เรื่องป่วย ๆ - คอแตก
ในเอนทรี่ก่อนสำหรับ อาการ Bell's Palsy ที่พ่วงแถมมากับ งูสวัดฯ นั้น
เพื่อน ๆ บล็อกทั้งหลายก็อาจรู้สึกดี ที่ จขบ. มีการไหวตัวรีบไปหาหมอทันเวลา
แต่สำหรับเรื่องป่วย ๆ ที่จะเล่าหนนี้ มันช่างแสนจะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ช่วงปลายปี 2011 ...ตรงบริเวณด้านข้างลำคอฝั่งซ้ายมีตุ่มขนาดเล็กขึ้นอยู่ หากคิดจะเทียบหาตำแหน่งล่ะก็ ให้ลองแตะที่หลังโคนหูแล้วลากลงมาประมาณ 3 นิ้ว
จากนั้นก็เขยิบถอยหลังไปอีกราว ๆ 1 นิ้ว มันเคยมีตุ่มขนาดเล็กโผล่ขึ้นมา คล้ายกับว่าจะเป็นสิวหัวช้างก็ไม่เชิงหรอก อีกทั้งเราไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร และคงคิดว่าอีกไม่นานก็คงยุบไปเอง
หลังจากปล่อยไปเรื่อย ๆ นานเป็นเดือน เจ้าตุ่มเล็กก้อนนั้น ก็ไม่ได้เล็กลงเลยสักนิด มันดูเหมือนจะขยายใหญ่อีก
จนดูคล้ายกับมีตาตุ่มมาขึ้นอยู่ข้างคอ (ขนาดก็ประมาณนั้น)
เมื่ออาการเจ็บเริ่มมีตามมา เราก็เริ่มทนไม่ได้
เพราะมันเหมือนกับเนื้อด้านในคอถูกหยิกแรง ๆ
หรือหนักไปกว่านั้นก็ปวดร้อนคล้ายถูกไฟจี้
ถึงมันจะไม่ได้ส่งจังหวะความเจ็บนี้ไปตลอดทั้งวันก็ตาม
แต่พอมันส่งอาการบอกเตือนทีนึงก็แทบสาหัส
เราเริ่มรู้สึกเครียดว่ามันจะลามลึกกินเนื้อด้านใน หรือติดเชื้อด้วยอีกหรือปล่าว ...
ที่คออีกด้านในตำแหน่งเดียวกัน ก็ดันมีตุ่มขึ้นเหมือนกับด้านซ้ายในระยะเริ่มแรกเปี๊ยบ
มาถึงตอนนี้เราเริ่มเข้าใจว่าทำไมคนหลายคนกลัวที่จะไปหาหมอ
คงเพราะไม่อยากฟังเรื่องร้าย หรือกระทั่งเจอการรักษาที่เจ็บปวดแน่ ๆ
ทั้งที่มันควรจะต้องเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับมากกว่าปล่อยให้ลุกลาม
และอยู่ ๆ ก็พาลคิดไปจนถึงเรื่องเล่าที่คนแก่แถวบ้าน พูดถึงใครสักคนในสมัยก่อนโน้น เป็นฝีที่คอตาย
เอาเหอะ ... ถ้าจะต้องโดนผ่า โดนเจาะที่คอ
หรือหมอจะทำวิธีไหนก็ไม่สนแล้ว "ยังไม่อยากตาย" บอกตรง ๆ
และแล้วในที่สุดเราก็ยอมไปตรวจก้อนที่คอจนได้
....
ที่ห้องตรวจ ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หลังจากคุณหมอรับฟังอาการที่บอกเล่า และตรวจบริเวณคอทั้งสองข้างอย่างคร่าว ๆ ก็ให้ข้อสัญนิษฐานเบื้องต้นว่า เราอาจเป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจจ่ายยาให้กิน ก็ต้องไปตรวจ ก้อนเนื้อที่ว่าด้วย จากนั้นหมอก็นัดวันมาพบอีกในอาทิตย์ถัดไป
จบแล้ว ?
รึปล่าว ?
เฮ้....ยังสิ ต้องไปรอคิวเจาะคอก่อน !
ก็ในวันเดียวกันนั่นแหละ เราจำเป็นต้องไปรอคิวเข้าตรวจกับอีกแผนก
ซึ่งเป็นหมอเฉพาะทาง หู คอ จมูก ... ตื่นเต้น จนมือเย็น ไปหลายรอบ เพราะไม่รู้ว่าไอ้ที่ต้องมาตรวจคอกับเจาะเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจในแลป
เค้าทำกันยังไงหนอ ?
ทันทีที่ถึงคิวของเรา และได้เดินเข้าห้องตรวจ
ในใจก็เริ่มเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ มีคุณหมอผู้หญิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโต
พร้อมกับพยาบาล(น่าจะสองคน) ที่กำลังตระเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ กันอยู่
คุณหมอสาวสวมผ้าปิดปาก ในมาดนางพญา (ส่วนบรรยากาศห้องก็เงียบกริบ)
กำลังทำการลนอุปกรณ์บางอย่างเพื่อฆ่าเชื้อบนไฟตะเกียงแอลกอฮอล์
หนนี้หมอไม่ถามหรอกว่าคนไข้เป็นอะไรมา
เพราะอ่านจากแฟ้มข้อมูลที่ส่งมาจากห้องตรวจแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็จึงได้เริ่มตรวจคลำที่คอพอเป็นพิธีก่อน จากนั้นก็ต่อด้วยช่องปาก
"อ้าปากค่ะ" หมอเริ่มสำรวจช่องคอด้านในจากไฟฉาย และเอาสิ่งบางอย่าง มาแตะโคนลิ้นเพื่อมองให้ลึกขึ้น แต่คงมองไม่ถนัดมั้ง "คนไข้ออกเสียง อี๊ ด้วยค่ะ" หมอให้บอกให้ออกเสียง อี๊ ลากยาว ...
ระหว่างที่วัตถุก้านยาวนั่นยังคงวางกดทับตรงโคนลิ้นอยู่เนี่ยนะ ?
อะ อะ อ๊อก ... เราว่ามันจะ อ๊อก มากว่า อี๊ (ไม่เชื่อก็ลองทำดูจิ)
หลังจากผ่านการตรวจช่องคอไปอย่างทุลักทุเล (คนไข้พยายามเต็มที่แล้ว) ไคลแม็กซ์ ของเรื่องก็เริ่มขึ้น ... แท้น แท้น แท้นนนน
เมื่อได้ขึ้นไปยังเตียงตรวจ ก็มีสำลีชุปแอลกอฮอล์ป้ายนำร่องก่อน เราเหลือบไปเห็นเข็มที่หมอถือก่อนลงมือ มันไม่ใช่ขนาดเดียวกับเข็มฉีดยานะ เข็มเจาะมันโตกว่ามาก ! (จะวิ่งหนีตอนนี้ยังทันไหมเนี่ย?)
พยาบาลก็ช่วยจัดท่าวางศีรษะที่เหมาะสมให้ จากนั้นก็ทำพิธีเช็ดแอลกอฮอล์นำร่อง
ต่อมา หมอก็ลงเข็มที่ก้อนคอโดยตรง (เจ็บมาก) และควานแทง สุ่มหาเนื้อด้านใน เพื่อสูบดึงออกมาไว้ในกระบอก อยู่สองสามหน ...ไม่รู้ว่าไปโดนเส้นอะไรเข้าที่คอมั้ย
เพราะอยู่ดี ๆ ไหล่ซ้ายมันกระตุกขึ้นมาในตอนนั้นเฉยเลย คุณพยาบาลก็คอยจับมือ
จับไหล่ตลอด .... ก็ไม่ได้ร้องว่าเจ็บนะ แต่น้ำตามันดันไหลแบบกลั้นไม่ได้เลยล่ะ
เมื่อได้เจาะเอาเนื้อเยื่อตัวอย่างไปแล้ว พยาบาลก็ทำการเอาผ้าก๊อซมาปิดไว้
มันก็แค่มีเลือดซึมนิด ๆ แบบที่ไปฉีดยา, เจาะเลือด นั่นแหละ จากนั้นก็กลับบ้าน รอผลตรวจและกลับมาพบหมอในสัปดาห์ถัดไปแค่นั้น
ช่วงนั้นเราไว้ผมสั้นมาก ตรงช่วงลำคอจึงเป็นที่น่าสังเกตได้ง่าย
ก็เลยเอาผ้าก๊อซมาแปะทับ กันคนสงสัยว่าเป็นอะไรมา...เพราะอาการบวม มันเข้าขั้นน่าเกลียดแล้ว แต่อย่างน้อยก็แค่บ่ายเบี่ยงโม้ไปว่าเป็นแผลก็จบ
สองวันแรกหลังจากที่เจาะคอตรวจ ก็ดูเหมือนว่ามันจะยุบลงนิด ๆ
แม้จะยังรู้สึกเจ็บตามเดิมอยู่ หลงดีใจไปได้ไม่นาน มันก็บวมเป่งขึ้นกว่าเดิมซะอีก
ที่หนักไปกว่านั้น ผิวหนังตรงก้อนเนื้อเริ่มคล้ำและแห้งเป็นสะเก็ดเหมือนผิวที่ตายแล้ว
ในค่ำวันหนึ่ง ขณะที่เรานั่งเล่นตามปกติ อยู่ ๆ ผ้าก๊อซที่แปะพรางตาไว้ มันก็ร่วงลงพื้นเพราะมีของเหลวซึมออกมาจากคอ ... แผลแตก !
ก็ได้แต่ทำความสะอาดแผลขั้นพื้นฐานแก้ขัดไปก่อน ส่วนวันรุ่งขึ้นแน่นอนว่า ต้องไปโรงพยาบาลสถานเดียว เพราะดูทรงแล้วจะปล่อยให้แห้งเองไม่ได้
(คงไม่ต้องรอให้ถึงวันหมอนัดตรวจหรอก) คราวนี้ต้องมาล้างแผลที่แผนก ER แทน "ไปโดนอะไรมา" รอบนี้เป็นพี่บุรุษพยาบาลที่รับหน้าที่
เราเปิดรูปที่ถ่ายไว้ให้ดูตอนที่แผลมันแตกนี่แหละ พร้อมบอกอาการให้ฟัง แกบอกว่ามันเป็นลักษณะของฝี แล้วก่อนหน้านี้จะรู้สึกปวดคล้ายกลัดหนองใช่ไหม?... อืม...อาการปวดที่ผ่านมาคงต้องใช้คำนี้สินะ
จากนั้นเขาก็เตรียมอุปกรณ์ล้างแผลมาทำการรักษา แม้แผลจะแตก
แต่ขนาดก้อนที่คอมันก็ยังบวมเหมือนเดิม "ต้องกดเอาหนองออกมาก่อน ทนเจ็บหน่อยนะ" เรานั่งบนเตียงเอามือเกาะขอบไว้อย่างแน่น บุรุษพยาบาลเอาก้านไม้พันสำลี ชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดรอบนอกก่อน พอได้ที่ก็หยิบเอาก้านใหม่มากดเค้นรอบ ๆ ให้หนองมันออกมา จนแกคิดว่าน่าจะพอได้แล้ว
น้ำตาไหลแบบไม่อายแล้วตอนนั้น
ถัดมาก็ดึงคีบผ้าสีขาวที่เป็นเส้นออกให้เห็นอีก เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร..."ผ้าก๊อซแบบนี้เขาจะเอาไปใส่ไว้ในแผลลึก เพื่อซับหนองที่อยู่ด้านใน" หลังบอกสรรพคุณ เขาก็ตัดออกมายาวราว ๆ สี่นิ้ว พร้อมถาม "อยากลองใช้บ้างไหม?" เรารีบส่ายหน้าเลยว่าไม่
"ไม่อยากลองก็ต้องลองแล้วล่ะ แผลลึกขนาดนี้" เอ๊า แล้วเมื่อกี้จะถามทำม๊ายยยย
พี่บุรุษพยาบาล ค่อย ๆ เอา ก๊อซ เดรน ( gauze drain)
กดดันใส่เข้าไปในช่องแผลเรื่อย ๆ จนเต็มโพรงที่คอ
เรียกว่าเกือบหายบวมเป็นที่เรียบร้อย แต่กลายมาเป็นโพรงแผลแทน
เป็นวันที่เจ็บที่สุดในการทำแผลตอนนั้นก็ว่าได้ และนี่คือสิ่งที่เราต้องมาเจอในทุก ๆ วันค่ะ ...
ช่วงแรกของการทำแผลเจ็บอย่างบอกไม่ถูกเชียวหละ ทั้งเวลาดึงก๊อซเก่าออกมา
ป้ายแอลกอฮอล์รอบปากแผล (มันจะจี๊ด ๆ ) ต่อด้วยลงเบตาดีน แถวรอบนอกปากแผล
แล้วก็ใส่ก๊อซเดรน ยัดเข้าไปใหม่ และปิดท้ายด้วยแผ่นก๊อซที่โปะทับลงอีก
ก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ กว่าจะรู้สึกด้านชาจนไม่รู้สึกเจ็บได้เวลาทำแผลเนี่ย เราต้องรักษาแผลไปแบบนี้จนกว่ามันจะตื้นเสมอกับเนื้อที่คอถึงจะได้รับอนุญาติให้ทำเองได้
ซึ่งก็ใช้เวลายาวนานไปถึง 3 เดือนแน่ะ แต่กว่าแผลจะหายจริง ๆ ก็โน่นอีกสองเดือนให้หลัง และช่วงระหว่างนั้นก็ต้องทนลำบากหน่อยตอนอาบน้ำ เพราะต้องเลี่ยงโดนน้ำอีกด้วย
....
กลับมาที่เรื่องของการรับยารักษาต่อ ในส่วนของวัณโรคต่อมน้ำเหลืองจะไม่แพร่เชื้อติดต่อ ทางลมหายใจ และน้ำลาย เหมือนกับวัณโรคปอด ดังนั้นการใช้ชีวิตจึงไม่มีอะไรต้องระแวดระวัง จนดูผิดปกติแปลกแยก นอกเสียจากที่คอจะมีรอยปะผ้าปิดแผลโชว์อยู่
หมอจะจัดยาสำหรับวัณโรคให้เดือนละหน มันจะต้องกินต่อเนื่องไปจนถึงหกเดือน ซึ่งตัวยานั้นจำเป็นต้องกินให้ตรงกำหนดเวลา ใน 24 ชั่วโมงด้วยนะ
เช่น หากเริ่มกินครั้งแรกตอนช่วง หนึ่งทุ่ม วันถัดไปก็ต้องกินในเวลาเดียวกันด้วย
หากเกินจากนั้นอาจส่งผลให้เกิดอาการดื้อยา และการรักษาจะไม่ต่อเนื่อง
ถ้าแย่ถึงขั้นนั้นคงต้องเริ่มต้นกลับมารับยากันใหม่ (จากเดิมหกเดือน...ก็คงลากยาวไปอีก)
ยาชุดแรกที่ได้มากิน ก็ตกอยู่ประมาณ 11 เม็ดได้ ...เยอะโคตร
แต่หลังจากนั้นก็มีการปรับลดตัวยาไปตามสูตร ซึ่งการนัดตรวจก็ต้องมาให้สม่ำเสมอทุกเดือน
เรื่องป่วยครั้งนี้คงต้องเรียกว่าน่าจะหนักหนาที่สุดแล้วในชีวิต
อ้อ ...แต่ที่ดีไปกว่านั้น ตุ่มที่ขึ้นตรงคออีกข้างมันก็ยุบหายไปนะ เลยไม่ต้องมารอลุ้นว่า มันจะสำแดงฤทธิ์เดชอะไรอีก ก็เหลือแค่รอยบากตรงคอที่ยังคงเป็นแผลเป็นให้เห็นอยู่
และบางทีเราก็ใช้แกล้งอำคนอื่น ๆ ได้ด้วย :)
มีอยู่หนหนึ่ง ตอนที่ได้ไปเที่ยวประเทศลาวกับกลุ่มเพื่อน
พวกเราได้ร่วมตั้งวงปูเสื่อกินข้าวกับเหล่าคนท้องถิ่นที่โน่น (ซึ่งรู้จักกันอยู่แล้ว)
ขณะที่รอกับข้าวส่งมา พวกเด็กที่นั่งล้อมด้านข้างดันเหลือบมาเห็นรอยแผลที่ว่าเข้า
คงเพราะวันนั้นมันร้อน ก็เลยรวบผมขึ้นด้วยล่ะ
"คอเจ้าเป็นหยัง?"
พอน้องชาวลาวคนหนึ่งถามขึ้น ...
ก็กลายเป็นเรื่องที่ดึงความสนใจให้คนข้าง ๆ พากันจ้องมองที่คอเรา คนที่นี่เขาพูดไทยได้นะ แต่บางทีก็ใช้ภาษาปน ๆ กันเพื่อให้เราเข้าใจ
"ข้อย โดน ปืนยิง"
"เย้ยยย ...."
แล้วพวกเขา ก็พากันร้องและสะดุ้งพร้อมกันยังกับนัดไว้
จบเพียงเท่านี้ละเนอะ ไม่มีตอนต่อไปแล้วนะคะ ก็หวังอย่างมากว่าคงจะไม่เจอมหากาพย์การรักษาแบบ non-stop เช่นนี้อีก
ก็แหม....บรรยากาศที่โรงพยาบาล
มันไม่บันเทิงเหมือนซีรีย์ scrubs ซะหน่อย !
VIDEO
Create Date : 21 กรกฎาคม 2560
Last Update : 22 กรกฎาคม 2560 10:16:37 น.
18 comments
Counter : 2557 Pageviews.
โดนยิง ได้ยินแบบนี้ก็ช็อคเหมือนกันนะครับ