In Remembrance of King Bhumibol Part 7 (ระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตอนที่ ๗)
วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๐ ตื่นตีสามครึ่งตามเสียงนาฬิกาปลุก มีอาการอยากนอนต่อแม้ว่าเมื่อคืนจะหลับสนิททั้งคืนก็ตาม เดินไปศาลาเมตตาธรรม นั่งสมาธิ จิตไม่สงบเพราะกังวลเรื่องบางเรื่องไม่อยากให้ติดค้างก่อนจะบวช
ทำวัตรเช้าวันนี้อาจารย์พระมหาวิเชียรแสดงธรรมว่า ทุกอย่างมีเหตุทำให้เกิดขึ้น เรื่องต่างๆไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ถ้าไม่มีสาเหตุ คนส่วนมากเชื่อว่าหนทางแห่งการดับทุกข์คือ การให้ทานและรักษาศีล คนจำนวนมากจึงพากันบริจาคข้าวของเงินทองให้วัดเพราะคิดว่านั่นคือหนทางที่จะช่วยดับทุกข์ หรือบางคนพยายามทำตัวให้ดูเคร่งด้วยการถือศีลอย่างเคร่งครัดหรือถือศีลที่มากกว่าคนทั่วไป แต่ความจริงแล้ว.....การเจริญภาวนาช่วยทำให้เราเท่าทันอารมณ์....เมื่อเท่าทันอารมณ์ก๋็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะจิตรู้ทัน เมื่อเราไม่สร้างเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์จึงไม่มี
จิตใจที่ยังโหยหา เติมอย่างไรก็ไม่เต็ม ย่อมไม่มีความสุขอย่างแท้จริง บางคนไม่รู้จักพอ...มีเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ...ยังอยากจะได้เพิ่มขึ้น...จิตแบบนี้แท้จริงเป็นทุกข์
วันนี้ตามพระภิกษุออกไปบิณฑบาตเส้นถนนทางหลวงหมายเลข ๑๒๖ ข้ามสะพานไปหมู่บ้านแม่พระธรณีทอง มีคนมาใส่บาตรไม่มาก พอกลับมาที่วัดก็เอาน้ำผลไม้ถวายหมู่สงฆ์เป็นของกองกลาง ความจริงวัดไม่ได้เคร่งขนาดห้ามดื่มนมเหมือนวัดสายป่า แต่ผมคิดว่าน้ำนมถือเป็นอาหารแบบหนึ่งไม่น่าจะจัดอยู่ในประเภทน้ำปานะ ดังนั้นจึงยึดวัตรปฏิบัติที่จะไม่ฉันนมสดหลังยามวิกาล(เที่ยงวัน)
ตอนเช้ามีการซ้อมครองจีวรและซ้อมขานนาค หลวงตาที่เป็นพระอาคันตุกะมาจากวัดแถววังทอง...ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการสอนครองจีวรมากนัก คุณลุงจรัสในวัยใกล้เกษียณมาร่วมโครงการอุปสมบทหมู่ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ด้วยวัยที่มาก การจะจดจำเนื้อหาที่ต้องสวดขอบรรพชาอุปสมบทในเวลาอันสั้นเป็นเรื่องยาก คุณลุงจรัสจะถอดใจไม่อุปสมบทจะขอแค่บรรพชาเป็นเณรเท่านั้น! เนื่องจา่กกลัวว่าจะท่องขานนาคไม่ได้ หลวงตาที่เป็นพระอาคันตุกะก็ถือท้ายให้ลุงจรัสบวชแค่เณรก็พอ
โดยส่วนตัวแล้วผมฟังคำแนะนำของหลวงตารูปนั้นแล้วรู้สึกไม่ดีนัก และเชื่อว่าลุงจรัสท่องขานนาคได้ เพียงแต่ต้องซ้อมบ่อยๆและได้รับการชี้นำ ให้กำลังใจ ผมไม่อยากให้ลุงจรัสทิ้งความตั้งใจของตนเองที่คิดจะบวชถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วเลิกล้มความตั้งใจที่จะบวชถวายเพียงเพราะคิดเอาเองว่าท่องไม่ได้
ผมยังอยากพิสูจน์สุภาษิตประจำตัวผมที่ว่า "ความพยายามของผู้คนไม่เคยจบลงด้วยความสูญเปล่า" เป็นจริงเสมอ แม้แต่กรณีลุงจรัสก็ตาม
หลายคนเลี่ยงบาลีว่าตอนนี้ถือแค่ศีล ๘ จึงไม่ผิดถ้าจะทานมาม่าก่อนเที่ยง แต่ผมคิดว่าพวกเขาจะบวชเป็นภิกษุอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาควรฝึกข่มใจตนเอง เอาชนะกิเลสตนเองให้ได้ ความจริงมีวินัยที่ระบุไว้ว่าห้ามภิกษุหุงต้มอาหาร ดังนั้นการต้มมาม่าต่อให้ต้มเวลาไหนก็ถือว่าทำให้วินัยด่างพร้อย
ในระหว่างที่คนส่วนมากกินมาม่า...ผมแวะไปพูดให้กำลังใจลุงจรัสและช่วยซ้อมขานนาคให้ลุงจรัสที่กุฏิเหน่งอยู่ วันนี้ผมซ้อมท่องขานนาคคล่องกว่าหลายวันที่เคยซ้อมมา...อาจจะเป็นเพราะตอนนี้ใจสงบพอและมีสมาธิมากกว่าวันที่ผ่านๆมา
แวะไปดูชุดนาคที่จะสวมวันพรุ่งนี้ที่ห้องสมุดของวัด ความสับสนเรื่องเวลาปลงผมนาคเกิดขึ้นเพราะขาดการประสานงานที่ดีภายในวัด ป้าพรทิพย์ยืนยันว่าปลงผมนาคเวลา ๔ โมงเย็นวันนี้ บรรดานาคเลยโทรแจ้งเวลาใหม่แก่ญาติพี่น้องเพราะตอนแรกเข้าใจว่าเป็นพรุ่งนี้ ผมปลงผมมาอยู่วัดตั้งแต่ต้นแล้วจึงไม่เดือดร้อนอะไรถ้าทางวัดจะมีการเปลี่ยนแปลงเวลาปลงผมนาค
ตอนบ่ายซ้อมขานนาคกับลุงจรัสและเหน่ง พยายามช่วยลุงจรัส ให้กำลังใจลุงจรัส พอท่องขานนาคพร้อมกันจริงๆ...ลุงจรัสก็ท่องได้จนจบแม้จะผิดบางท่อนก็ตาม
ตอนสี่โมงเย็น....เริ่มทำพิธีปลงผมนาคบริเวณริมโบสถ์ เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้...ใบมีดโกนที่พระนิยมปลงผมนาคที่ว่าโกนได้ไว....บาดศีรษะลุงจรัสเข้าเต็มๆและแผลลึกด้วย พยายามช่วยกันห้ามเลือด พระที่โกนผมให้ก็ใจเสีย การที่รูปร่างศีรษะของนาคบิดเบี้ยวจนเป็นเหตุให้ใบมีดบาดลึกขนาดนั้นคงไม่สามารถอธิบายลบความรู้สึกของคนถูดมีดโกนบาดเลือดซิบๆได้ บาดแผลบนศีรษะของลุงจรัสลึกมาก เลือดไหลไม่หยุด.... ผมให้ลุงจรัสใช้ NSC Cleansing Gel ล้างศีรษะและใบหน้าเพราะเจลตัวนี้ไม่ทำให้แสบตาและไม่แสบแผล เอาขมิ้นโรยที่ศีรษะ เลือดมาหยุดไหลตอนนี้ปลงผมเกือบเสร็จ
ขู่เหน่งเอาไว้ว่าใบมีดโกนที่พระโกนกันส่วนมากบาด แนะนำให้ใช้ปัตตาเลียนไถดีกว่าแล้วค่อยๆโกนผมทิ้งทีหลัง เหน่งกำชับช่างให้เอาปัตตาเลียนมาแต่ช่างก็ดื้อและมั่นใจในฝีมือตัวเองมาก....เชื่อว่าฝีมือโกนของตัวเองไม่บาดศีรษะนาค เห็นอาการมั่นใจของช่างตัดผมแบบนี้ก็ไม่พูดอะไร ลุ้นกันต่อไปว่าจะบาดศีรษะเหน่งมากน้อยแค่ไหน บริเวณที่เป็นหัวสิว....ให้โกนระวังอย่างไรก็บาด....แน่นอนเมื่อหัวสิวหลุดก็ตามมาด้วยเลือดไหลออกมาซิบๆ
ภายหลังจากช่างตัดผมโกนผมเหน่งแล้วผมช่วยโกนเศษผมที่ยาวบนศีรษะให้เหน่ง และจัดการโกนหนวดและเคราให้นาคเหน่ง....ถือเป็นเกียรติที่ได้ทำหน้าที่นี้ให้อาจารย์เหน่ง
คืนนั้นภายหลังจากทำวัตรเย็นแล้ว ผู้เข้าร่วมอบรมมีคำถามสอบถามพระอาจารย์มหาวิเชียรต่อแนวทางปฏิบัติมากมาย แนวคิดหนึ่งที่พระอาจารย์มหาวิเชียรกล่าวไว้น่าสนใจทีเดียว
"การแก้กรรม....เราสามารถแก้ไขได้โดยการไม่กลับไปทำกรรมนั้นซ้ำอีก ไม่ใช่ย้ำคิดย้ำทำต่อสิ่งผิดพลาดที่ตนเองเคยธรรม โทษตัวเอง ถ้าเป็นแบบนั้นย่อมไม่สามารถหลุดออกไปจากกรรมเก่าได้ เหมือนการสะกดจิตตัวเองและสุดท้ายก็จะกลับไปทำสิ่งผิิดพลาดอีก"
ผมมองว่า ถ้ามนุษย์สามารถให้อภัยคนอื่นได้....เขาควรรู้จักให้อภัยตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง...บางครั้งก็ไม่ใช่เจตนา แต่ถ้าเราเฝ้าตอกย้ำความผิดของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นได้ไหม
ผมมีคำถามสอบถามพระอาจารย์เช่นกัน เพราะสงสัยในคำถามนี้ภายหลังจากได้ยินหัวข้อบรรยายคืนนี้เกี่ยวกับภพภูมิภายหลังความตาย ผมเลยสอบถามไปว่า
"ถ้าการฆ่าคนเป็นบาป ทหารที่ไปรบในสงคราม หลายคนไม่ได้ต้องการฆ่าคนอื่น แต่มันเป็นหน้าที่และเขาไม่สามารถปฏิเสธหน้าที่ในการฆ่าคนอื่นได้ในสงคราม ในสงครามไม่มีความถูกต้อง มีแต่คำสั่งที่ทหารทุกคนต้องทำ ดังนั้นการฆ่าคนอื่นในสงครามเพราะเป็นหน้าที่ ทหารเหล่านั้นที่ตายไปแล้วเขาจะไปเกิดในภพภูมิใด?"
พระอาจารย์ตอบคำถามนี้ว่า
"อยู่ที่เจตนาตอนนั้น การไปฆ่าคนในสงครามเป็นเพราะกระทำตามหน้าที่ มันจึงไม่ผิด แต่สุดท้ายจะไปเกิดในภพภูมิิไหน ยากที่จะหยั่งรู้"
ใหม่และหลายคนสอบถามว่าพรุ่งนี้จะเริ่มบวชเวลากี่โมง ทางวัดไม่ได้แจ้งรายละเอียดให้นาคแต่ละคนทราบ รู้แต่ว่าจะมีพิธีเทศน์สอนนาคตอนบ่ายโมงและจะทำพิธีบรรพชาเป็นเณรก่อนจะอุปสมบทเป็นพระต่อไป...น่าจะตอนบ่ายสองโมง
มีการแจ้งทางระบบว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีผมเรียบร้อยแล้ว...เป็นอันว่าความกังวลเรื่องหนี้สินที่ติดค้างก็เคลียร์เรียบร้อยก่อนบวช ก่อนบวชไม่ควรมีหนี้สินค้างระหว่างกัน
วันศุกร์ที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๐ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำเดือน ๒ ซึ่งวันนี้ครบรอบ ๑๐๐ วันที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ สวรรคต
วันนี้ที่วัดมีกิจกรรมตักบาตรภายในวัดตอนเช้า และวันนี้มีกิจกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุ เห็นบรรดาคุณลุงคุณป้าวัยเกษียณใส่ชุดนักเรียนมาเรียนที่วัด เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจที่ทางอบต.พลายชุมพลจัดขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุใช้เวลาอย่างมีคุณค่า
จนถึงตอนเที่ยงนาคทุกคนที่จะบวชยังไม่ทราบฉายาที่จะบวชเลย....เป็นความกังวล เพราะตอนกล่าวบรรพชาต้องพูดถึงฉายาตัวเอง ปกติก่อนบวชนาคจะทราบฉายาตัวเอง การบวชจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อตนเองเป็นชื่อในภาษาบาลีเพื่อสะดวกในการเรียกและสวดขอบวชเป็นบาลี
พิธีสอนนาคก่อนบวชเริ่มในโบสถ์ชั้นล่างที่ออกแบบมาเหมือนเป็นศาลาวัด พระอาจารย์มหาวิเชียรให้ข้อคิดว่า "บวชทำไม" คำว่า "นาค" แปลว่า ประเสริฐ และการบวชเพียงเพื่อพัฒนาตนเอง สืบทอดพระพุทธศาสนา แม้การบวชอาจจะทดแทนบุญคุณบิดามารดาได้ไม่มากก็ตามที พระอาจารย์พูดถึงพิธีบวชที่วัดวังหินจัดทุกเดือน และรุ่นที่เราบวชเป็นรุ่นหน่อพุทธางกูร รุ่นที่ ๑
หลังจากเทศนาสอนนาคเสร็จ เขาก็ให้พ่อแม่ของนาคมานั่งให้พ่อนาคกล่าวขอขมา
เขาให้ผมเป็นตัวแทนนาคกล่าวตามคำขอขมาอโหสิกรรม....ในระหว่างที่กล่าวเกิดอาการตื่้นตันใจ นึกถึงบุญคุณของบุพการี...เสียงสั่นเครือบางช่วงแต่ก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ได้ แม่อาจารย์เหน่งดูท่าทางดีอกดีใจแม้ว่าจะสื่อสารไม่รู้เรื่อง แล้วพ่อนาคก๋็ทำการกราบที่เท้าของบุพการี
หลังจากนั้นพ่อนาควนรอบโบสถ์สามรอบ ในอดีตตอนบวชที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ไม่มีพิธีส่งเสียงโห่ตอนเดินวนรอบโบสถ์ ไม่มีการโปรยเหรียญทาน อุบายในอดีตที่มีพิธีโปรยเหรียญทานเพราะไม่ต้องการให้นาคมีหนี้สินติดตัวก่อนจะบวชจึงโปรยเหรียญทานให้ก่อนจะเข้าโบสถ์
หลังจากเดินวนรอบโบสถ์สามรอบแล้ว พ่อนาคคุกเข่าพนมมือขอขมาต่อหน้าเสมาโบสถ์ก่อนเดินขึ้นไปโปรยทานแล้วเดินก้าวเข้าสู่อุโบสถ
พวกเราพึ่งจะทราบฉายาตอนก่อนจะบวชว่าใช้ฉายาตอนบวชว่าอะไร
ตอนกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวส่งให้เจ้าคณะจังหวัด ผมขอใช้ฉายาเดิมว่า "ชาคโร" ที่แปลว่า "ตื่นตัว, ตื่นแล้วจากอวิชชา, ตื่น" ทางเจ้าคณะจังหวัดจะให้ฉายาแก่นาคที่จะบวชโดยดูจากวันเดือนปีเกิด ชื่อทางโลก แล้วก็จะตั้งฉายาให้แก่นาค ปรากฏว่าเจ้าคณะจังหวัดให้ผมใช้ฉายาเดิมว่า "ชาคโร"
ดังนั้นสำหรับผมจึงไม่ยากในการสวดขานนาคเพราะคุ้นเคยกับฉายาที่เคยใช้สมัยบวชในอดีต ความจริงพระที่บวชพร้อมกันหลายรูปเคยบวชมาแล้วแต่ฉายาคราวนี้แตกต่างไปจากเดิมเพราะพวกเขาจำฉายาเดิมไม่ได้แล้ว
คุณลุงจรัสซึ่งอายุมากแล้ว พึ่งมาได้ฉายาตอนอยู่ในโบสถ์...ทำให้ยากแก่การจดจำ ฉายาของลุงคือ อาทโร แปลว่า ผู้มีความเอื้อเฟื้อ ต้องช่วยบอกให้ลุงทราบ ส่วนท่านเหน่งได้ฉายาว่า อุตตโร แปลว่า ผู้เป็นเลิศ
ในการบวชจะเรียงลำดับการบวชตามอายุ ผู้เกิดก่อนจะได้กล่าวคำขอบวชก่อนคนที่เกิดทีหลังแม้จะต่างกันเป็นวันหรือเดือนก็ตาม
ผมได้ทำพิธีสวดขอบรรพชาและอุปสมบทพร้อมกับลุงจรัสและเหน่ง
พิธีสวดขอบรรพชาและอุปสมบทไม่ยากอย่างที่คิดเพราะมีการกล่าวกำกับบทในโบสถ์ให้เพียงแต่ว่าทำนองและจังหวะที่เขากำกับแตกต่างไปจากที่พวกเราซ้อมขานนาคกันมา
พระอุปัชฌาย์ในการบวชครั้งนี้คือ พระครูประภากร วัดเขื่อนขันธ์ พระคู่สวดรูปหนึ่งเป็นโปลิโอ ตอนที่ท่านเดินลากขามาสวดทานกับนาคได้ยินเสียงอุทานของญาติโยมเมื่อเห็นท่านเดินลากขามา ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะพระคู่สวดประหม่าหรือไม่ ทำให้การสวดของพระคู่สวดไม่พร้อมกันในหลายๆครั้ง มาทราบภายหลังว่าพระคู่สวดมาจากคนละวัดกัน จังหวะในการสวดบางท่อนจึงไม่ลงตัว
ในฉายาบัตรระบุว่าผมได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเวลา ๑๕ นาฬิกา ๓๔ นาที โดยใช้ฉายาว่า "ชาคโร"
ในขณะที่พระใหม่ส่วนมากรีบเดินลงมารับปัจจัยที่ญาติโยมรอถวายพระบวชใหม่ที่เชื่อว่าการได้ใส่บาตรกับพระที่พึ่งบวชใหม่(ที่ยังไม่เคยมีโอกาสทำบาปเลยภายหลังครองเพศบรรพชิต)มีอานิสงส์มาก ผมมีโอกาสได้บันทึกภาพในโบสถ์ร่วมกับพ่อแม่ ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูปที่เป็นพระประธานดูงดงามมาก (ถามภายหลังว่าพระประธานมีชื่อว่าหลวงพ่ออะไร ก็ไม่มีใครตอบได้)
มีเพื่อนคณาจารย์ที่คณะฯหลายคนมาร่วมงานบวชครั้งนี้ของผมและเหน่ง บางคนอาจจะไม่ทันสังเกตเพราะระหว่างที่เดินก็สำรวมอยู่ มีลูกศิษย์บางคน เพื่อนที่สนิทกันบางคนมาร่วมอนุโมทนา อาจารย์วรเดชตั้งใจมาร่วมงานโดยเฉพาะถึงกับทำเรื่องลากิจที่คณะฯไว้ อาจารย์อาร์มาร่วมอนุโมทนาด้วย
ภายหลังจากเสร็จพิธีบวชแล้ว ครอบครัวใหม่เอาของมาถวาย เขากลัวว่าผมจะบวชให้พรไม่เป็น สุดท้ายก็ทำให้เห็นว่ายังจำบทสวดให้พรข้างล่างนี้ได้
"อภิวาทนะสี ลิสสะนิจจัง วุฒาปัจจายิโน จัตตาโร ธัมมาวะทันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง" ที่แปลว่า พรสี่ประการจะบังเกิดแก่คนที่มีกริยาอ่อนน้อม
พี่ณัฐมาเยี่ยมแล้วเอาของมาถวายเป็๋นพวกเภสัชที่จำเป็นสำหรับไปธรรมยาตรา และฝากให้ท่านเหน่งด้วยเพราะไม่ได้เจอ เขาพูดถึงอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเจ้าพระยาที่ลงชื่อแล้วแต่ไม่มาบวชที่นี่พร้อมพวกเราเพราะใจเขายังไม่พร้อม ก็ดีแล้วเพราะว่าถ้าเขาไม่พร้อมแล้วมาบวชจะเป็นทุกข์มากกว่า ให้พรโยมณัฐ เขาเข้าใจว่าพระบวชใหม่ยังไม่น่าจะให้พรได้แต่เขาอาจจะลืมไปว่าผมเคยบวชมาแล้วในอดีต
กวาดลานวัดตอนบ่าย อาบน้ำแล้วไปทำวัตรเย็น พระอาจารย์มหาวิเชียรให้พระบวชใหม่ทำพินทุผ้าทุกผืนเพื่อไม่ให้อาบัติในการใช้ บาตรที่ได้มาฝาครอบสลกบาตรไม่พอดีต้องเปลี่ยน และเอาลิควิดเขียนที่บาตรเพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างบาตรของแต่ละคน ทำอธิษฐานบาตร พระอาจารย์เตือนเรื่องปาราชิกทั้ง ๔ ข้อและเรื่องกำหนัดที่อาจจะเกิดขึ้น เพศชายเมื่อมีอารมณ์มากระทบถ้าไม่ควบคุมก็อาจจะเกิดความต้องการและสุดท้ายความคิดจะนำไปสู่การระบายปลดปล่อยทางเพศซึ่งต้องห้ามในเพศบรรพชิต ถ้าเกิดมีความกำหนัดขึ้นมา อย่าอยู่คนเดียวตามลำพัง ต้องหาอุบายทำให้ลืมเรื่องนี้ไปให้ได้ เพราะการระบายความใคร่ด้วยตนเองในทางโลกอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาแต่สำหรับพระแล้วผิดวินัยขั้นสังฆาทิเสส พระที่ทำผิดวินัยข้อนี้ต้องไปสารภาพและต้องกรรมตามระยะเวลาที่ทำความผิด
กลับมาที่กุฏิ เปิดดูข้อความที่มีเพื่อนโพสท์เหตุการณ์พิธีบวชวันนี้ และมีข้อความจากคนที่อาจจะเคยทำให้เราเสียใจ เขาคงรู้สึกผิดและอยากจะมาขออโหสิกรรมแต่ไม่มีโอกาสในวันนี้ เลยใช้ช่องทางนี้กล่าวขออโหสิกรรม ผมไม่ติดใจเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตแล้ว และการบวชครั้งนี้เป็นการบวชถวายแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ความจริงผมได้ขออโหสิกรรมแต่บุคคลทั้งหลายที่เคยล่วงเกินในอดีตทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจก่อนจะปลงผมและมาอยู่ที่วัดแล้ว ขอให้สิ่งที่ล่วงเกินในอดีตจงแล้วต่อกันเพื่อให้อานิสงส์ในการบวชครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุด กรณีเพื่อนรายนี้ผมให้อภัยเขา ตัวเขาเองก็สบายใจที่ผมให้อภัยแก่เขา
ชีวิตเพศบรรพชิตแม้จะช่วงเวลาสั้นๆเพียง ๑๒ วันที่ได้มีส่วนช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา เริ่มต้นแล้วณ.วัดวังหิน
Create Date : 07 ตุลาคม 2560 | | |
Last Update : 7 ตุลาคม 2560 12:32:45 น. |
Counter : 1240 Pageviews. |
| |
|
|
|