ถึงจะเป็นวันหยุดแต่ก็ตื่นเช้าเหมือนปกติ...5555....เป็นคนลุกรี้ลุกลนชีวิตแบบนี้เป็นปกติ...วันนี้เป็นวันพระใหญ่เป็นวันสำคัญทางศาสนาของคนไทย เป็นวัน่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จปิรินิพพาน และมีหลักธรรมอันเกี่ยวเนื่องจากการประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จปิรินิพพาน คือ ความกตัญญู อริยสัจ 4 และความไม่ประมาท
1.ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ก่อนเป็นเป็นคุณธรรมคู่กับ ความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการะคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น
ผู้ที่ทำอุปการคุณก่อนเรียกว่า บุพการี ขอยกมากล่าวในที่นี้คือ บิดามารดาและครูบาอาจารย์
บิดามารดา มีอุปการคุณแก่บุตร ธิดา ในฐานะเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้ละเว้นต่อความชั่ว มั่นคงในการทำความดี เมื่อถึงคราวที่มีคู่ครองที่เหมาะสมให้และมอบทรัพย์สมบัติให้ไว้เป็นมรดก
บุตร ธิดา เมื่อรู้อุปการะคุณที่มีบิดามารดาทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการประพฤติตัวดี สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่านและช่วยทำงานของท่าน และเมื่อล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน
ครูอาจารย์ มีอุปการคุณแก่ศิษย์ในฐานะเป็นผู้ประสาทความรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดีสอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบัง ยกย่องให้ปรากฏแก่คนอื่นและช่วยคุ้มครองศิษย์ทั้งหลาย
ศิษย์เมื่อรู้อุปการคุณที่ครูอาจารย์ทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการตั้งใจเรียน ให้เกียรติ และให้ความเคารพล่วงละเมิดโอวาทของครู
ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ถือว่าเป็นเครื่องหมายของคนดี ส่งผลทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุขได้
เฉพาะบิดามารดาจะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำอุปการคุณให้ก่อน และบุตร ธิดา ก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำดีตอบแทน
สำหรับครูอาจารย์ก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำอุปการคุณสอนศิลปวิทยาอย่างเต็มที่และศิษย์ก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการตั้งใจเรียน และให้ความเคารพเป็นการตอบแทน
นอกจากจะใช้ในกรณีของบิดามารดากับบุตร ธิดาและครูอาจารย์กับศิษย์แล้ว คุณธรรมข้อนี้ก็คือความสามารถนำไปใช้ได้แม้ระหว่าง พระมหากษัตริย์กับพสกนิกร นายจ้างกับลูกจ้าง เพื่อนกับเพื่อนและบุคคลทั่วไป รวมทั้งมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธจ้าทรงเป็นบุพการีในฐานะที่ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนาและทรงสอนทางพ้นทุกข์ให้แก่เวไนยสัตว์ พุทธศาสนิกชน รู้พระคุณอันนี้ จึงตอบแทนด้วยอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา กล่าวคือการจัดกิจกรรมในวันวิสาขบูชา เป็นส่วนหนึ่งที่ชาวพุทธแสดงออก ซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ ด้วยการทำนุบำรุง ส่งเสริม พระพุทธศาสนา และประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อดำรงอายุพระพุทธศาสนาสืบไป
2.อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ หมายถึง ความจริงที่ไม่แปร เกิดมิได้แก่ทุกข์คนมี 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิตพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า มนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกันทั้งทุกข์ขั้นพื้นฐานและทุกข์เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
ทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ ทุกข์ที่เกิดจากการเกิดการแก่ และการตาย
ทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวันวัน คือทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งที่รักทุกข์ที่เกิดจจากการประสบกับสิ่ที่ไม่เป็นที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากการไม่ได้ตามใจปราถนารวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ
สมุทัย คือ เหตุแห่งปัญหา พระพุทธจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ทั้งหมด ซึ่งเป็นปัญหาของชีวิตล้วนมีเหตุให้เกิด เหตุนั้น คือ ตัณหา อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆซึ่งประกอบไปด้วยความยึดมั่น
นิโรธ คือ การแก้ปัญหาได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิตทั้งหมดนั้นแก้ไขได้ โดยการดับตัณหา คือ ความอยากให้หมดสิ้น
มรรค คือ ทางหรือวิธีการแก้ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์คือปัญหาของชีวิตทั้งหมดที่สามารถแก้ไขได้นั้น ต้องแก้ไขตามมรรคมี 8 องค์
3.ความไม่ประมาท คือ การมีสติทั้งขณะทำ ขณะพูดและขณะคิด
สติ คือ การละลึกรู้ทัน ที่คิด พูดและทำ ในภาคปฏิบัติเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หมายถึงการระลึกรู้ทันการเคลื่อนไหว อิริยาบถ 4 คือ เดิน ยืน นั่ง นอน
การฝึกให้เกิดสติ ทำได้โดยตั้งสติกำหนดการเคลื่อนไหวอิริยาบถ กล่าวคือ ระลึกรู้ทัน ทั้งขณะ ยืน เดิน นั่งและนอน รวมทั้งระลึกรู้ทันในขณะพูดขณะคิด และขณะทำงานต่างๆ
ยังไงชาวพุทธทุกคนอย่าลืมไปทำบุญ เวียนเทียนกันที่วัดนะคะ แต่ถ้าหากใครติดภาระกิจไม่ว่าง หรือไม่มีโอกาสไปก็ระลึกสงบจิตสงบใจนึกถึงพระคุณพระพุทธองค์ และปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ โดยตั้งใจทำดี คิดดี ด้วยการหมั่นภาวนา สวดมนต์อยู่ที่บ้าน หรือที่ไหนก็ได้ค่ะที่มีโอกาสทำได้อย่างน้อยรักษาศิล 5 สักวันก็ยังดีค่ะ
เมื่อวานไปอ่านบล๊อกคุณอิ่ม เรื่องการโดยสารโดยรถไฟ แล้วขำตัวเองที่เคยเดินทางไป ช.ม โดยรถไฟด่วนพิเศษแล้วตกรถไฟ (ขึ้นไม่ทันขบวนรถ) ที่ต้องขึ้นที่หัวลำโพง ทั้งที่ไปถึงก่อนเวลาเกือบชั่วโมงได้ แต่ด้วยดูเวลาในตั๋วไม่รอบคอบ คือพี่ที่ทำงานด้วยกันเค้าไปจองตั๋วที่สถานีสามเสน เค้าก็ลงเวลาที่สถานีสามเสนที่ห่างจากสถานีหัวลำโพงสิบห้านาที ก็เลยยึดเวลาที่หน้าตั๋วซึ่งเป็นของสถานีสามเสน ก็เดินโอ้เอ้อวดสวย เดินไปเดินมาแถวชานชาลาสถานีนั่นล่ะ เดินไปซื้อโน่นซื้อนี่เผื่อพี่ๆ ที่ไปด้วย คิดว่ารถยังไม่ออกกะว่าขึ้นรถไฟก่อนรถออกสัก สิบถึงสิบห้านาทีก็คงทันล่ะ...แต่ไหนได้...หันกลับมาอีกทีขบวนรถไพเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีโดยมีตัวเองและกระเป๋ายังเดินโต๋เต๋อยู่บนชานชาลา...ตอนนี้ล่ะรีบจ้ำอ้าววิ่งไปที่ชานชาลาขบวนรถไฟไป ช.ม ถามคนโบกธงเขียวขณะนั้นว่ารถที่ออกไป ช.ม ใช่ป่ะคะ เค้าบอกครับ คราวนี้จ๋อยเลยค่ะ...บอกเค้าว่า อ่าว...ยังไม่ได้ขึ้นเลยค่ะ...(หน้าตื่น) และคงมีเหตุแบบนี้มานักต่อนักแล้ว คนโบกธงบอก...รีบเดินไปทางโน้นเลยครับจะมีมอเตอร์ไซด์รับจ้างพาไปสถานีสามเสนสถานีหน้าน่าจะทัน รีบไปเลยครับว่าแล้วเค้าก็ให้เจ้าหน้าที่อีกคนช่วยแบกกระเป๋าเดินทางวิ่งนำไปที่มอเตอร์ไซด์ ไปถึงไม่ต้องพูดพล่ามอะไรกันมาก (เหมือนเค้ารู้) เค้าบอกว่าสามร้อยครับรับประกันได้ขึ้นรถไฟขบวนนี้แน่นอน ถ้าไม่ทันสถานีสามเสนก็จะพาไปบางซื่อ จนถึงสถานีดอนเมืองและถ้าไม่ทันอีกเค้าก็จะไม่เอาเงินจากเรา..แหนะ..มีรับประกันความเสี่ยงด้วยแฮะค่ะ....55555....
ผลหัวกระเจิงค่ะ..เค้าซิ่ง..ไปตามทางลัด ลัดไปลัดมา..เห็นขบวนรถจอดที่สถานีสามเสนพอดี แต่เรายังอยู่นอกชานชาลาค่ะ...เอาล่ะสิ...ทำไงดี...แต่มอเตอร์ไซด์เค้ามืออาชีพจริงๆ ค่ะ เค้าคว้ากระเป๋าได้แล้วเค้าก็วิ่งนำหน้าบอกให้เราวิ่งตาม ปากก็บอกว่าวิ่งตามมาครับเดี๋ยวผมไปบอกคนโบกธงให้รอครับ...55555.... เค้าทำตามนั้นจริงๆ ด้วย คนโบกธงกำลังจะเปลี่ยนเป็นธงแดง เค้าก็ยังไม่เปลี่ยน คนขี่มอเตอร์ไซด์ก็ตะโกนบอกรอผู้โดยสารตกรถด้วยครับ......ส่วนเราเหรอโกยหน้าตั้งสิคะ.....ไปหอบแฮกๆ บนรถไฟ......แล้วค่อยเดินไปหาที่นั่ง...อ่อ...ทันจ่ายคนขี่มอเตอร์ไซด์ไปสามร้อยค่ะ...เดี๋ยวจะหาว่าทำมั่ว รีบแล้วไม่จ่าย...5555...ผลเที่ยวนั้นจ่ายค่ารถแพงที่สุดในชีวิตค่ะ...เบี้ยเลี้ยงที่ได้ยังไม่พอกับค่ามอเตอร์ไซด์เลยค่ะ...แถมขึ้นไปบนรถโดนหัวหน้าและพี่ๆ ที่ไปด้วยกันบ่นอีกว่า...นึกว่าไม่มาแล้ว นี่ถ้าไม่มาเธอต้องทำเรื่องชี้แจงเลยนะ หรือไม่ก็ต้องหาทางไป ช.ม ให้ทันเพื่อไปเจอกันที่โน่นให้ได้ (ก็คิดไม่ออกค่ะว่าจะไปทางไหนที่จะทันนอกจากรถทัวร์ซึ่งตอนนั้นหน้าเทศกาลรถเต็มหมด จะโดยสารโดยเครื่องบินก็คงไปไม่ได้ เพราะถ้าไปต้องจ่ายตังค์เองหน่วยงานไม่ออกให้เพราะไม่ได้ทำเรื่องไว้ว่าจะไปเครื่องบิน อีกอย่างแจ้งไว้ว่าไปโดยรถไฟ...ทุกวันนี้พอใครพูดถึงรถไฟทีไรก็นึกถึงเรื้องราวเฉิ่มๆ ของตัวเองตลอดค่ะ...ไม่ใช่ว่าไม่เคยเดินทางโดยรถไฟนะคะ ใช้บริการรถไฟมาตั้งแต่จำความได้เลยล่ะ เพราะเติบโตที่ต่างจังหวัด...และเรื่องนี้พูดกันไม่เลิกทุกครั้งที่มีการเดินทาง...5555...