แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น
 
 

อาชีพทำเงิน โลกอนาคต นักสถิติ เกษตรกรแนวดิ่ง


วันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 23:56:54 น.

Share78


แนวโน้ม


ซูซาน ลันด์ แห่งสถาบันวิจัยแมกคินซีย์ โกบอล เสนอรายงานการวิจัยอันบ่งชี้ว่า ภายในปี 2563 อีก 10 ปีข้างหน้า โฉมหน้าของเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลงไปราวหน้ามือเป็นหลังมือ

อาชีพทำเงินแห่งโลกอนาคตจะเน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น มีอิสระมากขึ้น

อาชีพนักสถิติจะเป็นอาชีพทำเงินอันดับต้นๆ ในทศวรรษหน้า การลงพื้นที่สำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติไม่เพียงแต่จะถูกใช้ในงานวิชาการ แต่ยังก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลแก่แวดวงธุรกิจ

อีกหนึ่งอาชีพในฝันที่จะสร้างรายได้คือ อาชีพนักวางระบบรักษาความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ป้องกันการเจาะข้อมูลของเฮกเกอร์

คาดกันว่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นถึง 10 เท่า

ขณะเดียวกัน การจดสิทธิบัตรเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นใหม่ จะกลายเป็นสาระสำคัญ ก็เพราะอย่างนี้ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านการจดสิทธิบัตรจะเป็นอาชีพฮิตฮ็อตในทศวรรษหน้า

ทศวรรษหน้าจะเกิดวิกฤตผู้สูงอายุ โลกจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมคนแก่ 1 ในอาชีพที่จะมาแรง เป็นพนักงานดูแลผู้สูงอายุ

ตลาดแรงงานจะต้องการคนดูแลผู้สูงอายุอีกหลายล้านคน ในปี 2573

ที่ปรึกษาด้านพันธุกรรมเป็นอีก 1 อาชีพ ที่คาดว่าจะสามารถทำรายได้เฉลี่ยปีละ 63,700 เหรียญสหรัฐ หรืออาจสูงถึง 150,000 เหรียญสหรัฐ

อีกอาชีพหนึ่งที่มาพร้อมกับประชากรโลกที่จะเพิ่มจาก 7,000 ล้านคนในปี 2554 และภายในปี 2593 ประชากรโลกจะเพิ่มมากกว่า 9,000 ล้านคน คาดว่าร้อยละ 80 ของชาวโลกที่อาศัยอยู่ในเมืองจะมีปัญหาวิกฤตขาดแคลนอาหาร

ทำให้เกิดอาชีพใหม่คือเกษตรกรแนวดิ่ง ทำหน้าที่ย้ายการผลิตจากชนบทสู่ตึกระฟ้าในเมือง เป็นการทำไร่บนตึกสูง



ที่มา : มิสแซฟไฟร์ คอลัมน์ คนดังอะราวด์เดอะเวิลด์ "6 อาชีพทำเงินแห่งโลกอนาคต", ไทยรัฐ, 26 พฤศจิกายน 2554




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2554   
Last Update : 15 ธันวาคม 2554 13:26:28 น.   
Counter : 1309 Pageviews.  


AREA เผยวิธีคำนวณค่าเสียหายจากอาคารถูกน้ำท่วม มีครบทั้ง "บ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์-คอนโด-ออฟฟิศ" Share 31 ดร.โสภณ พรโชคชัยประธานกรรมกา

AREA เผยวิธีคำนวณค่าเสียหายจากอาคารถูกน้ำท่วม มีครบทั้ง "บ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์-คอนโด-ออฟฟิศ"

Share
31





ดร.โสภณ พรโชคชัยประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ได้ประกาศราคาค่าก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2554 เพื่อใช้สำหรับการประเมินค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ต่อการใช้คำนวณประกอบการประมาณการค่าเสียหายจากน้ำท่วมในขณะนี้

ราคาค่าก่อสร้างอาคารธรรมดา เช่น บ้านเดี่ยวตึก 2 ชั้น ราคาตารางเมตรละ 11,400 บาท ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นหน้ากว้าง 4 เมตร เป็นเงินตารางเมตรละ 8,600 บาท ขณะที่อาคารพาณิชย์ 4 ชั้นราคา 7,200 บาทต่อตารางเมตร

ห้องชุดราคาถูกหรืออพาร์ตเมนท์สูงไม่เกิน 5 ชั้น ราคาค่าก่อสร้างตารางเมตรละ 12,500 บาท ส่วนราคาค่าก่อสร้างที่แพงที่สุดคงเป็นอาคารที่จอดรถส่วนใต้ดิน 3-4 ชั้น จะตกเป็นเงินถึง 26,900 บาทต่อตารางเมตร

ส่วนอาคารสำนักงานธุรกิจ 21-35 ชั้น ราคาตารางเมตรละ 24,300 บาท ทั้งนี้ราคาข้างต้นเป็นราคาปานกลาง ในกรณีอาคารที่มีรายละเอียดพิเศษ ย่อมมีราคาที่สูงหรือต่ำกว่านี้

ในช่วงปี 2553-2554 ราคาค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ประมาณ 3-5% เท่านั้น ที่เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษคงเป็นอาคารที่จอดรถเป็นสำคัญ เพราะมีราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 7.0-7.4% รวมทั้งสนามเทนนิสที่ราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 7%

หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงราคาในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2549-2554) พบว่า ค่าก่อสร้างเพิ่มสูงสุดในกรณีของอาคารไม้ ซึ่งปัจจุบันคงมีการก่อสร้างน้อยมาก โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 35% หรือตกเป็นประมาณ 6% ต่อปี ทั้งนี้เนื่องจากไม้เป็นทรัพยากรที่หายากขึ้นในระยะหลังนี้

ส่วนที่เพิ่มขึ้นต่ำมากเป็นพิเศษได้แก่ ทาวน์เฮาส์ 2-3 ชั้นหน้ากว้าง 4 เมตร หรือ 5-6 เมตรมีเสากลาง รวมทั้งอาคารพักอาศัยไม่เกิน 5 ชั้น และอาคารชุดพักอาศัย 16-25 ชั้น ที่เพิ่มขึ้นเพียงปีละ 2.2% เท่านั้น

หากเทียบในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า อาคารที่เพิ่มค่าก่อสร้างน้อยที่สุดก็คือ ทาวน์เฮาส์ 2-3 ชั้น หน้ากว้าง 4 เมตร และ อาคารพาณิชย์ชั้นเดียว โดยเพิ่มขึ้นเพียง 48% ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดได้แก่อาคารที่มีไม้มากเป็นพิเศษ เช่น บ้านเดี่ยวหรือบ้านแถวไม้ รวมทั้งบ้านไม้ใต้ถุนสูง แต่เป็นสินค้าที่มีการก่อสร้างน้อยมากในปัจจุบัน

และหากเทียบระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2539-2554) ก็จะพบว่า แทบทุกกลุ่มมีราคาค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดก็คงเป็น อาคารไม้ 133% ส่วนอาคารทาวน์เฮาส์ชั้นเดียวเพิ่มขึ้นต่ำสุดคือ 83%

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ราคาที่อยู่อาศัยที่ขายในตลาดมีราคาเพิ่มขึ้นเกินกว่า 1 เท่าตัว ดังนั้นแสดงให้เห็นว่ามูลค่ายังเพิ่มมากกว่าต้นทุนค่าก่อสร้าง โดยนัยนี้แสดงว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพที่ดี ยังมีความต้องการอสังหาริมทรัพย์อยู่ในท้องตลาด

ปกติในกรณีบ้านเดี่ยวตึก ราคาค่าก่อสร้างจะเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าบ้าน อีก 2 ใน 3 เป็นค่าที่ดิน ค่าดำเนินการ ภาษี ดอกเบี้ย กำไร เป็นต้น เช่น บ้านเดี่ยวหลังละ 3 ล้านบาท ค่าก่อสร้างอาคารจะเป็นเงินประมาณ 1 ล้านบาท เป็นต้น

ในกรณีที่บ้านถูกน้ำท่วม อาคารที่ประกอบด้วยงานโครงสร้างคงไม่ได้รับผลกระทบ แต่ที่ได้รับผลกระทบจะเป็นงานสถาปัตยกรรม-ตกแต่ง และงานระบบประกอบอาคาร โดยเฉพาะระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในชั้นล่างของอาคาร

อนึ่ง ราคาค่าก่อสร้างนี้เป็นราคาที่คำนวณใช้ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ ห้วงกลางปีของทุกปีเป็นสำคัญ ในกรณีพื้นที่อื่นที่มีค่าแรง ค่าวัสดุ ค่าขนส่ง ฯลฯ แตกต่างไปจากนี้ ก็สามารถปรับราคาให้เหมาะสมกับความเป็นจริงได้




 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2554   
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2554 21:56:46 น.   
Counter : 576 Pageviews.  


ค้าขาย 'อาหารเด่น' ปี'51 'ดั้งเดิม-ดัดแปลง' แรงพอๆกัน

ค้าขาย 'อาหารเด่น' ปี'51 'ดั้งเดิม-ดัดแปลง' แรงพอๆกัน


หน้าพิเศษ “ช่องทางทำกิน” ส่งท้ายปี 2551 วันอาทิตย์ที่ 28 ธ.ค.นี้ ทีมงานหยิบยกการ “ค้าขายอาหารเด่น” ที่ได้นำเสนอไปในรอบปีมาให้พิจารณาเป็นตัวอย่างในการสร้างความสำเร็จ ซึ่งจุดน่าสนใจคือนอกจากวิธียึดมั่นในสูตรต้นตำรับแล้ว หลายรายดัดแปลง วิเคราะห์ลูกค้า ทำให้จับตลาดได้อยู่หมัด.....

‘ข้าวแกงทอด’ ถนอมอาหารทำเงิน ดวงจันทร์ หงสะมัต กับเมนูข้าวแกงทอด จากอดีตแม่ครัวร้านอาหารไทยในเนเธอร์แลนด์ ได้แรงบันดาลใจการทำข้าวแกงทอดจากงานวิจัยเรื่องการถนอมข้าวที่หุงสุกแล้ว มาพลิกแพลงเป็นเมนูอาหารทำเงิน โดยมีเมนูข้าวแกงทอดนับสิบเมนู เช่น ข้าวแกงเขียวหวาน ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทย ข้าวผัดปลาเค็ม ข้าวน้ำพริกปลาทูชะอมทอด ข้าวพะแนงหมู ข้าวหมูแดง ข้าวผัดกระเพรา ข้าวหมูคั่วกลิ้ง ข้าวผัดสะตอ ซึ่งถ้าใครมีพื้นฐานการทำกับข้าวก็ไม่น่าจะยากเกินจะหัดทำ สนใจติดต่อ โทร.08-1995-0825, 08-1333-7685

‘ยำผัก-ผลไม้รวม’ สร้างอาชีพด้วยเมนูสุขภาพ อวยพร เนียมสกุล เจ้าของเมนูยำประยุกต์ผัก-ผลไม้รวมสีสันสวยงาม สร้างรสชาติแตกต่างจนเป็นเมนูใหม่ที่ลูกค้าตอบรับดี โดยหยิบเอาวัตถุดิบที่มีอยู่แล้วในร้าน มาประยุกต์เป็นเมนูใหม่ จุดเด่นและเคล็ดลับอยู่ที่น้ำยำ ที่ทำให้ยำมีความกรอบนาน นิ่มช้าลง ที่สำคัญน้ำยำสูตรของเธอยังคล้ายกับน้ำปลาหวาน ทำให้สามารถดัดแปลงเอาไปใส่ในผลไม้พวกมะม่วง กระท้อน ส้มโอ้ ช่วยลดความเปรี้ยวของผลไม้ที่เปรี้ยวจัดได้ด้วย สนใจติดต่อ โทร.08-4139-3849, 08-1403-2509

‘ส้มตำหลอด’ แปลกใหม่ขายแซบ วัฒนา ศิลปดนตรี เจ้าของร้านครัวจัดจ้าน คิดเมนูส้มตำหลอดขึ้น โดยยึดหลักให้คุณค่าอาหารครบถ้วน 5 หมู่ ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ทำใช้ทุกอย่างเหมือนการทำส้มตำทั่ว ๆ ไป ส่วนที่มีเพิ่มเข้ามาก็จะเห็นเป็น แผ่นก๋วยเตี๋ยว, ไข่ต้มสุก, กุ้งสดลวกปอกเปลือก ที่นำมาใช้สร้างจุดขาย-สร้างความแตกต่าง จนเป็นเมนูฮิต นอกจากนี้เคล็ดลับมัดใจยังอยู่ที่เรื่องของความสะอาด เรื่องของการเลือกใช้วัตถุดิบชั้นดี มีคุณภาพ เป็นการผนวกยุทธวิธีแปลก อร่อย สะอาด ที่ควรนำไปเป็นแบบอย่าง สนใจติดต่อ โทร.08-1010-9724, 08-9510-6507

‘น้ำปรุงเส้นจันทร์ผัดปู’ สูตรทำเงินต่อยอดจากเมนู ยุพา นิยมพานิช กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรคลองนารายณ์ จ.จันทบุรี รวมกลุ่มผลิตน้ำปรุงรสก๋วยเตี๋ยวเส้นจันทร์ผัดปูจำหน่าย สร้างจุดขายจับกลุ่มลูกค้าคนชอบทำอาหาร ซึ่งผัดไทยเส้นจันทร์เป็นอีกอาหารจานด่วนที่ได้รับความนิยม และน้ำปรุงรสผัดเส้นจันทร์ก็เป็นอีกช่องทางทำกินที่ต่อยอดจากอาชีพขายผัดไทยได้อีกทอด โดยขายคู่กับหมูชะมวงกระป๋อง ของดีขึ้นชื่ออีกอย่างของเมืองจันทบุรี เป็นอีกรูปแบบช่องทางทำกินที่น่าสน สนใจติดต่อที่ โทร.0-3934-3499, 08-9753-6754

‘ปลาสลิดทอดไร้ก้าง’ กรอบนอกนุ่มในรายได้ดี สมพิศ กันศิริ เจ้าของสูตรปลาสลิดทอดกรอบไร้ก้าง รู้จักสร้างความแตกต่างเป็นทางเลือกให้ลูกค้า จับกลุ่มลูกค้าชอบกินปลาแต่ไม่ชอบแกะก้างปลาเอง โดยใช้วิธีทอดปลาเป็นตัว ๆ ก่อน ไม่ต้องทอดให้สุก นำขึ้นมาผึ่งไว้ให้เย็นก่อนใช้มีดคม ๆ แล่เนื้อกลางตัวปลาตามแนวยาวจากหัวลงถึงส่วนหางปลาเพื่อเอาก้างออก ราคาขายปลาสลิดทอดกรอบไร้ก้าง พลิกเมนูปลาสลิดทอดธรรมดา ๆ จนสามารถขายได้สูงถึงกิโลกรัมละ 600 บาท สนใจติดต่อ โทร.08-9695-6121, 08-7559-1529 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเมนูอาหารปลาที่น่าสนใจ

‘ทองม้วนโบราณ’ ต้นตำรับตลาดสามชุก กัญญา เจริญวัย เจ้าของสูตรทองม้วนโบราณทรงเครื่องงาดำ ต้นตำรับตลาดสามชุก มีสูตรไม่เหมือนใคร ความพิเศษอยู่ที่ตัวแป้งและไส้ ที่เป็นสูตรผสมแป้งข้าวเจ้ากับแป้งหมี่ไม่ใส่แป้งมันเหมือนทองม้วนทั่วไป และไม่ได้ใช้พิมพ์เหมือนทองม้วนทั่วไป แต่ใช้เตาขนมเบื้องทำ จนหลายคนเรียกว่าขนมเบื้องโบราณ สนใจติดต่อ โทร.08-1128-4100 ทั้งนี้โบราณ ๆ แบบทองม้วนสูตรนี้ ก็เป็นช่องทางทำกินที่ยังน่าสนใจ

‘ซาลาเปาทอดน้ำ’ เด่นที่แปลกแหวกตลาด ศุภศาสตร์ ผดุงภักดีกุล จ.น่าน ยึดอาชีพขายซาลาเปาทอดน้ำสูตรจากเมืองจีน หลากหลายไส้ อาทิ หมูสับ, ถั่วแดง, งาดำ, ไส้ผัก ขายเพียงลูกละ 5 บาท แต่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ไส้ซาลาเปาหลายแบบ มี 4 ไส้ คือ ไส้หมูสับ, ไส้ถั่วแดง, ไส้งาดำ, ไส้ผัก โดยไส้ 2 อย่างแรกนั้นเป็นที่นิยมมาก ราคาขายคือลูกละ 5 บาท จุดเด่นที่แปลกคือหลังทอดในน้ำมันเสร็จก็จะนำลงไปทอดในน้ำสะอาด เพื่อเป็นการอบหรือเหมือนการนึ่งซาลาเปาสดเพื่อให้ไส้ข้างในสุกพอดี สนใจติดต่อ โทร.08-1909-5871 ใครพอมีฝีมือด้านอาหารลองพิจารณากันดู

‘ขนมเทียนสลัดงา’ สูตรอัมพวาทำเงิน วรรณา เดชฉกรรจ์ ทำขนมเทียนสลัดงาสูตรดั้งเดิม และเป็นขนมในวรรณคดีไทย ขายอยู่ที่ตลาดน้ำอัมพวา โดยยึดขั้นตอนและวัตถุดิบสูตรดั้งเดิม โดยเธอขายคู่กับขนมสัมปันนี เมนูขนมพื้นบ้านโบราณอีกอย่าง จนได้รับความนิยมเป็นอย่างดีในหมู่นักท่องเที่ยวและผู้ที่ชื่นชอบเมนูขนมหวานไทยแท้ ๆ ถือเป็นอีกเมนูขนมหวานไทยโบราณน่าสนที่ยังทำเงิน โดยเฉพาะกับแหล่งท่องเที่ยว สนใจติดต่อ โทร.08-9048-8862 ทั้งนี้ ขนมไทย-ขนมพื้นบ้านอาจมีขั้นตอนยากสักหน่อย แต่ขนมทุกอย่างก็ล้วนอร่อย และยังเป็นช่องทางทำกินที่ดี

‘ลอดช่องสิงคโปร์’ สีสวยด้วยดอกอัญชัน มาลัย สิทธิวรรณธนะ เจ้าของความคิดพลิกแพลงเมนูขนมหวานอย่างลอดช่องสิงคโปร์ที่มีผู้ทำออกมาจำหน่ายกันมาก หาจุดขายด้วยการพลิกแพลง ดัดแปลงให้มีความแตกต่าง โดยนำดอกอัญชัน พืชพื้นบ้านมาสร้างสีสวยๆ ให้กับลอดช่องสิงคโปร์ เพราะหาง่าย มีอยู่มากในท้องถิ่น นำมาเรียกความสนใจจากลูกค้าได้อย่างน่าสนใจ ที่สำคัญไม่เป็นอันตรายกับนักชิมอีกด้วย สนใจติดต่อ โทร.08-1762-7193, 0-3854-1384

‘ขนมปังกรอบ’ สูตรเครื่องแกงไทยน่าสน สูตรอาหารทานเล่นไอเดีย นักศึกษา คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เป็นอีกเมนูที่สร้างความแตกต่าง ซึ่งเป็นงานต่อยอดจากขนมปังนิ่มไส้พะแนงกับแกงเขียวหวาน โดยสูตรขนมปังกรอบนี้เมื่อทำเสร็จจะได้ขนมปังกรอบที่อร่อยด้วยรสชาติแตกต่างจากที่มีขายในท้องตลาด และถึงแม้จะเป็นงานวิจัย-งานนักศึกษา แต่ก็น่าสนใจที่จะนำไปต่อยอด ใครสนใจก็ลองติดต่อไปได้ที่คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี หรือติดต่อสอบถามได้ที่ โทร.08-9519-2332 (อาจารย์อุ๊)

ปี 2551 นี้ทั้งเมนูอาหารคาว-เมนูของหวานดังที่ยกตัวอย่างมา ทั้งสูตรโบราณดั้งเดิมและต่อยอดเพิ่มเติมมาจากของเก่า ทุกรายล้วนมีจุดยืนในเรื่องการเลือกใช้ “วัตถุดิบดี-มีคุณภาพ” ทำให้สร้างเงิน-ทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่คนที่อยากจะยึดอาชีพค้าขายอาหารควรจะมี !!


ทีมช่องทางทำกิน :รายงาน




 

Create Date : 15 มกราคม 2552   
Last Update : 15 มกราคม 2552 7:41:49 น.   
Counter : 569 Pageviews.  


ไขปริศนาเลขบัตรประชาชนไทยทั้ง 13 หลัก อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร ค้นหาคำตอบได้ที่นี่

ไขปริศนาเลขบัตรประชาชนไทยทั้ง 13 หลัก อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร ค้นหาคำตอบได้ที่นี่

13 เลขนี้ มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้





โดยความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนหรือทำอะไร ตัวเลขก็ล้วนมีเอี่ยว หรือมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเราเสมอ และในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ ตัวเลขมูลค่าเพิ่มของหุ้นที่เราซื้อ ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำ หรือตัวเลขยอดหนี้ที่ยังไม่จ่าย ส่วนตัวเลขที่น่ารังเกียจอีกตัว คือ ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น



นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “ตัวเลข” ที่เกี่ยวพันกับความเชื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศอีกหลายตัว เช่น คนไทยถือว่า เลข 9 เป็นเลขมงคล เพราะออกเสียงว่า “เก้า” ที่พ้องกับคำว่า “ก้าว” อันหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล จนได้กลายมาเป็นการ “ทำบุญ” อีกรูปแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย



สำหรับฝรั่ง เขาจะถือว่า เลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล หรือเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย


แม้ว่าเลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้


สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้



หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่



ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี



ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า


ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9


ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง


การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ


ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9


ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12


ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133


ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7


คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้


ต่อไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น


สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น


หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ


หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที


สำหรับเลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ


เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548


ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น เป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้









ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2551   
Last Update : 8 ธันวาคม 2551 7:28:24 น.   
Counter : 696 Pageviews.  


"Top5" เว็บยอดนิยม โกยรายได้ แต่กำไรหด!

"Top5" เว็บยอดนิยม โกยรายได้ แต่กำไรหด!


โดย บิสิเนสไทย [24-10-2008]

เมื่อเอ่ยถึงธุรกิจเว็บไซต์ในเมืองไทย ถือได้ว่าเป็นธุรกิจปราบเซียนธุรกิจหนึ่งก็ว่าได้ เพราะถึงแม้จะเป็นธุรกิจที่ใช้เม็ดเงินลงทุนไม่สูง แถมทำได้ไม่ยาก แต่ก็ใช่ว่าคนที่เข้ามาสู่ธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จทุกคนเสมอไป


โดยว่ากันว่ามีเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้นที่สามารถทำผลกำไรจากธุรกิจเว็บไซต์ติดไม้ติดมือกลับไป ในขณะที่ต่างประเทศเว็บไซต์กลับเป็นธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินให้กับผู้ประกอบการอย่างชนิดเป็นกอบเป็นกำ หรือแม้แต่เด็กวัยรุ่นที่ยังเรียนไม่จบก็สามารถทำเงินจากธุรกิจที่มีเพียงหน้าจอสี่เหลี่ยมจนโด่งดังกลายเป็นมหาเศรษฐกิจกันมานักต่อนักแล้ว


ชี้ "เว็บ 90% ยังได้แค่ทำ"

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงเว็บไซต์ชั้นนำของเมืองไทยยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เว็บไซต์เป็นธุรกิจที่ทำเงินให้กับผู้ประกอบธุรกิจแน่นอน โดยจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของ Top 5 เว็บไซต์ยอดฮิตที่มีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก แต่ก็ยอมรับเช่นกันว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาในธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จทั้งหมด เพราะการทำธุรกิจเว็บไซต์ก็เหมือนกับการเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวหรือธุรกิจทั่วไป ที่ต้องมีทั้งผู้ประกอบการที่ได้ผลกำไร และขาดทุน

หนึ่งในเว็บไซต์ยอดฮิตของเมืองไทยติดต่อกันมา 5 ปีอย่างสนุกดอทคอม (www.sanook.com) โดยนายต่อบุญ พ่วงมหา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสนุกออนไลน์ จำกัด บอกให้ฟังว่า เป็นไปได้ที่ธุรกิจเว็บไซต์จะสามารถสร้างรายได้ให้กับคนทำเว็บเมืองไทย เพราะผู้บริโภคเริ่มเข้าใจและมีความก้าวหน้าในการใช้เทคโนโลยีขึ้นมาก เพียงแต่ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการปรับโมเดลให้เหมาะสมกับตลาด และหากเทียบเม็ดเงินที่ใช้ในสื่อออนไลน์ปัจจุบันกับหลายประเทศ เมืองไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เชื่อว่าอนาคตใน 1-2 ปีปริมาณการใช้เม็ดเงินในสื่อออนไลน์ของไทยจะเติบโตเพิ่มขึ้น

“แม้อนาคตอัตราเร่งการใช้เม็ดเงินในสื่อออนไลน์จะเพิ่มขึ้น แต่ใช่ 50% และไม่ใช่ 50% ที่ทุกคนที่ทำจะทำกำไรได้ทุกเว็บไซต์ เพราะปัจจุบัน 80-90% ของจำนวนเว็บไซต์ที่มีอยู่ยังได้แค่ทำเว็บเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ประกอบการต้องรู้จักวิธีการบริหารจัดการ รู้โมเดลในการทำที่ถูกต้อง รวมถึงความเข้าใจใน Core Business ของบริษัทตัวเอง และที่สำคัญคือวิธีการหาเงินสู่ธุรกิจ”

เป็นมุมมองของนายต่อบุญถึงการสร้างเม็ดเงินและทำกำไรของธุรกิจเว็บไซต์ไทย พร้อมกับฉายวิถีคิดเกี่ยวกับยุทธวิธีในการสร้างรายได้ของสนุกดอทคอมให้ฟังว่า มาจาก 2 ส่วนๆ แรกเป็นโฆษณาออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำรายได้หลักให้กับบริษัทถึง 70% และเป็นโมเดลเดียวกับยักษ์เสิร์ชเอ็นจิ้นชั้นนำของโลกกูเกิล ด้วยการให้บริการฟรีกับผู้บริโภคทั้งคอนเทนท์และบริการต่างๆ ส่วนอีก 30% เป็นการขายคอนเทนท์ต่างๆ ทั้งเอนเทอร์เทน เล่นเกมส์ และการดาวน์โหลด เป็นต้น

สำหรับวิธีการดึงดูดลูกค้าให้เลือกลงโฆษณากับสนุกดอทคอมจากเว็บไซต์ที่มีอยู่ในเมืองไทยเป็นหมื่นเป็นแสนเว็บนั้น เขาบอกว่า ปัจจัยแรกของการตัดสินใจลงโฆษณาออนไลน์ของลูกค้าในเว็บใดเว็บหนึ่ง ย่อมต้องการเว็บที่มียูสเซอร์จำนวนมาก เพราะลงแล้วต้องได้ผล ซึ่งการที่สนุกดอทคอมเป็นเว็บไซต์ที่มียอดผู้เข้าชมสูงสุดต่อเนื่องมาตลอด ก็เป็นส่วนช่วยสำคัญที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในการเลือกเว็บไซต์ที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง

อีกส่วนที่สำคัญก็คือ การให้บริการคำปรึกษาด้านโฆษณาออนไลน์กับลูกค้า เพื่อให้การโฆษณาออนไลน์มีประสิทธิภาพ เพราะปัจจุบันความต้องการของลูกค้าหลากหลายและแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเขาบอกว่า บริษัทจะไม่ได้เดินไปหาลูกค้าแล้วบอกขายแบนเนอร์ แต่จะเน้นขายเป็นโซลูชัน โดยดูจากความต้องการลูกค้าเป็นหลัก เช่น บางรายต้องการสร้างการมีส่วนร่วมในแบรนด์ ขณะที่บางรายมองเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนที่จะได้กลับมา ซึ่งรูปแบบการโฆษณาจะต่างกันไป

สำหรับโมเดลการสร้างรายได้ของสนุกดอทคอมในปีหน้า นายต่อบุญย้ำชัดเจนว่า บริษัทยังเน้นสร้างรายได้จากธุรกิจ 2 ส่วนนี้ เนื่องจากเป็น Core Business ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ และมองว่าตลาดโฆษณาออนไลน์ของไทยยังมีการเติบโตและมีทางเลือกในการทำตลาดอีกมาก เช่นเดียวกับการขายคอนเทนท์ที่ยังมีตลาดอยู่อีกมากเช่นกัน

"กระปุก"มากกว่าทำเว็บ แต่มองเป็นธุรกิจอนาคต

ไม่ต่างไปจากความคิดเห็นของนายปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอทคอม (www.kapook.com) เว็บไซต์ที่มียอดผู้เข้าชมสูงเป็นอันดับ 2 ของเมืองไทย ที่มองว่า ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเว็บไซต์ไม่ค่อยสร้างรายได้ให้กับคนทำเว็บไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ เนื่องมาจากขนาดของตลาดเว็บไซต์ต่างกัน ถึงแม้คนไทยจะมีไอเดียที่ดีอยู่มาก แต่ไอเดียก็เป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะคำว่าไอเดียกับการให้บริการที่ดียังมีสเตปที่ต้องเดินอีกหลายขั้น

“ผมเจอเด็กไทยที่มีไอเดียดีๆ จำนวนมาก แต่กว่าจะเดินจากไอเดียที่ดีเป็นบริการที่ดีที่คนชื่นชอบต้องใช้เวลาในการเดินอีกหลายก้าว เงินทุนก็มีส่วนเหมือนกัน เรียกว่ามีอุปสรรครอเต็มไปหมดระหว่างทาง”

นายปรเมศวร์บอกถึงอุปสรรคธุรกิจเว็บไทย แต่ถึงกระนั้นก็ยืนยันเช่นกันว่า เว็บไซต์เป็นธุรกิจที่สามารถทำรายได้ให้กับผู้ประกอบการไทยแน่นอน เพียงแต่ไม่ 100% เพราะส่วนใหญ่มองแค่การทำเว็บ แต่ไม่ได้มองเป็นธุรกิจ เพราะคำว่ามีเว็บ พรุ่งนี้ใครก็มีได้ แค่ไปจดทะเบียน ใส่ชื่อเว็บ แต่การทำเป็นธุรกิจนั้นมีองค์ประกอบอีกหลายอย่าง

“พยายามคิดให้เหมือนธุรกิจทั่วไป โดยเริ่มจากการรู้จักตัวเองก่อนว่าสินค้าและบริการของเราคืออะไร และอะไรคือต้นทุนที่เราต้องจ่าย ที่เหลือก็คือกำไร คิดแค่นั้นเอง แต่ยอมรับทำยาก”

เป็นมุมมองของผู้บริหารเว็บเบอร์ 2 ของเมืองไทย และเสริมด้วยว่า ปัจจัยสำคัญที่จะบริหารเว็บให้ได้กำไรนั้น สิ่งแรกเลยผู้ประกอบการต้องมีความรู้ในธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่และต้องตามให้ทัน และพยายามมองเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อหาความหลากหลายและความแปลกใหม่ให้กับเว็บอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนต้องสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นธุรกิจได้ เหมือนผมบอกว่าผมทำขนมอร่อย แต่ก็ยังเป็นแค่ผมทำขนมอร่อย กับการที่ผมเป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่ชื่อดัง S&P มีลูกค้ามาซื้อเป็นประจำ ซึ่งทุกอย่างมีขั้นตอน และปัจจุบันหลายเว็บก็ยังอยู่ในลักษณะผมทำขนมอร่อย

ถอดโมเดลธุรกิจกระปุก สร้างรายได้จาก 3 ขา

หากดูจากการเติบโตของกระปุกดอทคอมที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 50% โดยปีที่ผ่านมามีรายได้อยู่ที่ 30 ล้านบาท และปีนี้คาดรายได้อยู่ที่ 60 ล้านบาท คงจะเป็นการยืนยันถึงสิ่งที่ผู้บริหารเว็บไซต์เบอร์ 1 และ 2 ของเมืองไทยบอกอย่างมั่นอกมั่นใจว่า ธุรกิจเว็บไซต์สามารถสร้างรายได้และทำกำไรให้กับผู้ประกอบการไทยได้อย่างชันเจน

สำหรับแนวทางการหารายได้ของกระปุกดอทคอมนั้น นายปรเมศวร์ อธิบายว่า มาจาก 3 ส่วน โดยส่วนแรกมาจากโฆษณาออนไลน์ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 80% ส่วนที่สอง เป็นบริการให้คำปรึกษาออกแบบเว็บไซต์ให้กับลูกค้าองค์กร หรือ Corporate Solution คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10% และส่วนที่สาม เป็นธุรกิจบริการสมาชิก และเนื้อหาบริการมูลค่าเพิ่มผ่านโทรศัพท์มือถือ อีก 10%

“ปีหน้าเรายังโฟกัสอยู่ที่ 3 ส่วน ถึงแม้เป็นไปได้ที่จะมีช่องทางอื่นในการหาเงินสู่ธุรกิจเว็บไซต์ เพราะมองว่าเรามีศักยภาพที่จะหารายได้ใน 3 ขานี้ และถ้าเราเอาตรงนี้อยู่จะทำให้เราแน่นมากขึ้น เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่เรามีเวลาดูแลธุรกิจตระกร้า 3 ใบนี้แค่ไหน ไม่ใช่จำนวน”

เป็นคำยืนยันของนายปรเมศวร์ถึงกลยุทธ์การสร้างรายได้สู่กระปุกดอทคอมปีหน้า พร้อมกับเสริมด้วยว่า แม้ปีหน้าตัวเลขโฆษณาออนไลน์จะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทคาดหวังจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจบริการและเนื้อหาบริการมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เพราะมองว่าการเข้ามาของ 3G จะส่งผลให้ตลาดโมบาย คอนเทนท์คึกคักและปรับเปลี่ยนโฉมหน้าไปอีกมาก โดยเชื่อว่าสัดส่วนรายได้จากโฆษณาออนไลน์จะอยู่ที่ 70% Corporate Solution 15% และธุรกิจบริการสมาชิก และเนื้อหาบริการมูลค่าเพิ่มผ่านโทรศัพท์มือถือ 15%

ไม่เท่านั้น เพราะปัจจุบันกระปุกดอทคอมภายใต้การบริหารของนายปรเมศวร์กำลังต่อยอดธุรกิจให้เกิดการเติบโตของรายได้แบบยั่งยืนในอนาคต ด้วยการหาพันธมิตรร่วมทำธุรกิจ ก่อนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอ ไอ ในปี 2553 โดยล่าสุดได้พันธมิตรทางการเงินอย่างบริษัทร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด ซึ่งบริหารโดยบริหารหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุนข้าวกล้า จำกัด ร่วมลงทุนเป็นเม็ดเงิน 20 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาบริการและช่องทางในการสร้างรายได้

“อนาคตเป็นไปได้ที่จะมีพันธมิตรทางธุรกิจอีก เพราะทางเค-เอสเอ็มอีถือแค่ 16.67% หรืออาจไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีอีกก็จะทำให้ขนาดธุรกิจของเราใหญ่ขึ้น และเติบโตได้เร็วกว่าการทำคนเดียวไปเรื่อย พร้อมมีแนวคิดที่จะซื้อเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระปุกดอทคอมด้วย โดยดูจากบริการที่เรายังขาดและคิดว่ามา Join กันแล้วโต ไม่ได้จำกัดว่าต้องเยอะหรือน้อย คาดเข้าไปซื้อให้เร็วที่สุด” นายปรเมศวร์ บอกถึงทิศทางธุรกิจของกระปุกดอทคอม

"Mthai"เบอร์3 แต่รายได้สูงกว่ากระปุก

แม้การจัดอันดับความนิยมของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด 5 อันดับ เว็บเอ็มไทย(Mthai)จะติดอยู่อันดับ3 ที่มีผู้เข้ามากที่สุด โดยเป็นรองเว็บสนุก และกระปุก ทว่าในแง่รายได้ที่แสดงต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ในรอบ 5ปีคือตั้งแต่ปี2546-2550 จะเห็นว่าสูงกว่าเบอร์2 อย่างเว็บกระปุกมาตลอด(ดูตารางประกอบ)

โดยนายซัง โดลี กรรมการผู้จัดการบริษัทโมโนเทคโนโลยีจำกัดเจ้าของเว็บเอ็มไทยอธิบายว่าปัจจุบันมีเว็บไซต์ให้บริการอยู่ 2 เว็บ คือ เอ็มไทย และเย็นตาโฟ ซึ่งเอ็มไทยจะจับกลุ่มตั้งแต่มหาวิทยาลัย และวัยทำงาน ส่วนเย็นตาโฟจะจับกลุ่มที่เด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำลงมา ซึ่งการแบ่งกลุ่มชัดเจนออกมาทำให้การจัดกิจกรรม และการนำเสนอคอนเทนต์ได้ตรงมากขึ้น ทำให้เอ็มไทยอยู่ดันดับ3ติดต่อกันมาหลายปี ขณะที่เย็นตาโฟเกือบติดกลุ่มท็อปเท็นเว็บยอดนิยม

"แม้บริษัทจะมี 2 เว็บแต่ที่ทำรายได้ส่วนใหญ่มาจากเอ็มไทย ปี2549 รายได้เรา72.5 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นปี2550 รายได้เพิ่มเป็น 107.09 ล้านบาท และมีกำไร 12.16 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 30% ดังนั้นเชื่อว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ปีหน้าเรายังเชื่อว่าตัวเลขรายได้จะเป็นหนึ่งเท่าของปีนี้"

เป็นคำยืนยันของผู้บริหารเอ็มไทย ชาวเกาหลีใต้ ที่รับหน้าที่ขับเคลื่อนเว็บยอดนิยมอันดับ3ของประเทศต่อทิศทางธุรกิจ โดยเหตุผลที่ทำให้เขามั่นใจเช่นนั้น เนื่องจากแนวโน้มการโฆษณาผ่านเว็บไซต์สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีราคาถูกกว่าสื่อหลักอื่นๆ เพราะรูปแบบรายได้เกือบ 100% ของเอ็มไทยมาจากค่าโฆษณา ส่วนที่เหลือมาจากกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในปีละ 8 ครั้ง มีเป้าหมายเพื่อสร้างชุมชนให้กับเอ็มไทยมากกว่าจะคาดหวังเรื่องรายได้

อย่างไรก็ตาม แม้เว็บแห่งอื่นจะอิงอาศัยการับทำเว็บ และจัดกิจกรรมเพื่อปั้นรายได้ แต่ผู้บริหารเอ็มไทยย้ำว่า ไม่ใช่ทิศทางของเรา เพราะยังคิดว่าการอาศัยรายได้จากค่าโฆษณามีความน่าสนใจมากกว่า ดังนั้น จึงอาจแตกต่างกว่ารายอื่น และไม่ได้ทำให้เสียเปรียบการแข่งขันแต่อย่างใด นอกจากนี้เว็บเย็นตาโฟจะเป็นอีกแหล่งรายได้ของบริษัทในอนาคต เพราะวัยรุ่นคือกลุ่มที่เข้ามาสู่สื่อนี้มากที่สุด และเป็นเทรนด์ของเว็บวันหน้า

"ผู้จัดการ"อิงกระแสการเมืองโต

หันมาตรวจสอบเว็บยอดนิยมอันดับ 4 แต่หากแยกเป็นประเภทเว็บข่าวต้องบอกว่าเขาอยู่อันดับ1 นั้นคือ เว็บไซต์ผู้จัดการ นายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการเว็บผู้จัดการ บริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีทำเว็บให้ได้รับความนิยม เขาทำกันอย่างไร

" การทำธุรกิจเว็บไซต์ยุคนี้เหนื่อยกว่าการทำเว็บเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เพราะต้นทุนต่ำกว่าเดิมมาก อีกทั้งบริษัทใหญ่ทุนหนาส่วนมากจะลงมาทำเอง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเว็บไทยเกิดได้ยาก" ผู้บริหารรายได้กล่าว

แต่ถึงกระนั้นเขาก็มองว่ายังมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการเว็บไทย โดยปัจจัยสำคัญอยู่ที่การสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างจากตลาด ด้วยการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์ตลาด รวมถึงต้องคิดเร็วและทำเร็ว

แม้เว็บผู้จัดการ (www.manager.co.th) จะเป็นเว็บข่าว แต่การเติบโตด้านรายได้ของเว็บผู้จัดการ กลับเติบโตไม่น้อยไปกว่าเว็บเบอร์ 1 และ 2 โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตเป็นเท่าตัว โดยในปี 2550 มีรายได้อยู่ที่ 40-50 ล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตเป็นเท่าตัวเช่นกัน

สำหรับยุทธวิธีสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ผู้จัดการนั้น นายวริษฐ์ อธิบายว่า มาจาก 3 ช่องทางเช่นกัน โดยช่องทางหลักมาจากขายแบนเนอร์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 90% รองลงมา เป็นบทความโฆษณา (Advertorial) ซึ่งเป็นช่องทางที่เริ่มใช้กันมากขึ้นในปัจจุบัน รูปแบบเป็นการผสมผสานระหว่างแบนเนอร์ และ Advertorial เข้าด้วยกัน และสุดท้ายเป็นการขายคอนเทนท์

เขาบอกด้วยว่า ปีหน้า 3 ช่องทางนี้ก็ยังเป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้สู่เว็บผู้จัดการ แต่จะให้น้ำหนักกับช่องทางโทรศัพท์มือถือมากขึ้น เนื่องจากหากเทคโนโลยีดีขึ้น และมีโครงข่าย 3G เกิดขึ้น จะผลักดันให้การหารายได้ผ่านโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันช่องทางนี้ยังมีสัดส่วนน้อยไม่ถึง 5% แต่ในปีหน้าคาดรายได้ส่วนนี้จะเพิ่มเป็น 10%

เว็บน้องใหม่ exteen โตด้วย Ads Online

ในขณะที่โมเดลการสร้างรายได้ของเว็บน้องใหม่อย่าง //www.exteen.com ที่ล่าสุดสามารถแซงหน้ามาอยู่อันดับ 5 นั้น นายทีปกร วุฒิพิทยามงคล บริษัทเอทเซทโต จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ exteen.com บอกว่า 4 ปีกับการทำธุรกิจเว็บ รายได้หลักยังคงมาจากโฆษณาออนไลน์ โดยยอมรับว่าในช่วง 1-2 ปีแรกของการทำเว็บไซต์นั้นรายได้ยังเข้ามาไม่มาก แต่หลังจากตั้งบริษัทในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา พร้อมให้บริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป เข้ามาดูแลเรื่องการทำตลาด รายได้ก็เริ่มเข้ามามากขึ้นและมีกำไรตั้งแต่ในปีแรก

"ที่เลือกเนชั่นเป็นคนทำตลาดให้ เนื่องจากเราเป็นบริษัทเล็กๆ มีทีมงานแค่ 2-3 คน และอีกอย่างเนชั่นก็ทำตลาดให้กับเว็บใหย่อย่างพันธิป จึงตัดสินใจให้เนชั่นทำตลาดโฆษณา"

นายทีปกร บอกเหตุผลที่เลือกเนชั่นเป็นผู้ดูแลด้านการโฆษณา และเสริมให้ฟังถึงยุทธวิธีการทำตลาดและสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ในอนาคตด้วยว่า อาจจะมาจากอีก 2 ช่องทาง ได้แก่ การขาย-เช่าซอฟต์แวร์ของบริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้า 2-3 ราย และจากการโฆษณาในแต่ละบล็อก โดยแบ่งส่วนแบ่งรายได้กับเจ้าของบล็อก โดยคาดว่าทั้ง 2 ส่วนจะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปีหน้า ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของการโฆษณาออนไลน์อยู่ที่ 50% การขายซอฟต์แวร์ 30% และโฆษณาในบล็อกอีก 20%

เขาบอกว่า ปัจจุบันรายได้จากการโฆษณาในแต่ละบล็อกยังอยู่ในช่วงเริ่มและมีหลายเว็บไซต์เปิดให้บริการแต่ทว่ายังไม่ตอบโจทย์การโฆษณาของลูกค้าได้ดีพอ เนื่องจากลูกค้าไม่มีตัวเลขหรือข้อมูลเกี่ยวกับบล็อกและผู้เข้าชมในแต่ละบล็อกมากพอ ขณะที่เจ้าของบล็อกก็ยังพบปัญหาในการบริหารจัดการอยู่มาก เพราะฉะนั้นจึงมองว่าเป็นโอกาสที่บริษัทจะเข้ามาดูแลและบริหารจัดการตรงนี้ให้เกิดรายได้กับเว็บไซต์เพิ่มขึ้น โดยหากเป็นลูกค้ารายย่อย จะดูแลเอง แต่ถ้าเป็นลูกค้ารายใหญ่จะให้เนชั่นเป็นผู้ดูแล ส่วนการขาย-เช่าซอฟต์แวร์นั้น คิดว่าจะดูแลเองทั้งหมด

จากช่องทางการสร้างได้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เขาคาดว่า ปีหน้ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปีที่นี้ที่มีรายได้ประมาณ 5 ล้านบาท แถมย้ำด้วยว่า แม้สัดส่วนรายได้จะมาจากหลายช่องทาง แต่ก็เชื่อว่าโฆษณาออนไลน์ยังคงเป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเว็บไซต์เมืองไทย เพราะบริาทขนาดใหญ่จำนวนมากก็ยังมีทีมไอทีในการบริหารจัดการ ไม่จำเป็นต้องเอาท์ซอร์สเว็บไซต์มากนัก





 

Create Date : 26 ตุลาคม 2551   
Last Update : 26 ตุลาคม 2551 6:56:53 น.   
Counter : 667 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

hoon_vi
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ
[Add hoon_vi's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com