เรื่องป่วย ๆ - Bell's Palsy
ชื่อของ 'Bell's Palsy' เคยปรากฏเข้ามาในชีวิตของเราหนหนึ่ง ที่จริงก็เกือบลืมมันไปแล้ว เพราะเป็นชื่อโรคที่เรียกเป็นภาษาต่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่ติดอยู่ในความทรงจำเล็ก ๆ ก็คือคำว่า 'เบล' ... นี่แหละ
เรากลับมาได้ยิน คำ ๆ นี้อีกครั้ง ในยุคของการจับผิด เมื่อมี ดารา นักแสดง หรือคนดัง หลายคน เกิดมีอาการขยับหน้าไม่ได้ชั่วขณะ ยิ้มแข็ง ๆ ปากเบี้ยวนิด ๆ จนมองว่าไปทำอะไรมา ? จะด้วย Botox หรือ การฉีด ดึง เย็บ จนผิดรูป หรือจะอะไรก็แล้วแต่ มีแค่สิ่งเดียวที่เราสนใจฟัง
นั่นก็คืออาการที่ว่านั่นไงล่ะ ... ในที่สุดก็เจอชื่อเต็ม ๆ ของมันแล้ว !!!
เพราะเรื่องนี้มันก็หลายปีมากแล้ว ซึ่งขณะนั้นก็เป็นช่วง ม.ต้น ฟังดูก็ช่างผ่านไปนานแสนนาน จนอาจจจะต้องขึ้นย่อหน้าแรกว่า กาลครั้งหนึ่งซะดีมั้ยเนี่ย ?
....
ในทุก ๆ วันก่อนไปโรงเรียน เราก็จะต้องมานั่งกินมื้อเช้าก่อนออกเดินทาง แต่วันนั้นมันดูเหมือนมีอะไรผิดแปลกไปหน่อย นอกเหนือจากอาการเจ็บหูด้านขวา มีตุ่มเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นเป็นอยู่กลุ่มหนึ่ง จะว่ามันคล้ายกับผดก็หรือไม่ใช่ผื่นก็ไม่เชิง ได้แต่เอามือไปแตะคลำดู ถึงที่มาของอาการปวด ว่ามีต้นเหตุเป็นยังไง ในบางครั้งมันก็ปวดหนัก คล้ายกับว่ามีเข็มหลายเล่มมาทิ่มแทงเป็นระยะ ๆ
เราคิดว่าอาการนี้คงเป็นชั่วคราว ประมาณว่าคงไปเจอแมลงกัดต่อยตอนไม่รู้ตัว เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก ... และนอกเหนือไปจากอาการเจ็บที่ช่องหู ก็ยังมีเรื่องบางอย่างที่ผิดปกติบนใบหน้าอีก รู้สึกว่าซีกหน้าฝั่งซ้ายมันไม่เหมือนเดิม เหมือนจะชา หรือ หนัก อย่างบอกไม่ถูก รู้สึกไม่ปกติเวลาพูดคุยขยับปากลำบาก กระทั่งตอนเคี้ยวอาหารก็ด้วย ชักเริ่มไม่แน่ใจซะแล้วสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองอาการนี้มันจะเกี่ยวข้องกันไหมเนี่ย?
ในที่สุด ปริศนาเรื่องนี้มันก็จำเป็นต้องถูกเฉลย เมื่อเราดื่มน้ำจากแก้ว ดันมีน้ำหกไหลออกมา จากมุมปากข้างซ้าย หยดติ๋ง ๆ ครั้งแรก ยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ... พอลองยกดื่มอีกรอบน้ำก็ยังหกไหลออกมาอีกเหมือนเดิม กล้ามเนื้อที่มุมปาก เหมือนจะควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ได้ นี่คงเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่บอกถึงอาการไม่ปกติบนใบหน้าให้ได้รู้แล้วสินะ
อ้อ ...ก็อย่างที่บอกไปเบื้องต้น ในตอนนั้นยังไม่มีการมานั่งเคาะหาข้อมูล เพื่อวิเคราะห์กันเองตามอินเตอร์เน็ตแบบปัจจุบันนะคะ
แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่จะรื้อค้นมาอ่านมาทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
คงมีแค่ตัวเลือกเดียว นั่นคือ ไปรับการตรวจเพื่อรักษาเถอะ !
เราจึงได้ไปหาหมอเพื่อตรวจวันนั้นเลย ( แน่นอนสิ ว่าขาดเรียนลาป่วยไปหนึ่งวัน ^^" )
เมื่อตรวจก็พบว่าอาการปวดจี๊ดที่ช่องหูด้านขวา มีสาเหตมาจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ชื่อที่หมอพูดมาก็ช่างแสนจะจำยากซะไม่มี แต่ก็ยังมีศัพท์บ้าน ๆ ให้รู้ว่ามันก็คือ 'งูสวัด'
ส่วนเรื่องอาการหน้าชา กล้ามเนื้อปากควบคุมไม่ได้เนี่ย มันเป็นผลมาจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 มีปัญหา โดยเจ้าเชื้อไวรัสฯ ที่มาโผล่บนหู อาจเล่นงานเข้าให้
หมอบอกว่า อาการโรคดังกล่าว เรียกว่า Bell's Palsy มีน้อยคนที่จะเป็น และยังไม่มีชื่อเรียกเฉพาะเป็นภาษาไทยให้ได้จำกันง่าย ๆ หมอบอกว่าไม่ต้องตกใจนะ มันไม่หนักขนาดนั้น รักษาให้หายได้ และไม่ใช่อาการถาวร ....
ในบางคนก็อาจหาต้นเหตุไม่เจอว่าเกิดจากอะไรกัน (ส่วนกรณีของเราอาจคาดว่าน่าจะเป็นเพราะติดเชื้อจากไวรัสงูสวัด) ซึ่งผลของมันก็ไม่ได้ร้ายแรงนัก เพราะมาหาหมอตั้งแต่ระยะแรก คงต้องรอดูผลการรักษาหลังจ่ายยาไปอีกหนึ่งอาทิตย์ว่าดีขึ้นหรือปล่าว หากไม่อย่างงั้นคงต้องใช้ไฟฟ้าช่วยกระตุ้น
อื้อหือ .... ฟังแล้วก็ถึงกับสะดุ้ง
หนูสัญญาว่าจะกินยาจนครบนะคะ คุณหมอ !!!
แต่... เจ้าตัวยาที่ได้มากินนั้น ก็เม็ดโต น้อง ๆ ยาลูกกลอน จัดยาเยอะเป็นกอบเป็นกำ และกินก่อนอาหารด้วย เรียกได้ว่ากว่าจะได้กินข้าวต่อ ก็อิ่มยาไปก่อนแล้ว
ส่วนอาการที่ช่องหู ก็ได้ยาทาภายนอกมาทา จะว่าไปแล้วเวลามีใครเผลอเอามือไปปัดโดนเบา ๆ มันจะก็ปวดพอตัวอยู่แล้ว ประมาณว่าโดนเข็มแทง จี๊ด ๆ พอมาถูกล้างด้วยน้ำอุ่น เช็ดให้แห้ง ก่อนลงยาป้าย ด้วยฝ่ามือของมารดาแล้ว ยิ่งหนักเข้าไปอีก
ช่างเจ็บปวดสิ้นดี !
น้ำตาไหลพราก ปานสำออย กระซิก...กระซิก
ก็ไม่รู้ว่าคนที่เป็นงูสวัดตามตัว มันจะทรมานขนาดไหนกันนะ
....
หลังจากพบหมอ และกินยารักษา ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ระหว่างที่ใช้ชีวิตตามปกติที่โรงเรียน ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเรามีอาการนี้ เราพยายามพูดน้อย และไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก คงจะเป็นช่วงที่เปลี่ยนบุคลิกให้ดู หน้านิ่ง ๆ ไม่หือไม่อือ ไม่ยิ้มแย้ม คล้ายกับคนไร้อารมณ์ที่สุดแล้วล่ะมั้ง
เพราะปากมันจะเบี้ยว จนเห็นได้ชัดเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนยิ้ม หัวเราะ กระทั่งยามหาว องศาของการเปิดปาก มันจะเฉไปทางขวาอย่างเดียว ซึ่งการจะหัวเราะในแต่ละทีนั้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ แบบว่า เฮ้ย... มันขำหนักมากจนอดไม่ไหวเนี่ย ก็ช่างลำบากเหลือเกิน ...เก็กไม่ได้ซะด้วยสิ เลยแกล้งทำเป็นว่าเราสุภาพมาก ๆ เข้าไว้ เอามือปิดปากค่ะ
เวลาดื่มน้ำ ... สำคัญมาก อย่าเผลอยกแก้วเชียว เกรงว่าความจะแตกก็ตอนดื่มน้ำนี่แหละ ! ต้องใช้หลอดดูดสถานเดียว โดยต้องพยายามดูดหลอดจากมุมปากด้านขวาเท่านั้น
มันเป็นช่วงเวลาที่แย่นะ เพราะขยับหรือควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าซีกซ้ายไม่ได้จริง ๆ ไม่ว่าจะพยายามยังไง ให้ฝืนขยับยังไงมันก็ไม่ไปตามใจคิด เกือบหนึ่งอาทิตย์กว่า ๆ ที่ต้องมาเป็นแบบนี้ กลัวโดนล้อเหมือนกัน ถ้าเกิดมีใครรู้เข้า
ในปัจจุบันมีข้อมูลบันทึกเกี่ยวกับโรคนี้เยอะแล้ว แค่พิมพ์ชื่อ และกดหา ใน google ก็จะเห็นมันขึ้นแสดงมาให้เลือกอ่านตามที่ต่าง ๆ มากมาย จากที่ได้หวนกลับมาอ่านอีกครั้ง เพราะอยากรู้ว่ามีใครเคยเป็นอย่างเราบ้างไหม โรคแปลก ๆ ที่ครั้งหนึ่งอาจมีน้อยคนที่ได้รู้จัก ก็น่าตกใจนะ ที่บางรายอาจมีอาการหนักกว่าที่เราเขียนเล่ามา อย่างเช่น ปิดตาได้ไม่สนิท, มุมปากตก กระทั่งมีน้ำลายไหลตรงมุมปากในซีกที่ขยับไม่ได้ ฯลฯ
การป่วยหนนั้น เราทนกินยาไปเรื่อยจนครบ (และอิ่มตื้อ) กลับไปตรวจอาการตามที่หมอนัด กว่าจะเป็นปกติ 100 % ก็นานถึงสองอาทิตย์ หมอบอกว่า ที่หายเร็วเพราะรีบมาตรวจ และนี่ก็คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด คือเมื่อมีอาการอะไรผิดปกติ ก็ควรไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ
นี่ก็คงเป็นเรื่องเล่าของวันป่วย ๆ ที่เคยได้เจอ ซึ่งมันก็ผ่านมานานเสียจนเราเองก็จำไม่ได้ว่า ระหว่าง ตุ่มใสที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่หู กับ อาการหน้าไม่ขยับซีกเดียว อาการไหนมันลาหายไปก่อนกัน
ก็หวังว่าคงจะไม่กลับมาพบกันใหม่นะคะ ทั้ง น้องงูฯ และ น้อง Bell's ...
Create Date : 15 กรกฎาคม 2560 |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2560 20:34:33 น. |
|
16 comments
|
Counter : 2137 Pageviews. |
 |
|
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Diarist ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
...............
ใช้เวลาอ่านนานมากๆเพราะว่า กำลังฟังพระเทศน์ออนไลน์เรื่องสุรา ฟังแล้วก็สนุกมากๆ
ส่วนเรื่องนี้ก็อยากรู้ เลยต้องทนอ่านไปที่ล่ะช้าๆฮ่าๆ ....
โอ้..งูสวัสนี้ทำให้ใบหน้าเบี้ยว ไวรัสมันแรงขนาดนี้เลยหรือ...
แต่ก็รักษาหาย เพียง2 สัปดาห์ เก่งมากๆครับ...
.............
งูสวัสนี้ สาเหตุมาจากอะไรครับ... เดี๋ยวต้องไปหาข้อมูลดู... แต่โรคทุกชนิดเกิดเพราะร่างกายบกพร่อง หรืออ่อนแอ อะครับ