|
′ไฟแนนเชียลไทมส์′ วิเคราะห์ "น้ำท่วมไทย" กระเทือนซัพพลายเชน "ทั่วโลก" (ตอน 2)
ไฟแนนเชียลไทมส์ ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมในประเทศไทยต่อระบบซัพพลายเชนโลก โดยเบน แบลนด์และโรบิน กว่อง สองผู้เขียนบทความ "ซัพพลายเชนหยุดชะงัก: จุดหมายที่จมอยู่ใต้บาดาล" แผ่นดินไหวญี่ปุ่นและวิกฤติน้ำท่วมไทยกระเทือนชิ้นส่วนการผลิตทั่วโลก ("Supply chain disruption: sunken ambitions" Fallout from Japanese quake and Thai floods is causing global parts shortages) โดยชี้ว่า
หลังภัยพิบัติทั้งสองครั้งซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ และหลังจากที่ความกังวลถึงภาวะโลกร้อนซึ่งอาจนำมาสู่การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีจำนวนถี่ขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลให้บริษัทข้ามชาติทั้งหลายต้องตกอยู่ในภาวะกดดันในการหาวิธีใหม่ของการผลิตและจัดส่ง
สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้บริษัททั้งหลายควรจะต้องได้รับคำเตือนจากทางการอย่างน้อย24ชั่วโมงก่อนที่น้ำจะมาถึง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นเหล่านี้ได้รับคำเตือนล่วงหน้าเพียง 2 หรือ 3 ชั่วโมงเท่านั้น นาย เซ็ทซุโอะ อิอุชิ ประธานของเจโทร ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนการค้าของโตเกียวกล่าว
บริษัทเหล่านั้นทำอะไรไม่ได้มากนักแม้แต่จะเก็บเอกสารและคอมพิวเตอร์ให้พ้นน้ำ อย่าว่าแต่จะขนย้ายเครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่ส่วนมากมักติดตั้งถาวรอยู่กับพื้น
นอกจากนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังไปไกลกว่านั้น บริษัทที่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมโดยตรงอย่าง "ฟอร์ด" บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกัน รวมทั้งบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ทั่วโลกต่างเสียหายจากการขาดชิ้นส่วนประกอบ ซึ่งล้วนผลิตขึ้นในไทย
เช่นเดียวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่น อุทกภัยครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง อันเนื่องมาจากการตั้งโรงงานที่ผลิตสินค้าประเภทเดียวกันไว้ในบริเวณเดียวกัน เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งและเอื้อให้มีการพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกัน
การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ รวมไปถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆช่วยดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย รวมทั้งช่วยยกระดับฐานะการเงินของประเทศให้กลายมาเป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง แต่เมื่ออุตสาหกรรมเหล่านั้นต้องประสบกับอุทกภัย มันก็ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อทั้งบริษัทและต่อความได้เปรียบดังกล่าวของไทย
"บริษัททั้งหลายจำต้องหันมาทบทวนโมเดลธุรกิจที่เน้นการรวมศูนย์การผลิตเสียใหม่"ริชาร์ด ลิตเติ้ล นักวิชาการด้านการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียกล่าว "แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะมีข้อดี แต่มันก็เพิ่มโอกาสเสี่ยงให้แก่อุตสาหกรรมทั้งระบบ ถ้าโรงงานทั้งหมดของคุณตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เมื่อมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น คุณจะเสียผลประโยชน์ทั้งหมดที่คุณได้จากการรวมศูนย์การผลิต"
ตอนนี้ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายรายได้ประมาณการไว้ว่า ยอดขายในไตรมาสที่ 4 จะถูกกระทบอันเนื่องมาจากการขาดแคลนส่วนประกอบ เอเซอร์ได้คาดว่าผลกำไรในไตรมาสที่ 3 จะลดลง 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ และในขณะนี้ ราคาฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ได้เพิ่มสูงขึ้น 5-10 เปอร์เซ็นต์แล้ว
การฟื้นฟูอุตสาหกรรมรผลิตฮาร์ดไดรฟ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตฮาร์ดไดรฟ์รายใหญ่ของโลกอย่างบริษัท"เวสเทิร์นดิจิตอล" เท่านั้น ทว่ายังต้องขึ้นอยู่กับบริษัทผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดไดรฟ์จากไต้หวันด้วย ทั้งนี้ โรงงานทั้ง 2 แห่งของบริษัท Min Aik Technology ของไต้หวัน ได้สูญเงินกว่า 90 ล้านดอลลาร์เมื่อโรงงานที่ตั้งอยู่ในนิคมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาถูกน้ำท่วม
เจ ที หว่าง ประธานของเอเซอร์ออกมาแสดงความกังวลว่า การตั้งโรงงานอยู่ในบริเวณเดียวกันทำให้ความเสี่ยงมีมากขึ้น "ระบบซัพพลายเชนควรจะต้องมีการกระจายตัวมากกว่านี้" เขากล่าว
โจนาธาน กูเย็ตต์ รองประธานฝ่ายซัพพลายเชนของดีเคเอสเอชเห็นตรงกัน อุทกภัยที่เกิดในประเทศไทยและเหตุการณ์สึนามิในญึ่ปุ่นจะส่งผลให้การออกแบบระบบซัพพลายเชนต้องเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการบริหารความเสี่ยง ขณะเดียวกันการบริหารจัดการซัพพลายเชนก็ยังต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้า ซัพพลายเออร์ และต้องเป็นไปตามข้อบังคับของรัฐบาลด้วย
นอกจากนี้ ผู้ผลิตก็ต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันในเรื่องลูกค้า คู่แข่ง และนักลงทุน โดยต้องประหยัดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด
และแม้ว่าบริษัทที่เสียหายเหล่านี้จะมีประกันภัยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรจะมารับประกันได้ว่า พวกเขาจะมีสินค้าป้อนสู่ตลาดหรือไม่
เช่นเดียวกับเหล่าบริษัทประกันภัยเอง ที่อาจยกเลิกการประกันภัยความเสี่ยงดังกล่าว หากพวกเขาไม่ได้เห็นแผนการป้องกันความเสี่ยงของน้ำท่วมจากรัฐบาล
บริษัทผู้ผลิตจะลงทุนเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดด้วยตนเองหรือไม่?ลิตเติ้ลกล่าวว่า รัฐบาลไม่อาจบังคับให้บริษัทเหล่านี้ลงทุนเพื่อรับมือกับภัยพิบัติเอง เนื่องจากบริษัททั้งหลายต้องคำนึงถึงต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ การทำให้ผู้ถือหุ้นหันมาปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและลูกจ้างก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก "ระบบตลาดไม่เคยให้รางวัลแก่ผู้ที่ระแวดระวัง นักลงทุนจะไม่สนใจบริษัทที่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง มิหนำซ้ำ พวกเขาจะลงโทษบริษัทพวกนั้นด้วยซ้ำ" ลิตเติ้ลกล่าว
Create Date : 06 พฤศจิกายน 2554 |
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2554 7:19:38 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1522 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
hoon_vi |
|
|
|
|