แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น
 
เปลือยใจ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ตอบข้อกังขายุทธศาสตร์ปั่นราคาข้าวไทย

[2 มิ.ย. 51 - 18:22]

ตลอดช่วงเวลา 3 เดือนของการเข้ารับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ถูกโจมตีอย่างหนักจากหลายฝ่ายว่า ดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาปากท้อง ของประชาชนในลักษณะที่ไร้ทิศทาง ขัดต่อหลักเศรษฐศาสตร์ และออกจะเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเองมากเกินไป ในขณะที่ไม่ได้ฟังความเห็นและการคัดค้านท้วงติงจากฝ่ายใด

นับตั้งแต่การมุ่งมั่นควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 60 รายการในช่วงสั้นๆ ซึ่งผ่าน ไปเพียง 2 เดือน ผู้ผลิตแต่ละรายต่างก็ปรับขึ้นราคากันอย่างเงียบๆหมด ไม่ว่าจะเป็นราคาหมู น้ำมันพืช นมผง หรือแม้แต่ซิมมือถือซึ่งกลายเป็นการสวนทางกับกลไกตลาดอย่างสิ้นเชิง

มาถึงเรื่องข้าวแพง ซึ่งควรจะเป็นโอกาสของเกษตรกรที่จะได้รับอานิสงส์ ดังกล่าวอย่างเต็มที่ในฐานะ ที่ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก ขณะที่ในรอบ 30 ปี ที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีสักครั้งที่ราคาข้าวจะทะยานขึ้นไป สูงเฉลี่ยถึงตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐฯ

แต่นายมิ่งขวัญกลับรีบเร่งที่จะหาทางช่วยเหลือผู้บริโภคไม่ให้ต้องกินข้าวสารแพงด้วย การทำข้าวถุงธงฟ้าออกมาขาย พร้อมประกาศจะขายข้าวถุงในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 20% ผลที่ตามมาทำให้ราคาข้าวในตลาดโลก และภายในประเทศร่วงลง เพราะผู้ซื้อ และผู้นำเข้าหยุดดูสถานการณ์ พร้อมกับคาดหมายว่าราคาข้าวน่าจะเหลืออยู่เพียงตันละ 700-800 เหรียญฯเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นที่มีอยู่เต็มหัวใจในอันที่จะทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ก่อนเลือกตั้งว่า จะต้องลดภาระรายจ่ายที่ประชาชนคนไทยแบกอยู่เต็มหลังลงให้ได้ ทำให้เราต้องเปิดโอกาสให้นายมิ่งขวัญเปลือยใจในสิ่งที่เขาทำให้ฟัง

“ผมรู้ดีว่าในการดำเนินการเรื่องอะไรบางอย่าง ในฐานะ รมว.พาณิชย์ จะต้องมีคนได้ และจะต้องมีคนเสีย มีคนมีความสุข ขณะเดียวกัน ก็มีคนไม่พอใจ แต่ผมยืนยันว่า ผมเอาประชาชน เอาคนทั้งประเทศเป็นตัวตั้ง ด้วยความซื่อสัตย์ และยืนยันว่าทุกการตัดสินใจมีเหตุผล มีข้อเท็จจริง ตอบได้ทุกคำถาม”

นายมิ่งขวัญชี้แจงจุดยืนของเขาให้ “ทีมเศรษฐกิจ” ฟัง ก่อนให้สัมภาษณ์เปิดใจ ต่อทุกการกระทำ และทุกกรณีเกี่ยวกับการดูแลราคาสินค้า และที่สำคัญคือ “นโยบายข้าว” ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีทั้งเสียงชื่นชม และคำครหา

วางยุทธศาสตร์ “ข้าวยุคใหม่”

เรายอมรับว่า ช่วง 3 เดือนกว่าๆ ของการเป็นรัฐบาล คนไทยต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติ ราคาน้ำมันแพง ซึ่งส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าปิโตรเคมี และสินค้าอุปโภคบริโภค ปรับราคาขึ้นต่อเนื่อง เมื่อรวมกับวิกฤติราคาอาหารโลก ที่ราคาสินค้าเกษตรทั้งหลาย มีราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้วิกฤติค่าครองชีพซ้อนเข้ามาอีกด้าน แต่ภาวะที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยประเทศเดียว แต่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก

“เป็น รมว.พาณิชย์ ดู 2 เรื่องคือ การค้าภายใน กับการส่งออก ซึ่งในส่วนของราคาสินค้า ที่ปรับเพิ่มขึ้น เราพยายามที่จะตรึงไว้ให้นานที่สุด แต่เมื่อหารือกับผู้ผลิตแล้ว ต้องยอมรับว่า ต้นทุนสินค้าได้เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมัน และอั้นไม่ได้ขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงรัฐบาลก่อน ทำให้ราคาสินค้ามาขึ้นอย่างถล่มทลายในรัฐบาลนี้ เรื่องนี้ไม่ได้มาแก้ตัว หากทุกคนต้องยอมรับความจริง”

แต่ในโชคร้ายก็มีโชคดี เพราะราคาข้าว ซึ่งเป็นสินค้าที่เราส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก ราคาสูงขึ้นมาก และไทยเป็นประเทศเดียวที่รอดพ้นจากภาวะแปรปรวน อย่างรุนแรงของภูมิอากาศ และ ภัยธรรมชาติทั่วโลก ทำให้ในปี 2551 นี้เราเป็นประเทศเดียวที่ยังส่งออกข้าวได้ตามปกติ ในขณะที่ประเทศส่งออกข้าวอื่นๆ ประสบปัญหาข้าวในประเทศไม่เพียงพอ ทำให้ต้องออกประกาศห้ามส่งออกข้าว

“ในฐานะนักยุทธศาสตร์ ตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าต้องรับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ผมได้มองภาพ สถานการณ์ข้าวไว้ล่วงหน้า ซึ่งในขณะนั้นเห็น 3 ปัจจัยคือ 1. ภาวะภูมิอากาศแปรปรวน มีพายุหิมะในเวียดนาม และเกิดภัยแล้งในอินเดีย 2. ผลผลิตข้าวที่ออกมา และที่ประมาณการว่าจะออกมาน้อยลง 3. มีสัญญาณว่าหลายประเทศข้าวจะไม่พอกิน ทำให้เห็นว่าราคาข้าวในอนาคตจะต้องทะยานขึ้นแน่ ดังนั้น วันแรกที่ผมรับตำแหน่ง ผมสั่งให้เช็กสต๊อกข้าวทันทีว่า เรามีเท่าไร พร้อมส่งออกได้เท่าไร”

และเป็นเหตุผลต่อเนื่องให้ รมว.พาณิชย์ คนนี้ แหวกประเพณีปฏิบัติของ รมว.พาณิชย์ที่เป็นมา ด้วยการออกมาประกาศราคาส่งออกข้าวสารหอมมะลิว่าจะขึ้นไปถึง 30,000 บาทต่อตัน และห้ามชาวนาขายข้าวเปลือกจนกว่าราคาข้าวสารจะขึ้นไปถึง 30,000 บาทต่อตัน

การกระทำครั้งนี้ ทำให้เกิดกระแสโจมตีจากวงการค้าข้าวอย่างรุนแรง ด้วยเหตุผลว่า รมว.พาณิชย์ ไม่ควรออกมาชี้นำราคา เพราะทำให้ตลาดเกิดการกักตุน และเก็งกำไร ควรเป็นไปตามกลไกตลาดจะดีกว่า

“เรื่องนี้ผมชั่งใจอยู่นาน และยอมรับว่ามีความไม่สบายใจ เพราะ 1. ผมแหวกประเพณีปกติของ รมว.พาณิชย์ที่ออกมาบอกราคาส่งออกข้าว ให้ประชาชนได้ยิน ซึ่งแต่เดิมเป็นข้อมูลต้องห้าม แต่ต้องการให้ชาวนา ได้รู้ข้อเท็จจริง และ 2. กลัวบอกไปแล้ว ราคาจะไม่ ถึง แต่ที่ตัด สินใจบอก เพราะไม่ ต้องการให้ ชาวนาขายข้าวราคาต่ำๆ แล้วมาร้องไห้ ทีหลัง”

ถอดรหัส “ปั่นราคาข้าว”

เพราะในรัฐบาลที่แล้ว ประกันราคาข้าวไว้ที่ 6,500 บาทต่อตัน แต่ราคาซื้อขายจริงอยู่ที่ 4,000-6,000 บาทต่อตัน หากปีนี้ไม่มีใครบอกชาวนาว่าราคาข้าวจะดี จะเกิดอะไรขึ้น ก็จะมีพ่อค้าไปขอซื้อข้าวจากชาวนา แล้วบอกอย่างใจดีว่าปีนี้จะให้ราคาเพิ่มอีก 1,000 บาทต่อตัน คุณลุงคุณป้าก็จะดีใจแล้วรีบขาย บอกตรงๆว่า สงสารชาวนา เพราะวันนี้เป็นโอกาสทอง ที่เขาจะขายข้าวได้แพงที่สุดในชีวิต

หลังจากการประกาศราคาไปแล้ว ปรากฏว่า ประมาณ 2 สัปดาห์ ราคาข้าวสารหอมมะลิ ในตลาดโลกก็ขึ้นไปถึง 30,000 บาทต่อตัน ผมจึงรีบส่งสัญญาณให้ชาวนาขายข้าวเปลือกเจ้าที่ 10,000-15,000 บาทต่อตัน หลังจากนั้นได้ใช้ยุทธศาสตร์ต่อเนื่อง

โดยเสนอคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ประกาศราคารับซื้อข้าว ที่รัฐบาลจะรับซื้อตรงจากชาวนา ซึ่งจะเป็นการช่วยพยุงไม่ให้ราคาข้าวในตลาดตกต่ำ โดยรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวที่ 7,000-9,000 บาทต่อตัน ขึ้นอยู่กับความชื้น ส่วนข้าวเปลือกเจ้า 14,000 บาทต่อตัน ที่ความชื้น 15%

อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ข้าวบ่อยครั้ง รวมถึงมีการออกมาตรการพยุงราคาข้าว อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีกระแสว่า รมว.พาณิชย์พยายามปั่นราคาข้าว

นายมิ่งขวัญชี้แจงเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะสถานการณ์ข้าว และสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงไม่สามารถอยู่นิ่งๆได้ หากเราวางแผนครั้งเดียวและนิ่ง เราจะเสียเปรียบคนทั้งโลก ดังนั้น จึงต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ตาม ถ้าเราไม่ช่วย ชาวนาเราก็จะตาย

“จะปั่นราคาข้าวหรือไม่ปั่นราคา ผมพอใจแค่ว่าวันนี้ชาวนากว่า 90% มีความสุขทั้งหมด จากเดิมขายได้ 4,000 บาทต่อตัน วันนี้ขายได้ 12,000 บาท เท่ากับทำ 1 ปี ขายได้ 3 ปี เพราะในขณะนั้น ราคาปุ๋ย ราคาต้นทุนยังเท่าเดิม

ตอนนี้มีปัญหาเฉพาะชาวนาที่ปลูกข้าวเหนียว ที่มีความชื้นมาก เพราะฝนตก แต่สุดท้ายเราจะพยายามช่วยจนขายได้ตันละ 8,000 บาท ซึ่งราคาขณะนี้ก็มีความสุขไปอีกพวก ส่วนพ่อค้า ผู้ส่งออก ปีนี้เป็นปีทอง เพราะส่วนใหญ่ขายได้ราคาดีทั้งหมด และรัฐบาลไม่มีนโยบายห้ามส่งออกเหมือนประเทศอื่น ส่วนบางรายที่บอกว่าขาดทุนนั้น บางส่วนอาจจะขาดทุนกำไรมากกว่าขาดทุนจริงๆ”

ระบุแนวโน้มแพงต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มราคาข้าวในช่วงต่อไปเป็นสิ่งที่ทั่วโลก และไทยกำลังจับตาอยู่ อย่างไรก็ตาม ในเดือน ม.ค.-เม.ย.2551 ไทยส่งออกได้ 4.02 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 51.13% และขณะนี้เท่าที่ได้พูดคุยกับเอกอัครราชทูตไทย ทูตหลายประเทศได้แจ้งว่ามีหลายประเทศ สนใจจะซื้อข้าวไทยอีกจำนวนมาก

กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวปีนี้ที่ 9 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยในรอบ 4 เดือนแรกปีนี้ สัดส่วนการส่งออกข้าวไทยเพิ่มขึ้นเป็น 41.18% แล้ว

นอกจากนั้น ในฐานะนักยุทธศาสตร์ แม้ว่าจะไม่ใช่โหรที่จะสามารถทำนายได้ 100% ว่าราคาข้าวจะเป็นอย่างไร แต่ในขณะนี้ จากการติดตาม นายมิ่งขวัญพบว่า มีหลายเหตุผลที่แสดงว่า แนวโน้มราคาข้าวยังคงสูงต่อเนื่องคือ 1. ขณะนี้ประเทศส่งออกข้าวทั่วโลกส่วนใหญ่ยังคงห้ามการส่งออก

2. สหประชาชาติ (UN) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้ประกาศว่า ปัจจุบัน โลกกำลังเข้าสู่วิกฤติอาหารโลก โดยมองว่า ราคาข้าวและราคาอาหารจะสูงต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 3 ปี 3. ความต้องการซื้อข้าวจากไทยยังคงมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และ 4. ขณะนี้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของหลายประเทศที่เปลี่ยน พฤติกรรมการกินขนมปังมากินข้าวมากขึ้น เพราะราคาแป้งสาลีแพงกว่าข้าวมาก

ในช่วงท้าย นายมิ่งขวัญได้ประเมินการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ การแก้ไขปัญหาข้าวของกระ ทรวงพาณิชย์ให้ฟังด้วยว่า จาก 100% ที่ตั้งความหวังไว้ ขณะนี้ เดินมาประมาณ 70-80% แล้ว คือ แน่นอนแล้วว่า 1. ในภาพรวมชาวนา มีความสุขแล้ว 2. พ่อค้าผู้ส่งออกเอาตัวรอด และทำกำไรได้ และ 3. มีเงินตราเข้าประเทศจำนวนมหาศาล

แต่สิ่งที่ต้องดูแลต่อไปคือ การช่วยเหลือชาวนา ที่จะเพาะปลูกข้าวต่ออีก เพราะในช่วงที่ราคาดีชาวนา ย่อมอยากจะปลูกเพิ่ม แต่ปัญหาคือ ราคาปุ๋ยแพง รวมทั้งอาจจะมีปัญหาเรื่องความแปรปรวนของภูมิอากาศ ในกรณีนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ประสานงานกับกระทรวงเกษตรฯจัดหาปุ๋ยราคาถูก และมีน้ำอย่างเพียงพอ โดยจะวางยุทธศาสตร์ร่วมกัน ผลักดันให้เกิดปุ๋ยชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์ โดยให้มีสัดส่วนปุ๋ยชีวภาพ หรือปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยเคมี 50 ต่อ 50 และส่วนที่จำเป็นต้องใช้ ปุ๋ยเคมีจะส่งเสริมให้นำเข้าแม่ปุ๋ยไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโปแตสเซียม (K) มาผสมแทนการนำเข้าปุ๋ยสำเร็จ ทำให้ราคาถูกลง

เปิดกลยุทธ์ขายตัดหน้าคู่แข่ง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในความคิดเห็นของ รมว.พาณิชย์ดูเหมือนว่า โอกาสของข้าวไทย ยังคงสดใส แต่สถานการณ์ล่าสุด มีแนวโน้มว่า ในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังในเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ ปริมาณข้าวในประเทศจะสูงมากกว่า ที่กระทรวงเกษตรฯคาดการณ์ไว้ และผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้เกิดกับประเทศไทยประเทศเดียว

ผู้ส่งออกข้าวชั้นนำของโลก เช่น เวียดนาม อินเดีย ก็มีแนวโน้มที่ผลผลิตข้าวจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน และเป็นไปได้ว่า ในเร็วๆนี้ ทั้ง 2 ประเทศจะพร้อมกลับเข้าสู่สนามการส่งออกข้าวอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้น อาจจะส่งผลอย่างรุนแรงต่อราคาส่งออกข้าวให้ต่ำลงอย่างรวดเร็ว

รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า เรื่องนี้เป็นส่วนสุดท้ายของยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาข้าวที่เตรียมไว้ ในเมื่อขณะนี้ประเทศไทยเปิดหน้าร้านอยู่ประเทศเดียว และมีความต้องการซื้อข้าวจาก ทุกแห่งมุ่งหน้ามาสู่ประเทศไทย สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ พยายามเจรจาหาตลาดใหม่ รวมทั้งทำสัญญาซื้อขายข้าวล่วงหน้ากับทุกประเทศ ที่แสดงความจำนงซื้อข้าวไว้ก่อน ที่ประเทศผู้ส่งออกรายอื่นจะกลับเข้าสู่ตลาดข้าวได้ทัน

“เพราะหากเราถือสัญญาไว้ก่อน เท่ากับผลผลิตเรามีที่ขายล่วงหน้า ซึ่งพยายามทำอยู่ แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ต้องบอกสต๊อกข้าวที่แท้จริง ไม่ใช่กั๊กกันเอง ไม่อย่างนั้น ผมขายข้าวล่วงหน้าไม่ได้”

สำหรับนโยบายข้าวถุง ยังคงเป้าหมายเดิมที่จะทำต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี เพื่อให้คนไทยกินข้าวในราคาสมเหตุสมผล โดยการขายข้าวถุงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ราคาข้าวถุงในตลาดไม่เพิ่มขึ้น และทำให้มีข้าวถุงออกสู่ตลาดอย่างเพียงพอ หลังจากที่มีการเก็บสต๊อกเพื่อเก็งกำไร ทำให้ข้าวหายไปจากตลาดช่วงหนึ่ง

“การทำข้าวถุงที่ผ่านมา รัฐบาลได้กำไรจำนวนหนึ่ง ซึ่งสามารถนำไปซื้อข้าวใหม่จากชาวนา เพื่อส่งออก และส่วนหนึ่งมาทำข้าวถุงต่อเนื่อง โดยประเมินแล้วว่า แม้รัฐบาลจะต้องซื้อข้าวขาว ลอตใหม่ราคาตันละ 14,000 บาท แต่ก็ยังสามารถทำข้าวถุงขายได้ในราคาถุงละ 120 บาทเท่าเดิม โดยรัฐบาลไม่ขาดทุน ดังนั้น ประชาชนไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มีข้าวถุงขาย”

ท้ายที่สุด นายมิ่งขวัญยังคงให้ความหวังกับประชาชนว่าหากเขายังดูแล นโยบายข้าวอยู่ จะพยายามดูแลราคาข้าวทั้งในตลาดในประเทศและ ต่างประเทศให้อยู่ในราคาที่ดี คนไทยได้กินข้าวในราคาสมเหตุสมผล เพื่อให้คนไทยอยู่ได้ในยุควิกฤติราคาน้ำมันโลก.





Create Date : 04 มิถุนายน 2551
Last Update : 4 มิถุนายน 2551 7:02:30 น. 1 comments
Counter : 651 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: นายแจม วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:7:07:45 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

hoon_vi
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ
[Add hoon_vi's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com