แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น
 
แผนโต 3 ปี "อินโดรามา โพลิเมอร์ส" ปี 2552 ก้าวสู่..อันดับ 3-5 ของโลก

แผนโต 3 ปี "อินโดรามา โพลิเมอร์ส" ปี 2552 ก้าวสู่..อันดับ 3-5 ของโลก

"อินโดรามา โพลิเมอร์ส" (IRP) เปิดแผนเติบโต 3 ปี (2550-2552) เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 8 แสนตัน ช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด 5% ขึ้นสู่อันดับ 3-5 ของโลก เผยจุดแข็งเหนือคู่แข่งมีโรงงานครอบคลุม 3 ทวีป


เส้นทางการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของ "บริษัท อินโดรามา โพลิเมอร์ส" (IRP) กำลังเดินหน้าไปอย่างน่าสนใจ ท่ามกลางความต้องการใช้เม็ดพลาสติก PET เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในไทย และทั่วโลก

IRP จึงเร่งเดินเครื่องขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง..

"ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ประเภทพลาสติกได้ถูกนำมาใช้แทนบรรจุภัณฑ์อื่นๆ เช่น แก้ว อะลูมิเนียม หรือกระดาษ เพิ่มมากขึ้น โดยบรรจุภัณฑ์พลาสติกนำมาใช้คิดเป็น 40% ของมูลค่าตลาดบรรจุภัณฑ์ 3.7 แสนล้านเหรียญ จึงทำให้แนวโน้มการใช้เม็ดพลาสติกในอนาคต เติบโตขึ้นอีกมาก โดยความต้องการใช้เม็ดพลาสติกของทั่วโลก เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านตันต่อปี หรือเติบโตราว 10% ต่อปี และเฉพาะบริษัทเราคาดว่าจะสามารถขยายกำลังผลิตต่อไปได้อีกอย่างน้อย 50% ต่อปี" อโลค (อนิล) โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโดรามา โพลีเมอร์ส กล่าว

สำหรับแผนการลงทุนของอินโดรามา โพลีเมอร์ส ในระยะ 3 ปีข้างหน้า (2550-2552) โลเฮีย กล่าวว่า บริษัทมีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก และขายในประเทศ โดยตั้งเป้าไว้ว่า จะขยายการผลิตเม็ดพลาสติกจากที่มีอยู่ 2.06 แสนตันเมื่อปี 2548 หรือมีส่วนแบ่งการตลาดราว 2% จากปริมาณเม็ดพลาสติก PET ในตลาดทั่วโลก 11 ล้านตัน ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 3 แสนตันในปี 2549 และจะเพิ่มเป็น 5 แสนตันต่อปีในปี 2550 หรือมีส่วนแบ่งการตลาดเป็น 4%

และในปี 2552 โลเฮีย ประมาณการกำลังการผลิตของบริษัททั้งโรงงานในประเทศ และต่างประเทศ จะเพิ่มเป็นอย่างน้อย 8 แสนตัน โดยมีเป้ามาร์เก็ตแชร์ 5% ของปริมาณเม็ดพลาสติกที่จะเพิ่มขึ้นในตลาดโลก 16 ล้านตัน ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจะทำให้บริษัทกระโดดขึ้นสู่อันดับ 5 ถึง 3 จากปัจจุบันที่อยู่ในอันดับ 7 ของโลก

"ถ้าหากตลาดโลกมีความต้องการได้ถึง 16 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2552 เราก็ต้องมีกำลังการผลิตขยายตัวต่อไม่น้อยกว่า 40-50% ต่อปี ซึ่งก็จะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตต่อไปด้วยแน่นอน

แม้จะเกิดคู่แข่งขันในตลาดเม็ดพลาสติกมากขึ้น แต่จุดแข็งของอินโดรามา มีโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก 3 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ใน 3 ทวีปทั้งยุโรป อเมริกา และเอเชีย ซึ่งเป็นเขตที่มีความต้องการบริโภคเม็ดพลาสติก PET ที่เติบโตต่อเนื่อง และมีแหล่งวัตถุดิบภายในประเทศที่ตั้งทุกแห่ง ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยขายผลิตภัณฑ์ลดลง"

สำหรับแผนการผลิตของบริษัทนั้น โลเฮีย กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีโครงการขยายกำลังการผลิตทั้งหมด 4 โครงการ คิดเป็นวงเงินลงทุน 3 พันล้านบาท โดยแยกเป็นโครงการเพิ่มกำลังผลิตในไทย 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการขยายการผลิตภายในประเทศของบริษัท เพิ่มอีก 3.6 หมื่นตันต่อปี จาก 9 หมื่นตันต่อปีเป็น 1.26 แสนตันต่อปี โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้

นอกจากนั้น ยังเป็นโครงการขยายกำลังการผลิตพลาสติกขึ้นรูปขวด (PET Forms) และฝาเกลียว (Closures) รวมถึง การขยายการผลิตไปสู่การผลิตขวดขึ้นรูป ของ บริษัท เพ็ทฟอร์ม (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่างบริษัทกับบริษัท เสริมสุข คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตได้ในเดือนมีนาคม 2549

ส่วนโครงการลงทุนในต่างประเทศนั้น โลเฮีย กล่าวว่า ยังมีโครงการขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตในอเมริกา คือ บริษัท สตาร์เพ็ท ซึ่งจะขยายการผลิตได้แล้วเสร็จในปีนี้ โดยเพิ่มการผลิตอีกเท่าตัวจาก 1 แสนตัน เป็น 2 แสนตัน

และโครงการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานในประเทศลิธัวเนีย จะเริ่มดำเนินการผลิตกลางปีนี้

"ในปี 2549 เราประมาณการว่า รายได้จากบริษัทเพ็มพอร์ท จะเพิ่มสัดส่วนขึ้นมาเป็น 10% จากเดิมที่มีสัดส่วนรายได้ราว 6% โดยปีนี้จะขยายกำลังการผลิตเกือบเท่าตัวจาก 600 ล้านชิ้น เป็น 1,000 ล้านชิ้น และประมาณการว่า ในอนาคตบริษัทจะมีอัตราการเติบโต 30% ต่อปี เนื่องจากในไทยยังใช้ขวดแก้วมากกว่า ทำให้ปริมาณการใช้ขวดพลาสติกน้อยมากหรือคิดเป็น 1 กิโลกรัมต่อคนเท่านั้น เทียบกับอเมริกามีการใช้ถึง 8 กิโลกรัมต่อคน จึงคาดว่าในอนาคตความต้องการใช้ขวดพลาสติกจะเติบโตขึ้นอีกมาก"

ในปีนี้บริษัทคาดว่าโครงสร้างรายได้ จะมาจากการผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติก PET สัดส่วน 90% ส่วนที่เหลือ 10% เป็นรายได้ที่จะมาจากการขายพลาสติกขึ้นรูปขวด ของบริษัท เพ็ทฟอร์ม โดยในปี 2548 บริษัทมีรายได้ 11,743 ล้านบาท แยกเป็นรายได้จากบริษัท เพ็ทฟอร์ม ราว 700 ล้านบาท

ส่วนจุดเสี่ยงของบริษัทอยู่ตรงที่ราคาน้ำมัน หากปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการปรับตัวของราคาปิโตรเคมีทั้งอะโรเมติกส์ และโอเลฟินส์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของกำไรบริษัทลดลงได้

ขณะที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เชื่อมั่นว่า ต้นทุนราคาวัตถุดิบในปัจจุบันไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นเช่นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ที่ราคา 60 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้

"ปัจจุบันเรามีกำไร (มาร์จิน) จากการขายเม็ดพลาสติกเพ็ทของบริษัทเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 200 เหรียญต่อตัน ผลจากราคาขายได้เพิ่มขึ้นจาก 800 เหรียญต่อตัน เป็น 1,200 เหรียญต่อตัน เทียบกับช่วงปี 2546-2547 ที่บริษัทได้มาร์จินต่ำเพียง 100 เหรียญต่อตันเท่านั้น" โลเฮีย กล่าว

ในมุมมองของ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ประเมินว่า ความต้องการใช้ PET Polymer เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ราคาผลิตปิโตรเคมีทั้งอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ (วัตถุดิบหลักในการผลิตประมาณ 90%) มีแนวโน้มราคาปรับลดลงตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาส่งผลให้อัตรากําไรขั้นต้นของ IRP ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง และในปีนี้ไทยจะมีกำลังการผลิตวัตถุดิบจากโรงงานผลิตของ TOC ก็จะทําให้ IRP ลดต้นทุนด้านวัตถุดิบลงได้จากปัจจุบันที่ต้องนําเข้า และการที่ประเทศจีนไม่สามารถเพิ่มกําลังผลิตจากการขาดแคลนวัตถุดิบ และมีความต้องการใช้ที่เติบโตต่อเนื่อง

"เราคาดว่าจะส่งผลดีต่อ IRP ในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งโรงงานในเขตอเมริกา และยุโรปจะเกิดขึ้นพร้อมกันในปี 2549 ซึ่งจะทําให้ IRP ก้าวขึ้นเป็นผู้นําในการผลิต PET Polymer อันดับที่ 7 ของโลก ด้วยกําลังผลิตประมาณ 5 แสนตันต่อปี" บทวิเคราะห์ ระบุ



Create Date : 20 เมษายน 2549
Last Update : 20 เมษายน 2549 19:48:43 น. 0 comments
Counter : 623 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

hoon_vi
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ
[Add hoon_vi's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com