แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น
 
ผ่าแผน 'เศรษฐีไต้หวัน' กลุ่ม 'คู' สยายปีกซื้อ "แบงก์" เทคฯ "โบรกเกอร์"

ผ่าแผน 'เศรษฐีไต้หวัน' กลุ่ม 'คู' สยายปีกซื้อ "แบงก์" เทคฯ "โบรกเกอร์"

ผู้บริหาร บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ยืนยันกลุ่ม "คู" ยังสนใจลงทุน "ธนาคารพาณิชย์ไทย" เพื่อต่อจิ๊กซอว์ขยายอาณาจักรทั่วโลก ควบคู่ไปกับขยายการลงทุนในจีน และเกาหลีใต้ ส่วนธุรกิจโบรกฯที่ย่ำแย่ เตรียมหาทางออกด้วยการ "ควบรวมกิจการ" กับบริษัทอื่น


อาณาจักรธุรกิจของ "ตระกูลคู" นับว่ายิ่งใหญ่ ติดอันดับ "ท็อปเทน" ในประเทศไต้หวัน โดยกลุ่มนี้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เป็นพันธมิตรธุรกิจกับ "ตระกูลโสภณพนิช" มานานเกือบ 20 ปี

ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทย 2 แห่ง ได้แก่ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) โดยเข้ามาลงทุนตั้งแต่ยังเป็น "บล.เอกธำรง" ล่าสุดพบว่าถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนประมาณ 35% และ บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับธนาคารกรุงเทพ แต่ "กลุ่มคู" ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 63.72%

ก่อนหน้านี้ "กลุ่มคู" ได้ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ต้องการรุกเข้าสู่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของไทย แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่มีวี่แววของการเดินหน้า

ขณะที่ "บล.เคจีไอ" ก็อยู่ในอาการ "ถดถอย" ลงอย่างมาก

กระทั่งวงการตั้งข้อสงสัยถึงแผนรุกด้านการเงินของกลุ่มคู ณ วันนี้ ถอดใจหรือยัง

"วิลเลี่ยม ฟาง" (หรือ เหว่ย ชาง ฟาง) กรรมการอำนวยการ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ยืนยันว่า กลุ่มคู ยังมีความตั้งใจจะลงทุนในธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ ของไทยเช่นเดิม ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการลงทุนทั่วโลก

ที่ผ่านมา "กลุ่มคู" ได้ขยายการลงทุนไปยังประเทศจีน และเกาหลีใต้ ส่วนประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในฐานธุรกิจหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะมีปัญหาด้านการเมือง แต่ทางกลุ่มมองธุรกิจในภาพรวม จึงเชื่อว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแผนแต่อย่างใด

"ผมรู้ว่ากลุ่มคูไม่เคยที่จะล้มเลิกการลงทุน พวกเขาต้องการที่จะลงทุน และเก็บเกี่ยวธุรกิจในหลายๆ ช่องทางทั่วโลก" วิลเลี่ยม ฟาง กล่าว

ขณะที่แหล่งข่าวจากบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ยืนยันว่า การก้าวขึ้นเป็นแบงก์นั้น ทางกลุ่มคูไม่ได้เร่งรีบ เพราะเกรงว่าจะต้องซื้อมาในราคาแพง ซึ่ง "กลุ่มคู" กำลังรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม

ส่วนธุรกิจหลักทรัพย์นั้น "วิลเลี่ยม" บอกว่า สาเหตุที่ "มาร์เก็ตแชร์" ของ บล.เคจีไอ ลดลงมาโดยตลอด เกิดจากบริษัทถูกแย่งตัวเจ้าหน้าที่การตลาดไปจำนวนหนึ่ง แม้จะมีคนใหม่เข้ามาแต่ก็ทำวอลุ่มได้ไม่เท่ากับกลุ่มเดิม

ขณะนี้บริษัทกำลังหาทางออกด้วยการ "ควบรวมกิจการ" กับโบรกเกอร์รายอื่น ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 30 บริษัท (มากเกินไป) และหากมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น บริษัทก็อาจจะใช้วิธีลดค่าคอมมิชชั่นให้ต่ำ เพื่อดึงลูกค้าเข้ามา

แม้ว่าจะขาดทุน แต่ด้วยฐานเงินทุนที่ใหญ่ทำให้บริษัทได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน ซึ่งจะเป็นผลดีให้ บล.เคจีไอ สามารถควบรวมกิจการกับโบรกฯอื่นได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า "สมาคมบริษัทหลักทรัพย์" จะมีข้อสรุปให้ยืดเวลาการเปิดเสรีคอมมิชชั่นออกไปอีก 3 ปี แต่ วิลเลี่ยม ฟาง ก็ยังเชื่อว่าในที่สุดแล้วประเทศไทยจะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นอยู่ดี

"เทรนด์การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นมันต้องเกิด เหมือนไต้หวันที่เปิดเสรีไปเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้โบรกรวมตัวกันเหลือแค่ 8-9 แห่งเท่านั้น ซึ่งมูลค่าของ "เคจีไอ" ที่เพิ่มขึ้น 5 เท่า ก็เกิดจากการควบรวมบริษัท"

วิลเลี่ยม บอกว่า จากนี้ไป บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จะมีการออกผลิตภัณฑ์ทางด้านการเงินที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสใช้บริการได้มากขึ้น โดยบริษัทวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียม เพิ่มขึ้นเป็น 40% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 25%

โดยในเดือนเมษายนนี้ จะออกตราสารอนุพันธ์ประเภทฟิวเจอร์ SET 50 ซึ่งเชื่อว่าจะมีการซื้อขาย 1,000 สัญญาต่อวันในปีแรก และจะทำกำไรได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังได้รับอนุญาตให้ออกผลิตภัณฑ์ REPO ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มูลค่า 10,000 ล้านบาท เชื่อว่าเคจีไอ จะเป็นผู้นำในตลาดนี้

สำหรับธุรกิจด้านวาณิชธนกิจ (ไอบี) บริษัทเริ่มทำกำไรแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา เชื่อว่าในปีนี้น่าจะทำกำไรได้มากกว่าเดิม โดยอยู่ระหว่างการเจรจานำบริษัทเข้าจดทะเบียนประมาณ 20 บริษัท ยื่นไฟลิ่งไปแล้ว 2-3 ราย

สำหรับธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ "บล.เคจีไอ" จะเน้นไปที่การหาลูกค้าต่างชาติให้เข้ามาเทรดผ่านบริษัทกันมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้บริษัทมีสัดส่วนการเทรดของนักลงทุนต่างชาติ เพียงประมาณ 10-15% โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มลูกค้าในส่วนนี้ให้ถึง 20%

"โบรกเกอร์ที่มีวอลุ่มเทรดอยู่ในกลุ่ม TOP 10 ส่วนใหญ่จะเป็นโบรกต่างชาติแทบทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะการเทรดในตลาดหุ้นไทย วอลุ่มส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนต่างประเทศ และบางวันมูลค่าการเทรดของคนกลุ่มนี้ก็ทะยานขึ้นไปถึง 40% ของมูลค่าการซื้อขายรวม"

และที่ผ่านมา ทางบริษัทก็ได้พยายามเร่งพัฒนาฝ่ายรีเสิร์ชเพื่อให้คุณภาพของงานออกมาดูแน่นยิ่งขึ้นไปอีก พร้อมๆไปกับวิธีเดินสายโรดโชว์ผลงานของเราในต่างประเทศให้มากกว่าเดิม

"เราจะค่อยๆ ก้าวไป แม้มันอาจจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร"

วิลเลี่ยม อธิบายต่อไปถึงกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ตกเป็นเป้าหมายของเคจีไอว่า บริษัทจะให้น้ำหนักไปที่การดึงบรรดากองทุนประกันความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) ให้เข้ามาเป็นลูกค้าให้มากที่สุด

"นักลงทุนกลุ่มนี้จะเน้นลงทุนแบบเข้าเร็วออกเร็ว ซึ่งจะมีความถี่ในการเทรดมากกว่าลูกค้าที่เป็นกองทุนระยะยาวจากต่างประเทศ"

และหากเป็นไปตามแผนงาน ก็ฟันธงได้เลยว่าปี 2549 มาร์เก็ตแชร์ของบริษัทจะต้องสามารถไต่ขึ้นไปได้สูงกว่า 4% เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ประมาณ 3.71% เท่านั้น

ซึ่งในปีเดียวกันนี้ "บล.เคจีไอ" ยังพยายามที่จะ "ล้างขาดทุนสะสม" โดยเตรียมแผนที่จะ "ลดทุน" ด้วยการลดราคาพาร์หุ้น จาก 2 บาท...ให้เหลือเพียงบาทเดียว

จากนั้น จะมีส่วนเกินมูลค่าหุ้นเกิดขึ้น 1,992 ล้านบาท...ในทันที จากนั้นจะนำมาหักกลบกับส่วนต่ำมูลค่าหุ้นที่คงค้างอยู่จำนวน 1,010 ล้านบาท ให้หมดไป

เท่ากับว่า บริษัทก็จะได้ส่วนเกินมูลค่าหุ้นเป็นจำนวน 982 ล้านบาท

ในช่วงเดียวกันนี้ บล.เคจีไอ ก็ยังเตรียมแผนที่จะเสนอขายหุ้นกู้ และหุ้นกู้อนุพันธ์...เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

โดยทาง บล.เคจีไอ จะมีการเสนอขายหุ้นกู้ภายในวงเงินสูงสุด ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท



Create Date : 20 เมษายน 2549
Last Update : 20 เมษายน 2549 20:02:40 น. 0 comments
Counter : 783 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

hoon_vi
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ
[Add hoon_vi's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com