|
ตรวจแถว...พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ ผลตอบแทนเฉียด 8%
ตรวจแถว...พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ ผลตอบแทนเฉียด 8%
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปี อยู่ที่ 2.75-3% ต่อปี ลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4% ต่อปี แต่การใส่เงินลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Funds) กลับให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากถึง 7.67% ต่อปี จัดเป็นตัวเลือกลงทุนที่โดดเด่นที่สุดในขณะนี้
สำรวจตรวจแถวผลตอบแทนกองทุนรวม "อสังหาริมทรัพย์" หรือพร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ ที่จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด 12 กองทุน แต่ประกาศจ่ายปันผล 9 กองทุนสำหรับผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 2549 พบว่า ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ย 7.67%
เรียกว่าผลตอบแทนของกองทุนอสังหาฯ ดึงดูดใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเทียบกับผลตอบแทนจากเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น หรือ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี
"ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.67% ต่อปี ถือว่าน่าสนใจลงทุนสำหรับผู้มีเงินลงทุนระยะยาว ถ้าเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ปรับตัวลดลง หรือผลตอบแทนปันผลจากตลาดหุ้นเพียง 4% ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ระดับต่ำ ลงทุนในกองทุนอสังหาฯ จึงอยู่ในระดับสูงน่าจูงใจกว่ามาก" เทอดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส ให้ความเห็น
ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนของเงินปันผลในตลาดหุ้นรอบปี 2549 อยู่ที่ 4% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนของแบงก์พาณิชย์ใหญ่อยู่ที่ 2.75-3% ต่อปี ขึ้นอยู่กับวงเงินที่ฝาก
กองทุนรวม "อสังหาริมทรัพย์" จึงให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล "สูงกว่า" เงินฝาก หรือปันผลจากหุ้นเกือบ 2 เท่าตัว ทีเดียว
ไล่เรียงผลตอบแทนกันเป็นรายกองทุน พบว่า พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ ที่ให้ผลตอบแทนจากปันผล "เหนือกว่า" ค่าเฉลี่ยที่ 7.67% มี 5 กองทุน ขณะที่อีก 3 กองทุนให้ผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ส่วนอีก 1 กองทุนให้ผลตอบแทนไล่เลี่ยกับค่าเฉลี่ย
โดดเด่นสุด ต้องยกนิ้วให้แก่ค่าย "บลจ.ไอเอ็นจี" เจ้าตลาดกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่มีกองทุนภายใต้การบริหารมากสุดถึง 5 กองทุน
กองทุนรวมอสังหาฯ "ฟิวเจอร์พาร์ค" (FUTUREPF) ของบลจ.ไอเอ็นจี ที่จ่ายปันผลเป็นครั้งแรก 0.10 บาท คิดเป็นผลตอบแทนสูงถึง 10.09% ต่อปี รองลงมาคือ กองทุนรวมอสังหาฯ "ไทยอินดัสเตรียล" (TIF1) จ่ายเป็นเงิน 0.85บาท คิดเป็น 8.42% ต่อปี ถัดมา กองทุนรวมอสังหาฯ "ไทคอน " (TFUND) จ่าย 0.84 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 8.32% ต่อปี
ติดตามด้วยอันดับ 4 เป็นของกองทุนรวมอสังหาฯ "CPN รีเทล โกรท" (CPNRF) ของค่ายบลจ.ทหารไทย จ่ายปันผลงวดปี 2549 เท่ากับ 0.78 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 7.81% ต่อปี
ไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด อันดับ 5 เป็นของค่ายบลจ.อ็มเอฟซี ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาฯ "มิลเลียนแนร์" (MIPF) จ่ายปันผล 0.81 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 7.79% ต่อปี
ส่วนกองทุนรวมอสังหาฯ "บ้านแสนสิริ" (SIRIPF) ที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย ที่ 7.40% ต่อปี หรือจ่ายปันผล 0.74 บาทต่อหน่วย
"กองทุนที่ให้ดีวิเด้นท์ยีลด์เกิน 7% น่าสนใจ โดยเฉพาะกองทุนที่ถือครองกรรมสิทธิ์อย่าง TFUND และ SIRIPF ซึ่งเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่พอควร และมีสภาพคล่องการในการซื้อขาย นอกจากนั้น SIRIPF ยังจุดเด่นในเรื่องการคุ้มครองเงินต้นให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนโดยมีสิทธิขายสินทรัพย์ออกไป" นักวิเคราะห์จากบล.เอเซียพลัส กล่าว
ขณะที่กองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทน "ต่ำกว่า" ตลาดมีอยู่ 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนรวมอสังหาฯ "ยูโอบี" (UOBAPF) จ่ายปันผล 0.48 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าปี 2548 จ่ายที่ 0.51 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 6.87% ต่อปี
กองทุนรวมอสังหาฯ "บางกอก" (BKKCP) ของบลจ.วรรณ จ่ายปันผล 0.57 บาท เป็นผลตอบแทน 6.28% ต่อปี
สุดท้าย กองทุนรวมอสังหาฯ "เอ็มเอฟซี-นิชดาธานี" (MNIT) ของบลจ.เอ็มเอฟซี ที่จ่ายปันผล 0.56บาท ต่ำกว่างวดปี 2548 ที่จ่าย 0.58 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 6.07% ต่อปี
แม้ผลงานของ 3 กองทุนจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์รับได้ เนื่องจากเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลหุ้น และดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนราว 2-3%
ส่วนนักลงทุนจะเลือกลงทุนในกองทุนประเภทไหนนั้น ประเด็นที่น่าจะให้ความสำคัญมาเป็นอันดับต้นๆ ควรพิจารณาสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุนว่า มีความ "มั่นคง" และต่อเนื่องของรายได้ที่มาจากค่าเช่า ซึ่งจะส่งผลให้การจ่ายปันผล หรือจะทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนจากกองทุนมีความต่อเนื่องในระยะยาว
และต้องพิจารณาว่ากองทุนลงทุนในสินทรัพย์แบบสัญญาการเช่า (Lease Hold) หรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ (Free Hold)
"เราชอบ Free Hold มากกว่า Lease Hold เพราะกองทุนเหล่านี้จะหารายได้จากสินทรัพย์ไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด และหากต้องขายสินทรัพย์ออกไป ก็สามารถทำได้ โดยเงินที่ได้รับจะนำมาคืนให้แก่ผู้ถือหน่วย ขณะที่กองทุนที่ได้สิทธิการเช่าจะมีอายุสัญญาเช่าประมาณ 20-30 ปี เมื่อหมดสัญญาก็จะหมดรายได้ ซึ่งผู้ที่ลงทุนในกองทุนแบบได้สิทธิการเช่าน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะต้นทุนจะต่ำกว่าการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ปัจจุบันกองทุนที่อยู่ในตลาด ให้ผลตอบแทนที่ไม่ต่างกัน เราจึงเห็นว่า การซื้อกองทุนอสังหาแบบซื้อขาด น่าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มกว่าในระยะยาว" เทอดศักดิ์ บอก
ขณะที่ราคาซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดยังไม่สูงเกินไป...สามารถ "ซื้อ" เพื่อลงทุนได้
เทอดศักดิ์ บอกว่า ถ้าจะซื้อหน่วยลงทุนในตลาดขณะนี้คงต้องพิจารณา "Yield" หรือ ผลตอบแทนเป็นหลัก หากราคาที่ซื้อให้ผลตอบแทนจากปันผลที่คุ้มค่าก็น่าสนใจ
"เราคาดว่า ผลตอบแทนจากปันผลกองทุนอสังหาฯ ปีนี้ (2550) น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เพราะแหล่งรายได้จากอาคาสำนักงานให้เช่า อาคารโรงงาน เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ หรือศูนย์การค้า ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงหวือหวา
ปกติจะเปลี่ยนแปลงสูงสุดไม่เกิน 2% เท่านั้น จึงเชื่อว่าผลตอบแทนสุทธิไม่น่าเปลี่ยน แต่อาจมีการปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้น คาดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนปีนี้เฉลี่ยน่าจะใกล้ 8% ต่อปี " นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าว
นอกจากนั้น นักวิเคราะห์รายนี้ยังมองว่า การลงทุนในกองทุนอสังหาฯ มีความผันผวนของราคาค่อนข้างต่ำ
ขณะที่อัตราการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ทำให้กองทุนประเภทนี้เป็นทางเลือกที่โดดเด่น แต่ต้องเป็นการลงทุนระยะยาว ถึงจะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ
"หากคิดจะลงทุนในกองทุนอสังหาฯ คงต้องเป็นเงินเย็น และที่สำคัญต้องถือลงทุนระยะยาว อย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลที่คุ้มค่า" นักวิเคราะห์รายเดิม กล่าว
++++++++
Create Date : 12 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 19:58:36 น. |
|
0 comments
|
Counter : 756 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
hoon_vi |
|
|
|
|