|
ความจำเป็น
เรื่องสั้น
ความจำเป็น
เพทาย
แต่เดิมนั้นถนนที่ผมเดินอยู่นี้ มาสิ้นสุดลงที่ริมคลองสามเสน เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ก็มีการสร้างสะพานข้ามคลองไปตัดกับถนนนครไชยศรี แล้วก็ขยายซอยเล็ก ๆ ออกไปเป็นถนน จนไปจรดกับถนนอำนวยสงคราม ย่านบางกระบือ แต่ต่อไปอีกไม่ได้เพราะเป็นซอยเล็กที่ไปสุดลง ที่คลองบางกระบือ ข้ามไปก็เป็นกองพันทหารม้าที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต
เมื่อผมมีกิจธุระที่จะต้องไปยังที่ทำการไปรษณีย์ดุสิต ผมก็ต้องเดินข้ามสะพานนี้เป็นประจำ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่พอข้ามสะพานไปได้ไม่เท่าไร ก็มีเด็กชายคนหนึ่งหน้าตาเรียบร้อย ตัดผมทรงนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล เดินสวนมาแล้วบอกว่า
ลุงขอตังห้าบาท
ผมเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชินกับการทำทานแบบนี้ แต่อดถามไม่ได้ว่า
จะเอาไปทำอะไร
เขาตอบว่า
เอาไปซื้อข้าวกิน
ผมชักมือออกจากกระเป๋าปรากฏว่ามีเหรียญห้าบาทหนึ่งอัน กับเหรียญบาท เหรียญสองสลึง และเหรียญสลึง ที่กระเป๋ารถเมล์ทอนมาให้หลายอัน แต่คงจะไม่ถึงห้าบาท ผมจึงหยิบเหรียญห้าบาทขึ้น แล้วเทเหรียญที่เหลือทั้งหมด ลงในฝ่ามือของเด็กชายผู้นั้น ที่แบรออยู่ เขาก้มหน้าลงมองเศษเหรียญในมือ แล้วเงยหน้ามองตาผม ทักท้วงว่า
ลุง ผมขอห้าบาทนะ
ผมชักจะสับสนว่าเขาจะเอาอย่างไรกับผม แต่ใจยังคิดจะบริจาคอยู่ จึงบอกว่า
งั้นเอาห้าบาทไป เศษนั้นคืนมา ลุงจะเอาไปขึ้นรถเมล์
แล้วผมก็ส่งเหรียญห้าบาทให้เขา ซึ่งเขาก็เทเศษสตางค์คืนใส่มือผม แล้วก็เดินสวนทางไป โดยไม่ได้ไหว้แบบคนขอทาน และไม่มีคำขอบคุณ
ผมเดินต่อไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายงง เขาอาจคิดว่าเป็นหน้าที่ของผม ที่มีมากกว่าจึงควรจะเจือจานหรือแบ่งปันให้เขาบ้าง ตามหลัก
เอ
หลักอะไรก็ไม่รู้ ผมหย่อนเศษเหรียญลงกระเป๋าตามเดิม แต่อดหันไปมองดูเขาไม่ได้ ปรากฏว่าเขาเดินลงไปในซอกข้างสะพานที่ผมผ่านมานั้นเอง เขาคงจะอาศัยอยู่ใต้สะพาน กับครอบครัวของเขา ผมภาวนาให้เขามีโอกาสเรียนให้สำเร็จ
เอ้อ..สำเร็จในระดับหนึ่ง และเป็นคนดี
อย่างน้อยก็ดีกว่านี้
พระท่านสอนว่า ทานเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ คือสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ ซึ่งมีอยู่สามประการ คือ ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
ผมพยายามที่จะบำเพ็ญบุญ แต่ก็ยังไม่สามารถเจริญภาวนา หรือทำสมาธิได้ เพราะศีลห้าก็ยังไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงทำได้แค่การบริจาคทานเท่านั้น
ทุกเย็นเมื่อผมกลับบ้าน ผมจะเอาเศษเหรียญ ที่เหลือจากการขึ้นรถโดยสารประจำทาง ใส่ขันเล็ก ๆ ไว้ วันรุ่งขึ้นเมื่อออกจากบ้าน ผมก็จะเทเหรียญเหล่านั้นใส่กระเป๋ากางเกง แต่ไม่พยายามใช้ เอาไว้ให้ขอทานที่พบเห็นทุกคน จนหมดเหรียญนั้น แล้วก็สะสมจากเงินทอน ค่ารถเมล์เอาใหม่
บางครั้งเมื่อขึ้นสะพานลอยข้ามถนนหลายครั้ง อาจมีคนขอทานมากกว่าจำนวนเหรียญที่ผมมีอยู่ในกระเป๋า ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ให้มากมายอะไร เพียงรายละสองสามบาทเท่านั้น
แต่ผมจะให้ทุกคนไม่ว่าจะมาในลักษณะไหน จะเป็นวนิพก บรรเลงเครื่องดนตรีประเภทดีดสีตีเป่าและกด หรือเป็นคนพิการชนิดไหน หรือเป็นผู้หญิงที่มีลูกเล็ก ๆ อุ้มบ้างปล่อยให้คลานเล่นบ้าง และแม้แต่ผู้ที่มีลักษณะเหมือนบุคคลธรรมดา แถมแต่งตัวดีอีกต่างหาก
ประเภทหลังนี้มักจะเจอโดยไม่รู้ตัว บางวันผมเดินอยู่ในซอย มีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามายิ้มกับผม ถามว่าสบายดีหรือ
ผมพยายามนึกอย่างรวดเร็วว่า เขาเป็นเพื่อนกลุ่มไหนของผม เพราะผมมีเพื่อนหลายกลุ่ม แต่ยังไม่ทันจะนึกออกเขาก็มาถึงตัว บอกว่าลุงขอตังค์กินข้าวสักสิบบาท
ผมก็เลยผสมว่าเอาไปเลย แล้วก็ควักเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงให้ไปแต่โดยดี รายนี้ต่อมาก็สนิทกันมากขึ้น พอเห็นหน้าแต่ไกลผมก็จะจำได้ และรีบล้วงกระเป๋าเตรียมไว้ให้เขา ก่อนที่จะขอ
วันหนึ่งผมนั่งรอเรียกตรวจโรคที่โรงพยาบาล ผมชอบพกหนังสือประเภทการ์ตูนเล่มเล็ก ๆ ไปอ่านฆ่าเวลา จึงนั่งแถวหลังสุด ก็มีชายคนหนึ่งมากระซิบเบา ๆ ขอเงินสิบบาท
ผมเงยหน้าขึ้นดูเห็นว่ามีลักษณะเช่นเดียวกับคนไข้ทั่วไป ผมก็ไม่ถามส่งเงินให้ทันที ถ้าเขาไม่มีความจำเป็นเขาคงไม่มาขอผมหรอก
ส่วนอีกรายหนึ่ง ผมนั่งเล่นอยู่ที่ริมเขื่อน ใกล้ท่าเรือด่วนเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ในยามเย็นแดดร่มลมโชย พร้อมด้วยเบียร์กระป๋อง หมูปิ้ง กำลังชมภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ในลำน้ำเจ้าพระยา อย่างเพลิดเพลินอารมณ์ ก็ปรากฏว่ามีชายรูปร่างหน้าตาตลอดจนเครื่องนุ่งห่ม ที่ดู ขะมุกขมอมเต็มที เข้ามาหาพร้อมกับบอกด้วยเสียงห้วน ๆ ว่า ลุงขอตังสิบบาท
ผมมองหน้าเขาแล้วก็คิดเพียงเสี้ยววินาทีเดียว รีบควักส่งให้เขาไปด้วยความเต็มใจ เพราะถ้าเขาจำเป็นมากกว่านี้ เขาคงคว้ากระเป๋าหิ้วใบเล็กที่วางข้างตัวผมไปแล้ว และผมคงไม่มีปัญญาที่จะวิ่งตามไปเอาคืนเป็นแน่
อีกรายหนึ่งมาด้วยกันสองคน ท่าทางและเครื่องแต่งตัวแสดงความเป็นคนชนบท สะพายถุงย่ามคนละห่อ พอเดินสวนกันก็เข้ามาถามทางที่จะไปรังสิต
ผมก็รู้ทันทีว่าลงท้ายเขาจะพูดว่าอะไร แต่ผมก็ชี้ทางให้เขาไปขึ้นรถสายที่จะไปรังสิต เขาก็บอกอย่างที่ผมคิด คือขอเงินคนละสิบบาท เพื่อซื้อข้าวกินก่อน เขาบอกว่าตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย
ผมก็ให้เขาไปโดยดี เชื่อว่ายังไม่ได้กินข้าวจริง ๆ เพราะได้กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งทั้งสองคน
ผมเองหาโอกาสที่จะทำบุญอยู่เสมอ แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่พลาดไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพราะไม่มีเงิน หรือมีก็หมดไปเสียแล้ว แต่ด้วยสาเหตุอื่นก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน
อย่างเด็กหญิงคนหนึ่งในซอยบ้านผมเอง คะเนอายุคงไม่เกินประถมต้น ๆ แต่งตัวสวยงาม บ้านคงจะอยู่แถวนั้น เธอเดินแทะขนมปังกรอบที่มีช็อคโกแลตหุ้มอยู่ อย่างเอร็ดอร่อย เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้เธอก็หยุดยืนรอ แล้วพูดด้วยเสียงน่ารักว่า
ตาขา
ขอตังหนูห้าบาท
ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน แต่ด้วยความที่อยากจะคุยกับเธอ จึงถามว่า
หนูจะเอาไปทำอะไรหรือ
ผมไม่ได้คิดว่าเธอจะเอาไปซื้อขนม เพราะมีอยู่ในมือแล้ว จึงอยากจะให้มากกว่าที่ขอนั้น แต่เธอกลับมองหน้าผมที่ช่างซักถามจู้จี้ เธอแกว่งตัวจนกระโปรงส่ายไปมา แล้วสะบัดหน้าเดินต่อไป แต่ไม่ก่อนที่จะพูดว่า
ฮึ
หนูไม่เอาก็ได้
อีกคราวหนึ่งผมไปเยี่ยมญาติ ที่ป่วยเป็นคนไข้ในของโรงพยาบาล ตอนขากลับก็แวะที่เครื่องโทรศัพท์สาธารณะ เพื่อโทรศัพท์บอกทางบ้านว่าจะไปธุระต่อ พอพูดเสร็จก็เห็นหญิงค่อนข้างสาวระดับกลาง ยืนอยู่ตรงหน้าในมือของเธอหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง
น้าขอเงินสักห้าสิบบาทซี่
ผมนิ่งอึ้งอยู่ชั่วอึดใจว่าจะให้ หรือปฏิเสธ เพราะคิดว่ามากเกินไป แต่เธอรีบชี้แจงเมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามในดวงตาของผม
หนูมาตรวจโรค หมอสั่งให้เจาะเลือด เขาคิดเงินสองร้อย หนูมีไม่พอเพราะซื้อยาไปแล้ว จะกลับบ้านก็ไกล กว่าจะมาอีกเขาก็ปิดแล้ว
เธอพูดพร้อมกับชูแผ่นกระดาษใบสั่ง และบัตรประจำตัวคนไข้ในมือขวา พร้อมกับแบมือซ้ายที่ถือถุงยาให้เห็นธนบัตรใบย่อยให้ดู ผมจึงพร้อมที่จะให้ จึงหยิบกระเป๋าเงินออกมาเปิดดึงธนบัตรร้อยบาทออกมาส่งให้
หนูช่วยทอนให้ลุงห้าสิบบาทนะ
เธอนิ่งคิดเหมือนกัน แล้วก็บอกว่า
น้าให้หนูทั้งหมดก็แล้วกัน จะได้เหลือเป็นค่ารถกลับบ้านด้วย
เอ
การทำทานทีละร้อยบาทนี่ มันมิยิ่งมากเกินฐานะของผมไปใหญ่หรือ ผมคิดแว่บเดียวแล้วก็ตัดสินใจบอกว่า
ไม่ได้หรอกมากเกินไป ลุงไม่ได้มีเงินมากมายอะไร
เธอจึงลดมือลงแล้วบอกว่า
งั้นหนูไม่เอาก็ได้ ขอบคุณค่ะ น้าเก็บไว้ใช้เถอะ แล้วเธอก็เดินจากไปแต่ยังดีที่อุตส่าห์ขอบคุณ ทำให้ผมใจหายที่ไม่ได้ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ของเธอในครั้งนี้ เธออาจจะต้องไปขอคนอื่น ซึ่งเขาอาจจะไม่เข้าใจเธออย่างผม ก็ได้
แต่ผมจำเป็นที่จะต้องฝืนใจทำเช่นนั้น จะให้ผมทำอย่างไรได้ ถ้าผมให้เธอไปหมดนั่น ผมก็คงจะเหลือแต่กระเป๋าที่ว่างเปล่าเท่านั้น
เพราะผมไม่มีเศษสตางค์เหลืออยู่เลย แม้แต่สลึงเดียว.
แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 48 19:24:36 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 48 19:23:15
จากคุณ : เจียวต้าย - [ 9 เม.ย. 48 19:16:22 ]
ความคิดเห็นที่ 1
เอ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีแอบเหน็บด้วยเลยค่ะ แหะๆ โชคดีไม่ค่อนโดนรุกประชิดตัวขอแบบนี้บ่อยๆ
จากคุณ : scottie - [ 10 เม.ย. 48 00:01:19 ] ความคิดเห็นที่ 2
แหะๆ ไม่ทราบว่าเจ้าของกระทู้และคุณ scottie เคยเจอไหม ที่แบบเป็นมูลนิธิ มาขอเงินบริจาคโลงศพน่ะจ้า อยากรู้ว่า เป็นมูลนิธิจริงๆ หรือเปล่า แล้วเงินถูกนำไปซื้อ โลงจริงๆ หรือเปล่า เพราะเห็นตามสถานที่ชุมชน มักจะมีแบบนี้ โดยส่วนตัวแล้ว บางครั้งก็บริจาค แต่จะไม่มาก เพราะกลัวไม่ถึงศพ หรือถึงก็เป็นส่วนน้อย แหะๆ
ส่วนเรื่องการทำทานนี่ จะงดเว้นเหรียญสลึงและเหรียญห้าสิบสตางค์เด็ดขาด สาเหตุก็เพราะกลัวว่ามันจะไม่เต็มบาทนั่นเอง อิอิ
จากคุณ : โคอาร่า - [ 10 เม.ย. 48 09:10:34 A:202.5.84.1 X: ] ความคิดเห็นที่ 3
เป็นเรื่องดีที่จะทำทานคับ คุณเจียวต้ายเป็นคนใจบริสุทธิ์จริงๆ แต่อย่างที่ Gracie เจอทำให้ไม่ค่อยอยากทำทานเท่าไหร่หากไม่แน่ใจ...
เคยมีเด็กชายคนหนึ่งอายุราวสิบขวบเห็นจะได้ เดินเข้ามาหาแล้วบอกว่าบ้านอยู่รังสิต ขอเงินกินข้าวสิบบาท ตอนนั้นไม่มีเงินย่อยเลย แต่มีไส้กรอกที่เพิ่งซื้อมาจากร้านเซเว่นมาสองชิ้นสำหรับอาหารเย็น ก้อเลยแบ่งให้เขาไปหนึ่งชิ้น ให้เขาแล้วก้อยังไม่ได้เดินไปไกลแต่เลือกดูหนังสืออยู่แถวนั้น เห็นเขากินเสร็จแล้วไม้เสียบก้อทิ้งไว้แถวนั้นแหละ ตอนนั้นก้อไม่ได้คิดอะไรมาก...
แต่ที่แสบคือวันต่อมาก้อยังเห็นเขาอยู่แถวนั้นในเสื้อผ้าชุดเดิม ...แล้วก้อเห็นอีกหลายๆครั้ง ...ครั้งหลังๆคือเห็นเขานั่งดมกาวอยู่บนสะพานลอย พร้อมกับการนั่งขอทานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว...
เลยไม่มั่นใจว่าวันนั้นหากเราเอาเงินให้เขาไป เขาจะเอาไปซื้อข้าวหรือซื้อกาว...
ปัจจุบันย้ายบ้านใหม่แล้ว ทุกเช้าบนสะพานลอยจะต้องเจอแม่ลูกนั่งขอทานบนสะพานลอย ตั้งแต่อยู่มาก้อยังไม่เคยอุดหนุนกิจการของเขาสักที ...ผลพวงมาจากการรับสื่อเยอะ เขาว่าคนพวกนี้หลายคนมาจากเขมร บางครั้งก้อถูกตำรวจจับส่งกลับประเทศ แต่ถ้ามีโอกาสก้อจะเข้าเมืองมาอีก
ไม่รู้จะเหมือนคนใจร้ายไปหรือเปล่านะคับ แต่มีความรู้สึกว่าหากคนพวกนี้เข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย เลยไม่น่าจะเป็นเรื่องดีสักเท่าไหร่
จากคุณ : Gracie Lou Freebush - [ 10 เม.ย. 48 11:22:14 ] ความคิดเห็นที่ 4
ขอบคุณ คุณสก็อตตี้ ที่มาอ่านเป็นคนแรกเสมอ
เรื่องมูลนิธิอะไรก็ไม่ทราบ ที่มีใบเสร็จสีเหลือง ๆ มาด้วยอย่างที่คุณโคอาร่าเล่ามานี้ ผมเชื่อว่าเขามีจิตเป็นกุศลจริง ๆ เพราะอุตส่าห์ลงทุนพิมพ์ใบเสร็จ และมีการประทับยี่ห้อด้วย แต่ก็ทำไม่เกินยี่สิบบาทครับ
ถ้าอยากทำบุญซื้อโลงศพ ก็จะไปที่มูลนิธิปอเต๊กตึ๊ง ตรงข้าม สน.พลับพลาไชยครับ
สำหรับคุณ Gracie ฯ ผมขอเรียนว่าคนไม่ว่าชาติไหน ก็ต้องกินให้อิ่มท้องทั้งนั้น ถ้าเขาขอไปซื้ออาหารเลี้ยงปากท้องของตนหรือครอบครัว ผมก็ให้ทุกคนตามที่ผมกำหนดไว้ ไม่เลือกหน้าครับ
แต่ถ้าเขาเอาไปซื้อของที่เป็นโทษเป็นพิษ ก็เป็นกรรมของเขาเอง เราไม่เกี่ยว ไม่ได้บาปไปด้วย เราได้บุญกุศลตั้งแต่ตอนให้แล้วครับ
การบริจาคทาน เป็นการลดกิเลสในตัวเรา ถ้าเราสามารถจะสละให้ผู้อื่นได้ ความโลภของเราก็จะลดลงครับ
จากคุณ : เจียวต้าย (เจียวต้าย) - [ 10 เม.ย. 48 18:41:09 ] ความคิดเห็นที่ 5
เป็นผมผมไม่ทำนะเนี่ย
ผมไม่ชอบทำอย่างนี้อ่ะครับ เพราะเป็นการสนับสนุนให้คนโกหก
จากคุณ : the'tect - [ 10 เม.ย. 48 21:44:14 A:203.170.144.227 X: ] ความคิดเห็นที่ 6
นานาจิตตังครับ
มิบังอาจทักท้วง และมิบังอาจชี้นำครับ.
จากคุณ : เจียวต้าย (เจียวต้าย) - [ 11 เม.ย. 48 21:17:03 ] ความคิดเห็นที่ 7
เท่าที่เคยทราบมา ขอทักคุณเจียวต้ายไว้นิดหนึ่งว่า บุญกิริยาวัตถุมีอยู่สิบประการค่ะ
รายละเอียดหาอ่านได้ตามเวปทั่วไปค่ะ ตัวอย่างเช่น
//www.sut.ac.th/engineering/electrical/faculty/nimit/articles/boonkiriyawattu10.htm //www.dhammakaya.org/dhamma/boon01.php
อันนี้ขอเสริมคุณเจียวต้ายนะคะ
ส่วนการให้ทานนั้น ก็แล้วแต่ความตั้งใจของแต่ละคนค่ะ ซึ่งการให้ทานจะได้บุญเต็มที่นั้น อยู่ที่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ค่ะ คือก่อนให้เรามีความปรารถนาดี มีความตั้งใจที่จะทำทานนั้นค่ะ และขณะให้เรามีความสุขใจดีใจที่ลงมือทำทานนี้ค่ะ พอหลังให้เรามีความปลื้มใจความสบายใจที่ได้ทำทานนี้ค่ะ ก็แค่นี้แหล่ะค่ะ จบค่ะ
ส่วนคนที่เราให้ต่อนั้น เขาจะไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขาค่ะ แต่ถ้าใครจะคิดมาก คิดต่อยังไง ก็แล้วแต่เพื่อน ๆ จะคิดกันไปค่ะ
จากคุณ : รสา รสา - [ 11 เม.ย. 48 22:55:31 ] ความคิดเห็นที่ 8
ขอบคุณ คุณรสา เช่นเคยครับ
ผมได้ยินทางวิทยุพระท่านเทศน์ว่า การให้มีหลายอย่าง
เช่น ให้เป็นบุญ ให้เป็นคุณ ให้ไม่ต้องลงทุน แต่ไม่ทันฟังท่านขยายความ อยากฟังความเห็นของคุณรสาและเพื่อน ๆ ในถนน ฯ นี้ครับ
จากคุณ : เจียวต้าย - [ 12 เม.ย. 48 06:38:39 ] ความคิดเห็นที่ 9
ขออภัยคุณรสาครับ ผมใช้คู่มือ นวโกวาท ฉบับชาวบ้านครับ แต่เปิดไปแค่หน้า ๑๖ บุญกิริยาวัตถุ ๓ ดังที่เอามาอ้างในเรื่องครับ
แต่พอคุณรสาทัก ผมก็เปิดดูอีกครั้ง ปรากฏว่าหน้า ๗๓ มีบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ดังที่คุณรสาอ้างครับ
ตกลงเสมอกันนะครับ.
จากคุณ : เจียวต้าย - [ 12 เม.ย. 48 12:29:50 ] ความคิดเห็นที่ 10
อันที่จริงแล้ว การให้ก็มีหลักอยู่เหมือนกันค่ะ การให้นั้นจะต้องประกอบด้วยปัญญาด้วยค่ะ ไม่ใช่ให้เพื่อหวังผล หวังลาภยศ หรือชื่อเสียงค่ะ
ถ้าจะเอาให้ตรงกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัส ทุกอย่างท่านจะให้พิจารณาเข้าหาตัวเราเองเสมอค่ะ
อย่างเช่น ในเรื่องของการให้นี้ก็คือ เราได้พิจารณาตัวเราในเรื่องของการได้สละ การได้ละความโลภ หรือ โลภะออกจากตัวเราค่ะ ถือว่าเป็นการลดกิเลสตัณหาลงค่ะ
ซึ่งก่อนให้ เราก็เห็นแล้วว่าถ้าให้แล้ว จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างไรบ้างค่ะ
และหลังให้เราก็อิ่มใจ มีความสุขกับการได้ละค่ะ
ในเรื่องของรายละเอียดนั้น พูดกันเป็นวันก็ยังไม่จบค่ะ
smile แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 48 17:27:25
จากคุณ : รสา รสา - [ 12 เม.ย. 48 17:25:17 ]
ความคิดเห็นที่ 11
ผมเห็นด้วยกับหลักการนี้ตลอดมาครับ.
จากคุณ : เจียวต้าย - [ 17 พ.ค. 48 05:29:39 ]
Create Date : 05 พฤษภาคม 2559 |
Last Update : 5 พฤษภาคม 2559 9:59:11 น. |
|
0 comments
|
Counter : 631 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|