|
multiculture
คำว่ามัลติคัลเชอร์เป็นคำอเมริกัน โดยอเมริกัน แต่จะเพื่ออเมริกันหรือเปล่านั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดหลายตลบพอสมควร
"มัลติ" มันแปลว่า "มาก" และ "คัลเชอร์" คือ "วัฒนธรรม" ดังนั้นเราจึงสามารถแปลคำนี้ได้คร่าว ๆ ว่า "มีหลายวัฒนธรรม"
ที่จริงแล้วคำคำนี้เป็นคำค่อนข้างใหม่ คือเกิดขึ้นราว ๆ ช่วงทศวรรษ 1960 และถ้าถามว่าทำไมเกิดขึ้นมาได้ ก็คงต้องเล่าย้อนไปอีกไกลมากพอสมควร
เรื่องของเรื่องก็คือ อเมริกานั้นเป็นประเทศที่ค่อนข้างใหม่มาก ( ประกาศเอกราชในปี 1776 ) และตอนที่ตั้งประเทศใหม่ ๆ นั้น มันเป็นประเทศด๋อยที่ยินดีรับคนทุกประเภททุกชาติเข้าไปอย่างยิ่ง ไม่จำกัดเฉพาะคนที่มาจากเรือเมย์ฟลาวเวอร์เท่านั้นหรอก ( เพราะถ้าจำกัดเฉพาะเรื่องเมย์ฟลาวเวอร์คงมีคนไม่ถึงหมื่น ) ดังนั้นจึงเป็นความภาคภูมิใจใหญ่หลวงของอเมริกันชนในสมัยนั้นว่ามันเป็น "ประเทศของผู้อพยพ"
ดังนั้นตั้งต้นมา ประเทศอเมริกาก็เป็นประเทศร้อยพ่อพันแม่โดยแท้ ถึงขนาดที่มีคนตั้งคำถามไว้ว่า ต่อไปอะไรเล่าจะเป็นความหมายของ "การเป็นอเมริกัน" และอะไรคือ "คนอเมริกัน"
ความพยายามอย่างหนึ่งในการอธิบายความเป็นอเมริกา ก็คือทฤษฏี "หม้อหลอมทางวัฒนธรรม" ( melting pot ) ซึ่งเสนอความคิดว่าทุกคนที่เข้ามาในอเมริกา จะถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นอเมริกันชนทั้งหมด ดังนั้นวัฒนธรรมอเมริกันจึงเป็นวัฒนธรรมเดี่ยว อันเกิดมาจากการหลอมรวมกัน
เวลาผ่านไป ทุกคนดูจะพอใจในความคิดข้อนี้
แต่เราต้องบอกว่าที่จริงแล้วมันเป็น term ที่มีปัญหา เพราะในความจริง สิ่งที่หม้อใบนี้ยอมรับไปหลอมนั้นมีจำกัดมาก
ในความเป็นจริง วัฒนธรรมอเมริกันได้เลือกที่จะรับผู้อพยพจำนวนหนึ่ง และละทิ้งผู้อพยพจำนวนหนึ่งไปโดยประหนึ่งว่าบุคคลเหล่านั้นหามีตัวตนไม่ คนกลุ่มนี้ได้แก่คนผิวสี เพราะชาติอเมริกันนั้นถือแล้วว่าตัวเองเป็นชาติของคนผิวขาว
แต่ปัญหาก็คือ คนผิวสีก็ยังคงหัวโด่อยู่แถวนั้น ไม่ได้หายไปไหนเลย และออกจะรู้สึก ๆ อยู่ว่า "เอ็งเอาข้ามาเองนี่หว่า" ( คนผิวดำ ) "ข้าก็อยู่มาพร้อม ๆ กับเอ็งนั่นแหละ" ( คนผิวเหลือง ) และ "ข้าอยู่มาก่อนไม่ใช่เหรอ" ( อินเดียนแดง )
เราพูดจริง ๆ ว่าถึงเรื่องบางอย่างนั้น ถึงบางคนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เป็นไม่มี แต่ถ้ามันมี และมันก็อยู่ของมันตรงนั้นแล้ว จะห้ามไม่ให้มันไม่มีไม่ได้ ดังนั้นประเทศอเมริกันจึงประสบปัญหาเรื่องการจัดการกับคนที่อยู่นอกวัฒนธรรมกระแสหลักมาเรื่อย ๆ ตลอดประวัติศาสตร์ และวิธีที่จะจัดการกับคนพวกนี้ก็มีตั้งแต่ฆ่าทิ้งให้หมด ออกกฏหมายห้ามเข้าประเทศ ไปจนกระทั่งถึงใช้วิธีกันให้อยู่ต่างหาก
แต่ปัญหามันก็ยังอยู่ที่เดิม และความขมขื่นก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น อเมริกาได้เสนอแนวคิดระหว่างสงครามว่า "ทุกคนควรสมานฉันท์กัน" เพื่อจะได้รวมพลังต่อต้าน "ภัยจากภายนอก" ดังนั้นคนผิวสีส่วนใหญ่จึงได้รับฐานะที่ดีขึ้น ( ไม่นับญี่ปุ่น...ซึ่งชะตากรรมของแจแปนนิสอเมริกันนั้นเลวร้ายมากพอสมควรทีเดียว... ) คนผิวสีจำนวนไม่น้อยพอใจกับความหวังว่าหากแสดงความจงรักภักดีต่อประเทศชาติให้เห็นกันชัด ๆ แล้ว ต่อไปเมื่อสิ้นสงคราม สภาพของพวกตนจะดีขึ้น ดังนั้นเราจึงพบบันทึกมากมายที่พูดถึงความกล้าหาญของทหารผิวดำ ไชนีสอเมริกัน และกระทั่งแจแปนนิสอเมริกัน
แต่พอสิ้นสงครามแล้ว สภาพทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นจึงลุกลามไปเรื่อย ๆ และพอตกราว ๆ ช่วง 1960 มันก็สุกงอมเต็มที่ ทศวรรษที่ 1960 นั้นเป็นทศวรรษอันวุ่นวาย เป็นการต่อสู้ของคนผิวสี โดยเฉพาะผิวดำ ( มี ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง เป็นต้น ) เป็นช่างปีที่เขาเรียกว่าปี civil right movement ซึ่งนำไปสู่การตื่นตัวขึ้นของคนผิวสีและกลุ่มคนที่อยู่นอกกระแสหลักอื่น ๆ และนำไปสู่ความพยายามที่จะเปล่งเสียงของคนนอกกระแสให้คนในกระแสได้ยินบ้าง
ความตื่นตัวดังกล่าวส่งผลไปถึงความพยายามทางการเมืองและวัฒนธรรมที่แก้ปัญหา ตลอดไปจนกระทั่งถึง conscious ของประชาชนเกี่ยวกับความจริงว่ามันมีคนนอกกระแสอยู่ ดังนั้นจึงเกิด term ใหม่คือ มัลติคัลเชอร์ขึ้น เพื่อเสนอคตินิยม ( ideology ) ใหม่ว่าชาติอเมริกันนั้นเป็นชาติของความหลากหลายทางวัฒนธรรม และภายใต้ร่มของความเป็นอเมริกันแล้ว วัฒนธรรมทุกวัฒนธรรมจึงควรจะได้รับยกย่องและ "มองเห็น" เสมอกัน
Create Date : 29 ธันวาคม 2548 |
Last Update : 29 ธันวาคม 2548 1:33:22 น. |
|
2 comments
|
Counter : 564 Pageviews. |
|
|
|
โดย: wanderer IP: 203.188.48.154 วันที่: 17 มกราคม 2549 เวลา:12:12:36 น. |
|
|
|
| |
|
|
เป็นคนเชื้อสายจีนในไทยคนหนึ่งที่ปีหนึ่งไหว้เจ้ามากครั้งจนนับไม่ไหว แต่ไม่เคยรู้สึกผูกพันจีนแผ่นดินใหญ่เลย มีแต่พ่อเราอ่ะนะ ชื่นชมประเทศจีนจริ๊งง (อ้อ เราเป็นรุ่น 3 ค่ะ พ่อที่เป็นรุ่น 2 ก็เกิดและโตในไทย)