|
"Top5" เว็บยอดนิยม โกยรายได้ แต่กำไรหด!
"Top5" เว็บยอดนิยม โกยรายได้ แต่กำไรหด! โดย บิสิเนสไทย [24-10-2008] เมื่อเอ่ยถึงธุรกิจเว็บไซต์ในเมืองไทย ถือได้ว่าเป็นธุรกิจปราบเซียนธุรกิจหนึ่งก็ว่าได้ เพราะถึงแม้จะเป็นธุรกิจที่ใช้เม็ดเงินลงทุนไม่สูง แถมทำได้ไม่ยาก แต่ก็ใช่ว่าคนที่เข้ามาสู่ธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จทุกคนเสมอไป
โดยว่ากันว่ามีเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้นที่สามารถทำผลกำไรจากธุรกิจเว็บไซต์ติดไม้ติดมือกลับไป ในขณะที่ต่างประเทศเว็บไซต์กลับเป็นธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินให้กับผู้ประกอบการอย่างชนิดเป็นกอบเป็นกำ หรือแม้แต่เด็กวัยรุ่นที่ยังเรียนไม่จบก็สามารถทำเงินจากธุรกิจที่มีเพียงหน้าจอสี่เหลี่ยมจนโด่งดังกลายเป็นมหาเศรษฐกิจกันมานักต่อนักแล้ว
ชี้ "เว็บ 90% ยังได้แค่ทำ" เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงเว็บไซต์ชั้นนำของเมืองไทยยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เว็บไซต์เป็นธุรกิจที่ทำเงินให้กับผู้ประกอบธุรกิจแน่นอน โดยจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของ Top 5 เว็บไซต์ยอดฮิตที่มีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก แต่ก็ยอมรับเช่นกันว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาในธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จทั้งหมด เพราะการทำธุรกิจเว็บไซต์ก็เหมือนกับการเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวหรือธุรกิจทั่วไป ที่ต้องมีทั้งผู้ประกอบการที่ได้ผลกำไร และขาดทุน หนึ่งในเว็บไซต์ยอดฮิตของเมืองไทยติดต่อกันมา 5 ปีอย่างสนุกดอทคอม (www.sanook.com) โดยนายต่อบุญ พ่วงมหา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสนุกออนไลน์ จำกัด บอกให้ฟังว่า เป็นไปได้ที่ธุรกิจเว็บไซต์จะสามารถสร้างรายได้ให้กับคนทำเว็บเมืองไทย เพราะผู้บริโภคเริ่มเข้าใจและมีความก้าวหน้าในการใช้เทคโนโลยีขึ้นมาก เพียงแต่ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการปรับโมเดลให้เหมาะสมกับตลาด และหากเทียบเม็ดเงินที่ใช้ในสื่อออนไลน์ปัจจุบันกับหลายประเทศ เมืองไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เชื่อว่าอนาคตใน 1-2 ปีปริมาณการใช้เม็ดเงินในสื่อออนไลน์ของไทยจะเติบโตเพิ่มขึ้น แม้อนาคตอัตราเร่งการใช้เม็ดเงินในสื่อออนไลน์จะเพิ่มขึ้น แต่ใช่ 50% และไม่ใช่ 50% ที่ทุกคนที่ทำจะทำกำไรได้ทุกเว็บไซต์ เพราะปัจจุบัน 80-90% ของจำนวนเว็บไซต์ที่มีอยู่ยังได้แค่ทำเว็บเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ประกอบการต้องรู้จักวิธีการบริหารจัดการ รู้โมเดลในการทำที่ถูกต้อง รวมถึงความเข้าใจใน Core Business ของบริษัทตัวเอง และที่สำคัญคือวิธีการหาเงินสู่ธุรกิจ เป็นมุมมองของนายต่อบุญถึงการสร้างเม็ดเงินและทำกำไรของธุรกิจเว็บไซต์ไทย พร้อมกับฉายวิถีคิดเกี่ยวกับยุทธวิธีในการสร้างรายได้ของสนุกดอทคอมให้ฟังว่า มาจาก 2 ส่วนๆ แรกเป็นโฆษณาออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำรายได้หลักให้กับบริษัทถึง 70% และเป็นโมเดลเดียวกับยักษ์เสิร์ชเอ็นจิ้นชั้นนำของโลกกูเกิล ด้วยการให้บริการฟรีกับผู้บริโภคทั้งคอนเทนท์และบริการต่างๆ ส่วนอีก 30% เป็นการขายคอนเทนท์ต่างๆ ทั้งเอนเทอร์เทน เล่นเกมส์ และการดาวน์โหลด เป็นต้น สำหรับวิธีการดึงดูดลูกค้าให้เลือกลงโฆษณากับสนุกดอทคอมจากเว็บไซต์ที่มีอยู่ในเมืองไทยเป็นหมื่นเป็นแสนเว็บนั้น เขาบอกว่า ปัจจัยแรกของการตัดสินใจลงโฆษณาออนไลน์ของลูกค้าในเว็บใดเว็บหนึ่ง ย่อมต้องการเว็บที่มียูสเซอร์จำนวนมาก เพราะลงแล้วต้องได้ผล ซึ่งการที่สนุกดอทคอมเป็นเว็บไซต์ที่มียอดผู้เข้าชมสูงสุดต่อเนื่องมาตลอด ก็เป็นส่วนช่วยสำคัญที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในการเลือกเว็บไซต์ที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง อีกส่วนที่สำคัญก็คือ การให้บริการคำปรึกษาด้านโฆษณาออนไลน์กับลูกค้า เพื่อให้การโฆษณาออนไลน์มีประสิทธิภาพ เพราะปัจจุบันความต้องการของลูกค้าหลากหลายและแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเขาบอกว่า บริษัทจะไม่ได้เดินไปหาลูกค้าแล้วบอกขายแบนเนอร์ แต่จะเน้นขายเป็นโซลูชัน โดยดูจากความต้องการลูกค้าเป็นหลัก เช่น บางรายต้องการสร้างการมีส่วนร่วมในแบรนด์ ขณะที่บางรายมองเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนที่จะได้กลับมา ซึ่งรูปแบบการโฆษณาจะต่างกันไป สำหรับโมเดลการสร้างรายได้ของสนุกดอทคอมในปีหน้า นายต่อบุญย้ำชัดเจนว่า บริษัทยังเน้นสร้างรายได้จากธุรกิจ 2 ส่วนนี้ เนื่องจากเป็น Core Business ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ และมองว่าตลาดโฆษณาออนไลน์ของไทยยังมีการเติบโตและมีทางเลือกในการทำตลาดอีกมาก เช่นเดียวกับการขายคอนเทนท์ที่ยังมีตลาดอยู่อีกมากเช่นกัน
"กระปุก"มากกว่าทำเว็บ แต่มองเป็นธุรกิจอนาคต ไม่ต่างไปจากความคิดเห็นของนายปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอทคอม (www.kapook.com) เว็บไซต์ที่มียอดผู้เข้าชมสูงเป็นอันดับ 2 ของเมืองไทย ที่มองว่า ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเว็บไซต์ไม่ค่อยสร้างรายได้ให้กับคนทำเว็บไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ เนื่องมาจากขนาดของตลาดเว็บไซต์ต่างกัน ถึงแม้คนไทยจะมีไอเดียที่ดีอยู่มาก แต่ไอเดียก็เป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะคำว่าไอเดียกับการให้บริการที่ดียังมีสเตปที่ต้องเดินอีกหลายขั้น ผมเจอเด็กไทยที่มีไอเดียดีๆ จำนวนมาก แต่กว่าจะเดินจากไอเดียที่ดีเป็นบริการที่ดีที่คนชื่นชอบต้องใช้เวลาในการเดินอีกหลายก้าว เงินทุนก็มีส่วนเหมือนกัน เรียกว่ามีอุปสรรครอเต็มไปหมดระหว่างทาง นายปรเมศวร์บอกถึงอุปสรรคธุรกิจเว็บไทย แต่ถึงกระนั้นก็ยืนยันเช่นกันว่า เว็บไซต์เป็นธุรกิจที่สามารถทำรายได้ให้กับผู้ประกอบการไทยแน่นอน เพียงแต่ไม่ 100% เพราะส่วนใหญ่มองแค่การทำเว็บ แต่ไม่ได้มองเป็นธุรกิจ เพราะคำว่ามีเว็บ พรุ่งนี้ใครก็มีได้ แค่ไปจดทะเบียน ใส่ชื่อเว็บ แต่การทำเป็นธุรกิจนั้นมีองค์ประกอบอีกหลายอย่าง พยายามคิดให้เหมือนธุรกิจทั่วไป โดยเริ่มจากการรู้จักตัวเองก่อนว่าสินค้าและบริการของเราคืออะไร และอะไรคือต้นทุนที่เราต้องจ่าย ที่เหลือก็คือกำไร คิดแค่นั้นเอง แต่ยอมรับทำยาก เป็นมุมมองของผู้บริหารเว็บเบอร์ 2 ของเมืองไทย และเสริมด้วยว่า ปัจจัยสำคัญที่จะบริหารเว็บให้ได้กำไรนั้น สิ่งแรกเลยผู้ประกอบการต้องมีความรู้ในธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่และต้องตามให้ทัน และพยายามมองเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อหาความหลากหลายและความแปลกใหม่ให้กับเว็บอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนต้องสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นธุรกิจได้ เหมือนผมบอกว่าผมทำขนมอร่อย แต่ก็ยังเป็นแค่ผมทำขนมอร่อย กับการที่ผมเป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่ชื่อดัง S&P มีลูกค้ามาซื้อเป็นประจำ ซึ่งทุกอย่างมีขั้นตอน และปัจจุบันหลายเว็บก็ยังอยู่ในลักษณะผมทำขนมอร่อย ถอดโมเดลธุรกิจกระปุก สร้างรายได้จาก 3 ขา หากดูจากการเติบโตของกระปุกดอทคอมที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 50% โดยปีที่ผ่านมามีรายได้อยู่ที่ 30 ล้านบาท และปีนี้คาดรายได้อยู่ที่ 60 ล้านบาท คงจะเป็นการยืนยันถึงสิ่งที่ผู้บริหารเว็บไซต์เบอร์ 1 และ 2 ของเมืองไทยบอกอย่างมั่นอกมั่นใจว่า ธุรกิจเว็บไซต์สามารถสร้างรายได้และทำกำไรให้กับผู้ประกอบการไทยได้อย่างชันเจน สำหรับแนวทางการหารายได้ของกระปุกดอทคอมนั้น นายปรเมศวร์ อธิบายว่า มาจาก 3 ส่วน โดยส่วนแรกมาจากโฆษณาออนไลน์ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 80% ส่วนที่สอง เป็นบริการให้คำปรึกษาออกแบบเว็บไซต์ให้กับลูกค้าองค์กร หรือ Corporate Solution คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10% และส่วนที่สาม เป็นธุรกิจบริการสมาชิก และเนื้อหาบริการมูลค่าเพิ่มผ่านโทรศัพท์มือถือ อีก 10% ปีหน้าเรายังโฟกัสอยู่ที่ 3 ส่วน ถึงแม้เป็นไปได้ที่จะมีช่องทางอื่นในการหาเงินสู่ธุรกิจเว็บไซต์ เพราะมองว่าเรามีศักยภาพที่จะหารายได้ใน 3 ขานี้ และถ้าเราเอาตรงนี้อยู่จะทำให้เราแน่นมากขึ้น เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่เรามีเวลาดูแลธุรกิจตระกร้า 3 ใบนี้แค่ไหน ไม่ใช่จำนวน เป็นคำยืนยันของนายปรเมศวร์ถึงกลยุทธ์การสร้างรายได้สู่กระปุกดอทคอมปีหน้า พร้อมกับเสริมด้วยว่า แม้ปีหน้าตัวเลขโฆษณาออนไลน์จะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทคาดหวังจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจบริการและเนื้อหาบริการมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เพราะมองว่าการเข้ามาของ 3G จะส่งผลให้ตลาดโมบาย คอนเทนท์คึกคักและปรับเปลี่ยนโฉมหน้าไปอีกมาก โดยเชื่อว่าสัดส่วนรายได้จากโฆษณาออนไลน์จะอยู่ที่ 70% Corporate Solution 15% และธุรกิจบริการสมาชิก และเนื้อหาบริการมูลค่าเพิ่มผ่านโทรศัพท์มือถือ 15% ไม่เท่านั้น เพราะปัจจุบันกระปุกดอทคอมภายใต้การบริหารของนายปรเมศวร์กำลังต่อยอดธุรกิจให้เกิดการเติบโตของรายได้แบบยั่งยืนในอนาคต ด้วยการหาพันธมิตรร่วมทำธุรกิจ ก่อนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอ ไอ ในปี 2553 โดยล่าสุดได้พันธมิตรทางการเงินอย่างบริษัทร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด ซึ่งบริหารโดยบริหารหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุนข้าวกล้า จำกัด ร่วมลงทุนเป็นเม็ดเงิน 20 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาบริการและช่องทางในการสร้างรายได้ อนาคตเป็นไปได้ที่จะมีพันธมิตรทางธุรกิจอีก เพราะทางเค-เอสเอ็มอีถือแค่ 16.67% หรืออาจไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีอีกก็จะทำให้ขนาดธุรกิจของเราใหญ่ขึ้น และเติบโตได้เร็วกว่าการทำคนเดียวไปเรื่อย พร้อมมีแนวคิดที่จะซื้อเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระปุกดอทคอมด้วย โดยดูจากบริการที่เรายังขาดและคิดว่ามา Join กันแล้วโต ไม่ได้จำกัดว่าต้องเยอะหรือน้อย คาดเข้าไปซื้อให้เร็วที่สุด นายปรเมศวร์ บอกถึงทิศทางธุรกิจของกระปุกดอทคอม
"Mthai"เบอร์3 แต่รายได้สูงกว่ากระปุก แม้การจัดอันดับความนิยมของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด 5 อันดับ เว็บเอ็มไทย(Mthai)จะติดอยู่อันดับ3 ที่มีผู้เข้ามากที่สุด โดยเป็นรองเว็บสนุก และกระปุก ทว่าในแง่รายได้ที่แสดงต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ในรอบ 5ปีคือตั้งแต่ปี2546-2550 จะเห็นว่าสูงกว่าเบอร์2 อย่างเว็บกระปุกมาตลอด(ดูตารางประกอบ) โดยนายซัง โดลี กรรมการผู้จัดการบริษัทโมโนเทคโนโลยีจำกัดเจ้าของเว็บเอ็มไทยอธิบายว่าปัจจุบันมีเว็บไซต์ให้บริการอยู่ 2 เว็บ คือ เอ็มไทย และเย็นตาโฟ ซึ่งเอ็มไทยจะจับกลุ่มตั้งแต่มหาวิทยาลัย และวัยทำงาน ส่วนเย็นตาโฟจะจับกลุ่มที่เด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำลงมา ซึ่งการแบ่งกลุ่มชัดเจนออกมาทำให้การจัดกิจกรรม และการนำเสนอคอนเทนต์ได้ตรงมากขึ้น ทำให้เอ็มไทยอยู่ดันดับ3ติดต่อกันมาหลายปี ขณะที่เย็นตาโฟเกือบติดกลุ่มท็อปเท็นเว็บยอดนิยม "แม้บริษัทจะมี 2 เว็บแต่ที่ทำรายได้ส่วนใหญ่มาจากเอ็มไทย ปี2549 รายได้เรา72.5 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นปี2550 รายได้เพิ่มเป็น 107.09 ล้านบาท และมีกำไร 12.16 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 30% ดังนั้นเชื่อว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ปีหน้าเรายังเชื่อว่าตัวเลขรายได้จะเป็นหนึ่งเท่าของปีนี้" เป็นคำยืนยันของผู้บริหารเอ็มไทย ชาวเกาหลีใต้ ที่รับหน้าที่ขับเคลื่อนเว็บยอดนิยมอันดับ3ของประเทศต่อทิศทางธุรกิจ โดยเหตุผลที่ทำให้เขามั่นใจเช่นนั้น เนื่องจากแนวโน้มการโฆษณาผ่านเว็บไซต์สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีราคาถูกกว่าสื่อหลักอื่นๆ เพราะรูปแบบรายได้เกือบ 100% ของเอ็มไทยมาจากค่าโฆษณา ส่วนที่เหลือมาจากกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในปีละ 8 ครั้ง มีเป้าหมายเพื่อสร้างชุมชนให้กับเอ็มไทยมากกว่าจะคาดหวังเรื่องรายได้ อย่างไรก็ตาม แม้เว็บแห่งอื่นจะอิงอาศัยการับทำเว็บ และจัดกิจกรรมเพื่อปั้นรายได้ แต่ผู้บริหารเอ็มไทยย้ำว่า ไม่ใช่ทิศทางของเรา เพราะยังคิดว่าการอาศัยรายได้จากค่าโฆษณามีความน่าสนใจมากกว่า ดังนั้น จึงอาจแตกต่างกว่ารายอื่น และไม่ได้ทำให้เสียเปรียบการแข่งขันแต่อย่างใด นอกจากนี้เว็บเย็นตาโฟจะเป็นอีกแหล่งรายได้ของบริษัทในอนาคต เพราะวัยรุ่นคือกลุ่มที่เข้ามาสู่สื่อนี้มากที่สุด และเป็นเทรนด์ของเว็บวันหน้า
"ผู้จัดการ"อิงกระแสการเมืองโต
หันมาตรวจสอบเว็บยอดนิยมอันดับ 4 แต่หากแยกเป็นประเภทเว็บข่าวต้องบอกว่าเขาอยู่อันดับ1 นั้นคือ เว็บไซต์ผู้จัดการ นายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการเว็บผู้จัดการ บริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีทำเว็บให้ได้รับความนิยม เขาทำกันอย่างไร " การทำธุรกิจเว็บไซต์ยุคนี้เหนื่อยกว่าการทำเว็บเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เพราะต้นทุนต่ำกว่าเดิมมาก อีกทั้งบริษัทใหญ่ทุนหนาส่วนมากจะลงมาทำเอง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเว็บไทยเกิดได้ยาก" ผู้บริหารรายได้กล่าว แต่ถึงกระนั้นเขาก็มองว่ายังมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการเว็บไทย โดยปัจจัยสำคัญอยู่ที่การสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างจากตลาด ด้วยการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์ตลาด รวมถึงต้องคิดเร็วและทำเร็ว แม้เว็บผู้จัดการ (www.manager.co.th) จะเป็นเว็บข่าว แต่การเติบโตด้านรายได้ของเว็บผู้จัดการ กลับเติบโตไม่น้อยไปกว่าเว็บเบอร์ 1 และ 2 โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตเป็นเท่าตัว โดยในปี 2550 มีรายได้อยู่ที่ 40-50 ล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตเป็นเท่าตัวเช่นกัน สำหรับยุทธวิธีสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ผู้จัดการนั้น นายวริษฐ์ อธิบายว่า มาจาก 3 ช่องทางเช่นกัน โดยช่องทางหลักมาจากขายแบนเนอร์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 90% รองลงมา เป็นบทความโฆษณา (Advertorial) ซึ่งเป็นช่องทางที่เริ่มใช้กันมากขึ้นในปัจจุบัน รูปแบบเป็นการผสมผสานระหว่างแบนเนอร์ และ Advertorial เข้าด้วยกัน และสุดท้ายเป็นการขายคอนเทนท์ เขาบอกด้วยว่า ปีหน้า 3 ช่องทางนี้ก็ยังเป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้สู่เว็บผู้จัดการ แต่จะให้น้ำหนักกับช่องทางโทรศัพท์มือถือมากขึ้น เนื่องจากหากเทคโนโลยีดีขึ้น และมีโครงข่าย 3G เกิดขึ้น จะผลักดันให้การหารายได้ผ่านโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันช่องทางนี้ยังมีสัดส่วนน้อยไม่ถึง 5% แต่ในปีหน้าคาดรายได้ส่วนนี้จะเพิ่มเป็น 10%
เว็บน้องใหม่ exteen โตด้วย Ads Online ในขณะที่โมเดลการสร้างรายได้ของเว็บน้องใหม่อย่าง //www.exteen.com ที่ล่าสุดสามารถแซงหน้ามาอยู่อันดับ 5 นั้น นายทีปกร วุฒิพิทยามงคล บริษัทเอทเซทโต จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ exteen.com บอกว่า 4 ปีกับการทำธุรกิจเว็บ รายได้หลักยังคงมาจากโฆษณาออนไลน์ โดยยอมรับว่าในช่วง 1-2 ปีแรกของการทำเว็บไซต์นั้นรายได้ยังเข้ามาไม่มาก แต่หลังจากตั้งบริษัทในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา พร้อมให้บริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป เข้ามาดูแลเรื่องการทำตลาด รายได้ก็เริ่มเข้ามามากขึ้นและมีกำไรตั้งแต่ในปีแรก "ที่เลือกเนชั่นเป็นคนทำตลาดให้ เนื่องจากเราเป็นบริษัทเล็กๆ มีทีมงานแค่ 2-3 คน และอีกอย่างเนชั่นก็ทำตลาดให้กับเว็บใหย่อย่างพันธิป จึงตัดสินใจให้เนชั่นทำตลาดโฆษณา" นายทีปกร บอกเหตุผลที่เลือกเนชั่นเป็นผู้ดูแลด้านการโฆษณา และเสริมให้ฟังถึงยุทธวิธีการทำตลาดและสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ในอนาคตด้วยว่า อาจจะมาจากอีก 2 ช่องทาง ได้แก่ การขาย-เช่าซอฟต์แวร์ของบริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้า 2-3 ราย และจากการโฆษณาในแต่ละบล็อก โดยแบ่งส่วนแบ่งรายได้กับเจ้าของบล็อก โดยคาดว่าทั้ง 2 ส่วนจะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปีหน้า ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของการโฆษณาออนไลน์อยู่ที่ 50% การขายซอฟต์แวร์ 30% และโฆษณาในบล็อกอีก 20% เขาบอกว่า ปัจจุบันรายได้จากการโฆษณาในแต่ละบล็อกยังอยู่ในช่วงเริ่มและมีหลายเว็บไซต์เปิดให้บริการแต่ทว่ายังไม่ตอบโจทย์การโฆษณาของลูกค้าได้ดีพอ เนื่องจากลูกค้าไม่มีตัวเลขหรือข้อมูลเกี่ยวกับบล็อกและผู้เข้าชมในแต่ละบล็อกมากพอ ขณะที่เจ้าของบล็อกก็ยังพบปัญหาในการบริหารจัดการอยู่มาก เพราะฉะนั้นจึงมองว่าเป็นโอกาสที่บริษัทจะเข้ามาดูแลและบริหารจัดการตรงนี้ให้เกิดรายได้กับเว็บไซต์เพิ่มขึ้น โดยหากเป็นลูกค้ารายย่อย จะดูแลเอง แต่ถ้าเป็นลูกค้ารายใหญ่จะให้เนชั่นเป็นผู้ดูแล ส่วนการขาย-เช่าซอฟต์แวร์นั้น คิดว่าจะดูแลเองทั้งหมด จากช่องทางการสร้างได้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เขาคาดว่า ปีหน้ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปีที่นี้ที่มีรายได้ประมาณ 5 ล้านบาท แถมย้ำด้วยว่า แม้สัดส่วนรายได้จะมาจากหลายช่องทาง แต่ก็เชื่อว่าโฆษณาออนไลน์ยังคงเป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเว็บไซต์เมืองไทย เพราะบริาทขนาดใหญ่จำนวนมากก็ยังมีทีมไอทีในการบริหารจัดการ ไม่จำเป็นต้องเอาท์ซอร์สเว็บไซต์มากนัก
Create Date : 26 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 26 ตุลาคม 2551 6:56:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 667 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
hoon_vi |
|
|
|
|