"อีกไม่นาน เราคงได้พบกันใหม่"
ประโยคนี้ฉันเคยพูดไว้ เมื่อครั้งที่ได้เจอเธอครั้งแรกในเนปาล
ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ได้เห็นร่างที่นอนเหยียดเอกเขนกทอดยาว
สุดหูสุดตาจากบนเครื่องบิน
ฉันจำได้ว่ามองนานไปหลายนาทีจนเมื่อยคอไปหมด
ไม่ยักรู้ว่า 'หลังคาโลก' มันครองพื้นที่ได้มากและไกลขนาดนี้
หนึ่งปีหลังจากนั้น .... ฉันไม่ได้กลับไปพบเธออีก
เพราะมัวแต่จดจ่อกันการเดินทางด้วยรถไฟ
จากปักกิ่ง ประเทศจีน จนไปสุดทางที่รัสเซียแทน
หลังจากจบทริปนั้นลง ฉันก็ยังนึกไม่ออกหรอก
ว่าจะไปที่ไหนต่อได้อีก
ถ้าเลือกการเดินทางให้เป็นหนึ่งในอาชีพได้
ฉันคงยินดีที่จะหาเรื่องไปต่อได้เรื่อย ๆ จนสุดแผ่นดินโลก
แต่นั่น เธอก็คงคิดว่าฉันคงไม่คิดจะหวนกลับมาอีกแน่
เพราะฉันคงมัวแต่แสวงหาดินแดนใหม่
ที่จริงแล้ว ฉันก็ลืมเธอไปพักใหญ่ จริง ๆ นั่นแหละ
วันหนึ่งรายการทางโทรทัศน์พูดถึงการแสดงเวที
ของคณะนักแสดงจากสถาบันที่ชื่อว่า "กาลักเชตรา" จากเมืองเชนไน
กับการร่ายรำแบบ "ภารตนาฎยัม" ในท้องเรื่องรามายณะ ที่ศาลาเฉลิมกรุง
ซึ่งจัดขึ้นสำหรับเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวของอินเดีย
บังเอิญว่าฉันว่างพอที่จะไปได้ทันเวลา
และมันก็มีแค่รอบเดียวเสียด้วย...
ป้ายโฆษณาเล็ก ๆ ที่เห็นในงานระหว่างที่รอ มีเธอยืนอยู่ที่ฉากหลัง
คงทำให้ฉันอยากหวนกลับไปเจอเธออีกครั้ง
แม้ซีกฝั่งที่ อินเดีย ดูท่าจะวุ่นวายไม่น้อยจากที่ฟังมา
Incredible India ที่เขานำเสนอ...
คำ ๆ นี้ มันน่ากลัวมากกว่าน่าไป
เพราะดูเหมือนว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ !!!
หลังจากจบการแสดงที่มันดูต่างจากการเต้น
แบบบอลลีวูดที่เคยติดตามาตลอด ก็ทำให้ฉันรู้ว่า
อันที่จริงแล้ว เราได้รู้ข้อมูลแค่เศษเสี้ยวเดียวจากทั้งหมด
แล้วก็คิดเหมามโนไปเองว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
เหมือนกับที่คนต่างชาติ
ที่เอาแต่เสพภาพโปรโมทการท่องเที่ยวเมืองไทย
ยังเข้าใจว่าเราจ่ายไปตลาดจากร้านค้าที่อยู่บนเรือพาย
หรือแม้แต่ขี่ช้างไปโรงเรียนนั่นแหละ
ฉันตัดสินใจไปอินเดียเป็นครั้งแรกถัดจากนั้น
และนี่ก็คงเป็นหนึ่งในผลสำเร็จของการจัดเทศกาลฯ สินะ
เอ..พี่ไม่สังเกตหรือว่าน้องฟ้าเพิ่งเปลี่ยนหน้าตาบล็อกป่าว
เพิ่งจะเห็นเจ้าแร็คคูนพิงขอนไม้อ้ะ