ทุกๆ เช้าต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อออกให้ทันเวลาก่อนรถติด...แต่อย่างนั้นยังไม่วายต้องผจญรถติดตลอดในทุกๆ วัน เบื่อการเดินทางโดยทางรถยนต์เป็นอย่างมาก จะอาศัยบริการรถไฟฟ้า หรือ รถใต้ดินก็ไม่มี หรือ มีไม่ถึง จะไปรถเมล์ก็ไม่ไหว ตอนนี้โรคภัยไข้เจ็บก็ระบาดหนัก คนก็แน่นแย่งกันขึ้นกันลง รถตู้ก็ไม่มีเพราะเส้นทางบ้านเป็นช่วงระหว่างกลางที่รถตู้วิ่งผ่านจะไม่มีการแวะรับผู้โดยสารอีก..อีกทางคือ แท๊กซี่ ก็ไม่ได้อีกเพราะแพง และรถติดเช่นเดียวกับเอารถไป...ทุกวันนี้ได้แต่เบื่อๆ บ่นๆ เบื่อๆ กะการเดินทาง...ภาพแรกเป็นภาพระหว่างรถติดในตอนเช้า เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโต สาดแสงแรงจ้าสีแดงดีก็เลย แชะๆ มาซะหน่อยแก้เซ็งค่ะ...

ทางเลือกในการเดินทางคน กทม. มีหลายเส้นทางมากๆ แล้วแต่ใครจะเลือก เมื่อก่อนรถเมล์จะเป็นหัวใจหลักของทุกชนชั้น แต่ปัจจุบัน รถเมล์กลับไม่ใช่ทางเลือกที่ใครๆ คิดจะเลือกเดินทาง เพราะรถติดไปทั่วทุกหนแห่ง เมื่อก่อนเคยใช้บริการ รถเมล์ของ ขสมก.แต่ปัจจุบันถ้าไม่เอารถไปเองก็ไม่ขอเลือกบริการรถเมล์เด็ดขาด ยกเว้นแถวนั้นไม่มีทางเลือกอื่นให้ไป ก็จำใจต้องใช้บริการรถเมล์ ทางเลือกในการเดินทางนอกจากรถเมล์แล้วปัจจุบันนี้ยังมี รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน รถตู้ รถป๊อกเล็กหรือที่เรียกกันว่ารถซูบารุ นอกนั้นก็เป็นรถแท๊กซี่ และรถสองตุ๊ก รถสุดท้าย คือ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง แต่สิ่งที่มีมานานแล้วแต่หลายๆ คนอาจไม่เคยรู้ คือ เรือด่วนเจ้าพระยาที่วิ่งจากท่าวัดสิงขร ราษฎร์บูรณะ ไปท่าน้ำนนท์ จ.นนทบุรี ตรงศาลากลางจังหวัดนนทบุรีเก่านั่นล่ะ....

เส้นทางการเดินเรือที่เรือด่วนเจ้าพระยามีไว้บริการ คือ

เรือด่วนประจำทาง (ไม่มีธง) ให้บริการในเส้นทางนนทบุรี-วัดราชสิงขร โดยจอดรับ-ส่งทุกท่าเรือ ทั้ง 34 ท่า วันจันทร์-ศุกร์

เรือด่วนพิเศษ ธงส้ม ให้บริการในเส้นทางนนทบุรี-วัดราชสิงขร โดยจอดรับ-ส่ง 20 ท่า ให้บริการทุกวัน

เรือด่วนพิเศษ ธงเหลือง ให้บริการในเส้นทางนนทบุรี-สาทร-ราษฎร์บูรณะ โดยจอดรับ-ส่ง 10 ท่า ให้บริการวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงเช้า และเย็น

เรือด่วนพิเศษ ธงฟ้า ให้บริการโดยจอดรับ-ส่งผู้โดยสารเพียง 3 ท่าเท่านั้น ได้แก่ท่าน้ำนนทบุรี-ท่าวังหลัง และท่าสาทร

เรือด่วนพิเศษ ธงเขียวเหลือง ให้บริการในเส้นทางปากเกร็ด-นนทบุรี-สาทร โดยจอดรับ-ส่ง 12

ในวันว่างๆ ถ้าใครมีโอกาสลองลงเรือด่วนเจ้าพระยาเที่ยวทางน้ำดูบ้างนะคะ บรรยากาศริมน้ำตอนกลางวันดูแล้วเพลินตาดี ลมก็เย็น แต่ช่วงบ่ายๆ ต้องนั่งให้ถูกทิศทางหน่อยว่าแสงตะวันมาทางไหน ไม่งั้นแดดเผาจนนั่งไม่ติดที่ค่ะ...55555....สองฝั่งจะเห็นบ้านเรือนริมน้ำเต็มไปหมด เก่าบ้างใหม่บ้าง วันนี้ไม่ได้ถ่ายบ้านริมน้ำมาให้ชมค่ะ แต่สิ่งที่นำเสนอคือ วัดในภาพนั่งเรือผ่านก็มี

วัดกัลยาณมิตร ตั้งอยู่ฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ฝั่งใต้ ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นโท มีพระพุทธรูป พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต เป็นพระประธาน ที่หน้าวิหารหลวงมีหอระฆังเป็นที่ เก็บระฆังยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณ ตั้งอยู่ฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ สร้างในสมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า วัดมะกอก และวัดแจ้งในที่สุดเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2322 ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามใน พ.ศ. 2327 ได้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม”

วัดระฆังโฆสิตาราม เดิมเรียกว่า วัดบางหว้าใหญ่ เป็นวัดโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี คู่กับวัดบางหว้าน้อย คือ วัดอมรินทราราม สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงให้วัดบางหว้าใหญ่ซึ่งเดิมเป็นวัดราษฎร์ขึ้นเป็นพระอารามหลวงรวบรวมชำระสอบทานพระไตรปิฎกทรงให้รวบรวมพระไตรปิฎกจากนครศรีธรรมราชพร้อมได้อาราธนาพระอาจารย์สี และทรงตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งพระอาจารย์สี เคยอยู่ประจำที่วัดพนัญเชิง แขวงเมืองกรุงเก่า เป็นผู้มีความสามารถแตกฉานในพระไตรปิฎก ทั้งเป็นผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาที่พระองค์ทรงรู้จักดี เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว ท่านได้ไปอยู่ที่นครศรีธรรมราช ซึ่งนับว่าเป็นปฐมสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง เป็นวัดที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ที่นำมาจากกรุงเวียงจันทร์ เป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ เพราะมีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส เป็นวัดที่สำคัญและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมือง ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดโพธิ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก เป็นวัดประจำรัชกาลในรัชกาลที่ 1 เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศเนื่องจากเป็นที่รวมสรรพวิชาหลายแขนง ซึ่งทางยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกเมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551ถือได้ว่า เป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีนประมาณ 99 องค์ พระเจดีย์ที่สำคัญ คือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมเรียกว่า "วัดโพธาราม" หรือ "วัดโพธิ์" ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ร.1 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ และ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส” เป็นที่รวบรวมการแพทย์แผนโบราณและศิลปวิทยาการของกรุงศรีอยุธยา และมีรูปฤๅษีดัดตนในท่าต่าง ๆ

วัดอาวุธวิกสิตาราม อยู่ริมน้ำเขตบางพลัด เดิมเรียกว่า "วัดบางพลัดนอก" ที่วัดนี้นอกจากจะมีพระประธานในอุโบสถ แล้ว ยังมีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ และรูปเหมือนคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมซึ่งกระดูกของท่านกลายเป็นอรหันตธาตุอยู่ ณ วัดอาวุธฯ เจ้าอาวาสวัดอาวุธฯ ได้อนุญาตให้สร้างศาลาคุณแม่บุญเรือนไว้ที่วัดอาวุธฯ เพื่อเป็นอนุสรณ์ ท่านเป็นฆราวาสแต่ก็ได้ฝึกธรรมะถึงขั้นได้อภิญญา มีฤทธิ์เดชมากมาย ดังมีหลักฐานให้อ่านให้ดูได้ที่ วัดอาวุธ ถ.จรัลสนิทวงศ์ บางพลัด กทม. และพระอินทร์ ได้มอบพระคาถาพระสีวลีนี้กับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

วัดเทวราชกุญชร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิด วรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่โบราณมีมาก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า “สมอแครง” เดิมเป็นวัดราษฎร์สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระประธานประจำพระอุโบสถ นามว่า “พระพุทธเทวราชปฏิมากร”

วัดราชาธิวาสวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งพระนครใกล้ท่าวาสุกรี สามเสน แต่เดิมชื่อ “วัดสมอราย” ได้รับการปฏิสังขรณ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดราชาธิวาสวิหาร” มีความหมายว่า “วัดอันเป็นที่ประทับของพระราชา” เป็นวัดแรกที่ถือกำเนิดคณะสงฆ์ ธรรมยุติกนิกาย พระอุโบสถเป็นทรงขอมคล้ายนครวัด ศาลาการเปรียญตั้งอยู่หน้าวัด เป็นศาลาการเปรียญสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงให้สร้างเลียนแบบจากศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ถือเป็นศาลาการเปรียญที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

วังบางยี่ขัน หรือวังจ้าวลาวจากเวียงจันทน์ ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานศึกษาโรงเรียนช่างก่อสร้างอินทรอาชีวะศึกษาและได้ปิดตัวไปแล้วเกือบสิบปีได้มั๊งคะจากการอ่าน ที่ถ่ายมาเพราะเห็นสวยดี ทาสีใหม่ด้วย


พระบรมรูป ร.8 สร้างขึ้นหลังจากสร้างสะพานพระราม 8 อยู่เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรีและสร้างพระบรมรูปเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ เฉลิมพระเกียรติในหลวงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล รัชกาลที่ 8

สวนสันติชัยปราการ ตั้งอยู่ที่ช่วงปลายถนนพระอาทิตย์ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาตรงปากคลองบางลำพู สวนแห่งนี้จัดสร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลสมัย เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542

วังบางขุนพรหม ปัจจุบันเป็นที่ทำการของธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งอยู่ตรงสะพานพระราม 8 ตรงแยกบางขุนพรหม

มองไปในแม่น้ำเห็นมีแต่เรือขนทรายล่องไปล่องมาเต็มไปหมดในแม่น้ำ บางทีเรือด่วนต้องคอยหลบหลีกให้เรือขนทรายผ่านไปก่อนจะเข้าเทียบท่า...5555...อ่าว..ถ้าไม่หลีกก็ชนสิคะ และเรือที่หลีกก็ต้องเป็นเรือด่วนเพราะด่วนกว่าหลีกได้ไวกว่า ถ้าให้เรือขนทรายหลีกคงไม่ไหวมั๊งคะ ดูขนาดเรือดิคะ...

สำหรับท่าวาสุกรี ที่ตั้งอยู่ใกล้หอสมุด จะเห็นทางทีวีบ่อยมากๆ เพราะเป็นที่ปล่อยปลาในพระราชพิธีต่างๆ ทั้งยังเป็นที่ลงเสด็จทางเรือด้วย เห็นสวยดีค่ะเลยถ่ายมา

สำหรับท่าราชวรดิษฐ์ อยู่ใกล้วัดพระแก้วและท่าช้าง เวลาที่มีพระราชพิธีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่สำคัญๆ จะเป็นท่าเทียบเรือพระทีนั่ง ท่าราชวรดิษฐ์ แปลว่า ท่าอันประเสริฐของพระราชา

ส่วนเมฆไอพ่นนี่ของแถมค่ะ นั่งเรือแล้วถ่ายโน่นถ่ายนี่ ถ่ายไปถ่ายมาเห็นท้องฟ้ามีเมฆรูปไอพ่นก็เลยถ่ายมาดูซะเลย...55555....

สำหรับสี่ภาพนี้ก็ไม่มีอะไรค่ะแค่ถ่ายเป็นของแถม ถ่ายหลังที่นั่งบนเรือเค้าจะมีสติ๊กเกอร์ข้อความเตือนแปะไว้แบบนี้ค่ะ...ก้มดูใต้ที่นั่งจะมีโฟมสีเหลี่ยมเล็กๆ ไว้ใต้ที่นั่งให้คนละอัน ของใครของมันห้ามแย่งกันนะคะเวลาเกิดอะไรขึ้น...55555....รูปต่อมาก็เป็นรูปสะพานซังฮี้ หรือสะพานกรุงธน และสะพานพระราม 8 แถมด้วยภาพเรือขนทรายอีกมุมมองหนึ่งค่ะ...

ทุกภาพถ่ายด้วย N73 ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แล้วแต่มุมมอง แสง สี และฝีมือคนถ่าย (ที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ) นำเรือด่วนเจ้าพระยามาลง ไม่ได้ค่าสปอนเซอร์จากเรือด่วนเจ้าพระยานะคะ แต่อยากบอกให้ทุกคนที่เลือกการสัญจร ให้หันมามองการสัญจรทางน้ำบ้าง บางคนกลัวเพราะว่ายน้ำไม่เป็น จขบ. ก็ว่ายน้ำไม่แข็งแรงค่ะ แต่ก็กล้าขึ้น เค้าบอกว่าโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุทางเรือ ถ้าหากเราไม่ประมาทแทบจะไม่ค่อยมี ถ้ามีก็น้อยมากๆ และไม่ค่อยปรากฏให้เห็น ถ้าใครไม่เชื่อ ลองไปนั่งดูนะคะ ในขณะที่รถติด แต่เรือไม่ติด ในขณะที่ขึ้นรถต้องแย่งกันหาที่นั่ง แต่เรือไม่ต้อง ถึงจะขึ้นไปเต็มแต่แป๊บเดียวเองได้นั่ง ไม่เมื่อย ไม่เหนื่อยไม่เบียดเสียดเหมือนนั่งรถหรอกค่ะ..ไม่เชื่อลองดูกันค่ะ...อากาศก็สบายๆ ลมพัดจนอยากหลับค่ะ...(มีข้อยกเว้นอย่าไปนั่งฝั่งที่แดดส่องและกันค่ะ...)