป็น “คนแก่”

22. ท่อปัสสาวะ (URETHRA) เป็นท่อปัสสาวะโดยตรงจากกระเพาะปัสสาวะผ่านอวัยวะสืบพันธุ์และขับออกจากร่างกาย ของคุณผู้หญิงท่อปัสสาวะจะสั้นกว่าของฝ่ายชายครับ

23. ต่อมลูกหมาก (PROSTATE GLAND) ต่อมตัวนี้มีแต่ในตัวคุณผู้ชายเท่านั้นนะครับ คุณผู้หญิงไม่มี

ต่อมลูกหมากอยู่รอบโคนอวัยวะสืบพันธุ์ ชาย ตรงระหว่างปลายท่อปัสสาวะและโคนอวัยวะสืบพันธุ์ตามสถิติ ผู้ชายอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป จะมีอาการต่อมลูกหมากอักเสบกันแทบทั้งนั้น ก็คงแสดงให้เห็นถึงความแก่อีกนั่นแหละครับ

24. อวัยวะสืบพันธุ์ (ชาย) มักจะเหี่ยวและเล็กลง เมื่ออายุมากขึ้น มักจะมีปัญหาในเรื่องร่วมเพศและเรื่องปัสสาวะ

25. ลูกอัณฑะ (ชาย) มีสองลูกคู่กัน มีหน้าที่สร้างสเปิร์มหรือเชื้ออสุจิ เมื่ออายุมากก็จะหยุดสร้าง เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับใช้ชีวิตทางเพศสมบุกสมบันเพียงใด

26. มดลูก (ผู้หญิง)

27. รังไข่ (ผู้หญิง)

28. ท่อรังไข่ (FALLOPIAN TUBE) ของผู้หญิงอีกเหมือนกัน

อันที่จริงอวัยวะ 3 อย่าง ของคุณผู้หญิงนี้อยู่ด้วยกันและติดกัน หน้าที่ก็คือส่งเสริมซึ่งกันและกันเกี่ยวกับการสืบพันธุ์และสร้างฮอร์โมน

คุณผู้หญิงจะมีโอกาสตั้งครรภ์ตั้งแต่เป็นสาวจนกระทั่งถึงวัยหมดประจำเดือน

คุณผู้หญิงบางคนหมดประจำเดือนเร็ว ตั้งแต่อายุ 40 กว่าๆ บางคนก็หมดประจำเดือนแล้ว บางคนจนอายุ 50 กว่าๆ ยังมีประจำเดือนอยู่ก็มี

หมดประจำเดือนเมื่อไหร่ก็จะมีปรากฏ�การณ์ของ “ความแก่” แสดงตัวออกมาให้เห็น

เพราะฉะนั้น หมดประจำเดือนเร็ว ความเสื่อมของอวัยวะ 3 อย่างข้างบนนี้จะเกิดขึ้นเร็ว นั่นก็แสดงให้เห็นถึง “ความแก่” มาเร็วด้วย

ต้องขออภัยครับที่เขียนเรื่อง ความเสื่อมของอวัยวะ หรือ “ความแก่” ค่อนข้างจะสั้น เพราะหน้ากระดาษไม่พอ และถ้าจะเขียนให้ ละเอียดก็ต้องใช้เวลานานมาก เขียนพอให้เข้าใจเรื่องสาเหตุของความแก่เพียงสั้นๆก่อนนะครับ

และก็มาอีกแล้ว แฟนประจำ “ปั้นชีวิต” โทรศัพท์เสียงดังลั่นเข้ามาเชียว “อาจารย์ครับ อ้วน-อ้วนครับ ความอ้วนเกี่ยวกับความแก่หรือเปล่า”

ถามเข้าทีดี ตอบสั้นๆไว้ก่อนว่า ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยว คราวหน้าจะขอคุยแบบเบาๆ สนุกๆ ให้ละเอียดกว่านี้.

Create Date : 03 ตุลาคม 2549

1 comment

Last Update : 3 ตุลาคม 2549 11:57:47 น.

Counter : 884 Pageviews.

Share
Tweet

hoon_vi

Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์

Rss Feed

Smember

ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]

เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ

[Add hoon_vi's blog to your web]

Bloggang.com