|
"AMATA" แพง "ROJANA" น่าลงทุนกว่า
"AMATA" แพง "ROJANA" น่าลงทุนกว่า
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ถูกมอง "เชิงลบ" มาตลอด นับตั้งแต่ต้นปี 2549 ถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 10% ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ เชื่อมั่นว่า หุ้นอสังหาฯจะกลับมาเป็น "ดาวเด่น" ในปีนี้
โฟกัสอยู่ที่หุ้นนิคมอุตสาหกรรม ที่มีแนวโน้มทำกำไรเพิ่มจากการขายที่ดิน และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น "หุ้น ROJANA" เป็นที่ชื่นชอบของนักวิเคราะห์อย่างมาก รวมถึง "หุ้น TICON" ขณะที่หุ้นเด่นอย่าง "AMATA" ไม่แนะนำให้ "ซื้อ" ในขณะนี้ เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นมากเกินไปแล้ว
"เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนโดยตรงในนิคมอุตสาหกรรมมีเงินไหลเข้าจากต่างประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง ในรอบ 10 เดือนปี 2548 มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนแล้ว 7.7พันล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 47% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเข้ามาลงทุนจากนักลงทุนประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่เข้ามาซื้อที่ดินในนิคม คือ กลุ่มยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
"เราแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นนิคมช่วงครึ่งแรกปีนี้ เนื่องจากมีแนวโน้มการทำกำไรจากการขายที่ดินที่สูงมากถึง 40% ขณะที่หุ้นสร้างบ้านขายทำกำไรได้ต่ำกว่า หรือราว 20-30% เท่านั้น ทำให้เห็นว่าประสิทธิภาพการทำกำไรของหุ้นนิคมสูงกว่า ขณะที่การทำธุรกิจยุ่งยากน้อยกว่าอีกด้วย"
ในแง่รายได้ของหุ้นกลุ่มนิคม ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการขายสาธารณูปโภค เช่น น้ำ ไฟฟ้า เพิ่มขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกปี 2548 กลุ่มนิคมมีกำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin) สูงมากถึง 29% มากกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ
หุ้นที่ฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส แนะนำ คือ "ROJANA" หรือ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ เป็นหุ้นเด่นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งแรกปีนี้
"เราชอบหุ้น ROJANA มากที่สุด เพราะเชื่อว่าประสิทธิภาพการทำกำไรจะสูงขึ้น จากยอดขายที่ดินที่คาดว่าทั้งปี 2548 จะทำได้ 600 ไร่ จากปี 2547 ที่มียอดขาย 400 ไร่ และปีนี้คาดว่าจะมียอดขายที่ดินเติบโตขึ้น 10%"
สำหรับจุดเด่นของ ROJANA เพราะมีสต็อกที่ดินใหญ่ที่สุดในโซนทางเหนือของกรุงเทพฯถึง 4,000 ไร่ จากการซื้อที่ดินเพิ่มในช่วงไตรมาส 4/2548 ที่จ.อยุธยาจำนวน 1,500 ไร่ รวมกับที่ซื้อที่ดินเมื่อช่วงต้นปีที่แล้วอีก 2,500 ไร่
นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการทำโครงการคอนโดมิเนียม "The Madison" ซึ่งจะบันทึกรายได้ส่วนใหญ่ในปี 2549 ขณะนี้ได้ขายหมดแล้ว นอกจากนี้จะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 165 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 210 เมกะวัตต์ จึงทำให้โอกาสที่ ROJANA จะทำกำไรได้สูงขึ้นในปีนี้
"หุ้น ROJANA ยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายอีกพอควร เราให้ราคา Fair Value ที่ P/E 10 เท่า มูลค่าหุ้นสิ้นปี 2549 ที่ 11.52 บาท ปัจจุบันราคาล่าสุดอยู่ที่ 9.85 บาท(11 ม.ค.2549)"
สำหรับหุ้นนิคมตัวอื่น แนะนำหุ้น "TICON" หรือ บริษัทไทคอน อินดัสเทรียล เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีการเติบโตของกำไรโดดเด่น จากการขายโรงงานให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
เช่นเดียวกับหุ้น "AMATA" ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตสูงเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นมากแล้ว จึงแนะนำให้ขายหุ้นออกไปก่อน
ส่วนสัฐฐาณที่ผู้บริหาร AMATA ขายหุ้นออกมาตลอด ระหว่างราคา 12-15.40 บาท ฝ่ายวิจัยบล.ไทยพาณิชย์ มองเป็นสัญญาณลบต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้น เพราะไม่มีปัจจัยที่จะกระตุ้นให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้
"เราแนะนํานักลงทุนให้ขายทํากําไรหุ้น AMATA เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้ว 20% ในช่วง 2 เดือน เราจึงปรับคําแนะนําสําหรับ AMATA จาก ซื้อ เป็น ถือ" ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 15.60 บาท ที่ค่า P/E เป้าหมาย 12 เท่าในปีนี้"
ส่วนมุมมองในหุ้นอสังหาริมทรัพย์ประเภทสร้างบ้านขาย "ยุพเรศ ลิขิตแสนสุข" รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์ มองว่า หุ้นกลุ่มนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว เพราะปริมาณบ้านใหม่มีแนวโน้มลดลงในรอบ 11เดือนที่ผ่านมาประมาณ 20% จะทำให้มาร์จินของบริษัทสูงขึ้น ขณะที่ยังมั่นใจว่าความต้องการซื้อบ้านจะยังมีอยู่
ด้าน "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัสเห็นตรงกันว่า หุ้นกลุ่มอสังหาฯจะกลับมาเป็นดาวรุ่งในปีนี้ เนื่องจากโครงสร้างหนี้สินต่อทุนปัจจุบันเหลือเพียง 0.7 เท่า บวกกับกำไรค่อนข้างเติบโตต่อเนื่อง และหลายๆ บริษัทก็มียอดจองซื้อที่รอการบันทึกในมือเป็นจำนวนมาก เช่น ศุภาลัย และ แอล.พี.เอ็น. ที่มียอดจองแล้วประมาณ 6 พันล้านบาท
"แม้ Net Profit Margin ของบริษัทบ้านในปี 2548 ไม่เติบโตเท่าปี 2547 และปี 2547เติบโตเพียง 18% เทียบกับปี 2546 ที่โต 23% เพราะการแข่งขันที่รุนแรง แม้ต้นทุนค่าก่อสร้างจะสูงขึ้น แต่ผู้ประกอบการไม่ได้มีการปรับราคาขึ้น ทำให้การเติบโตของกำไรอ่อนตัวลง โดยมีมาร์จินเหลือเพียง 14-15% เท่านั้น
แต่ในปีนี้จะกลับมาดีขึ้น เพราะบริษัทต่างๆจะปรับราคาขึ้นจากปริมาณบ้านที่ลดลงราว 20% ผู้ประกอบการรายย่อยได้หายไปจากตลาด ทำให้การแข่งขันอยู่ในระบบมากขึ้น"
สำหรับแนวทางการเลือกหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นั้น เทิดศักดิ์ แนะนำว่า แม้ผลกระทบจากการปรับดอกเบี้ยขึ้นจะไม่รุนแรง แต่ในแง่ความรู้สึกจะมีความเสี่ยงบ้าง ถ้าหากเล่นหุ้นที่มีผลประกอบการไม่โดดเด่นและจ่ายปันผลไม่ดี จะเล่นยาก ดังนั้น หากจะเลือกหุ้นบ้าน ควรเลือกดังนี้...
หนึ่ง...มีหลักประกันในอนาคต หมายถึงมียอดขายอยู่ในมือรอการบันทึกรายได้มากพอควร แม้ว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้น ก็ยังมียอดขายรอการบันทึกอยู่ในมือจำนวนมาก
สอง..ควรเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ตั้งแต่ 6-10% รวมถึงต้องเป็นหุ้นที่มีโครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง มีหนี้สินไม่มาก
หุ้นเด่นที่ฝ่ายวิจัย เอเซีย พลัส แนะนำและอยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวนี้ ได้แก่ หุ้น LPN ,SPALI และ AP
ส่วนหุ้นรับเหมาก่อสร้าง ยุพเรศ มองว่า ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ปกติจะมีวงจรขาขึ้น 7 ปี และลง 7 ปี โดยเฉลี่ยมูลค่าการก่อสร้างของภาครัฐและเอกชนมีประมาณ 8.4 แสนล้านบาทต่อปี สูงกว่าช่วงวิกฤติ และถือว่ามีแนวโน้มดี เพราะมีกำไรที่ดีขึ้น
"หุ้นเด่นที่น่าสนใจมี 3 บริษัท คือ STEC- CK- ITD เนื่องจากมีงานในมือค่อนข้างสูง ทำให้มีรายได้แน่นอนในช่วง 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ต้นทุนราคาเหล็กมีแนวโน้มลดลง ฉะนั้น คนที่มีงานในมือสูง จะมีต้นทุนที่ลดลงมาก"
Create Date : 20 เมษายน 2549 |
Last Update : 20 เมษายน 2549 19:04:39 น. |
|
0 comments
|
Counter : 779 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
hoon_vi |
|
|
|
|