อันเนื่องมาจากจม. ฉบับวันอาทิตย์
ฉันได้ลงจม. ฉบับหนึ่งซึ่งเขียนขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนว่า การโพสข้อความทั้งหมดลงไป ทำให้อรรถรสในการอ่านลดลงไป ฉันจึงขออนุญาติหยิงจม. ฉบับเดิม มาตกแต่งและโพสใหม่ให้ไฉไลขึ้น หวังว่าคนอ่านคงได้รับความรู้สึกในใจของผู้เขียนนี้มากขึ้นกว่าการโพสครั้งก่อนนะคะ เริ่มเลยแล้วกัน.... ในวันอาทิตย์ ใครสักหลาย ๆ คนบอกว่าเคล็ดลับในการเป็นนักเขียนไม่มีอะไรมาก ในการเริ่มต้นมีกฎอยู่สามข้อ ข้อที่หนึ่ง คือลงมือเขียน , ข้อที่สอง คือลงมือเขียน และข้อที่สาม คือลงมือเขียน ได้อ่านแล้วฟังง่ายดี แต่ทำ(โคตร)ยาก ผมว่ามันก็คงเหมือน ๆ กับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ทุกอย่างในชีวิตคนคือ...ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แต่จะเพียรหาคำตอบในเรื่องการเขียนจากระดับเกจิท่านใด มันก็จะได้คำตอบในแบบเดียวกัน หากคุณอยากเขียนคุณก็ลงมือเขียน อันนี้คงจะเป็นสำเนียงคำตอบของนักเขียนแนวท่านทูตอย่างท่าน....ประภัสสร เสวิกุล หรืออยากเขียน แล้วเป็นห่.อะไรไม่เขียน อันนี้ผมเดาเอาว่าคงเป็นทางของท่านปู่รงค์ วงศ์สวรรค์ ไม่รู้จะเหมือนกันไหมหนอ ? กับการที่นักแสดงผู้มากฝีมือ ฝันและใฝ่ที่วันหนึ่งจะเป็นผู้กำกับหนัง หรือ...ผู้ชื่นชมในรสสุรา และมากมายด้วยไอเดียโดยเฉพาะเวลาตึง ๆ จะฟุ้งความคิดที่จะมีร้านเหล้า เพื่อจะตอบสนองให้ตรงใจของคอเดียวกัน คนที่อ่านหนังสือ และโลดแล่นตามจินตนาการของตัวอักษร ก็จะคันมือที่จะเขียนหนังสือให้คนอื่นได้อ่านบ้าง วันนี้เริ่มมาจากการที่ไม่มีอะไรจะทำเพราะเป็นวันหยุด(อันน้อยนิดของชีวิตลูกจ้าง) นั่งคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาสามสิบห้าปี สามเดือนกับอีกยี่สิบกว่าวันของตัวเอง มีกี่ฝันแล้วหนอ คำตอบคือเยอะมาก หลายฝันผุพังไปแล้ว จนมิอาจซ่อมแซมได้อีก หลายฝันยังอยู่ระหว่างใฝ่แบบยังไม่กล้าหวังผล และบางฝันยังคงอยู่ในตู้เก็บฝันใบใหญ่ของตัวเอง เขียนหนังสือ คือฝันที่ยังไม่ผุพัง แต่ก็ยังไม่เคยลงมือก่อร่างสร้างให้เห็น ยกมือพนมท่วมหัวนึกถึงคำครูบาอาจารย์ที่ว่าต้องลงมือเขียน เดินอ้อยอิ่งไปหยิบกระดาษปากกา(ทำเป็นเรียกกระดาษกับปากกา เพื่อสร้างจินตนาการ จริง ๆ ผมใช้ปากกา กับกระดาษยี่ห้อ acer ) จ่อมก้นลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็ลงมือ....แล้วจะเขียนอะไรล่ะ ? ยังไม่รู้เลย แต่ก็ตั้งเป้าว่าต้องเขียนให้ได้สักหนึ่งหน้ากระดาษพิมพ์มาตรฐาน นึกถึงก้าวแรกที่เข้าวงการนักพูด(โนแนม) เรียนรู้มาว่าองค์ประกอบเบื้องต้นของการพูดก็คือการกำหนดเนื้อหาเรื่องที่จะพูด แบ่งมันออกเป็นสามส่วนใหญ่ ๆ คือ...การเกริ่นนำ หรือการเปิดหัวเรื่องที่จะพูดเป็นส่วนที่หนึ่ง ตรงนี้จะต้องทำให้ผู้ฟังเห็นภาพคร่าวของเรื่องที่เราจะพูด และสำคัญที่จะต้องทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเรื่องรวมทั้งผู้พูดมีอะไรที่น่าสนใจน่าติดตาม ส่วนที่สอง คือเนื้อหาของเรื่องที่พูด อันนี้ก็ว่ากันในรายละเอียดเนื้อหาสาระวิชาการ กลเม็ดเด็ดพรายลีลามุขตลกขำกลิ้ง โศรกกระชากอารมย์ ก็ว่ากันไปในส่วนนี้ ส่วนสุดท้าย คือการสรุปปิดท้าย ตรงนี้ก็สำคัญไม่น้อยกว่าส่วนอื่น ๆ บางคนดีมาตั้งแต่ต้น ดำเนินเรื่องเนียนตลอด แต่มาจบแบบผู้ฟังเหว๋อ อ้าว! จบแล้วเหรอ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการพูดที่ไม่ประสบความสำเร็จ การพูดก็คงคล้าย ๆ กับการเขียนหนังสือตรงที่มีองค์ประกอบเหมือนกัน คือเป็นการสื่อสารเหมือนกัน ในเมื่อผมทำพอใช้ได้ในการพูด ก็น่าจะทำได้ไม่ยากนักในการเขียน แต่ไหนทำไม่ได้ล่ะ เหมือนจะหาทางออกเจอแล้ว แต่ก็กลับมางง งง เหมือนเดินกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกคราว ผมเอาฝันนี้ออกมาปัดฝุ่น ลังเลนิดหน่อยที่หน้าตู้เก็บความฝันใบโต ก่อนที่จะเปิดประตูตู้อันหนักอึ้งสมขนาดของมัน เอาฝันนี้ที่ปัดฝุ่นแล้วเก็บกลับเข้าไปยังที่เดิม ปิดล๊อคแน่นหนาอย่างหวงแหน ก่อนจะหันหลังให้ตู้เก็บฝัน มายืนที่หน้าซิงค์ล้างจาน โลกความจริง ยังมีจานใช้แล้วที่ต้องล้าง ยังมีรถคู่ชีพที่ต้องล้าง ยังมีงานบ้านที่ต้องทำอีกมากมายในวันหยุด มีงานอันเหนื่อยหน่ายรออยู่ในวันพรุ่ง และยังมีชีวิต มีลมหายใจที่ต้องแอบทอดถอนบ่อย ๆ และแน่นอนมันไม่เหมือนความฝัน...สักนิด
ส.ทรัพย์สกุล อาทิตย์ ๒๕ พ.ค.๔๙
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร ก็เขียนมาบอกกล่าวกันได้นะคะ สำหรับตัวนักเขียนเอง เอ้ย ตัวคนเขียนเอง บอกเล่ามาว่า ตอนนี้กำลังลงทะเบียนขอเป็นสมาชิกบล็อคแก็งค์ อยู่ ต่อไปเค้าคงได้วาดลวดลายให้ชม และเป็นนักเขียนสมความตั้งในนะคะ โอม.... เพี่ยง จงเป็นๆๆๆๆ
Create Date : 06 มิถุนายน 2549 |
|
5 comments |
Last Update : 25 สิงหาคม 2550 11:35:08 น. |
Counter : 467 Pageviews. |
|
|
|
ลงมือเขียน
ลงมือเขียน
ลงมือเขียน
Ha