คิดถึง...ชั้นเรียนวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยนเรศวร
มีคนเคยถามว่า "เบื่อไหมที่ต้องสอนวิชาเดิมๆ หัวข้อเดิมๆ วันละหลายๆรอบ?" สำหรับผม ถึงจะเป็นหัวข้อเดิมๆที่ต้องสอนแต่ผู้เรียนแตกต่างกัน บรรยากาศในชั้นเรียนจึงมีสีสันต่างกัน ที่สำคัญลูกศิษย์ที่สอนโดยมากใส่ใจในเนื้อหาที่ผมสอนมากกว่าจะสร้างปัญหาในระหว่างที่ผมสอน บางกลุ่มอาจจะคุยกันในระหว่างที่สอน แต่เมื่อปรามและตำหนิในชั้นเรียน...นิสิตเหล่านั้นก็มีความเกรงใจที่จะไม่สร้างปัญหาขึ้นมาอีก ดังนั้นการสอนซ้ำๆๆๆๆๆจึงไม่รู้สึกเบื่อ ตรงข้ามตอนที่ลูกศิษย์ตั้งใจฟัง จดจ่อกับสิ่งที่ผมสอน คิดตาม และเกิดความรู้ใหม่ๆ และมีแววตาที่มีความสุขที่ได้เรียนเนื้อหาที่สอน ผมในฐานะครูของพวกเขารู้สึกมีความสุข และได้รับพลังจากลูกศิษย์ในการสอนเนื้อหาแก่พวกเขาต่อๆไป มีเหมือนกันที่รู้สึกเหนื่อยกับการสอน.....เพราะผมต้องรับผิดชอบสอนวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจถึง 4 กลุ่ม ภายหลังจากสอนเสร็จ นิสิตจะต้องเขียนสรุปเนื้อหาที่เขาเรียนรู้ในชั้นเรียนวันนั้นออกมาเป็นคีย์เวิร์ด เพื่อผมจะได้ทราบว่าลูกศิษย์ที่ผมสอน....พวกเขาเข้าใจเนื้อหาที่เรียนมากน้อยแค่ไหน เข้าใจถูกต้องไหม สิ่งที่ผมสอนกับสิ่งที่พวกเขาเข้าใจตรงกันไหม? งานตรวจคีย์เวิร์ดลูกศิษย์เหมือนเป็นการบ้านอย่างหนึ่งที่พวกเขาส่งมาให้ผมตรวจหลังจากเรียนจบ.....เป็นภาระที่ผมสร้างขึ้นมาแต่ช่วยทำให้ผมทราบว่าลูกศิษย์ผมคิด เชื่อ และเข้าใจอย่างไรกับเนื้อหาที่เรียนไป นิสิตที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้ทั้ง 4 กลุ่มมีจำนวนถึง 236 คน การตรวจคีย์เวิร์ดของนิสิตทุกคนถือเป็นภาระงานที่เอาเรื่อง เพราะผมเช็กข้อความที่นิสิตทุกคนเขียน ใช้เวลามากทีเดียวแต่เราได้เห็นมุมมองและความเข้าใจของลูกศิษย์ที่มีต่อชั้นเรียนที่พวกเขาเรียน
คีย์เวิร์ดจึงเป็นเหมือนเสียงสะท้อนจากผู้เรียน คีย์เวิร์ดแต่ละวันต่างมีสีสันแตกต่างกันไป
นิสิตมักคุ้นเคยกับการทำงานกับเพื่อนที่สนิทกัน...แต่ในความเป็นจริง โลกของการทำงาน พวกเขาไม่มีสิทธิเลือกคนที่เป็นเพื่อนร่วมงาน รวมถึงหัวหน้าด้วย ดังนั้นกิจกรรมในชั้นเรียนวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่มีผมเป็นอาจารย์ผู้รับผิดชอบสอน จึงถูกออกแบบฝึกให้ลูกศิษย์พร้อมที่จะก้าวไปสู่โลกของการทำงาน โลกในชีวิตจริง หัดทำงานกับคนที่ไม่คุ้นเคยและต้องสามารถทำงานร่วมกับคนที่ไม่สนิทได้
ในการนำเสนอรายงานกลุ่มด้านหน้าชั้นเรียน....แต่ละกลุ่มต่างพยายามดึงเอาความคิดสร้างสรรค์มาช่วยในการทำคะแนนให้สูงขึ้น แต่ข้อจำกัดตรงที่กลุ่ม 1 และ 3 เรียนวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจต่อเนื่อง 3 คาบ เขาจึงมีเวลาเตรียมตัวน้อยกว่ากลุ่ม 2 สาขาการบัญชีที่เรียนวันจันทร์ 2 คาบแล้วไปคร่อมวันศุกร์ 1 คาบ
ตอนนั้นละคร "ทองเนื้อเก้า" กำลังดัง คนติดละครเรื่องนี้กันมาก.....นิสิตกลุ่มเอกสาขาการบัญชี เลยโยง "ลำยอง" เข้ามาโผล่ในการนำเสนอกลยุทธ์ทางธุรกิจกรณีศึกษา "บริษัทสงกรานต์ จำกัด"
ในแต่ละกลุ่มเรียน รูปแบบการนำเสนอแตกต่างกัน แต่บรรยากาศการนำเสนอของเพื่อนบางคน....สร้างเสียงเฮฮาให้กับเพื่อนร่วมกลุ่มเรียนเดียวกัน
ในกลุ่มเรียนทั้ง 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่ม....มีเรื่องราวที่น่าประทับใจแตกต่างกัน
กลุ่มนิสิตภาคพิเศษ รุ่นนี้เป็นภาคพิเศษรุ่นสุดท้าย สาขาการจัดการธุรกิจเรียนร่วมกับสาขาการบัญชี มีจำนวนนิสิตในกลุ่มนี้ร่วม 73 คน ผมเคยสัมภาษณ์หลายๆคนเข้ามาเรียนเป็นนิสิตใหม่ หลักสูตรปริญญาตรีภาคพิเศษสาขาการจัดการธุรกิจรุ่นนี้ ยังจำวันสัมภาษณ์พวกเขาได้....หลายๆคนสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ เจ้าตัวรู้ดี ในสายตาของหลายคนอาจจะเหมาเอาว่า...นิสิตภาคพิเศษสอบเข้าภาคปกติไม่ได้เลยเข้ามาเรียนภาคพิเศษ นิสิตหลายๆคนก็คิดเอาเองว่าตัวเองด้อยกว่านิสิตภาคปกติ แต่สำหรับผม....ที่เคยสัมภาษณ์เด็กเหล่านี้ ผมรู้ข้อเท็จจริงว่า...นิสิตภาคพิเศษรุ่นนี้แตกต่างไปจากรุ่นอื่น เพราะหลายคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แต่เลือกที่จะเรียนภาคพิเศษเนื่องจากติดปัญหาเรื่องงานของครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบหรือไม่อยากอยู่ไกลบ้าน ดังนั้นพวกเขาหลายๆคนเป็นเด็กที่เก่งที่ไม่ควรมองข้าม
นิสิตสาขาการบัญชีที่เรียนกลุ่มนี้กล้าแสดงความคิดเห็นและมีความคิดดีๆ....คะแนนสอบก็ทำได้ดีด้วย คัชรินทร์ณีทำคะแนนสอบได้ดีแต่เขายกมือแสดงความเห็นน้อยไปหน่อย พัชรินทร์มักแสดงความเห็นบ่อยๆในชั้นเรียนแต่มักทำคะแนนสอบได้ไม่ดี...น่าเสียดาย ปิยะดา พยายามแสดงความเห็นในช่วงท้ายๆ....เขาไปนั่งในกลุ่มที่ชอบคุยส่งเสียงดัง ทำให้ติดหางเลขโดนตำหนิในระหว่างที่เรียน
นิสิตสาขาการจัดการธุรกิจ รุ่นนี้ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เคยสอนหลายวิชา และไปทัศนศึกษาด้วยกัน ทำให้มีความสนิทสนมกัน ประธานรุ่น ปาณัสม์ เลือกที่จะนั่งกับวงศ์กร กลมกลืนกับนิสิตบัญชีตามคำแนะนำของผมที่ไม่อยากให้แบ่งแยกระหว่างนิสิตบัญชีกับนิสิตการจัดการ พวกเขาควรจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันโดยไม่มีการแบ่งแยกระหว่างนิสิตต่างสาขาหรือว่าไม่ควรแม้แต่แบ่งแยกระหว่างนิสิตภาคปกติกับนิสิตภาคพิเศษ กุศลินตั้งใจเรียนเข้ามาเรียนทุกครั้งแต่ว่าเขายังสรุปใจ ความสำคัญของเนื้อหาเรียนได้ไม่ดี มันจึงสะท้อนออกมาตอนทำสอบ, อติพงษ์ มีปัญหาเรื่องสภาพจิตใจและการปรับตัวอยู่บ่อยๆ และมักแก้ปัญหาด้วยการไม่เข้าเรียนซึ่งไม่ถูกต้อง ผมต้องแจ้งให้คุณแม่เขาทราบ เพื่อช่วยตักเตือนและปรับปรุงพฤติกรรมของเขาให้เข้าเรียน ไม่ใช่หนีปัญหาด้วยการไม่เข้าเรียน, จิราพร เป็นคนเงียบ ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น คะแนนแสดงความเห็นในชั้นยังไม่ปรากฏออกมา....ผมจึงกดดันให้เขากล้าที่จะแสดงความคิดออกมา ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ได้คะแนนแสดงความเห็นในชั้นเรียนเลย ตามมาด้วยการกลับไปร้องไห้ที่หอเพราะรู้สึกกดดัน ก่อนที่จะกล้าแสดงความเห็นในชั้นเรียนต่อไป, ณัฐพร ตั้งใจเรียนมากแต่ตอบไม่ตรงประเด็น ทำให้ได้คะแนนกลางภาคไม่ดี แต่ก็มาแก้มือตอนปลายภาคสำเร็จ, ณัฐชยา สนิทกับสิตราพร สองคนนี้เป็นคนเงียบๆ, พิชญ์สินี ปกติเป็นคนเงียบ...เทอมนี้ดูกล้าแสดงความเห็นมากขึ้น, ธัญญ์นิตย์ มีความมุ่งมั่นกับการเรียนวิชานี้มาก ทำคะแนนได้สูงทีเดียว, ยุทธภูมิมักจะพูดน้อย ยิ้่มเก่ง ตอบคำถามทีไรทำให้คนฟังฮาเสมอ, ศักดิ์ดา อภิสิทธิ์ รัชตะ อยู่กลุ่มเดียวกัน เป็นพวกชอบเฮฮา
ดีใจที่นิสิตภาคพิเศษบางคนสะท้อนความรู้สึกและทัศนคติที่เปลี่ยนไป ภายหลังจากเรียนวิชานี้จบลง
กลุ่มเอกการเงินและการธนาคารมีคนเก่งหลายคน กลุ่มนิสิตชายที่นั่งข้างหน้าเป็นกลุ่มที่ชอบแสดงความคิดเห็นและค้นคว้าหาข้อมูลมี ชวัลวิทย์, อมรเทพ, ธิบดี ลายมือของธิบดีพอสังเกตง่ายเพราะอ่านลำบากอยู่หน่อย, จันทร์ทิมานั่งด้านหน้า...ผมยืมปากกาของเธอตอนสอนกลุ่มใหญ่เพราะลืมเอาปากกามา, แถวหน้ามี สลิลทิพย์ สุพรรษา บุศยมาศ ฐิตินันท์ ยุทธนา นั่งประจำ แต่ก็จะมีธีรวัฒน์ที่เข้าห้องเรียนสายบ่อยๆ, ณิชนันท์ย้ายมาจากคณะอื่น เช่นเดียวกับณิชาภาที่ย้ายมาจากสาขาการจัดการธุรกิจ ผมจำเธอได้เพราะว่าตอนถ่ายภาพวันไหว้ครูคณะฯยังมีรูปเธออยู่ แต่พอขึ้นปี 2 ไม่ได้สอนแล้ว, วัชราภรณ์และมินิทญานั่งด้านหลังกลุ่มนิสิตชาย ดูเหมือนมินิทญาพยายามตั้งใจฟังแต่โดนเพื่อนนิสิตชายกลุ่มหน้าบังอยู่บ่อยๆจนเธอต้องขยับตัวเพื่อเห็นหน้าอาจารย์ผู้สอน, วัชระเคยเป็นเด็กเรียนเก่งแต่พอผิดหวังก็ประชดชีวิตด้วยการไม่ตั้งใจเรียน....น่าเสียดายแทน, ศริวตาภรณ์ นั่งแถวที่สอง มีฐิติรัตน์นั่งแถวเดียวกัน, สัตตบงกชเป็นเด็กเรียนเก่งคนหนึ่งแต่อาจจะไม่ค่อยกล้าแสดงความเห็นมากนัก, ปรัศนีย์...ไม่แน่ใจว่าทำไมพ่อแม่ตั้งชื่อนี้ให้, แอนเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย และเมื่อมานั่งติดกับสุธาสินีย์ เลยชวนกันร้องไห้ง่ายๆเวลาผมพูดประเด็นสะเทือนใจ, อารีรักษ์นั่งด้านหน้าแอนอีกที แอนหน้าคล้ายกับอารีรักษ์ ผมเลยจำผิดบ่อยๆ, นริศรากังวลกับคะแนนเกินเหตุ...นั่งด้านซ้ายแถวบนๆ, สุนิศามีความตั้งใจกับการทำเกรดสูงๆ, โสภณวิชญ์มักกังวลกับการที่ตัวเองเป็นคนสมาธิสั้น, รัชดาวรรณติดสอบวิชาอื่น...เธอเลยมาขอสอบนอกตารางตอนสอบกลางภาค
อัษฎาวุธมักจะนั่งด้านหลังมีเพื่อนผู้หญิงนั่งล้อมรอบ.....
เอกพันธ์เป็นเด็กเก่งคนหนึ่ง มักนั่งข้างหลัง เสียงสะท้อนว่าเขาได้อะไรบ้างจากวิชานี้
นิสิตรายนี้น่านับถือตรงที่เธอ...ยังคงใช้ภาษาใต้ในการตอบคำถามทุกครั้งในชั้นเรียน โดยไม่อายใคร แต่ภูมิใจในเสน่ห์ของภาษาใต้
กลุ่มสาขาการบัญชีปีนี้มีจำนวนนิสิตน้อยกว่ารุ่นผ่านๆมา ในกลุ่มนี้มีคนที่ชอบแสดงความคิดเห็นหลายคน นวพร, ณัฐธิดา, ปุณยนุชและกฤษฎี ในขณะที่อิศรารักษ์และอนุสรานั่งด้านหน้าแต่ไม่ค่อยแสดงความเห็นเท่าไหร่, ธาราตรีมักจะตื่นเต้นเวลาแสดงความเห็น แต่เมื่อพูดบ่อยๆเธอก็พัฒนาจนหายตื่นเต้นได้ในที่สุด, ปวิตรา ตัดพ้อที่ยกมือแต่ผมไม่ได้เรียก ตอนหลังเมื่อเธอพบว่าทุกครั้งทีไม่ได้ถูกเรียก ถ้าพยายามต่อไป เธอก็จะถูกเรียก ทำให้เธอกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น, ชนัญตยา มักจะมาถึงห้องเรียนก่อนเริ่มเรียน เธออยู่กลุ่มเดียวกับ กุญญดา สาธิตา ศศิพิมพ์ เพ็ญศิริ, นิทัศน์กล้าแสดงความเห็นแตกต่างจากคนอื่นและเชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินไปหน่อย, ภัทรีญา มั่นใจในตนเอง กล้าย้อมผมสีมาเรียน มักจะเข้าชั้นเรียนล่าช้าอยู่บ่อยๆ, ทิพวัลย์นั่งด้านหลังปุญยนุช, นภัทสรณ์เป็นนิสิตเกียรติยศ ชอบกังวลสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ในระหว่างสอบกลางภาคเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อกระเป๋าพร้อมโทรศัพท์มือถือไอโฟน 4 ถูกมือดีฉกไปในระหว่างสอบ.....เจ้าทุกข์ร้อนใจมาก คาดเดาว่าขโมยที่เอาไปเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ใช้เวลาสืบอยู่ประมาณ 1 เดือนก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นคนเอาไป ผมจัดการให้เรื่องจบลงในชั้นเรียนเพราะถ้าเรื่องสอบสวนดำเนินต่อไปนิสิตที่เอาของคนอื่นไปต้องโดนไล่ออกเพราะผิดวินัยร้ายแรง มันไม่คุ้ม และให้โอกาสคนที่เอาของคนอื่นไปสำนึกผิด และเจ้าทุกข์ก็ไม่ติดใจเมื่อขโมยคืนของให้เจ้าของ....แค่เจ้าทุกข์เสียน้ำตาเท่านั้นเพราะไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
เสียงสะท้อนจากณัฐธิดาว่าเรียนรู้อะไรบ้างจากชั้นเรียนวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจ สำหรับเวลา 15 สัปดาห์ที่เธอได้เรียนวิชานี้
กลุ่มสาขาการจัดการธุรกิจ ผมคุ้นเคยและจำชื่อนิสิตทั้งกลุ่มได้เกือบหมด.... อภัสรา, วิยกาญจน์, ธัญชนก สามสาวนั่งด้านหน้าติดกับโต๊ะบรรยาย อภัสรารับทำหน้าที่หาเสบียง (ซาลาเปา) ให้เพื่อนเป็นของว่างยามเช้า วิยกาญจน์มีความฝันในเส้นทางสายผู้ประกาศข่าว หวังว่าเขาจะไม่ทิ้งความฝัน ธัญชนกมักจะนั่งจดเนื้อหาอย่างตั้งใจ ณัฐพันธุ์ มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง, กลุ่มที่ร่วมโครงการประกวดแผนธุรกิจของ TMA สี่ขุนพล มีสอง, วัชรากร, พร้อมพล, ศุภางค์ กลุ่มนี้นั่งหน้าและไม่ชอบเปิดไฟในระหว่างที่เรียน, แถวถัดไปมีจันทิมา ที่ทำคะแนนได้ดีทั้งกลางภาคและปลายภาค ดูเหมือนเขาเรียนแบบทำความเข้าใจมากกว่าท่องจำ คะแนนสอบเลยทำได้ดี, กรกนก มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับผม ผมดีใจที่มีส่วนสร้างแรงบันดาลใจให้กรกนกที่จะเดินตามความฝันต่อไป, พัชรีย์ นั่งอยู่กลุ่มเดียวกันแต่พูดน้อยกว่า, ฐิตินันท์คิดว่าการถูกนอกใจเป็นวิกฤตสำหรับเธอ น้ำทิพย์ตั้งใจเรียนมาก. มีกัญญ์วราและพิจิตราที่เป็นเหมือนฝาแผดกัน นั่งด้วยกันไปติวสอบด้วยกัน, สุดถนอมที่เป็นกลุ่มแฮมคนเดียวที่แยกมานั่งแถวเดียวกับกลุ่มน้ำทิพย์...เป็นห่วงมากตอนสุดถนอมจะไปสัมภาษณ์งานที่ธนาคารกสิกรไทย แต่ไม่รู้เส้นทาง, กลุ่มแฮม สาวทั้ง 8 เบญจมาภรณ์, อรนลิน, ภาสุรี, ณราวรรณ์, กาญจนา ทับหล่อง, อิศราภรณ์, ธนิตรา มักนั่งแถวเดียวกัน, สมชาย สุดหล่อของรุ่นที่คว้ารางวัลความหล่อมาเกือบทุกปี, เบญจวรรณ พรมสงฆ์มักนั่งคู่กับอัจจิมา ดีใจที่อัจจิมากล้าพูดถึงความมุ่งมั่นที่จะทำเกรดให้ถึงเกียรตินิยม, ไอลดาเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกับแอน, เพชรชมพูเป็นคนขี้อายและมักจะเหม่อลอยในระหว่างเรียนเป็นระยะๆ ณัฐวดีเกิดอุบัติเหตุถูกรถชน...พักฟื้นหลายอาทิตย์แต่ก็มาสอบปลายภาคได้เหมือนเพื่อนคนอื่น, กาญจนา เงินแจ้ง...พิสูจน์ว่าความพยายามไม่สูญเปล่า, มณีเพชรมักชอบนั่งหลัง, วรรณวิศาและสุภาวิณีนั่งทางด้านซ้ายมือ, สุพิชญามีปัญหาเรื่องขาซ้นเดินกะเผลกมาเรียนอยู่นาน, อดิพงษ์ ธัญวิชญ์ เป็นคู่หูกัน และมีสถาพรที่อยู่ในเครือข่าย รวมถึงกิตติ ด้วย ดังนั้นเวลาใครไม่มาเรียน ผมต้องอาศัยเน็ทเวิร์คของเพื่อนเหล่านี้มาช่วยกันดึงเพื่อนเข้าห้องเรียน, วิทยาขาดเรียนบ่อย แต่มารู้ภายหลังว่าถ้าเขาจะมุ่งมั่นดันข้าวหลามมรดกของคุณย่าเขาให้เกิด...สามารถทำได้, เจนจิรา อลิษา ชวิศา และพรชนก อยู่กลุ่มเดียวกัน มักจะนั่งหลังและไม่ค่อยแสดงความเห็นมากนัก, คุณานนท์เปลี่ยนบุคลิกไป จากชั้นเรียนที่ผมเคยสอนเขาสมัยปี 2 เขามักเล่นโทรศัพท์มือถือในระหว่างเรียนจนโดนตำหนิ น่าเสียดายที่เขาเป็นเด็กเรียนเก่งแต่ดูเหมือนมีปัญหาบางอย่างเลยแสดงออกด้วยพฤติกรรมที่ต่อต้าน ยังมีนิสิตสาขาบัญชีที่มาเรียนกลุ่มนี้ด้วยเนื่องจากเวลาเรียนชนกับวิชาอื่น วิษณุทำธุรกิจส่วนตัว...แต่นำประสบการณ์มาตอบข้อสอบไม่ตรงประเด็น..น่าเสียดาย. วรวัฒน์ และรัตนาวดี นั่งแถวหลังสุด และยังมีธนญชัย สาขาการจัดการอีกคนที่มาเรียนด้วย
การตรวจข้อสอบที่เป็นข้อสอบเขียนอธิบาย.....เป็นวิธีวัดความเข้าใจของผู้เรียนได้ดีที่สุด เพราะถ้าผู้เรียนเข้าใจ....เขาย่อมสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้ ข้อสอบแบบมีตัวเลือกให้ผู้เรียนเลือกตอบอาจจะใช้เวลาตรวจได้เร็วแต่วัดอะไรไม่ได้มาก การเดาแล้วได้คำตอบที่ถูกอาจทำให้ผู้สอนเข้าใจผิดว่าผู้เรียนเข้าใจ แต่การตรวจข้อสอบที่เป็นข้อสอบแบบเขียนอธิบายเป็นการเพิ่มภาระสำหรับผู้สอน เพราะการตรวจข้อสอบแบบเขียนอธิบายสำหรับนิสิตจำนวน 236 คน ใช้เวลามากๆทีเดียว และในระหว่างตรวจอาจจะหงุดหงิดกับลายมือที่อ่านยากๆของนิสิต หรือบางคนเล่นเขียนด้วยดินสอเส้นบางๆอย่าง HB ซึ่งต้องเพ่งอย่างมากเวลาตรวจในยามค่ำคืน เด็กไทยรุ่นใหม่ใช้ภาษาไทยเพี้ยนๆจนเป็นความเคยชิน....และไม่รู้ว่าคำไทยที่ถูกต้องสะกดอย่างไร ตรงนี้น่าเป็นห่วง สิ่งดีงาม เอกลักษณ์ของชาติ ที่ควรภาคภูมิใจถูกทำลายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนรุ่นใหม่ ถ้าต่อไปภาษาไทยสะกดเหมือนภาษาลาวทุกประการเพียงเพราะคนรุ่นใหม่คิดกันง่ายๆว่า เอาแค่ออกเสียงเหมือนกันก็ใช้ได้ ไม่ต้องสนใจความถูกผิดของการสะกด....แล้วภาษาไทยจะเหลืออะไรเป็นเอกลักษณ์ให้น่าชื่นชมและภาคภูมิใจ
หลังจากที่ตรวจคะแนนสอบกลางภาคเสร็จ ผมแสดงคะแนนเก็บทั้งหมดให้นิสิตในชั้นเรียนแต่ละกลุ่มดู เพื่อพวกเขาจะได้ทราบว่าตอนนี้เขาทำคะแนนได้เท่าไหร่และจะต้องพยายามอีกเท่าไหร่เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ ถ้าเป็นวิชาอื่น...นิสิตอาจจะเสียขวัญรีบไปถอนรายวิชานี้ทิ้งเพราะว่าคิดง่ายๆแบบบัญญัติไตรยางส์ คะแนนไม่ถึงครึ่งก็คือไม่ผ่าน แต่สำหรับวิชาที่ผมสอน....การวัดผลสัมฤทธิ์ไม่ใช่วัดแค่ตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนท้าย แต่เราวัดความพยายามของผู้เรียนตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าเขาเข้าเรียนทุกครั้ง....เขาย่อมเข้าใจในเนื้อหามากกว่าคนเก่งแต่อวดดีที่ไม่เข้าชั้นเรียน เพราะข้อสอบไม่ได้ออกในชีทแต่วัดความเข้าใจของผู้เรียน ไม่เข้าเรียนยากที่จะเขียนอธิบายได้ บ่อยครั้งคนที่ทำคะแนนได้น้อยตอนสอบกลางภาค....พยายามกับคะแนนที่เหลือ พลิกมาทำเกรดที่เจ้าตัวไม่เชื่อว่าทำได้สำเร็จ ผมสอนลูกศิษย์ทุกรุ่นว่า.....บทพิสูจน์ของคำว่า "ความพยายามของผู้คนไม่จบลงด้วยความสูญเปล่า" เป็นจริงเสมอ ดูเหมือน....นิสิตหลายๆคนไม่ได้ภูมิใจนักที่ได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พวกเขาอาจจะมองว่าเป็นมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด ไม่ได้โด่งดังมีชื่อเสียงเหมือนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ถ้าเพียงเขาเริ่มต้นคิดแบบนี้ก็ผิดแล้ว ถ้านิสิตคนหนึ่งเลือกเส้นทางในสิ่งที่เขาไม่ได้ชอบ....ชีวิตที่เหลือเขาจะอยู่กับสิ่งที่เขาไม่ชอบตลอดไป และไม่มีความสุข จริงๆแล้ว....มหาวิทยาลัยนเรศวรไม่ได้เลวร้ายอย่างที่บางคนคิด ตรงกันข้ามมหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังสร้างพวกเขาให้กลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในอนาคต เพียงแต่กิจกรรมที่ส่งเสริมความภาคภูมิใจในสถาบัน....ถูกเพิกเฉย กิจกรรมที่รวมความเป็นหนึ่งเดียวของความเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร...ไม่ได้ถูกกระทำขึ้น ชีวิต 4 ปีของนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรจึงมีแค่ชั้นเรียนกับหอพักเท่านั้น จบไปแล้วก็ไม่รู้สึกผูกพันกับสถาบัน กิจกรรมร้องเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยนเรศวรจึงถูกจัดขึ้นในชั้นเรียนวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อให้นิสิตเขาเข้าใจความหมายของคำว่า "วัฒนธรรมองค์กร" สำหรับนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรคืออะไร และสร้างความภาคภูมิใจที่ได้เรียนที่นี่......ซึ่งคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์เรียนที่ม.นเรศวรจะไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกตอนที่ได้ร้องเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยนเรศวรว่ามันยิ่งใหญ่และมีความสำคัญอย่างไร วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ผมแวะไปที่คณะฯ เมื่อเปิดชั้นจดหมายพบว่ามีโปสการ์ดที่ถูกส่งจากนิสิตภาคพิเศษหลายๆคนตอนที่พวกเขาเดินทางไปทัวร์ประเทศลาว ซึ่งทัวร์ไปลาวเป็นส่วนหนึ่งของวิชาเลือกที่นิสิตกลุ่มนี้ลงเรียน ข้อความที่เขียนในโปสการ์ดแม้จะเป็นข้อความคล้ายๆกันแต่คุณค่าอยู่ที่ตัวโปสการ์ที่ผู้ส่งตั้งใจส่งมาให้ผู้รับเพื่อเล่าเรื่องราวของการเดินทางคราวนี้.... บันทึกการเดินทางของพวกเขาผ่านโปสการ์ดเพียงแผ่นเดียวทำให้คนรับอารมณ์ดี นี่อาจจะเป็นเสน่ห์ของโปสการ์ด ข้อความสั้นๆ เปิดเผย พร้อมภาพทิวทัศน์ของสถานที่เหล่านั้น แทนความระลึกถึงกัน
แล้ววันสอบปลายภาคก็มาถึง......กลุ่มนิสิตภาคพิเศษสอบเสร็จไปก่อนหน้านั้น แต่นิสิตภาคปกติกว่าจะมาสอบปลายภาคก็วันคริสต์มาสของปีพ.ศ. 2556 ห่างจากวันปิดคอร์สเรียนร่วม 1 เดือน นักเรียนที่เข้าสอบร่วม 167 คน ไม่น้อยเลย ต้องใช้อาจารย์คุมสอบ 4 คน ห้องสอบ QS4401 เป็นห้องใหญ่ แอร์เย็น
วันนั้นเป็นวันคริสตฺ์มาส......เลยอยากสร้างบรรยากาศของการสอบแบบผ่อนคลายบ้าง วันนั้นผมเลยเอาหมวกซานตาคลอสมาสวมในระหว่างคุมสอบ นิสิตหลายคนพอเข้าห้องสอบเห็นผมสวมหมวกซานตาคลอส...แอบยิ้ม หัวเราะ เพราะไม่คิดว่าอาจารย์เอาจริง
ข้อสอบปลายภาคใช้เวลาเขียนอธิบาย....3 ชั่วโมง มีการเบรกให้นิสิตได้รีแล็กซ์ภายหลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง นิสิตคุ้นเคยกับการสอบวิชาที่ผมสอนแล้ว ในระหว่างเบรกจะมีการสนทนาเล่นๆระหว่างผู้สอนกับผู้สอบ ข้อสอบปลายภาคคราวนี้....พลิ้วกว่าที่ผ่านมา เพราะมีเหตุการณ์ล่าสุดที่สามารถเชื่อมโยงกับเนื้อหาที่เรียนและนำมาออกข้อสอบได้ นิสิตหลายคนไม่สนใจข่าวคราวบ้านเมืองและเรื่องรอบตัว....อาจเกิดอาการมึนๆงงๆในระหว่างทำสอบ.... หลายคนไปเขียนระบายในเฟวบุ๊วขอบคุณพ่อแม่ที่บังคับให้ติดตามข่าวสารบ้านเมือง ไม่อย่างนั้นคงทำสอบปลายภาควันนี้ไม่ได้
ขอบคุณกล้องที่ติดมากับโทรศัพท์มือถือ Galaxy S4 ของ Samsung ทำให้มีรูปของกรรมการที่คุมสอบวันนั้นทั้ง 4 คน ปกติคนถ่ายภาพจะเป็นคนเสียสละไม่มีหน้าในรูปที่ถ่าย
พวกเราคุมสอบผ่านไป 2 ชั่วโมงกว่า เหลือนิสิตที่ยังคงทำสอบจำนวนที่เห็นในรูป แต่สอบปลายภาคคราวนี้ไม่มีใครนั่งทำสอบจนครบ 3 ชั่วโมง ตอนตรวจข้อสอบ.....เหมือนอย่างที่เดาเอาไว้ ผมอารมณ์ดีที่ได้อ่านข้อความอวยพรวันคริสต์มาสของลูกศิษย์บางรายที่เขียนผ่านกระดาษคำตอบ แต่ในความอารมณ์ดีของลูกศิษย์รายนี้แฝงอารมณ์หงุดหงิดกับข้อสอบปลายภาควิชานี้ที่ต้องงัดความพยายามอย่างมากเพื่อทำคะแนนให้ได้ตามที่ต้องการ
ใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะตรวจข้อสอบปลายภาคของทุกคนจนเสร็จและออกเกรดให้ทันตามกำหนดที่มหาวิทยาลัยกำหนด...... หลายคนพอใจกับเกรดที่ทำได้วิชานี้ หลายคนตระหนักว่า "ความพยายามของผู้คนไม่จบลงด้วยความสูญเปล่า" เป็นจริง จากคะแนนเก็บที่แย่กลายมาเป็นเกรดที่ดีเกินคาดเพราะว่าพยายามอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ก่อนสอบ แล้วผลลัพธ์ก็สะท้อนออกมาจากเกรดที่ได้ สมกับความพยายาม หลายคนตกใจที่คะแนนสอบปลายภาคที่น้อยจนแทบไม่น่าเชื่อ มีการอธิบายหลังไมค์ว่าการตอบไม่ตรงประเด็นส่งผลทำให้คะแนนออกมาเป็นแบบนี้ ผมเองก็เสียดายแทน ได้แต่ปลอบใจลูกศิษย์ หรือบางคนทำคะแนนสอบปลายภาคได้สูงมาก แต่คะแนนโดยรวมไม่ถึงตามเกณฑ์ที่จะได้ A ขาดเพียงไม่กี่ จุด (ไม่ถึง 1 แต้มด้วยซ้ำ) เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับนิสิตหลายๆคนในหลายรุ่นที่ผ่านมาเช่นกัน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก แต่การตัดสินให้คะแนนต้องอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคกัน ถ้าจะเพิ่มคะแนนให้กับคนหนึ่งเพียง 1 แต้ม ก็ต้องเพิ่ม 1 แต้มให้กับคนที่เหลือในกลุ่มทั้งหมดเหมือนกัน เกรดในวิชาที่เรียน...บางครั้งไม่สำคัญเท่ากับว่า ผู้เรียนสามารถนำเอาเนื้อหาที่เรียนไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่สำคัญว่าจะได้เกรดอะไรจากวิชานี้ แต่ถ้าลูกศิษย์สามารถเอาเนื้อหาที่เรียนไปใช้ได้จริงในเรื่องของงานและชีวิต ถือว่าพวกเขาได้ A ในชีวิตจริง ซึ่งมีความหมายมากกว่า
ลูกศิษย์วิชากลยุทธ์ทางธุรกิจจำนวน 236 รายที่ผมสอน....สอบผ่านวิชานี้ไปเรียบร้อยแล้ว หลายคนกำลังก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน เป็นเจ้าของกิจการ เป็นพนักงานตามหน่วยงานต่างๆ หวังว่าพวกเขาจะเลือกเส้นทางที่ถูกต้องและอวยพรให้พวกเขาประสบความสำเร็จในเส้นทางที่เหมาะกับตัวเขา พวกเขาคือผลผลิตแห่งความภาคภูมิใจของสถาบันแห่งนี้ที่ชื่อ มหาวิทยาลัยนเรศวร และมีครูที่เคยสอนพวกเขาในวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจ ชั้นปีสุดท้ายของการเรียนที่สถาบันแห่งนี้ เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี...วันนึง....พวกเขาย้อนกลับมาอ่านและดูภาพเรื่องราวสมัยเขาเรียนวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจ อาจจะ คิดถึง...ชั้นเรียนวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยนเรศวร
Create Date : 03 เมษายน 2557 | | |
Last Update : 10 เมษายน 2557 16:33:18 น. |
Counter : 2223 Pageviews. |
| |
|
|
|