|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
29 กรกฏาคม 2552
|
|
|
|
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 (3)
วัคซีนเชื้อเป็น แล้วมันจะปลอดภัยไหม ?
เมื่อวันพุธก่อนดูทีวีเรื่องความคืบหน้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยช่อง 11 ได้เชิญ นพ. วิชัย โชควิวัฒน์ ประธาน อภ. มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ว่าเชื้อของรัสเซียนั้น คือ สายพันธุ์เลนินกราด 17 ก็เลยไปลองค้นข้อมูลมาคุยกันต่อ
ชื่อเต็มของไวรัสตัวนี้คือ Influenza A virus (strain A/Leningrad/134/1957 H2N2) เห็นได้ว่ามันเป็น H2N2 ซึ่งไม่ใช่ H1H1 อย่างสายพันธุ์ Mexico แล้วมันจะสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างไร ?
เราคงต้องเข้าใจไวรัสตัวนี้ซะก่อน 1957 คือปีทีมันถูกค้นพบ เลนินกราดคือชื่อเมืองที่มันระบาด รัสเซียเลือกใช้มันเป็นไวรัสต้นแบบ 17 คือจำนวนครั้งของกระบวนการผ่านไข่ฟัก โดยลดอุณหภุมิลงเป็นช่วงๆ เพื่อให้เชื้อนี้เจริญเติบโตได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 37 องศาเซลเซียส และเป็นหนึ่งในขั้นตอนการลดความรุนแรงของเชื้อที่ก่อโรคจากธรรมชาติ
เมื่อเวลาถูกฉีดพ่นเข้าโพรงจมูก ไวรัสจะอาศัยอยู่ได้ในระบบทางเดินหายใจส่วนต้น เมื่อลงไปลึกกว่านั้นอุณหภูมิที่สูงในร่างกายจะฆ่ามันเพื่อป้องกันการกลับมาก่อโรค ลองจินตนาการว่าไวรัสตือลูกบอลกลมที่มีหนามอยู่ล้อมรอบ ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ไม่ได้แยกแยะไวรัสจากลักษณะรูปทรงกลม เพราะไวรัสมันก็คงเหมือนกันไปหมด แต่ระบบภูมิคุ้มกันจะแยกแยะไวรัส จากหนามที่อยู่ล้อมรอบ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ย่อมไม่เหมือนกัน
สิ่งที่เราต้องการคือเอาสายพันธุกรรม ที่เป็นตัวสร้างหนามของ H1N1 ไปใส่ในไวรัสทีเรารู้ว่ามันปลอดภัย และสามารถเติบโตได้ดีในไข่ฟัก คือ H2N2 leningard 17 นั่นเอง ฉนั้นหากมีใครบอกคุณว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่คือการนำไวรัสตามธรรมชาติ ที่ระบาดในขณะนี้มาทำให้อ่อนแอลง แล้วใส่ไข่ฟักเพื่อผลิตเป็นวัคซีน
นั่นคือคำพูดที่ผิด เพราะเราไม่ได้นำไวรัส H1N1 2009 ทั้งตัวที่มีโอกาสกลับมาก่อโรคได้มาใช้ เราใช้เพียงรหัสพันธุกรรมส่วนที่สร้างหนาม เพื่อมากระตุ้นภูมิคุ้มกันเท่านั้นเอง
ทำไมผู้ผลิตจึงไม่กล้ารับรองความปลอดภัยของวัคซีน
ไม่รู้ว่าเมืองไทยจะพูดเช่นนั้นหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ฝรั่งเศสประกาศอย่างแน่ชัด
เพราะในทางสถิติ เรารู้ว่าการทดลองในคนจำนวนยิ่งมากเท่าใด จะยิ่งทำให้เราทราบค่าเฉลี่ยที่น่าเชื่อถือได้ในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งผู้ผลิตจะนำข้อมูลนี้ไปอ้างอิงในการขึ้นทะเบียน หน่วยงานของรัฐก็จะประเมินว่า วัคซีนตัวนี้มีประสิทธิภาพต่อความปลอดภัยมากเพียงใด
ซึ่งหากครบขั้นตอน จะมีการทดสอบในประชากรเรือนหมื่น ซึ่งประเมินได้ว่าหากนำไปใช้จริงจะมีคนอาจจะมีปัญหามากน้อยเพียงใด เช่น การบวมแดง ปวดหัว เป็นต้น แต่เมื่อทดสอบในตัวอย่างขนาดเล็ก ตัวเลขพวกนี้จึงไม่น่าเชื่อถือ เมื่อนำไปใช้จริงผู้ผลิตจึงไม่อาจคาดเดาผลได้
และอีกเหตุผลก็คือ การหาตัวเลขการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นน้อยราย เช่นอาจป่วยจนถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย หากทดสอบในกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก ผู้ผลิตจะไม่อาจบอกตัวเลขของการแพ้ที่พบได้น้อยเช่นนี้ได้
แต่เมื่อไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นเรื่องเร่งด่วน และมีเวลาที่จำกัดเพื่อเร่งการนำวัคซีนออกมาใช้ ผู้ผลิตก็จะยอมนำออกมาขายให้ แต่ไม่สามารถรับรองความปลอดภัยให้กับเรา
แต่การทดสอบในมนุษย์ ไม่ใช้ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการ ทุกประเทศจะมีระบบการเฝ้าระวังผลข้างเคียงหลังการใช้ หากเกิดปัญหาเมื่อฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเมื่อใด ผู้ใช้จะต้องรายงานเหตุการณ์ให้หน่วยงานของรัฐทราบโดยทันที
หากปัญหานั้นเกิดจากวัคซีนจริงๆ ก็จะมีการเก็บออกจากท้องตลาด หรือกรณีร้ายแรงอาจมีการประกาศถอนทะเบียน จะเห็นได้ว่าการควบคุม กำกับดูแลการใช้วัคซีนนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน นั่นเพราะมันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาจากสิ่งมีชีวิต
เมื่อคิดว่าเพื่อเป็นการควบคุมการระบาดของโรคนี้ หนทางเดียวที่มีก็คือการนำวัคซีนนี้มาฉีดให้กับประชาชนทั่วประเทศ รัฐบาลควรตะหนักให้ดีว่า วันนี้ท่านได้ให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ประชาชนหรือยัง
เพราะการฉีดวัคซีนให้กับคน 60 ล้าน โดยที่ทุกคนไม่รู้อะไร มันอาจสร้างความสับสนและข่าวลือ ที่มากมายอย่างที่เราไม่เคยพบมาก่อนก็เป็นได้
Create Date : 29 กรกฎาคม 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 9:59:28 น. |
Counter : 1086 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: VET53 29 กรกฎาคม 2552 20:59:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: ยูกะ (YUCCA ) 3 สิงหาคม 2552 13:04:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: VET53 6 สิงหาคม 2552 20:07:44 น. |
|
|
|
| |
|
|
ผู้ชายในสายลมหนาว |
|
|
|
|