|
Switzerland Trip Part 1
ชีพจรลงเท้าอีกครั้ง คราวนี้ได้เดินทางไปประชุมวิชาการในต่างแดน เป็นการประชุม Operational Research 2011 ที่เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นการเดินทางไปยุโรปเป็นครั้งที่ ๒ เยือนยุโรปครั้งแรกผมเดินทางไปรัสเซียและตุรกีเมื่อสองปีก่อน (ประสบการณ์ทริปยุโรปครั้งแรกอ่านได้จากเรื่องเล่าในบล็อกที่เขียนก่อนหน้านั้น)
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cheevaprapha&date=21-07-2009&group=2&gblog=20
ออกเดินทางตอน ๑๑ โมงวันจันทร์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ จากพิษณุโลกพร้อมคณาจารย์และลูกศิษย์ปริญญาเอก ฝนตกพรำๆตลอดทาง มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิตอน ๕ โมงเย็น บรรยากาศก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน เรารอที่สนามบินเพื่อรอเวลาเช็กอิน ๖ โมงเย็นเพื่อขึ้นเครื่องบินของสายการบิน Etihad ของ UAE
ก่อนขึ้นเครื่องแวะทานอาหารเย็น....ลงไปทานร้าน LeeCafe เมนูประจำที่มักจะทานที่ร้านนี้สาขาอื่น เย็นตาโฟร้านนี้เป็นเมนูแนะนำ
ขนมผักกาดเป็นอีกเมนูที่น่าทาน
วันนี้....แม้จะทานจนอิ่มแต่ไม่อร่อยนัก
เครื่องบินออกตอน ๒ ทุ่ม ๓๕ นาที ก่อนเครื่องจะออกมีเสียงสวดสรรเสริญพระอัลเลาะห์ในจอมอนิเตอร์ทีวีที่พนักเก้าอี้ผู้โดยสาร...
เลือกดูภาพยนตร์เยอรมันที่ชื่อว่า Almanya Willkommen in Deutschland ถือเป็นการทบทวนภาษาเยอรมันที่เคยเรียนเล่นๆด้วยตัวเองสมัยอยู่ญี่ปุ่น
เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของคนตุรกีอพยพที่เข้ามาใช้ชีวิตในเยอรมันตั้งแต่ช่วงเยอรมันเปิดประเทศต้องการแรงงานต่างด้าวเข้ามาพัฒนาประเทศ.... คนตุรกีรุ่นแรกที่เข้ามาบุกเบิกพัฒนาประเทศ เก็บเงินส่งให้ครอบครัวที่อยู่ในเมือง Almanya ประเทศตุรกี แล้วอพยพครอบครัวมาอยู่เยอรมันด้วยกัน
แล้ววันนึง....พ่อรุ่นบุกเบิกที่เข้ามาใช้ชีวิตในเยอรมันก็มีความคิดจะรวมสมาชิกในครอบครัวไปใช้เวลาวันหยุดที่บ้านเกิดในเมือง Almanya ถึงจะได้พาสปอร์ตสัญชาติเยอรมันแต่พ่อก็ยังภาคภูมิใจในความเป็นคนตุรกี รุ่นหลานมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนและไม่ภาคภูมิใจในความเป็นคนเชื้อสายตุรกี เพราะโดนเพื่อนแกล้งที่โรงเรียน พี่สาวจึงเล่าตำนานของปู่ให้น้องชายฟังว่าปู่รู้จักกับย่าได้อย่างไร ชีวิตลำบากอย่างไรกว่าจะพาครอบครัวมาใช้ชีวิตร่วมกันที่เยอรมันได้
วัฒนธรรมของคนตุรกีที่นิยมสาดน้ำตามหลังรถที่บรรทุกเพื่อนหรือญาติมิตรที่เดินทางไปไกล เป็นเครื่องหมายว่า น้ำที่ถูกสาดลงบนพื้นจะระเหยไปในอากาศรวดเร็ว...เหมือนกับว่าอีกไม่นานคนเหล่านั้นก็จะกลับมา
ในระหว่างการเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของปู่...เรื่องราวตำนานของครอบครัวนี้ถูกเล่าผ่านปากของพี่สาว ทำให้น้องชายได้ตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของครอบครัวและค่อยๆซึมซับความภาคภูมิใจที่เป็นคนเชื้อสายตุรกี
ปู่เกิดหัวใจล้มเหลวเสียชีวิตระหว่างทาง....ได้มาตายในดินแดนบ้านเกิดตัวเอง ลูกๆหลานๆตัดสินใจฝังร่างของปู่ยังพื้นที่ซึ่งเคยเป็นบ้านของปู่มาก่อน ลูกชายคนโตตัดสินใจอยู่ต่อที่ตุรกีเพื่อสร้างบ้านขึ้นมาสมกับความตั้งใจของพ่อก่อนที่จะตาย
หลานชายจินตนาการภาพเหตุการณ์ยังสถานที่ต่างๆตามเรื่องเล่าที่พี่สาวเล่าให้ฟัง....ภาพปู่จีบย่า ภาพลุงสมัยเด็กๆที่เล่นกับเพื่อนตุรกีและสัญญาว่าจะเอาโค้กมาฝากก่อนเดินทางไปเยอรมัน...
แล้วหลานชายก็เป็นตัวแทนปู่ที่เสียชีวิต หลานกล่าวแทนปู่ในฐานะคนตุรกีอพยพเข้ามาเยอรมันเป็นรายที่ ๑ ล้านคน ขอบคุณประเทศเยอรมนีที่ให้โอกาสสร้างครอบครัว และร่วมกันพัฒนาประเทศเยอรมัน
ไปเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี ประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สองชั่วโมงก่อนจะขึ้นเครื่องไปเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ประมาณ ๖ โมงเช้าเครื่องบินก็บินมาถึงบริเวณยอดเขา Jungfrau ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป โชคดีที่นั่งติดริมหน้าต่าง เลยถ่ายภาพยอดเขาจูงเฟรา และทะเลสาบโลซานน์ เป็นที่ระลึก
มาถึงสนามบินเจนีวาตอน ๗ โมงเช้า ซึ่งเวลาในเมืองไทยประมาณเที่ยงพอดี (เวลาในสวิสช้ากว่าในไทย ๕ ชั่วโมง) บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง...ปรากฏว่าทุกคนผ่านหมดยกเว้นคณบดีที่มีปัญหาเล็กน้อย...ทางเจ้าหน้าที่ซักถามว่ามีปัญหาวีซ่า กรณีนี้น่าจะต้องมีวีซ่า แม้ว่าทางคนประสานงานแจ้งว่าไม่ต้องใช้วีซ่าถ้าถือพาสปอร์ตราชการ และกรณีนี้เดินทางมาประชุมวิชาการ เจ้าหน้าที่เขากักตัวไว้ ตอนแรกเขาจะโทรไปปรึกษายังออฟฟิศที่ซูริกแต่ว่าต้องรอออฟฟิศเริ่มทำงานตอน ๙ โมงเช้ากว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็เที่ยง....โชคดีที่เจ้าหน้าที่เขาเฉลียวพอ เขาตัดสินใจปล่อยตัวไป.....โชคดีไป
รถตู้ที่เรานั่งมาถึงบริเวณสวนสาธารณะริมทะเลสาบเจนีวา ภาพแรกที่บันทึกภาพคืออนุสาวรีย์ของเจ้าผู้ครองนครเจนีวาในอดีตซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งคู่ ด้านหลังเป็นอาคารขายนาฬิกายี่ห้อดังของสวิส
นาฬิกาดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของเจนีวา
วัฒนธรรมของสวิสเหมือนกับประเทศพัฒนาอื่นๆที่คนเดินถนนมีสิทธิเหนือกว่ารถยนต์ที่แล่นบนถนนน เวลากำลังเดินข้ามถนน...รถต้องหยุดให้คนเดินผ่านไปก่อน
ความสะอาดของห้องน้ำสาธารณะในสวิสน่าชื่นชมมาก เพราะไม่มีคนเฝ้าแต่มันสะอาดทุกที่
น้ำพุในทะเลสาบเจนีวาถูกเปิดให้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพอดีตอนที่พวกเราไปถึง
หลังจากนั้นก็เดินทางไปเมืองโลซานน์ที่อยู่ห่างออกไปราวๆ ๔๐ นาที ที่แรกที่เราไปเยือนกันคือ บริเวณที่เคยเป็นพระตำหนักวิลลาวัฒนาสถานที่ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จย่า พระพี่นางกัลยณิวัฒนา รัชกาลที่ ๘ และในหลวงรัชกาลที่ ๙ น่าเสียดายที่พระตำหนักวิลล่าวัฒนาถูกขายไปแล้วแต่รัฐบาลสวิสตระหนักในคุณค่าของบริเวณนี้ในแง่คุณค่าทางประวัติศาสตร์ เลยซื้อต่อ แล้วสร้างศาลาศิลปะไทยเป็นสัญลักษณ์ว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ไทยสมัยเป็นยุวชน
ทะเลสาบโลซานน์ดูสงบและสวยงาม
รถตู้พาพวกเราไปยังปราสาทชิลยอง ซึ่งชาร์ลี แชปปลิน เคยซื้อปราสาทนี้ไว้และใช้ชีวิตบั้นปลายที่ปราสาทแห่งนี้
ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี....ไกด์พาไปทานอาหารในซุปเปอร์สโตร์ที่ชื่อ Migros ในเขตกรุงเบิร์น อาหารที่นี่เป็นบุฟเฟต์ให้ตักและชั่งน้ำหนักของอาหารและคิดเงินตามน้ำหนัก ในรูปอาหารมื้อแรกในสวิสน้ำหนัก ๕๔๘ กรัม ตกประมาณ ๑๔.๕ ฟรังก์สวิส (อัตราแลกเปลี่ยนที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนขึ้นเครื่องอยู่ที่ ๓๗.๕๕ บาท/ฟรังก์สวิส)
หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังบริเวณริมทะเลสาบ Thunersee น้ำจืดในทะเลสาบดูสะอาด สีออกเขียวเข้มชวนให้นึกถึงทะเลในไทย แต่ที่นี่สะอาดมากๆ น้ำใส แม้แต่ห้องน้ำสาธารณะที่ไม่มีคนเฝ้าก็ดูสะอาด บ่งบอกถึงวัฒนธรรมของคนในประเทศนี้ ไกด์เล่าให้ฟังว่าคนสวิสถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้รักษาความสะอาด ดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ขโมยของคนอื่น
รถไปจอดที่เขตเมือง Interlarken เมืองนี้นักท่องเที่ยวชอบแวะมาซื้อนาฬิกากัน เพราะที่นี่ให้ส่วนลดมากกว่าที่อื่น อาจเป็นเพราะคนไทยและคนจีนชอบมาซื้อนาฬิกาที่นี่กันมาก....ร้านค้าเลยมีพนักงานขายเป็นคนไทยและคนจีนเยอะ
เห็นร้านขายไอศกรีม พอเหลือบดูราคาแล้วคิดอยู่รอบนึงเพราะแพงมาก ลูกละ ๓.๔ ฟรังก์สวิส ตก ๑๐๐ กว่าบาท แต่ความที่อยากลองว่ารสาติไอศครีมที่ใส่ถั่วพิทาชิโอเป็นอย่างไร เพราะไอศครีมรสชาติแบบนี้ไม่ค่อยเจอในไทย เลยเดินเข้าไปซื้อมาลองกินดู
ถ้าถามว่าอร่อยไหม?
ผมตอบว่า "ได้ทานแล้วไอศกรีมที่สวิตเซอร์แลนด์" แปลความหมายกันเอาเองนะครับ
แม้ว่าฤดูที่ไปจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายจากฤดูร้อนเป็นฤดูใบไม้ร่วง...แต่ว่ายอดเขา Jungfrau ยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่
ภาพข้างล่างอาจจะให้ความรู้สึกธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปในสวนสาธารณะในยุโรป
แต่สำหรับภาพข้างล่างนี้...ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ภาพนี้แทนความหมายพิเศษได้มากมายทีเดียว
โดยบังเอิญที่ผมไปเห็นภาพนี้เข้า....และเลือกที่จะถ่ายจากด้านหลังตัวแบบแทนที่จะถ่ายจากด้านหน้า
ลูกศิษย์ผมที่เดินทางไปทริปนี้ด้วยกัน ถามผมว่า
"อาจารย์ครับ คนเราจำเป็นต้องมีชีวิตคู่ไหม?"
ผมถามกลับว่าทำไมเขาถึงถามผมแบบนั้น
เขาตอบว่า เขาเห็นภาพคนชราในสวิสเดินไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นคู่ๆ แล้วก็เกิดคำถามขึ้นในใจ
ในความคิดเห็นของผม...
"ชีวิตคู่มีเพื่อคอยช่วยเหลือกัน อยู่ดูแลกัน ห่วงใยกัน คอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเรื่องของสภาพร่างกายที่โรยราไปตามสังขาร ความสวยงามหรือว่าความหล่อเข้ามาเกี่ยวข้อง ความเป็นคู่ก็ยังคงเป็นคู่เหมือนเดิมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี"
"แต่ถ้าชีวิตคู่มีเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งเรียกร้องจากอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา....ชีวิตคู่แบบนั้นดูไร้ค่า การอยู่เป็นโสดตามลำพังอาจจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า เพราะชีวิตที่เป็นโสดมันดูโปร่งเบา อิสระ มากกว่า คงจะมีคนไม่กี่คนบนโลกใบนี้ที่มีความสุขที่ได้รองรับอารมณ์ของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา และต้องคอยตามใจอีกฝ่ายโดยไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่อีกฝ่ายไม่เคยสนใจเลย"
"ชีวิตคู่ คงมีความหมายเหมือนปรากฏการณ์ซินเนอร์จี้ ที่กล่าวว่า 1+1 > 2 หมายถึง ความสุขของแต่ละคนอย่างไรก็ไม่มีทางมากกว่าความสุขที่เกิดขึ้นจากการที่คนสองคนนั้นได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน ได้ช่วยเหลือ ห่วงใยดูแลกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน และร่วมสร้างความสุขในชีวิตของคนสองคนไปด้วยกัน เวลาที่สูญเสียไปของคนๆหนึ่้งเพื่อไปชดเชยให้กับอีกคนหนึ่ง และเวลาที่เกิดขึ้นก็เป็นเวลาของคนสองคนที่ก้าวผ่านไปด้วยกัน พร้อมที่จะเผชิญสิ่งต่างๆที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตของคนสองคนร่วมกัน"
ภาพสองตายายที่อยู่เคียงข้างกัน...เฝ้าดูยอดเขาจูงเฟราด้วยกัน ทำให้ผมได้ข้อคิดดีๆเรื่องชีวิตคู่ขึ้นมา เป้าหมายของชีวิตคู่ของผู้คนที่แท้จริงคงไม่ใช่เพื่อการมีลูก หรือการมีเพศสัมพันธ์ เพราะภาพที่เห็นในขณะนี้....มีแต่สองคนตายายที่อยู่ดูแลกัน ลูกก็อยู่ดูแลครอบครัวเขาต่อไป และแม้กามารมณ์จะเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถาวร และก็ไม่ใช่ความสุขสูงสุดของการเกิดเป็นมนุษย์
การได้มาเปลี่ยนบรรยากาศในต่างแดน....มันทำให้เราได้เห็นภาพอะไรในชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น
Create Date : 07 กันยายน 2554 |
Last Update : 12 กันยายน 2554 0:21:36 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1567 Pageviews. |
|
|
|
โดย: diamondsky วันที่: 7 กันยายน 2554 เวลา:22:45:17 น. |
|
|
|
โดย: Boy DBA IP: 125.26.245.8 วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:22:11:47 น. |
|
|
|
โดย: chanphen IP: 118.172.224.63 วันที่: 9 กันยายน 2554 เวลา:21:13:01 น. |
|
|
|
โดย: ชีวประภา วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:1:08:03 น. |
|
|
|
โดย: จิระ (ฮอล) IP: 223.206.4.125 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:11:31:24 น. |
|
|
|
โดย: Nayty (Jittra) DBA. IP: 118.172.148.99 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:19:27:36 น. |
|
|
|
โดย: ชีวประภา วันที่: 12 กันยายน 2554 เวลา:0:23:41 น. |
|
|
|
โดย: chanphen IP: 180.180.58.53 วันที่: 12 กันยายน 2554 เวลา:1:47:39 น. |
|
|
|
โดย: chompu IP: 118.172.183.71 วันที่: 2 ตุลาคม 2554 เวลา:23:02:00 น. |
|
|
|
| |
|
|
น้ำพุที่เจนีวา ดูสูงใหญ่อลังการจริงๆ
โลซานน์ถือเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชาติไทยมากทีเดียว
ปล.ทะเลสาปที่เจนีวา และโลซานน์ ชื่อ ลาค เลอมอง ค่ะ