Blog.one22.com:รวม รีวิวที่เที่ยว ที่กิน ที่พัก รีวิวหนัง และเรื่องราวรอบๆที่ภาพและเรื่องราวจะพาคุณๆออกท่องโลกไปด้วยกันครับ
Group Blog
 
All blogs
 

Gallery:พาแม่เที่ยวไหว้พระนอน9วัด 4 จังหวัดแบบวันเดียวจบ

ซี่รีย์พาแม่เที่ยวกลับมาอีกรอบครับ หลังจากหนีเที่ยวเองมาหลายทริบแล้ว หนนี้เป็นการพาแม่เที่ยวทำบุญอีกครั้งเวลาเที่ยวกับที่บ้าน โดยเฉพาะกับบ้านผมแล้ว เน้นจะต้องมีเที่ยววัดด้วยอย่างน้อย 1 หรือ 2 วัด หนนี้เอาซะ 9วัดเลยครับแต่จะ 9 วัดธรรมดาก็ใช่ทีไหว้กันทั้งทีเลยขอมี concept เล็กน้อยครับ เน้นกันที่วัดที่มีพระนอนเท่านั้น สำหรับคนที่เกิดวันอังคารน่าจะได้ที่ไหว้กันเพิ่มเติมบ้างล่ะครับ เร็วๆนี้รีวิวจะตามมา เอารูปไปดูกันก่อนครับ คลิกที่ภาพหรือ คลิกที่นี้ได้เลยครับ




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2553    
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 22:16:42 น.
Counter : 893 Pageviews.  

ที่พัก:Swiss valley hip resort หนึ่งคืนท่ามกลางแสงดาว..ที่...ไม่ลืม


ห่างหายไปหลายสัปดาห์...
จบจากทริบล่องทะเลอันดามันมา ผมมีโอกาสได้ออกเที่ยวไปอีกหลายๆที่ จนเมื่อ เดือนก่อนได้มีโอกาสได้กลับไปสวนผึ้งอีกครั้ง ไปพักรีสอร์ทเปิดใหม่ซิงๆ ไม่ถึงครึ่งปี อย่าง "สวิสวัลเล่ย์ฮิพ รีสอร์ท" รีสอร์ทชื่อเก๋ ที่มีโอกาสได้พบเจอกันครั้งแรกเมื่อตอนไปเที่ยวสวนผึ้งปลายปีที่แล้ว เห็นแล้วติดใจจริงๆครับ คิดไว้ว่าถ้าสร้างเสร็จเมื่อไหร่จะกลับมาสัมผัสให้ได้ และเมื่อได้ไปมาจริงๆก็พบว่าที่คาดไว้นั้น มีดีมากกว่าที่คิดมากมายทีเดียว ทั้งการบริการและตัวที่พัก
ชมภาพถ่ายกว่าร้อยภาพที่เก็บกลับมาฝากกัน ยิ่งในคืนฟ้าเปิดช่างแสนมีเสน่ห์และน่าประทับใจมากทีเดียว ชมภาพกันได้ทั้งหมดตาม link ด้านล่างเลยครับ

//blog.one22.com/pics/relax/centre/gallery_swissvalleyhipresort
อย่าเสียเวลาดีกว่ามาสัมผัสประสบการณ์ดีๆอีกครั้งนึงที่ผมได้จากการเข้าพักรีสอร์ทแห่งนี้กัน ...




มันเริ่มต้นที่ผมแวะไปเที่ยวชมงาน cadle เมื่อปลายปีที่ผ่านมาที่ The Scenery resort ที่จัดมาเป็นปีที่ 2 แล้ว หนนั้นประทับใจจริงๆกับการจัดงานที่ทำได้ดีมากๆ จนมาถึงวันกลับเราได้แวะเข้าไปอีกครั้งระหว่างทางที่ไป Scenery ทำให้ต้องผ่านรีสอร์ทแห่งนี้ ตอนนั้นยังสร้างไม่เสร็จครับ แต่เห็นเค้าลางว่าต้องสวยแน่ๆ จนย่างเข้าปีนี้มีอันต้องแวะไปแถวๆราชบุรีอีกครั้ง ทำให้คิดถึงที่นี่ขึ้นมา หาข้อมูลจนเจอเว็บของรีสอร์ท บวกกับราคาโปรโมชั่นต้อนรับการเปิดตัวที่ทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากเลย จนเป็นที่มาของรีวิวนี้นั้นเอง



สำหรับใครที่อยากไปที่นี้ไม่ยากเลยครับ ขับรถมุ่งหน้าสายใต้เข้าสู่ถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าเข้านครปฐมจะมีป้ายบอกทางตรงทางแยกตรงสะพานข้ามถนนเข้าตัวเมืองแต่เราออกซ้ายเข้าราชบุรีวิ่งตรงยาวๆจนถึงแยกถนนหลวงสาย 3208 เลี้ยวขวาวิ่งตามทางไปจนถึงเข้าสู่ตัวอ.สวนผึ้งจากนี้ไม่ยากแล้วครับตลอดทางจะมีป้ายบอกไปรีสอร์ท the scenery ไปตามป้ายก็ได้เช่นกันเพราะ Swissvalley จะอยู่ก่อนถึง ขับยังไงก็เห็นแน่ๆเพราะกว้างและสวยสะดุด สังเกตจากรถที่วิ่งผ่านไปมาจะต้องแวะจอดถ่ายภาพหน้ารีสอร์ทแทบทั้งนั้น เรียกว่าวิวเตะตาสุดๆเลย(ขอบคุณแผนที่จาก Brochure ที่่ได้จากรีสอร์ทครับอาจจะไม่ชัดไปหน่อยครับ)



หลังขับรถผ่านพนักงานด้านหน้าเข้ามาก็ต้องอึ้งกับวิวทิวทัศน์เนินเขาสลับกันไปมาตรงหน้า มีทุ่งหญ้าสีเขียวเห็นภูเขาอยู่ด้านหลังตัดกับท้องฟ้าสีเข้มของเดือนพ.ค มันสวยจนไม่อยากคิดว่าถ้าเป็นฤดูหนาวจะสวยขนาดไหน



หลังจากมาถึงเราก็ต้องแวะ Check in กันที่นี้ทุกคน มีน้ำองุ่นรสชาติดียกมาเป็น Welcome drink ให้เราได้ชิมผมกระดกรวดเดียวไม่เหลือเลย อร่อย!



วิวแรกยามเมื่อเรายืนตรงส่วนต้อนรับลูกค้าด้านหน้า สวยจริงๆ



บริเวณนี้จะเป็นส่วนเชื่อมต่อกันกับตรงบริเวณต้อนรับและเป็นหลังคาของร้านอาหารด้านล่าง ดูเป็นลานกว้างๆสามารถชมวิวได้ทั่วทั้งรีสอร์ทเลย



ด้านหน้าจะเจอมุมบังคับของรีสอร์ทเค้าเลย ใครมาต้องมายืนถ่ายรูปกัน ตอนหลังๆผมเห็นคนมาถ่ายรูปกันเยอะทีเดียว จนคนข้างๆบอกไม่ถ่ายด้วยดีกว่ากลัวซ้ำ ซะงั้น



หลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยมีรถ Golf พาเราทั้งคู่เข้าสู่บ้านพักหลังที่จองไว้ S7. Chardonnay บ้านพักที่นี้จะเป็นสไตล์ใกล้เคียงกับ The Scenery ที่เป็นปูนเปลือยสีขาวแนวฮิตของที่นี้เค้าเลย แต่เสน่ห์มันไม่ไ่ด้อยู่แค่ภายนอกนะผมว่าแต่มันกับอยู่ที่การตกแต่งภายในต่างหากที่แตกต่างกันด้วยสไตล์ต่างๆทั้ง Greece ,Spanish,English,Tuscany,French ในแบบ Country Style ต่างๆเรียกว่ายกยุโรบมาไว้ที่สวนผึ้งกันเลยทีเดียว


หลัง Chardonnay ของเราเป็นแบบ English country style เข้ามาก็จะพบชุดโซฟาลายดอกไม้เล็กๆสวยๆเหล่านี้ดึงดูดให้เรานั่งมากครับ



ภายในแยกสัดส่วนห้องออกมาเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือห้องนั่งเล่น ห้องนอน และ ห้องน้ำ นับว่ากว้างมากทีเดียว



ห้องนั่งเล่นตกแต่งรอบได้เก๋ดีทีเดียว อย่างกองฟื้นวางใต้ทีวีก็ได้บรรยากาศ แถมดูรู้ถึงการใส่ใจรายละเอียดต่างๆ ที่ชอบมากๆคือตุ๊กตา Angle ที่วางอยู่ข้าง lcd อันนี้ครับน่ารักดีเชียว



มุมเล็กมุมน้อยที่นี่ ตกแต่งด้วยตุ๊กตาต่างๆ



บางอย่างก็เหมือนของเก่าผสมกันไว้ด้วยดูเก๋าดีครับ



ที่ผมว่าเก๋สุดๆ ตรงแถวๆมุมด้านข้างที่set ไว้เหมือนห้องครัวมีแขวน กาน้ำ หม้อ และของในครัวจริงๆ เค้าใส่ใจรายละเอียดต่างๆได้ดีมากเลย



มาดูห้องนอนกันบ้างครับ เตียงขนาดใหญ่ ลายดอกไม้เล็กๆดูน่ารักดี คนข้างๆเค้าชอบมากเลย โดยเฉพาะหมอนให้มาทุกขนาดเลย เยอะมาก >_<



ด้านข้าง เป็นหน้าต่างใหญ่เปิดเห็นวิวสวยๆของรีสอร์ท ถึงช่วงบ่ายแดดจะออกจะแรงซักนิดแต่ช่วงเช้าวิวงามเลยทีเดียว



วิวงามๆตอนกลางวัน เห็นทิวเขาลดหลั่นกันไป กลางคืนกลายเป็นทะเลดาวเลยทีเดียว



มา ดูด้านขวาบ้าง มีโต๊ะเครื่องแป้งสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายให้เอาอุปกรณ์ที่พกมาด้วยวางกัน ได้เต็มๆโต๊ะกันเลย
เห็นแล้วน่าจะถูกใจแน่ๆ คนข้างๆผมนี้อยากยกทั้ง set เอากลับมาบ้านกันเลยทีเดียว เค้าชอบลายเก้าอี้มากเลย



มองจากโต๊ะมาที่เตียงครับ



มุมต่างๆก็ใส่ใจดีครับ มีที่นั่งริมหน้าต่างวางเหมือนเป็น daybed สามารถนอนยังได้ครับยาวดีทีเดียว หมอนเยอะจริงๆที่นี่



มาดูในห้องน้ำกันบ้าง ใครเป็นคนชอบใช้เวลาในห้องน้ำนานๆ รับรองได้ว่าคุณจะอยู่ได้นานขึ้นกว่าปรกติแน่ๆ เพราะมีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่ชมวิวได้ทั้งวันกันเลย



ของตกแต่งกระจุกกระจิกก็มีให้ดูกันเพลินๆไม่ต่างจากส่วนอื่นๆเช่นกัน



มุมอ่างล้างหน้าก็มีอุปกรณ์พร้อมปลั๊กไฟ ให้ครบ



ถอยออกมาอีกนิดตกแต่งได้ดีทีเดียว



มุมนี้ก็ยังอุตส่าห์ตกแต่งด้วย



มาดูรอบๆบ้านบ้างกันดีกว่า ด้านหน้าทางเข้าบ้าน Chardonnay ครับ



อุปกรณ์ พกพาทั้งหลายสามารถใส่ตระกร้านี้ได้เลย นับว่าของตกแต่งต่างๆได้รับการคิดมาดีทีเดียว



หลังนี้จะอยู่ติดกัน ขนาดก็ใกล้เคียงกันด้วย



ผมเดินอ้อมาข้างบ้าน จะมีบันไดขึ้นดาดฟ้า ขึ้นมาก็ต้องอึ้งกับวิวครับ วิวสุดยอดเลย หลังที่ผมอยู่จะไม่มีบ้านอื่นมาบังไว้ เห็นวิวแบบพาโนรามาไกลสุดตา



รอบๆจะมีเตียงให้นั่งนอนเล่นได้แต่ถ้าช่วงกลางวันกรุณาอย่าได้ลองเชียวล่ะ ถึงขั้นเกรียมแน่ๆ



ด้านหน้าจะมีโต๊ะทานอาหารเหมาะมากๆสำหรับการมาเป็นคู่ นึกถึงตอนค่ำๆนั่งทานอาหารใต้แสงจันทร์ ชมดาวกันโรแมนติกสุดๆเลยเชียว



มี เตาบาร์บีคิวให้ใช้ได้ฟรี แต่ต้องสั่งอาหารกับทางรีสอร์ทนะครับถ้าจะใช้ ต้องแจ้งล่วงหน้าครับ ตัวอาหารจะไม่รวมอยู่ใน package ที่พักครับ



ที่น่าชิวสุดๆผมยกให้เปล ที่ผูกไว้ให้เรามานั่งๆนอนๆได้ แต่กลางวันไม่เหมาะอย่างแรงครับไม่งั้นเกรียมเป็นบาร์บีคิวแน่นอน ถ้าเป็นยามค่ำนี้ บรรยากาศสุดๆไปเลย



ออกมาชมบ้านหลังอื่นๆ กันบ้าง บ้านด้านหลังเยื้ยงๆกับของเรา Sauvignon blanc villa บ้านทรงไข่หลังเดียวของทีนี้ เสียดายไม่ได้เข้าไปชมด้านในครับเพราะมีแขกเข้าพักอยู่



บรรยากาศรอบๆมองไปตรงไหนก็จะเจอฟ้าสีเข้มๆตัดกับหญ้าสีเขียว ทางเดินที่นี้ก็ปูขึ้นลงเนินให้ได้เดินออกกำลังกัน วิวในภาพเป็นตอนเริ่มเย็นๆแล้วแดดกำลังค่อยๆหมดลงจะเห็นเงาทอดยาวสวยจริงๆครับ



ตรงด้านหน้าที่จอดรถเข้ามาครั้งแรกจะเจอตู้โทรศัพท์สีแดงกับเก้าอี้ตัวนี้เด่นมาก ไม่แน่ใจว่ามันโทรได้จริงๆรึเปล่า



มาดูหลังที่ผมมีโอกาสได้เข้าไปชมกันบ้าง หลังนี้ชื่อ Pinot Noir Pavilion เป็นบ้านคู่แฝดครับ จะมีบ้านแบบนี้อยู่ 2 หลัง อีกหลังเป็น Merlot noir Pavillion สองหลังนี้ต่างกันตรงการตกแต่งภายในที่คนละสไตล์กัน



บ้าน pinot หลังนี้จะแยกบ้านเป็นปีกซ้าย-ขวา สามารถแยกกันได้หรือถ้ามาพักด้วยกันเป็นกลุ่มก็จะมีประตูต่อเชื่อมกันได้ด้วย ของตกแต่งดู Country Styleจริงๆ



ภายในถูกใจผมสุดๆ ตรงมุมนี้ล่ะครับ วิว panorama แบบรอบทิศทางนั่งเล่นชมพระอาทิตย์ตกนี้ สุดๆทีเดียว ตั้งใจว่าถ้าได้มาอีกจะจองหลังนี้ครับชอบมุมนี้จริงๆ



บ้าน pinot จะตกแต่งเป็นสไตล์ Tuscaney อิตาลี สวยอีกแบบแต่ถ้าวัดกันเป็นตารางเมตรแล้ว ดูขนาดอาจจะเล็กกว่าหลังของผมนิดหน่อย



บนหลังคาก็ดูใกล้เคียงกับหลังที่ผมพักอุปกรณ์ทุกอย่างเหมือนๆกันวิวของหลังนี้จะกว้างมากๆเห็นกันทุกมุมของรีสอร์ทเลยทีเดียว



ถนนด้านหน้าของบ้านเห็นเฉียงๆนี้ไม่ใช่ว่าถ่ายมุมเอียงครับแต่เป็นเนินเขาลดหลั่นลงมานั้นเอง



โซนนี้เป็นโซนที่ขาดไม่ได้เลยจริงๆสำหรับรีสอร์ทในสวนผึ้ง คือโซนเลี้ยงแกะ มีน้องแกะเป็นฝูงอยู่ในรั้วนี้ ตอนผมเดินสำรวจหมดโอกาสแล้วครับ น้องแกะกลับเข้าคอกหมดแล้ว ที่เห็นสีขาวๆอยู่ไกลๆนั้นละครับ นอกจากแกะแล้วที่นี้ยังมีกิจกรรมให้ขี่ม้าด้วย กิจกรรมทั้งหมดนี้ผมยกไปเช้าวันรุ่งขึ้นหมดครับ



มาถึงช่วงเวลาใกล้ค่ำกันบ้างอากาศเริ่มเย็นลงแล้ววิวยามเย็นแสงเริ่มลดลงเรื่อยๆดูสวยไปอีกแบบครับ



ขึ้นดาดฟ้าชมแสงสุดท้ายยามเย็นกันครับ ช่วงเวลาตอนนี้เป็นช่วงที่ผมชอบมากๆสีจะเข้มได้ดั่งใจเลย



แสงไฟจากรีสอร์ทก็เปิดสว่างไสวไปทั่ว ช่วงแสงตอนนี้ถูกใจผมมากเลย มุมโต๊ะอาหารน่านั่งทานโรแมนติกเหมาะกับคู่รักมาก



รออีกไม่นานดาวก็เริ่มค่อยๆเผยตัวออกมาให้เราได้เห้นกัน...สวยมากจริงๆ



มุมน่านั่งและนอนชมดาวเวลานี้ อากาศก็กำลังเย็นสบาย ในคืนเดือนมืดและฟ้าเปิดมากพอ คุณๆก็จได้สัมผัสบรรยากาศเเบบนี้เช่นกัน



แทบไม่อยากกลับลงมาเลยทีเดียว ผมทั้งเก็บภาพและนั่งชิวอยู่บนนี้อยู่จนมืด นั่งชมดาวพราวฟ้า บรรยากาศที่หาได้ยากจริงๆในกรุงเทพฯ



ชมดาวจนลืม นึกได้ผมเลยขอสำรวจบรรยากศยามค่ำรอบๆรีสอร์ทบ้างอย่างสระน้ำที่ไม่มีโอกาสได้ใช้เลย แสงไฟจากสระก็สว่างสวยดีครับ สระขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่น่าว่ายมากเลย



เดินต่อไปสำรวจตรงประชาสัมพันธ์ด้านหน้ากันบ้างแสงกำลังสวยดีทีเดียว



ทางเดินก็สว่างไสวไปด้วยแสงไฟตลอดทาง



ตรงประชาสัมพันธ์เปิืดไฟสวยดีทีเดียว



ข้างในเพราะไฟที่เปิดไว้ เห็นทั้งแสงและเงาที่ตกกระทบบนโครงสร้างอาคารดูเก๋ไปอีกแบบ



มุมนั่งเล่นมี LCD แต่คงไม่มีแขกมาใช้เพราะที่ห้องแต่ละห้องก็มีกัน 2 เครื่องแล้ว


ผมกลับห้องพักและนั่งดู dvd กันในห้องพัก ที่มีเตรียมพร้อมไว้ให้แขกผมเดาว่าน่าจะมีทุกๆห้องเลย ระบบเครื่องเสียงก็ไม่ธรรมดานะครับ ติดตั้งลำโพงแยกตาม chanelซ้ายขวา วางไว้รอบห้อง ตอนนอนผมเปิด tranformer 2 กระหึ่มได้ใจจริงๆ



ลืมบอกไปครับของกินในตู้เย็นของที่นี้ทานได้ทุกอย่างไม่คิดตังด้วยนะครับ ที่เห็นโล่งๆจริงๆมีมากกว่านี้ครับ แต่ผมจัดไปไปหลายอย่างแล้ว เลยเหลือเท่านี้ น่าประทับใจจริงๆครับ



เช้าวันกลับมาถึงอากาศดีมากๆผมเก็บของกันแต่เช้าแล้วก็เดินไปทานอาหารกันอาหารเช้าพร้อมเสริฟตั้งแต่ 7 โมงเช้าเราเป็นแขกคนแรกๆที่มาถึง อาหารเช้ามีให้เลือกเป็น
บุปเฟ่ห์ มีทั้ง ABF ให้เลือกและข้าวต้มต่างๆ อย่างที่ผมเลือกเป็นข้าวต้มกุ้ง



คนข้างๆเค้าขอ ABF มา วางเรียงสงสัยอารมณ์จะดีเรียงออกมาเป็นแบบนี้เลย



อิ่มกันดีผมขึ้นมาแจ้งกับทางส่วนต้อนรับว่าจะ Check out แล้ว ทางเจ้าหน้าที่เลยถามกับเราว่าได้ไปคล้องกุญแจรึยัง ผมฟังครั้งแรกงงๆ จนถึงบางอ้อว่า น่าจะหมายถึงแม่กุญแจสองลูกที่วางอยู่ที่เตียงพร้อมจดหมายต้อนรับจากผู้จัดการ แน่ๆเลยตอนเราเข้าไปก็ยังไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร ตอนนี้รู้แล้ว



นับว่าเป็น Gimmic เก๋ๆที่เห็นคนข้างๆเค้าบอกว่าน่าจะได้ไอเดียมาจาก ในหนังหรือซีรีย์เกาหลีแน่ๆเลยครับ คือ concept จะให้ทุกคู่ที่มาเข้าพักนำกุญแจสองดอกมาคล้องไว้ที่ตรงบริเวณแถวๆสะพานของรีสอร์ท จากนั้นก็จะนำลูกทั้งสองดอกคล้องไว้ด้วยกันแล้วนำไปหย่อนลงน้ำที่รีสอร์ทสร้า้งเป็นลำธารเล็กๆใต้สะพานนั้นเอง ประหนึ่งเหมือนดั่งได้ไปภูเขานัมซานที่คู่รักชาวเกาหลีเค้าจะยึดทำเป็นประเพณีที่จะคล้องรักกันไว้นิรันดร์ นั้นเอง (ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากในเว็บครับคุ้นๆว่าผ่านตาจากรายการทีวีของเกาหลี ในเคเบิลเราด้วย)



นี่ละครับ ที่รีสอร์ทสร้างเป็นลำธารเล็กๆให้คู่รักมาหย่อนลูกกุญแจเก็บไว้ที่นี่ ช่างมีความใส่ใจในรายละเอียดจริงๆบอกตรงๆครับประทับใจมากเลยกับลูกเล่นและรายละเอียดต่างๆที่ช่างคิดเสียนี่กระไร



ลืมเล่าไปอีกเรื่องครับ สำหรับพนักงานทุกคนในรีสอร์ทจะมีชื่อเรียกสมมุติกันขึ้นมาให้เข้ากับบรรยากาศภายในนี้ อย่างคุณ "Harry" คือไกด์ที่พาเราทัวร์รอบๆที่พักแห่งนี้ อย่างตอนนี้คุณ Harry ก็พาเราขับรถก็อฟท์ชมบริเวณรอบๆรีสอร์ท จุดแรกคือ สระน้ำของรีสอร์ที่เลี้ยงหงส์ดำไว้ มันน่ารักมากเลยครับ ที่สำคัญฮาตรงมันสามารถกินอาหารปลาได้ด้วย "จก" กันใหญ่เลยตอนเราเอาอาหารปลาให้ตลกดีครับ



จุดต่อมาก็เป็นตรงน้องแกะครับเนื่องจากเมื่อวานเราไมไ่ด้ออกมาเลี้ยงแกะเลย วันนี้เลยได้ดูได้เลี้ยงสมใจอยากกันไป



ผู้ดูแลครับอยู่กับฝูงแกะเลย



ทั้งม้าและแกะ อยู่ด้วยกันบรรยากาศสมชื่อรีสอร์ทจริงๆครับ



นาฬิกาบก ชื่อนี้ผมตั้งให้เองนะครับเป็์นอีกจุด Landmark ของที่นี้เค้าเลยเห็นชัดตั้งแต่ขับรถผ่านด้านหน้ารีสอร์ท



ไกด์ Harry ของเรายังขับรถนำเราออกมาด้านหน้าที่เป็ฯร้านอาหารที่จนถึงวันนี้น่าจะเปิดเรียบร้อยแล้วล่ะครับร้านตั้งอยู่ริมถนนด้านหน้าด้วย บรรยากาศน่าจะดีทีเดียว



ป้ายชื่อด้านหน้ารีสอร์ทถ้าไม่บอกว่าเมืองไทยสงสัยจะไม่มีใครรู้แน่ๆเลย

ไม่นานก็ได้เวลาลากันแล้วครับ ผมกลับมาที่ด้านหน้าบอกลากับทุกๆคน ตลอดเวลาที่อยู่ในรีสอร์ท ผมไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย ต้องบอกว่าประทับใจมากกับการบริการต่างๆที่เกิดขึ้นมาจากการฝึกอบรมพนักงาน รวมทั้งที่พักที่ใหม่มากๆและการตกแต่งที่ใส่ใจมากครับ ความหลากหลายของห้องพักที่ทำให้อยากกลับมาพักได้อีกเพราะแต่ละห้องพักไม่ซ้ำกัน บวกด้วยภูมิทัศน์รอบๆ มองเห็นทิวเขาด้านหลัง บรรยากาศที่ถือเป็นจุดเด่นที่สุดแห่งนึงของสวนผึ้งที่นับเป็นจุดขายที่แตกต่างจากรีสอร์ทสไตล์เดียวกันได้ครับ วิวที่นี้กินขาดจริงๆ ข้อปรับปรุงเท่าที่นึกๆดูแทบจะไม่มีเลย จะมีก็มาจากแขกท่านอื่นๆที่มีโอกาสได้คุยกันตอนเจอกันเห็นมีบ้างที่บ่นว่าอาหารไม่อร่อยเท่าที่ควร แต่ที่ผมทานเองกันสองคนก็ต้องบอกว่าไม่ถึงกับอร่อยรสเลิศแต่ไม่ได้แย่แน่ๆครับ ราคาก็เป็นไปตามรีสอร์ทนั้นเองไม่ถูกแน่ๆ

รวมๆผมต้องขอชมถึงความตั้งใจและการดูแลจากพนักงานทุกคนทั้งไกด์ Harry ที่รับเราเข้าที่พักตั้งแต่วันแรกจนถึงวันกลับยังขับรถพาเราชมจนทั่วรีสอร์ท เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มีหลายคนที่คอยเดินตรวจตราเรายามค่ำและที่ประทับใจเลยจริงๆคือเจ้าหน้าที่ "Owen" ที่ถือเป็นFirst impressionกับเรามากจากการเอ่ยคำทักทายเราตั้งแต่นำรถเข้ามาเลยและรวมถึงฝ่าย activity manager คุณ"Roger" ที่จัดกิจกรรมบันเทิงต่างๆออกมาต้อนรับแขกเป็นอย่างดี

นอกเหนือจากที่เห็นในภาพของผมแล้วยังมีกิจกรรมต่างๆอีกนะครับทั้ง ฟิตเนตที่มีให้บริการและการยิงธนูก็มีแต่ผมไมไ่ด้ลงไปเล่นเลยน่าเสียดายครับ เจ้าหน้าที่และพนักงานทุกคนของรีสอร์ทที่มีหัวใจในการบริการเป็นอย่างดี
กับราคาที่เราจ่ายในช่วงโปรโมชั่นนี้นับว่าคุ้มค่ามากๆจริงๆ ใครที่อยากลองไปสัมผัสราคาช่วงนี้จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 53 นี้เท่านั้นครับ จากนั้นจะกลับไปราคาปรกติรึเปล่าคงต้องสอบถามกันอีกที นับเป็นรีสอร์ทที่แสนประทับใจเราทั้งคู่มากมายจนไม่แน่ว่าอาจจะขอกลับไปสัมผัสอีกสักครั้งเร็วๆนี้ก็เป็นได้ครับ



สนใจรายละเอียดต่างเข้าไปดูกันได้ที่หน้าเว็บของรีสอร์ทได้เลยครับ //www.swissvalleyhipresort.com/ เบอร์ติดต่อ 032711-111 ขอลากันด้วยภาพค่ำคืนแห่งความประทับใจ หนหน้าจะกลับมาพอคุณๆเที่ยวให้เข้ากับช่วงฤดูนี้กันบ้างเร็วๆนี้ครับ




 

Create Date : 21 มิถุนายน 2553    
Last Update : 23 มิถุนายน 2553 22:52:08 น.
Counter : 6754 Pageviews.  

ที่เที่ยว:ภูเก็ต…เมืองเก่าเล่าเรื่อง…


สวัสดีครับ


กลับมาวันสุดท้ายของทริบอันดามันแล้ว ทริบล่องทะเลใต้หนนี้จะไม่สมบูณ์อย่างที่เราตั้งใจไว้ได้เลยถ้าขาดเกาะสุดท้ายอย่าง เกาะภูเก็ต ผมเองมีโอกาสมาภูเก็ตหลายๆครั้ง ทุกๆครั้งต้องพักหาดใดหาดนึงเสมอ หนนี้หลังเที่ยวทะเลอันดามันจนช่ำใจแล้ว เราอยากเที่ยวชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่สไตล ์ชิโน-โปรตุกีส แสนเท่และหาดูหาชมได้ยากมากที่จะมีให้ได้เพลิดเพลินเท่าที่นี้ มาครับมา...มาเดินเที่ยวชมยลเมืองเก่าแสนงามแห่งนี้กันดีกว่า


ชมภาพตึกเก่าและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองทั้งหมดใส่ gallery ไว้แล้วชมได้ตามอัธยาศัยครับ


//blog.one22.com/pics/longtrips/andaman_sea/gallery_phuket_town



ตอนที่แล้วเราพาเที่ยวจนถึงหมู่เกาะสุรินทร์ดินแดนแห่งปะการังใต้ท้องทะเลไปแล้ว

ที่เที่ยว:หมู่เกาะสุรินทร์…The spirit of sea




(ภาพจากเว็บไซต์ //www.phukhao.com/)

การเดินทางมาภูเก็ตมีหลายทางทั้งรถทัวร์ เครื่องบิน ถ้าคุณเลือกมาลงเครื่องที่สนามบินภูเก็ตและมาถึงหลัง 3 ทุ่มไปแล้ว ถ้าไม่จองรถเช่าไ้ว้ ก็จะมีการเดินทางอีก 2 ทางที่จะพาคุณไปยังตัวจังหวัดหรือโรงแรมตามหาดที่คุณจองไว้ได้ คือรถตู้ปรับอากาศที่จอดเป็นคิวไว้ด้านทางออก หรือไม่ก็ taxi สำหรับแบบแรกจะต้องรอจนรถเต็มแล้วจึงจะออกได้ เฉลี่ยก็คือ 10 คนขึ้น นั้นเอง สำหรับ taxi นั้นถ้าคุณใช้บริการtaxi meter ก็สามารถเดินออกประตูมามองไปทางขวาจะเห็นมีป้ายบอกจุดรอรถ taxi meter บอกไว้ราคาก็ว่ากันตามระยะทางแต่จะมีการ ชารต์จากมิเตอร์เพิ่มนับจากรถออกผมจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่นะครับแต่คุ้นๆว่า เกิน 70บาทแล้วละครับ สำหรับ taxi อีกแบบจะมายืนออดักนักท่องเที่ยวคอยทักเราว่าจะไปกับเค้าไหม ส่วนใหญ่แบบนี้จะเป็นการเหมาครับไม่เกี่ยวใดๆกับ taxi meter สนนราคาว่ากันไปตามหาด เช่นเข้าเมืองก็ 500บาท ไปหาดป่าตองก็ 6-700 ขึ้นเรียกว่าแพงกันสุดๆไปเลย เนื่องจากสนามบินเองอยู่ห่างจากเขตเมืองก็ร่วมๆ 30กว่ากิโลฯแล้ว แต่ผมก็ว่ามันแพงมากๆอยู่ดี เป็นไปได้ถ้ารอไหวก็รอรถตู้ดีกว่าครับ ช้าแต่ประหยัดกว่าเพราะจะตกคนล่ะ 80 บาทเท่านั้นครับ(ราคาไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันในเวลานั้นนะครับ)



หลังรับรถเช่าที่สนามบินและขับเข้ามาพักกันในเมืองภูเก็ตเช้าวันรุ่งขึ้น เราจึงเริ่มต้นท่องเที่ยวกันตามแผนที่วางไว้ เราเริ่มต้นการสำรวจเมืองเก๋ๆกันที่หน้าโรงแรมเก่าแก่ที่สุดของเมืองภูเก็ต โรงแรม ออน ออน



โรงแรมสไตล์ชิโน-โปรตุกีสตั้งอยู่ที่ถนนพังงาเปิดกันมารุ่นปู่ย่าตายายกันเลย ปี 2472 ที่นี้ถือเป็นขวัญใจของเหล่าแบ็กแพ็คเกอร์ทั้งหลายที่แวะเวียนมาพักกันตลอดเวลา คนไทยเห็นที่ counter บอกว่าก็มีแต่ไม่มากเท่านักท่องเที่ยวต่างชาติ



นอกจากโรงแรมสไตล์เท่ๆแห่งนี้แล้ว ยังมีร้านที่นักท่องเที่ยวและคนภูเก็ตรู้จักกันดี ร้าน kopi de phuket ร้านกาแฟเก๋สุดๆอยู่หน้าโรงแรมออนออนพอดี



ผมแวะลองชิมชาดูก็อร่อยเข้มข้นไม่เลวทีเดียวได้เครื่องดื่มเย็นๆชื่นใจก็เริ่มต้นได้แล้ว ทริบเที่ยวรอบเมืองนี้เราใช้ทั้งรถขับเที่ยวและเดิน ถนนที่นี่เหมาะกับการเดินมากครับ ยิ่งในย่านถนนหลักๆแล้วเดินเอา มันกว่าเยอะเลยได้สัมผัสบรรยากาศตึกสวยๆหามุมถ่ายรูปได้เรื่อยๆ



เดินออกมาปั้บเรามุ่งหน้าเลยผ่านไปยังหนึ่งใน Landmark สำคัญของ City Tour หนนี้ "อาคารพรหมเทพ" หรือจะเรียก "ศูนย์ข่าวพรหมเทพ" ก็ได้

ฝั่งตรงข้ามก็เป็น "อาคารชาร์เตอร์แบงค์" ธนาคารต่างชาติแห่งแรกที่เข้ามาเปิดทำการในภูเก็ต และภูมิภาคนี้ทั้งสองอาคาร ล้วนแล้วแต่เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาถ่ายภาพกันทั้งนั้น



จุดเด่นก็อยู่ตรงหอนาฬิกาด้านบนที่มีหลังคาทรงหมวกตำรวจในสมัยก่อน ที่นี้เคยเป็นสถานีตำรวจมาก่อนจึงยังหลงเหลือเค้าลางกลิ่นอายที่มาของมันอยู่

ทั้งสองตึุกอยู่ตรงหัวมุมถนนพังงาตัดกับถนนภูเก็ตหรือตามป้ายกำกับที่ปักไว้ว่า "สี่แยกธนาคารชาร์เตอร์" เวลามาไม่ยากถ้าเดินเลยมาจากร้าน kopi ก็ใกล้นิดเดียวครับ




ตึกต่อมาที่เราได้เจอกัน "อาคารเอกวานิช" อยู่หัวมุมถนนดีบุกตัดกันกับถนนเยาวราช ตึกสวยๆที่อยู่มานาน และยังคงอนุรักษ์ของงดงามของสถาปัตยกรรมสไตล์จีน-ยุโรบไว้ได้อย่างดี



ผมเริ่มต้นเข้าโดยมุ่งหน้าไปย่านถนนดีบุกก่อน ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยตึกสไตล์ชิโน-โปรตุกีส สีสันตามตึกล้วนดึงสายตาให้เราเหลียวกลับไปมองได้ทั้งนั้น



"อั่วม้อหลาว" เป็นชื่อเรียกคฤหาส์นแบบฝรั่งโบราณผมถ่ายรูปนี้ไว้ โดยมาทราบภายหลังว่าเป็นของตระกูลตัณฑเวทย์


คฤหาส์นหลังนี้สังเกตุให้ดียังคงสถาปัตยกรรมงามๆให้ได้ชมอยู่แม้จะไม่อนุญาติให้เข้าไปได้ก็ตาม



ผมเดินต่อมาจนถึงสามแยกถนนดีบุก ที่แยกนี้มีร้านอาหารน่าลิ้มลองอยู่ 2 ร้านเป็นร้านดั่งเดิมทั้ง 2 ร้าน เริ่มกันที่ร้านขึ้นชื่อ อย่าง "หมี่แป๊ะเถว"



ร้านบะหมี่ที่ได้รับการการันตีจากหลายๆสำนักมาแล้วผมเข้ามาตอนสายๆคนจึงน้อยมาก เช้าๆแบบนี้ยังไม่ได้ทานอะไรต้องของลองชิมซักหน่อยแล้ว



ได้โอกาสผมเลยสอบถามพี่ๆน้าๆป้าๆในร้านถึงที่มาของร้าน แกหยิบรูปภาพเก่าแก่ให้ผมดูด้วยพร้อมเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟัง และ หยิบเมนูอาหารมาให้ซึ่งมีเรื่องราวของแป๊ะเถวให้ผมได้ทราบทุกๆคนลองอ่านดูเองได้เลยครับตามภาพ



ผมจึงสั่งตามคำแนะนำของพี่ๆในร้านเมนูดั่งเดิมมาลองดูครับ น่าทานไหมครับ มีทั้งเย็นตาโฟแห้งแป๊ะเถว ...


ชิมดูรสชาติผสมผสานกันทั้งรสหวานอมเปรี้ยวของซอลจากสูตรของร้านเข้ากันดีกับของทอดแบบต่างๆที่ใส่เข้ามาอร่อยครับ



ลูกชิ้นปลาลวกจิ้มและน้ำจิ้มรสแซ่บ สดและสะอาดดีทีเดียว



กุ้งทอดปิดท้าย อาหารอร่อยดีทีเดียวครับใครมาในเมืองอยากทานก๋วยเตี๋ยวอร่ิอยๆ ร้านแป๊ะเถว คือหนึ่งในนั้นที่ควรมาแวะทานกันดูครับ



อิ่มกันดีแล้วยังเหลืออีกร้านที่น่าแวะเช่นกัน เห็นร้านนี้คนภูเก็ตเข้ามาทานอาหารกันพอควรจนดึงเราเข้าไปชิมดูกับ "ขนมจีนป้ามัย"



ขนมจีนสารพัดน้ำยาที่มีให้ลูกค้าเลือกชิมกันได้เนื่องจากอิ่มกันมาสุดๆขอสั่งทานชิมด้วยกัน อร่อยครับผักสดมากมายมีเติมให้ไม่ขาด วางให้ลูกค้ากินแกล้มกับขนมจีน



อิ่มคูณสองขนาดนี้ขอเดินย่อยกันต่อดีกว่าครับ ผมเดินเลี้ยวซ้ายจากแยกดีบุกมาจนถึงสามแยกถนนสตูล มองไปเจอป้ายภัตรคารที่พึ่งเปิดหมาดๆ(ณวันทีเราเดินทางคือ 01/03/10) เราจึงขอเดินเข้าไปชมกันครับ



ที่นี้คือ "อั่วม้อหลาว" อีกแห่งของภูเก็ต เป็นคฤหาสน์พระพิทักษ์ชินประชา ที่ปรับเปลี่ยนมาเป็น ภัตตาคาร Blue Elephant และโรงเรียนสอนทำอาหาร


ผมเดินสำรวจรอบๆทางเจ้าหน้าที่อนุญาติให้ถ่ายภาพได้วันที่ไปเพิ่งเปิดและยังปรับปรุงส่วนด้านหน้ากันอยู่


คฤหาสน์หลังงามแห่งนี้ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นที่นิยมของคนภูเก็ตและนักท่องเที่ยวได้ไม่ยากเพราะภายนอกดูงดงามดีทีเดียว



เดินออกมาจากร้านอาหารผมเดินเลี้ยวกลับไปที่สามแยกและตรงเข้าสู่ถนนสตูล ย่านนี้นับเป็นอีกย่านที่ไม่ควรพลาดเพราะตึกสวยๆแปลกตามีให้ชมตลอดสองฝั่ง



ภาพตึกเก่าๆบางทีผมมองว่ามันก็สวยแบบของมันครับ อย่างภาพนี้ถ่ายตอนคุณยายแกเดินระหว่างตรอกของตึกย่านนี้



เดินเลยเข้ามาได้กลางถนนสายนี้ผมก็เจอ "พิพิธภันฑ์ภูเก็ตไทยหัว" พิพิธภันฑ์หลังงามสง่าแห่งนี้อยู่คู่เมืองภูเก็ตมากว่า 75 กว่าปีแล้ว

เดิมเคยเป็นโณงเรียนสอนภาษาปัจจุบันเป็นที่ๆเก็บสิ่งของและเรื่องราวความเป็นมา วิถีชีวิตจากอดีตจนถึงปัจจุบันของเมืองภูเก็ตแห่งนี้ไว้อย่างดี

เสียดายวันที่เราไปเป็นวันหยุดจึงอดเข้าไปชมอย่างน่าเสียดายจริงๆ (ปิดทุกๆวันจันทร์ครับ นอกนั้นเปิดทุกวันตั้งแต่ 11.00-19.00)



เดินกันต่อครับสองข้างทางทีนี้มีเสน่ห์ให้เก็บภาพได้ตลอดการเดิน



ผมยังเก็บภาพไปได้เรื่อยๆก่อนจะเดินยาวไปจนสุดถนนเข้าสู่ถนนเส้นงามอีกเส้นเดินต่อจนมาทะลุที่ถนนเยาวราช



และข้ามฝั่งมาเข้าสู่ถนนถลางถนนสายฮิพอีกแห่งที่รวมร้านเก๋ๆไว้เพียบใครอยากเดินชิวๆเส้นนี้ใช่เลยครับ


เจอร้านเก๋ๆร้านแรกที่เราจะเริ่มสำรวจกัน ร้าน Larp-yai นี่ผมสะกดตามป้ายหน้าร้านนะครับถ้าผิดพลาดต้องขออภัยด้วย


ข้างในตกแต่งเก๋ดีทีเดียวเอาพวกของเล่นโบราณมาตกแต่งไว้เดินดูเพลินดีครับ



ด้านหน้าร้านมีเก้า้อี้แนวๆ น่านั่งวางไว้รอบๆ



เราเดินกันต่อครับหนทางยังอีกไกลการเดินสำรวจเส้นทางเมือเก่าเรื่องเล่าย่อมมากมาย และที่นี้ยังมีอะไรให้ชมกันอีกมาก

อย่างร้านถัดมาไม่ไกล เป็นร้านอาหารสไตล์จีนอย่าง "ไชน่า อินน์"



ภายในตกแต่งไว้สวยงามดีทีเดียว สีแดงบ่งบอกความเป็นจีนตามชื่อแต่ของตกแต่งผสมผสานกันทั้งจีน-ยุโรบ-ไทยดูน่าสนใจมากๆเลยทีเดียว



ด้านหลังจะเป็นร้านอาหารและทางร้านไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพเพราะอาจจะเป็นการรบกวนแขก อันนี้ยิ่งดีครับเป็นความพิถีพิถันของทางร้านในการบริการดี



ออกมาเดินชมเมืองกันต่อเดินมาเรื่อยๆ ผมเจอโรงแรมแห่งแรกของย่านนี้ที่เดินเจอครับ



เดินต่อมาจนเจออีกร้านนึง "43@talang" เหมือนจะยังไม่เปิดดีสำหรับตอนนี้



เดาว่าน่าจะเปิดในยามค่ำมากกว่า



ผมเดินผ่านร้านมาเรื่อยจนเจอร้าน Sin&Lee เมื่อสมัยอดีตหลายๆสิบปีก่อน เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของเมืองก็ว่าได้



ทุกวันนี้ดูไม่ต่างจากร้านขายของชำทั่วไปแต่ถ้าลองหลับตานึกย้อนไปซัก 20-30 ปี ก่อนคุณอาจจะเห็นห้างขึ้นมาได้ครับ



เลยได้ไอติมมากินแก้ร้อนซะ2แท่ง



เดินดูดไอติมแก้ร้อนมาไม่ทันหมดดีก็เจอร้านฮิพๆอีกร้านที่ไม่แวะก็กระไรอยู่ "ร้านหนังสือ" ร้านน่านั่งที่นักท่องเที่ยวมักจะแวะมาถ่ายภาพแวะชมไม่ขาด



เราเลยแวะตามประสานักท่องเที่ยวที่ดี บรรยากาศภายในตกแต่ง retro สุดๆทั้งเกา้อี้มานั่งหนังสือรวมถึงขอตกแต่งกระจุกกระจิกรวมๆดูแล้วได้บรรยากาศดีจริงๆ



ผมนั่งพักแก้ร้อนเห็นเค้กน่าทานเลยสั่งมาชิมกันหน่อยครับ



ช็อคเค้กน่าทานชิมแล้วโอเคมากๆเลยทีเดียว ไม่หวานเกินจนเลี่ยน อร่อยมากครับ



ชิมจนพุงแทบปริกันดีทั้งคู่ ก็พากันเดินให้มันย่อยกันต่อ มาจนถึงถนนสายสำคัญอีกสายเป็นซอยรมณีย์ ถนนสายฮิตและฮิพสุดๆแล้วในเมืองนี้



ด้านหน้าซอยฝั่งทางเข้าถนนถลางจะมีหลัก กม.โตๆ ใหญ่สุดๆวางอยู่หน้าซอย เดี๋ยวนี้จะให้รู้ว่าแถวไหนฮิตไม่ฮิตเค้าดูกันตรงหลัก กม.แบบนี้ล่ะครับแม้ว่าจริงๆแล้วมันไม่น่าจะมีอยู่ก็ตาม



เข้าซอยมานิดนึงก็เข้าใจว่าทำไหมซอยนี้เค้าฮิตกันจัง ในนี้มีทั้งร้านอาหาร และโรงแรมแนวๆอยู่ทั้ง 2ฝั่งถนนสีสันของบ้านทุกหลังก็ไม่ธรรมดา จี๊ดจ๊าดเรียกคนให้เข้ามาชมได้อย่างดี



ผมเดินต่อเข้าไปจนเจอร้านแรกที่หยุดแวะถ่ายภาพ ร้าน "Glastnost"



ในเวลากลางวันแบบนี้ ที่นี้อาจจะดูหงอยๆบ้างแม้จะมีนักท่องเที่ยวอย่างเราๆแวะมาขอถ่ายรูป หรือสั่งเครื่องดื่มแก้ร้อนเพื่อขอถ่ายภาพบ้างก็ตาม



แต่เมื่อยามเย็นย่ำค่ำมืดในวัีนอาทิตย์มาถึง ที่นี้คือแหล่งรวมนักดนตรีแจ๊สและบูลที่นิยมมาร่ายมนต์ให้คนรักชอบในเสียงดนตรียามค่ำได้มานั่งฟังกันอุ่นหนาฝาคั่งเลยทีเดียว



เสียดายที่ผมมีเวลาเพียงชั่วอาทิตย์ตกและัวันนั้นไม่ใช่วันอาทิตย์ซะด้วยจึงพลาดที่จะขอเสนาะรับฟังกันดูบ้าง


*มุมนี้ขอร้านผมชอบเป็นพิเศษครับ



เดินออกมาจนถึงฝั่งตรงข้ามผมเจอมุมสวยๆของร้านที่ชวนให้ถ่ายภาพกันอีกหน่อย



ร้านละแวกนี้พยายามแบ่งตัวเองให้เห็นกันชัดๆ ด้วยสีสันของแต่ล่ะร้านอย่างร้านนี้สีสุดจี๊ดจริงๆ



ผมเดินลึกเข้าไปต่อด้านในอีกนิดเงยมองขึ้นไปด้านบน ธงไตรรงค์ของเราครับ



ขากลับผมวกกลับมาที่เดินเข้ามาผ่านโรงแรมดูดีอีกแห่งนึง ตกแต่งแนวๆอีกเช่นกัน retro ทั้งย่านจริงๆ



ขากลับเดินเร็วครับเพราะชมมาตลอดเส้นแล้วไม่นานก็ถึงปากซอยอีกครั้งและเราเดินย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อกลับไปที่รถที่จอดไว้



เดินไปเดินมาเริ่มบ่ายคล้อยแ้ล้ว เราเลยตกลงกันข้ามมาอีกฟากของเมืองกันบ้างมาแถวๆ หอนาฬิกากลางเมืองดูบ้าง ทีนี้มีร้านเก่าร้านแก่น่าแวะทานอยู่



"ร้านหมี่ต้นโพธิ์" ร้านหมี่เก่าแก่อีกแห่งของภูเก็ต มาครั้งสุดท้ายก็แวะทานหนนี้ก็ขอสั่งหมี่ฮกเกี้ยน น่าอร่อยมาทานอีกรอบ หน้าตาก็ประมาณนี้เลย น่ากินไหมล่ะ



ผมทานคำแรกรสชาติดูไม่คุ้นเท่าไหร่ เหมือนจะอร่อยน้อยลงกว่าครั้งก่อน จนทานหมดก็ว่าอร่อยดีครับต้องให้มาลองพิสูจน์ด้วยตัวเองดูครับ

ไม่ช้าหมูสะเต๊ะก็ยกตามมา อร่อยครับ กระจาดน้ำจิ้มรสชาติเข้มข้นดี



และสุดท้ายเราจบด้วยชาดำเย็นรสกลมกล่อมพอได้อยู่



และราคาสำหรับพศนี้ครับ ใครมาชิมเลือกเมนูไำด้ตามนี้เลย



ข้อดีของร้านอีกอย่างถ้าใครแวะมาคือจะมีศาลเจ้าอยู่ข้างๆครับเข้าไปสักการะกันได้ตามศัทธาเช่นกัน



ตั้งแต่เช้าเรายังไม่ได้ลองขนมเด่นขนมดังที่มีให้ทานแค่ภูเก็ตเท่านั้นก็ว่าได้อย่าง "โอ๊เอ๋ว" ขับรถไปยังถนนเยาวราช มองหาซอยสุ่นอุทิศไว้

ร้านขายมีอยู่หลายร้าน ส่วนร้านที่เราเลือกแวะเข้าไปชิมขนม "โอ๊เอ๋ว"จะอยู่ตรงข้ามกับซอยพอดี

ขนมโอ๊เอ๋วดูคล้ายวุ้นนี้ ทางร้านมีข้อมูลให้อ่านแก้สงสัยกันด้วยว่ามันทำมาจากกล้วยน้ำว้ากับเมล็ดโอ๊วเอ๋ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายเมล็ดแมงลักมาแช่น้ำ

แล้วนำเฉพาะเมือกมาใส่เจียกอ ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้โอวเอ๋วเกาะตัวกันเป็นก้อนคล้ายวุ้น แล้วนำมารับประทานกับน้ำแข็งใส มีรสชาติหอมหวานชื่นใจ

ผมชิมดูแล้วมันก็คล้ายๆวุ้นครับแต่จะเหนียวกว่าเวลาทานกับถั่วแดงใส่น้ำแข็งใสราดด้วยน้ำแดงอร่อยชื่นใจดีเหมือนกัน นั่งทานอยู่มีรถมาจอดสั่งกันจนเฮียแกมือเป็นระวิงเลยทีเดียว



ชิมทุกอย่างที่อยากมาลองจนหมด ก็ได้เวลาชมรอบนอกเมืองกันแล้ว ผมขับรถมุ่งลงใต้หาทางไปไปยังหาดกะตะไปตามทางหลวงหมายเลข 4233

มองหาป้ายด้านซ้ายมือที่จะบอกไปทางแหลมพรหมเทพหรือ หาดในหาน,หาดดราไวย์ นั้นแหล่ะใช่เลยครับ

จุดชมวิวสำคัญที่เราต้องการมาชมให้ได้ก็คือ "จุดชมวิวสามอ่าว"คุณๆสามารถมาชมวิวได้ทั้งวันส่วนใหญ่จะแวะเที่ยวชมในยามเย็นก่อนจะไปจบที่แหลมพรหมเทพ

ที่นี้สามารถมองเห็นชายหาดสำคัญๆของภูเก็ต ประกอปด้วย หาดกะตะน้อย หาดกะตะใหญ่และหาดกะรน เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวโค้งสวยงามทั้ง 3 หาด



และจุดชมวิวอันเป็นเป้าหมายของแทบทุกคนจะต้องไม่พลาดชมคือ "แหลมพรหมเทพ" ขับรถจากจุดชมวิวสามอ่าวไปไม่ไกลผ่านหาดในหานแค่อึดใจ ผมแนะนำให้เผื่อเวลามากันด้วย

เพราะในช่วงวันหยุดยาวๆทีี่จอดรถจะเต็มง่ายมากจนอาจจะต้องเดินกันไกลกว่าจะถึงทีเดียว



ความงามติดระดับโลกของแหลมพรหมเทพคงไม่ต้องบอกกัน ทุกๆวันจึงมีนักท่องเที่ยวมาแวะชมพระอาิทิตย์ตกที่นี่หนาแน่น



แม้จะเสียดายไม่เห็นพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าอย่างที่หวังก็ยังประทับใจครับ นับเป็นการจบวันที่ "พอดี" กับความงามยามอาทิตย์อัศดงค์ได้อย่างดี



ขากลับผมอยากได้ภาพสวยๆของชายหาดไว้บ้างก่อนกลับจึงแวะหาดในหาน และได้ภาพๆหาดงามที่มีเรือยอร์ชจอดเทียบท่าอยู่ดูสวยแปลกตากว่าหาดอื่นๆ



ยามท้องฟ้าเข้มๆไล่ดวงอาทิตย์หายลับขอบฟ้าไปแล้ว ร่มที่หุบลงบ่งบอกการจบวันบนชายหาดแสนงาม อันเป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของภูเก็ต



ภาพสุดท้ายก่อนลาชายหาดงามๆอย่าง หาดในหาน มีโอกาสจะกลับมาใหม่ครับ



ก่อนขึ้นเครื่องกลับในเที่ยวบินดึกๆของเรา ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยที่จะแวะทานอาหารมื้อค่ำสุดท้ายของทริบนี้

เราเลือกร้านที่หลายๆคนแนะนำมาว่า อร่อยทั้งอาหารและบรรยากาศ ดีเหลือใจอย่าง "ร้านกันเอง@pier"




ร้านกันเอง@pier อยู่ตรงท่าเรืออ่าวฉลอง เปิดมานานและมีการ ปรับปรุงมาตลอด เป็นที่รู้กันของนักท่องเที่ยวที่ไปมา ล้วนประทับใจจนมาบอกต่อๆกัน วันนี้ผมพึ่งมีโอกาสได้มาเยือน



มุมโรแมนติกงามๆในคืนพระจันทร์เต็มดวง เหมาะมากๆสำหรับหนุ่มสาวหรือคู่รักที่โหยหาร้านบรรยากาศดีๆแบบนี้



บรรยากาศรอบๆยิ่งงามไม่แพ้กัน พระจันทร์เป็นใจจริงๆครับ



วิวสวยๆที่อยากชวนให้มาชมกัน



มองรอบๆดูทุกคนดู happy กันทั้งนั้น ไม่ช้าอาหารโต๊ะผมก็ยกมาเราทานอย่างเอร็ดอร่อย ขอบอกว่ารสชาติที่จัดจ้านใช้ได้เลย ไม่ใช่แค่เด่นเฉพาะอาหารอย่างเดียวเท่านั้นครับ รับรองไม่ผิดหวัง

ราคาก็สมน้ำสมเนื้อกับบรรยากาศเช่นกัน


เป็นอันจบทริบอันดามันฉันรักเธออย่างอิ่มเอมใจใจเรามากทั้งคู่ จากนี้ก็บึ่งรถขับยาวกลับตรงไปสนามบินกันเลยครับ มีข้อเตือนสำหรับรถเช่าทั้งหลายนะครับ ถ้าคุณๆต้องคืนรถกันที่สนามบินอย่าลืมแวะเติมน้ำมันก่อนถึงสนามบินะครับเพราะปั้มสุดท้ายเป็นปั้มปตท นั้นอยู่ห่างจากสนามบิน ถึง เกือบ 20 กิโลเมตร ถ้าพลาดปั้มนั้นมาคุณอาจจะต้องจ่ายเงินให้กับทางเจ้าหน้าที่เป็นค่าน้ำมันเพิ่มเติม โปรดระวังอย่าลืมเป็นอันขาด เพราะเราโดนมาแล้ว หลายร้อยอยู่ทีเดียวครับ



จากนี้เราก็ขึ้นเครื่องกลับกันแล้วครับเครื่องออกตอน 4 ทุ่มกว่าและยังเป็น airasia กับศูนย์บาทสุดท้ายที่จองข้ามปีมาก็หมดลงตรงทริบนี้นั้นเอง

หวังว่าทริบนี้ตั้งแต่ หมู่เกาะสิมิลัน-สุรินทร์-ตาชัยและภูเก็ต คงพอจะกระตุ้นต่อมอยากท่องเที่ยวของคุณๆได้บ้าง


ทริบหน้าผมจะเปลี่ยนบรรยากาศเป็นรีวิวที่พักกันบ้าง ยังไงโปรดติดตามไม่นานเหมือนหนนี้ครับ ขอจบท้ายด้วยภาพงามๆของวิวหน้าร้านอาหารแสนประทับใจของเราอีกแห่งครับ

ขอบคุณและสวัสดีครับ





 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 13:12:37 น.
Counter : 3116 Pageviews.  

พาแม่เที่ยว:ฉะเชิงเทรา...อิ่มอร่อยที่ตลาดน้ำบางคล้า



สวัสดีกลางสัปดาห์ครับ
ช่วงวันหยุดใกล้ๆนี้ใครยังไม่รู้จะพาที่บ้านไปเที่ยวไหนกันลองดูที่ผมพาแม่เที่ยวหนนี้ดูอาจจะช่วยให้วันหยุดใกล้ๆนี้สนุกสนานกันได้ทั้งครอบครัวครับ

เที่ยวหนนี้ trip สั้นๆพาแม่เที่ยวอีกครั้งหนึ่งช่วงหลังๆไปไหนมารดาจะไปด้วยกันตลอดครับเที่ยวกันแบบแม่ๆลูกๆ แบบนี้ล่ะครับเป็นสิริมงคลกับชีวิตดี วันนี้เป้าหมายเราคือฉะเชิงเทราครับ เป็น trip เมื่อวันหยุดที่ผ่านมานั้นเอง ไปดูกันตามรูปเลยดีกว่านะ...
** เช่นเคย up ใส่ gallery ไว้แล้วครับสำหรับการชมภาพล้วนๆทั้งหมดที่ถ่ายมาไปดูกันได้เลยครับ
//blog.one22.com/gallerys/momtrip_bangkra


ออก start กันตั้งแต่ 8 โมงเช้าครับ อยากไปให้เร็วหน่อยวันนี้วันหยุดคนอาจจะเยอะได้ออกจากบ้านย่านฝั่งธนขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าไปเส้นสุวรรณภูมินั้นเองครับ ถนนโล่งอย่างที่เห็น


หลังจากขับมาเรื่อยๆ คุณจะเห็นป้ายบอกออกฉะเชิงเทราอยู่ซ้ายมือ แถวๆนี้จะมีป้ายบอกไปตลาดตลองสวน หรือหลวงพ่อโสธร นั้นล่ะถูกแล้วครับเราไปทางเดียวกับเค้าเลย


ขับเข้ามาซักพักมองหาป้ายบอกทางนี้นะครับไปทาง อ.พนมสารคราม ประมาณ 25 กม. สังเกตป้าย ตลาดน้ำบางคล้า ด้านซ้ายมือเอาไว้จะมีปักไว้ตลอดเลย ระบุวันเปิดไว้ด้วยครับเสาร์-อาทิตย์


เช่นเคยไปไหนมาไหนผมเองพึ่งเจ้า gps เป็นส่วนใหญ่ครับ เลยไม่ค่อยจะจำทางเท่าไหร่นัก
ถึงแล้วครับ...
*** ผมขออนุญาติผ่านหน้าเว็บสำหรับรูปทุกๆท่านหลังจากนี้นะครับ ผมเซ็นเซอร์บางท่านแต่บางท่านอาจจะติดเข้ามา ท่านใดที่มีรูปติดในภาพชุดนี้และไม่ต้องการให้ปรากฎแจ้งมาครับผมจะนำภาพนั้นๆลงทันทีครับ


เดินเข้ามาปุ๊บ ทางจะพาให้เรามาลงแพกัน พอลงมาปุ๊บบรรยากาศที่เราจะเจอ พ่อค้าแม่ขาย ริมสองฝั่งแพเลย เดินสนุกดีทีเดียว


หลังจากหาที่นั่งให้มารดาได้ผมเลยสำรวจของกินกันหน่อย...


ลูกค้าเวลาสั่งอาหารก็ก็แบบง่ายๆล่ะครับเข้าคิวยืนรอกันแบบนี้เจ้าไหนอร่อยคนรอกันเพียบ


เดินมันเลยแวะซื้อนั้นซื้อนี่ไปถ่ายรูปไป


ซักพักกลับมานั่งโต๊ะสั่งผัดไทยมาชิมกันหน่อยอร่อยพอได้ครับ



ผมว่าเสน่ห์ของตลาดน้ำก็ตรง บรรยากาศที่คึกคักแบบนี้ล่ะนะที่ทำให้มันมีเสน่ห์



อิ่มดีถึงเวลาเดินชมตลาดกันต่อแล้วครับ ภาพส่วนใหญ่เก็บอิริยาบทพ่อค้าแม่ขายซะส่วนใหญ่ครับ

คนซื้อก็สนุกคนขายก็ได้สตางค์บรรยากาศไทยๆอันเป็นเสน่ห์ ถึงแม้ตลาดนี้จะเปิดมาไมได้นานแต่ก็ศึกษาและทำให้ที่นี่น่าเดินดีครับ


รูปนี้ถ่ายร่มครับไม่มีอะไรมากเห็นสวยดี


เดินเก็บภาพกันต่อครับคนมาเริ่มเยอะแล้วบ่ายๆแล้วครับ มีออกเรือพานักท่องเที่ยวชมสายน้ำกันเป็นรอบๆเรือก็ลำใหญ่แบบนี้ก็มีเล็กก็มีครับ


ร้านพี่เค้าขายไอติมครับเวลาตักแกตั้งใจมากๆเลย รอนานหน่อยแต่ก็อร่อยสมความตั้งใจจริงๆ


เดินมาเรื่อยๆจนจะสุดแพก็จะมีเรือรอพาเที่ยวชม ข้ามไปเกาะลัด ด้วยครับ


ตัวเกาะลัดนี้จะอยู่ตรงข้ามกับตรงตลาดเลยครับ เป็ฯเกาะที่มีชุมชนชาวบ้านเข้าไปอาศัยอยู่และที่สำคัญมี การทำ โฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้ข้ามไปเที่ยวและพักได้ด้วย...


เรือที่เห็นขออภัยนะครับว่าจะจดกลับมาเล่าว่าเรียกว่าเรืออะไรเพราะระหว่างจดๆจ้องๆหามุมถ่ายรูปคุณพี่ที่อยู่ตรงท่าคุมคิวเรือก็ชวนเราลงไปเที่ยวที่เกาะพร้อมอธิบายเรือที่จะนั่งไปให้เราทราบได้ประโยชน์ดีจริงๆ..


พี่อธิบายถึงที่เกาะให้ผมฟัง ฟังไปก็อยากไปแต่มารดาไม่ค่อยอยากนั่งเรือขึ้นลงยากก็เลยบายไปก่อน ไว้คราวหน้าจะมาเที่ยวให้ได้เลยเกาะลัด...ก่อนกลับ ผมสัญญากับพี่เค้าไว้ว่าจะมาช่วยโปรโมทให้คนเค้าไปกัน เลยขอถ่ายโปรโมชั่นนอกงานเที่ยวไทยให้ใครที่สนใจอยากไปเที่ยวชมและแวะพักกันได้ครับดูได้จาก รูปนะครับ


น่าสนับสนุนครับเกาะที่นี้ผมว่ายังสามารถรองรับคนให้แวะไปเที่ยวได้อีกพอสมควรเลยทีเดียว ยังถือว่าใหม่กับการท่องเที่ยวทีเดียว เสียดายไม่ได้ข้ามไปน่าไปน่าไป...เรืออีกแบบของที่นี่ครับ


ถึงเวลากลับกันแล้วครับแดดกำลังดีเลย


มองกลับไป...แล้วจะมาใหม่นะ ประทับใจดีครับ ชอบที่แม่ขาพ่อค้ายิ้มแย้มแจ่มใส และบรรยากาศริมน้ำที่ยังสะอาดสะอ้านดีเลย คนก็ไม่เยอะแยะต้องแย่งกันมากๆ มีโอกาสคงจะได้มาอีกแน่ๆ...หันไปไปถามมารดาว่าชอบไหมแกยกนิ้วให้...แสดงว่าถูกใจกันทั้งแม่ทั้งลูก


คุณน้าแกขายบะจ่างครับพร้อมโฆษณาของๆแกและยังมีภาพถ่ายยืนยันการออกทีวีมาแล้วหลายๆรายการ ...


หลังจากนั้นเราก็ออกมากันและผมเองอยากแวะซื้อขนมเปี๊ย ที่ตอนมาขับผ่านดูน่าซื้อทีเดียวเลยแวะกันหน่อยร้านนี้เลย


ในร้านมีหลากหลายแบบเลยร้านนี้เค้าบอกว่าเป็นเจ้าแรกของทีนี่ผมซื้อติดมานิดหน่อย เพราะยังเหลืออีกที่ๆคงได้แวะขากลับร้านขนมเปี๊ยเจ้าดังของย่านนี้นั้นเอง


และร้านที่ว่าก็คือ ร้านนี้เลย


ร้านเค้าแต่งได้ดีทีเดียว ไปดูกันดีกว่าผมผ่านมาหลายๆครั้งแล้วไมได้แวะซักทีหนนี้หนแรกครับ


ป้ายหน้าร้าน...


เข้ามาภายในเจอกับหน้าแรกน่าจะเป็นการตกแต่งผสมกับร้านในสมัยก่อนครับเก๋ดีทีเดียว


ภาพในอดีตเที่ยบกับปัจจุบัน
..มีขนมเปี๊ยหลากหลายมากๆทีเดียวของกินเยอะมาก


น่ากินน่าซื้อกลับไปบ้านเพราะเค้าออกแบบ package ต่างได้ดีทีเดียวผมเดินชมรอบๆก่อนครับดูกันนะ


มีหนังสือขายเป็นที่ระลึก...


มุมนั่งชิมและชมในร้านครับ..วันที่เราไปกันคนเยอะพอควรทีเดียว


ของที่ระลึกก็มีครับน่ารักดีนะผมว่า
ในร้าน


ออกมาชมร้านขายของทีระลึกกันหน่อยระหว่างเดินออกมาเจอสวนปลูกต้นลีลาวดีไว้เยอะเลย


นับว่าที่นี่ดึงให้ผมอยู่นานมากๆเลยจะมีอะไรมั่งเข้าไปดูกันดีกว่า

ในร้านตกแต่งได้ผสมผสานกันดีครับไทย-จีน


มุมนั่งชิมและเลือกของฝากกลับบ้านได้


มุมนั่งชิวๆน่านั่งๆนอนๆได้เลย


ไปเดินดูของกันดีกว่าอย่างที่บอกครับผมเพลิดเพลินจริงๆกับในนี้


ตุ๊กตาดูแล้วนึกถึงอดีต...



เห็นแล้วอยากควั่กตังยื่นให้เลย ...แต่พอถามราคาก็ค่อยๆวางกลับไปที่เดิม...แหะแหะ


อาราเร่...

และเจ้าหนูอะตอม..


ของเล่นอื่นๆ


มุมนู้นก็น่าซื้อ


มุมนี้ก็น่าเอากลับบ้านเลยได้สมุดท่านเหมากลับมาเล่มนึง


นี่ก็น่าเก็บ


หลากหลายดีจัง


ป้ายนี้บอกที่มาที่ไปของร้านถึงปัจจุบัน และ concept ของการออกปบบใหม่อย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นเอง


เพลินๆอีกพักใหญ่ก็ได้เวลากลับกันแล้วครับ...


หลังจากนี้ก็บึ่งรถกลับกันเลยครับ..นับเป็นtrip ไปง่ายๆใครๆก็ไปได้ใช้เวลาไม่มากนักครึ่งวันก็เที่ยวได้แล้วเหมือนกัน ผมคงจะได้กลับมาที่นี้อีกแน่นอนคิดไว้ว่าจะพาน้องๆที่ออฟิตมาเที่ยวกันอีกโดยเฉพาะเกาะลัดและร้านนี้คราวหน้าเจอกันแน่ๆ...สวัสดีครับคุณๆผู้อ่านทุกคน...แล้วพบกันใหม่นะครับ




 

Create Date : 28 เมษายน 2553    
Last Update : 28 เมษายน 2553 11:04:21 น.
Counter : 8033 Pageviews.  

รีวิวที่พัก:บ้านดิน...บ้านรักษ์ธรรมชาติของ คุระบุรีกรีนวิว รีสอร์ท



สวัสดีครับ

ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา พาคุณๆเที่ยวทะเลฝั่งอันดามันกันจนช่ำหัวใจ จนเป็นที่มาของรีวิวทั้ง 3 ตอน

เกาะสิมิลัน...ฉันรักเธอ

เกาะตาชัย The New Heaven of South Sea

เกาะสุรินทร์ The Spirit of sea

วันนี้เลยขอพาไปเที่ยวรีสอร์ทที่มีโอกาสได้กลับไปสัมผัสอีกครั้งกับรีสอร์ทแห่งแมกไม้กับสายธารที่ซ่อนตัวอยู่ในร่มเงาของป่าไม้ฤดูฝนที่ร่มรื่น และเป็นโอกาสที่ดีในช่วงที่เราไปถึง ทางรีสอร์ทได้เปิด Zone บ้านแบบใหม่พอดี เป็นสไตล์ Clay Houseและ ฺBamboo Cottage เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้เราได้เข้าพักนับเป็นแบบบ้านที่น่าสนใจดีทีเดียว

น่าพักแค่ไหนเชิญชมกันดีกว่าครับ

ชมภาพทั้งหมดทั้งจากรีวิวและนอกเหนือจากนี้ที่บันทึกไว้ใน Gallery ของบ้านดินได้เลยที่นี้ครับ

//blog.one22.com/pics/relax/south/baandin_kuraburi





นับจากครั้งสุดท้ายที่ได้มาพักมาเกือบปีพอดีครับ การกลับมาเยือนหนนี้ รีสอร์ท คุระบุรีกรีนวิว มีความเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมขึ้นมาพอสมควร ผมได้รับคำชักชวนของ พี่จันทร์ ผู้จัดการและเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้เมื่อตอนไปถึง ได้แนะนำบ้านใหม่ที่ดูน่าพักมากๆให้กับพวกเรา "บ้านดิน" หรือ จะเรียกว่า Nature zone ที่พึ่งสร้างขึ้นมาก่อนเราจะเข้าพักได้ประมาณ เดือนเศษๆ



พี่จันทร์สร้างโดยมีแนวคิด รักธรรมชาติ วางแนวคิดการสร้างบ้านที่แตกต่างจากโซนเดิมๆของที่รีสอร์ทที่เปิดให้บริการมาทั้งจากบ้านแบบ cabin ที่ผมได้เข้ามาพักคราวก่อนหรือ ห้องพักแบบโรงแรมด้านหน้า มาดูกันดีกว่าว่าบ้านแบบนี้เป็นยังไงนะครับ



ความรู้สึกแรกที่เข้ามาสัมผัสผมพบกว่าเป็นที่พักที่ร่มรื่นมากทีเดียว วันที่เราเข้าพักเป็นวันธรรมดาคนจึงน้อยมากจึงเลือกห้องพักได้ เราเลือก บ้านราตรี 01 เป็นบ้านแรกจากทางเข้าด้านใน เป็นหลังที่มุมสวยและวิวดีใช้ได้ด้วยรูปแบบบ้านเป็นทรงกลม

แบบบ้านจะมีอยู่ 2 แบบคือบ้านดินและบ้านไม้ไผ่ ติดริมลำธารด้านหน้าบ้าน สามารถออกมานั่งสบายๆได้ในช่วงเย็น



ทุกหลังมีความเป็นส่วนตัวดีทีเดียวโดยเฉพาะหลังฝั่งที่ติดริลำธารเพราะด้านนี้บ้านจะหันหลังให้กับทางเดินจึงไม่มีใครมองเข้ามาได้



มาดูภายในห้องราตรีกันบ้าน ด้วยความใส่ใจในรายละเอียดบ้านแต่ละหลังจึงมีความแตกต่างของการตกแต่งภายในกันอยู่ แต่ด้วย concept ความเป็นบ้านดินทุกหลังทั้งภายในและภายนอกจึงปลูกสร้างโดยมี ดินหลากหลายชนิดที่ทางรีสอร์ทได้ค้นหามาจนเหมาะสมกับการสร้างบ้านแบบนี้



ภายในตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติเริ่มที่ผนังกันก่อนผนังภายนอกเป็นดินเหนียวผสมกับวัสดุธรรมชาติอย่างแกลบและฟางเพื่อยึดให้ดินจับตัวกันได้แข็งแรง ส่วนภายในจะเป็นดินเหนียวที่นำมาร่อนออกให้เป็นดินละเอียด เพราะฉะนั้นเวลาเราจับผิวสัมผัส ทั้ง 2 ด้านจะต่างกันภายในจะมีความเหนียว และเนื้อละเอียดกว่ารู้สึกได้เมื่อลองสัมผัสดู ภายในจึงเก็บความเย็นได้อย่างดี



ผสมกับการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากไม้และกะลา มาทำเป็นโคมไฟหัวเตียง เตียงไม้ที่แข็งแรงรองรับกับเตียงที่นุ่มกำลัีงดีไม่นิ่มเกินไป และหมอนที่ตกแต่งด้วยลวดลายพื้นบ้านของภาคใต้ดูเข้ากันดี มากๆครับ



ช่องไฟและช่องลมด้านล่างของระแนงไม้รอบๆ ช่วยให้ยามค่ำคืนลมเย็นๆ พักเข้ามาตลอดไม่ร้อน ด้วยแนวคิดของการใช้วัสดุจากธรรมชาติทั้งหมดทำให้บ้านแบบนี้ไม่ติดตั้งแอร์นะครับ พราะความเป็นบ้านดินที่ภายในเก็บกักความเย็นได้ด้วยอุณหภูมิที่คงที่ตลอดทั้งวัน บวกกับความสูงของหลังคามุงจากวัสดุธรรมชาติที่แข็งแรงและหลายชั้นบ้าน ยามค่ำคืนที่ผมพักที่นี้ ต้องพึ่งผ้าห่มทุกคืนเลยทีเดียวแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อนอย่างปลายกุมภาพันธ์

วันที่ผมไปดำน้ำที่เกาะสุรินทร์ตอนกลับมาถึง ถามจากคนข้างๆเค้าอยู่ในห้องทั้งวันก็บอกว่าเย็นดี



ในห้องมีผลไม้ให้เราทานด้วยเป็นกล้วยใส่ตะกร้า วางในห้องพร้อมทานเลย



อุปกรณ์ภายในที่เหลือก็ครบถ้วนมี dvd,tv,ตู้เย็น ให้ได้ใช้งานปลั๊กไฟมีอยู่หลายจุดใครที่พกอุปกรณ์พกพาเยอะๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลยครับ



มาดูตรงห้องน้ำบ้างครับอยู่ปลายของเตียง แบ่งเป็นส่วนเปียกและแห้งแยกกันเป็น 2 ชั้น 2 ระดับ เราเปิดประตูเข้าไปจะเจอส่วนแห้งก่อนครับสีผนังสุดแสบสจัดจ้าน กว้างใช้ได้แยกเป็นอ่างล้างหน้าด้านซ้าย



ของใช้ภายในห้องน้ำก็มีให้เป็นมาตรฐาน



และ ขวาจะเป็นโถสุขภัณฑ์ตัดกับสีสันของผนังสีแดงสดสวยดีครับ



พร้อมชั้นวางของเก๋ๆสไตล์ ตั้งแต่ผมเคยพักรีสอร์ทมาเพิ่งมีที่นี้ละ่ครับที่มีผ้าขาวม้าและผ้าถุงสไตล์พื้นบ้าน แขวนไว้ให้เราได้ใช้ด้วยเข้ากันดีกับ Concept eco hut เก๋ดีครับสีสันก็เด่นเหลือเกินทีเดียว



มาดูส่วนเปียกบ้างจะเล่นระดับลงไปอีกชั้นครับเป็นฝักบัวแบบ rain showerอยู่ภายนอกเป็น open air กลางคืนสามารถอาบน้ำชมดาวได้เลยนะ สีสันสดใสอีกเช่นกัน มีข้อระวังนิดหน่อยตรงหลังนี้ติดต้นไม้ครับอาจจะมีแมลงหลุดเข้ามาได้ยิ่งกลางคืนต้องระวังซักกันหน่อยครับ



เดินชมบรรยากาศรอบๆของรีสอร์ทกันหน่อยครับ ยามค่ำมาถึงที่นี้อยู่ในไหล่เขานะครับ แต่ไม่อับลมแต่อย่างใดที่สำคัญตัวบ้านแบบใหม่อยู่ห่างจากถนนหน้ารีสอร์ยิ่งทำให้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงนก เสียงแมลงเท่านั้นเอง



ผมเดินเลยขึ้นมาที่ส่วนของร้านอาหารวิวเมื่อมองจากร้านอาหารเข้าไปที่ส่วนห้องพักที่ดูร่มรื่นดีครับ ด้านซ้ายจะเห็นสระว่ายน้ำด้วย



สระว่ายน้ำไม่เล็กไม่ใหญ่แต่น่าว่ายดีครับ



ผมเดินกลับมาเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำเพื่อทานอาหารค่ำผ่านบ้านดินฝั่งด้านในได้เก็บภาพมาอีก [บ้านแต่ละหลังภายนอกดูคล้ายๆกันหมดแต่ภายในตกแต่งไม่เหมือนกันครับ



มื้อค่ำวันนั้นเสียดดายที่ผมลืมหยิบขาตั้งไปเลยไม่สามารถเก็บภาพอาหารมาให้ได้ จะบอกว่ามื้อนี้อร่อยสุดๆทั้ง ปูนึ่งจานใหญ่ แกงต่างๆที่อร่อยมากน้ำพริกกุ้งเสียบนี้รสชาติเด็ดจริงๆ เป็นมื้อที่อร่อยมากอีกมื้อของเราที่สำคัญโดยเฉพาะปูผมเกาะจนเมื่อยเลยทีเดียว สุดท้ายเลยได้รูปน้ำแตงโมปั่นท่ามกลางแสงจันทร์มาฝากกันแทนก่อนจะกลับไปนอนดู SME ตีแตกของคุณปัญญาจนหลับเลยยาวเลย



เช้าๆผมตื่นเช้าอีกเช่นเคยเช้านี้ผมต้องลาจากที่นี้เพื่อไปต่อแล้ว มาดูมื้อเช้ากันหน่อยที่เป็น ไลน์บุฟเฟ่ห์ อาหารค่อนข้างดีทีเีดียวมีให้เลือกพอสมควร



ที่ผมติดใจคือขนมครับตรงริมๆนั้นเป็นข้าวเหนียวปิ๊งธรรมดาแต่ก็นับว่ารสชาติดีใช้ได้แต่ ข้าวเหนียวปิ๊งอีกชนิดนั้นสิที่เป็นแท่งยาวๆไม่เคยทานมาก่อนเลย มันรสชาติคล้ายๆแบบขนมใส่ไส้ที่กรุงเทพฯก็ว่าได้เลยเติมซะั 2 รอบเลยครับ อร่อยดี



ถึงเวลาต้องไปต่อแล้ว ผมมีความคิดเห็นเล็กน้อย สำหรับบ้านดินแล้ว หลายๆคน อาจจะห่วงถึงห้องพักที่ไม่ติดแอร์อาจจะร้อน แต่อย่างที่บอกไปกลางคืนผมต้องนอนห่มผ้ากันเลยทีเดียว ข้างในบ้านดินเก็บความเย็นไว้ในอุณหภูมิที่คงที่ตลอดทั้งวัน

จะมีที่ผมอยากให้ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อแขกที่เข้าพักจะได้มั่นใจก็คือการติดมุ้งลวดเพื่อกันยุงครับ เพราแขกจะได้เปิดหน้าต่างเพื่อรับลมได้มากขึ้น และกันยุงด้วยนั้นเอง เพราะทำเลที่ตั้งของบ้านพักชุดนี้ติดริมน้ำความเย็นทีไ่ด้จึงมาพร้อมยุงด้วยนั้นเอง อ่อตรงด้าหลังที่เป็นห้องน้ำหลังที่ผมพักถ้ามีกรตัดกิ่งไม้ออกไปบ้างเพื่อ กันแมลงจะไต่เข้ามาได้ก็ยิ่งดีมากๆเช่นกันครับ
map_kuraburi

ตลอดเวลา 2 วัน 2 คืนที่ได้พักทีนี้ประทับใจมากๆ กับการบริการที่ได้รับบวกกับอัธยาศัยไมตรีของ พนักงานทุกคนแต่น้องๆยกกระเป๋าไปถึงพนักงานดูแลทั้งโรงแรมและร้านอาหาร ที่สำคัญที่ต้องขอบคุณพิเศษ "พี่จันทร์"เจ้าของที่พักแห่งนี้ที่ดูแลและคอยเอาใจใส่แขกเป็นอย่างดีและไม่ถือตัวแต่ อย่างใด ตอนเราจะออกจากที่พักยังเกือบจะมายกกระเป๋าให้แทนพนักงานที่พอดีติดลูกค้าอยู่จนเราเกรงใจจริงๆครับ และ "คุณเม่น" ที่เป็นธุระติดต่อประสานงานให้เราได้ไปทริบดำน้ำสวยๆตลอดทั้งทริบนี้ทั้งที่หมู่เกาะสิมิลัน เกาะตาชัยและ หมู่เกาะสุรินทร์ ปีต่อๆไปถ้าได้มาที่พังงาอีกผมคงไม่พลาดจะแวะมาทีนี้อีกแน่นอนทีเดียว สำหรับราคาห้องพักบ้านแบบนี้สามารถสอบถามได้ที่รีสอร์ทนะครับ ที่ //www.kuraburigreenviewresort.com เบอร์ติดต่อก็ Tel. (66) 076-401-400-6 แผนที่ด้านบนจากเว็บไซต์ของทางรีสอร์ทครับ ลองติดต่อกันดู

cover_phuket
หนหน้าจะพาไปเที่ยว city tour กันบ้างครับ กับเมืองแห่งวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สุดแห่งนึงของภาคใต้บ้านเรา "ภูเก็ต" ติดตามกันได้เร็วๆนี้ครับ




 

Create Date : 26 เมษายน 2553    
Last Update : 26 เมษายน 2553 17:11:51 น.
Counter : 5400 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

1twenty2
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




Friends' blogs
[Add 1twenty2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.