ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 
Switzerland Trip Part 1

ชีพจรลงเท้าอีกครั้ง คราวนี้ได้เดินทางไปประชุมวิชาการในต่างแดน เป็นการประชุม Operational Research 2011 ที่เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นการเดินทางไปยุโรปเป็นครั้งที่ ๒ เยือนยุโรปครั้งแรกผมเดินทางไปรัสเซียและตุรกีเมื่อสองปีก่อน (ประสบการณ์ทริปยุโรปครั้งแรกอ่านได้จากเรื่องเล่าในบล็อกที่เขียนก่อนหน้านั้น)

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cheevaprapha&date=21-07-2009&group=2&gblog=20



ออกเดินทางตอน ๑๑ โมงวันจันทร์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ จากพิษณุโลกพร้อมคณาจารย์และลูกศิษย์ปริญญาเอก ฝนตกพรำๆตลอดทาง มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิตอน ๕ โมงเย็น บรรยากาศก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน เรารอที่สนามบินเพื่อรอเวลาเช็กอิน ๖ โมงเย็นเพื่อขึ้นเครื่องบินของสายการบิน Etihad ของ UAE


ก่อนขึ้นเครื่องแวะทานอาหารเย็น....ลงไปทานร้าน LeeCafe เมนูประจำที่มักจะทานที่ร้านนี้สาขาอื่น เย็นตาโฟร้านนี้เป็นเมนูแนะนำ





ขนมผักกาดเป็นอีกเมนูที่น่าทาน





วันนี้....แม้จะทานจนอิ่มแต่ไม่อร่อยนัก


เครื่องบินออกตอน ๒ ทุ่ม ๓๕ นาที ก่อนเครื่องจะออกมีเสียงสวดสรรเสริญพระอัลเลาะห์ในจอมอนิเตอร์ทีวีที่พนักเก้าอี้ผู้โดยสาร...


เลือกดูภาพยนตร์เยอรมันที่ชื่อว่า Almanya Willkommen in Deutschland ถือเป็นการทบทวนภาษาเยอรมันที่เคยเรียนเล่นๆด้วยตัวเองสมัยอยู่ญี่ปุ่น

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของคนตุรกีอพยพที่เข้ามาใช้ชีวิตในเยอรมันตั้งแต่ช่วงเยอรมันเปิดประเทศต้องการแรงงานต่างด้าวเข้ามาพัฒนาประเทศ.... คนตุรกีรุ่นแรกที่เข้ามาบุกเบิกพัฒนาประเทศ เก็บเงินส่งให้ครอบครัวที่อยู่ในเมือง Almanya ประเทศตุรกี แล้วอพยพครอบครัวมาอยู่เยอรมันด้วยกัน

แล้ววันนึง....พ่อรุ่นบุกเบิกที่เข้ามาใช้ชีวิตในเยอรมันก็มีความคิดจะรวมสมาชิกในครอบครัวไปใช้เวลาวันหยุดที่บ้านเกิดในเมือง Almanya ถึงจะได้พาสปอร์ตสัญชาติเยอรมันแต่พ่อก็ยังภาคภูมิใจในความเป็นคนตุรกี รุ่นหลานมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนและไม่ภาคภูมิใจในความเป็นคนเชื้อสายตุรกี เพราะโดนเพื่อนแกล้งที่โรงเรียน พี่สาวจึงเล่าตำนานของปู่ให้น้องชายฟังว่าปู่รู้จักกับย่าได้อย่างไร ชีวิตลำบากอย่างไรกว่าจะพาครอบครัวมาใช้ชีวิตร่วมกันที่เยอรมันได้

วัฒนธรรมของคนตุรกีที่นิยมสาดน้ำตามหลังรถที่บรรทุกเพื่อนหรือญาติมิตรที่เดินทางไปไกล เป็นเครื่องหมายว่า น้ำที่ถูกสาดลงบนพื้นจะระเหยไปในอากาศรวดเร็ว...เหมือนกับว่าอีกไม่นานคนเหล่านั้นก็จะกลับมา

ในระหว่างการเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของปู่...เรื่องราวตำนานของครอบครัวนี้ถูกเล่าผ่านปากของพี่สาว ทำให้น้องชายได้ตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของครอบครัวและค่อยๆซึมซับความภาคภูมิใจที่เป็นคนเชื้อสายตุรกี

ปู่เกิดหัวใจล้มเหลวเสียชีวิตระหว่างทาง....ได้มาตายในดินแดนบ้านเกิดตัวเอง ลูกๆหลานๆตัดสินใจฝังร่างของปู่ยังพื้นที่ซึ่งเคยเป็นบ้านของปู่มาก่อน ลูกชายคนโตตัดสินใจอยู่ต่อที่ตุรกีเพื่อสร้างบ้านขึ้นมาสมกับความตั้งใจของพ่อก่อนที่จะตาย

หลานชายจินตนาการภาพเหตุการณ์ยังสถานที่ต่างๆตามเรื่องเล่าที่พี่สาวเล่าให้ฟัง....ภาพปู่จีบย่า ภาพลุงสมัยเด็กๆที่เล่นกับเพื่อนตุรกีและสัญญาว่าจะเอาโค้กมาฝากก่อนเดินทางไปเยอรมัน...

แล้วหลานชายก็เป็นตัวแทนปู่ที่เสียชีวิต หลานกล่าวแทนปู่ในฐานะคนตุรกีอพยพเข้ามาเยอรมันเป็นรายที่ ๑ ล้านคน ขอบคุณประเทศเยอรมนีที่ให้โอกาสสร้างครอบครัว และร่วมกันพัฒนาประเทศเยอรมัน



ไปเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี ประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สองชั่วโมงก่อนจะขึ้นเครื่องไปเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


ประมาณ ๖ โมงเช้าเครื่องบินก็บินมาถึงบริเวณยอดเขา Jungfrau ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป โชคดีที่นั่งติดริมหน้าต่าง เลยถ่ายภาพยอดเขาจูงเฟรา และทะเลสาบโลซานน์ เป็นที่ระลึก






มาถึงสนามบินเจนีวาตอน ๗ โมงเช้า ซึ่งเวลาในเมืองไทยประมาณเที่ยงพอดี (เวลาในสวิสช้ากว่าในไทย ๕ ชั่วโมง) บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง...ปรากฏว่าทุกคนผ่านหมดยกเว้นคณบดีที่มีปัญหาเล็กน้อย...ทางเจ้าหน้าที่ซักถามว่ามีปัญหาวีซ่า กรณีนี้น่าจะต้องมีวีซ่า แม้ว่าทางคนประสานงานแจ้งว่าไม่ต้องใช้วีซ่าถ้าถือพาสปอร์ตราชการ และกรณีนี้เดินทางมาประชุมวิชาการ เจ้าหน้าที่เขากักตัวไว้ ตอนแรกเขาจะโทรไปปรึกษายังออฟฟิศที่ซูริกแต่ว่าต้องรอออฟฟิศเริ่มทำงานตอน ๙ โมงเช้ากว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็เที่ยง....โชคดีที่เจ้าหน้าที่เขาเฉลียวพอ เขาตัดสินใจปล่อยตัวไป.....โชคดีไป


รถตู้ที่เรานั่งมาถึงบริเวณสวนสาธารณะริมทะเลสาบเจนีวา ภาพแรกที่บันทึกภาพคืออนุสาวรีย์ของเจ้าผู้ครองนครเจนีวาในอดีตซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งคู่ ด้านหลังเป็นอาคารขายนาฬิกายี่ห้อดังของสวิส






นาฬิกาดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของเจนีวา






วัฒนธรรมของสวิสเหมือนกับประเทศพัฒนาอื่นๆที่คนเดินถนนมีสิทธิเหนือกว่ารถยนต์ที่แล่นบนถนนน เวลากำลังเดินข้ามถนน...รถต้องหยุดให้คนเดินผ่านไปก่อน






ความสะอาดของห้องน้ำสาธารณะในสวิสน่าชื่นชมมาก เพราะไม่มีคนเฝ้าแต่มันสะอาดทุกที่





น้ำพุในทะเลสาบเจนีวาถูกเปิดให้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพอดีตอนที่พวกเราไปถึง





หลังจากนั้นก็เดินทางไปเมืองโลซานน์ที่อยู่ห่างออกไปราวๆ ๔๐ นาที ที่แรกที่เราไปเยือนกันคือ บริเวณที่เคยเป็นพระตำหนักวิลลาวัฒนาสถานที่ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จย่า พระพี่นางกัลยณิวัฒนา รัชกาลที่ ๘ และในหลวงรัชกาลที่ ๙ น่าเสียดายที่พระตำหนักวิลล่าวัฒนาถูกขายไปแล้วแต่รัฐบาลสวิสตระหนักในคุณค่าของบริเวณนี้ในแง่คุณค่าทางประวัติศาสตร์ เลยซื้อต่อ แล้วสร้างศาลาศิลปะไทยเป็นสัญลักษณ์ว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ไทยสมัยเป็นยุวชน





ทะเลสาบโลซานน์ดูสงบและสวยงาม






รถตู้พาพวกเราไปยังปราสาทชิลยอง ซึ่งชาร์ลี แชปปลิน เคยซื้อปราสาทนี้ไว้และใช้ชีวิตบั้นปลายที่ปราสาทแห่งนี้





ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี....ไกด์พาไปทานอาหารในซุปเปอร์สโตร์ที่ชื่อ Migros ในเขตกรุงเบิร์น อาหารที่นี่เป็นบุฟเฟต์ให้ตักและชั่งน้ำหนักของอาหารและคิดเงินตามน้ำหนัก ในรูปอาหารมื้อแรกในสวิสน้ำหนัก ๕๔๘ กรัม ตกประมาณ ๑๔.๕ ฟรังก์สวิส (อัตราแลกเปลี่ยนที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนขึ้นเครื่องอยู่ที่ ๓๗.๕๕ บาท/ฟรังก์สวิส)






หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังบริเวณริมทะเลสาบ Thunersee น้ำจืดในทะเลสาบดูสะอาด สีออกเขียวเข้มชวนให้นึกถึงทะเลในไทย แต่ที่นี่สะอาดมากๆ น้ำใส แม้แต่ห้องน้ำสาธารณะที่ไม่มีคนเฝ้าก็ดูสะอาด บ่งบอกถึงวัฒนธรรมของคนในประเทศนี้ ไกด์เล่าให้ฟังว่าคนสวิสถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้รักษาความสะอาด ดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ขโมยของคนอื่น






รถไปจอดที่เขตเมือง Interlarken เมืองนี้นักท่องเที่ยวชอบแวะมาซื้อนาฬิกากัน เพราะที่นี่ให้ส่วนลดมากกว่าที่อื่น อาจเป็นเพราะคนไทยและคนจีนชอบมาซื้อนาฬิกาที่นี่กันมาก....ร้านค้าเลยมีพนักงานขายเป็นคนไทยและคนจีนเยอะ


เห็นร้านขายไอศกรีม พอเหลือบดูราคาแล้วคิดอยู่รอบนึงเพราะแพงมาก ลูกละ ๓.๔ ฟรังก์สวิส ตก ๑๐๐ กว่าบาท แต่ความที่อยากลองว่ารสาติไอศครีมที่ใส่ถั่วพิทาชิโอเป็นอย่างไร เพราะไอศครีมรสชาติแบบนี้ไม่ค่อยเจอในไทย เลยเดินเข้าไปซื้อมาลองกินดู






ถ้าถามว่าอร่อยไหม?

ผมตอบว่า "ได้ทานแล้วไอศกรีมที่สวิตเซอร์แลนด์" แปลความหมายกันเอาเองนะครับ



แม้ว่าฤดูที่ไปจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายจากฤดูร้อนเป็นฤดูใบไม้ร่วง...แต่ว่ายอดเขา Jungfrau ยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่







ภาพข้างล่างอาจจะให้ความรู้สึกธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปในสวนสาธารณะในยุโรป









แต่สำหรับภาพข้างล่างนี้...ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ภาพนี้แทนความหมายพิเศษได้มากมายทีเดียว





โดยบังเอิญที่ผมไปเห็นภาพนี้เข้า....และเลือกที่จะถ่ายจากด้านหลังตัวแบบแทนที่จะถ่ายจากด้านหน้า


ลูกศิษย์ผมที่เดินทางไปทริปนี้ด้วยกัน ถามผมว่า


"อาจารย์ครับ คนเราจำเป็นต้องมีชีวิตคู่ไหม?"


ผมถามกลับว่าทำไมเขาถึงถามผมแบบนั้น

เขาตอบว่า เขาเห็นภาพคนชราในสวิสเดินไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นคู่ๆ แล้วก็เกิดคำถามขึ้นในใจ


ในความคิดเห็นของผม...

"ชีวิตคู่มีเพื่อคอยช่วยเหลือกัน อยู่ดูแลกัน ห่วงใยกัน คอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเรื่องของสภาพร่างกายที่โรยราไปตามสังขาร ความสวยงามหรือว่าความหล่อเข้ามาเกี่ยวข้อง ความเป็นคู่ก็ยังคงเป็นคู่เหมือนเดิมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี"


"แต่ถ้าชีวิตคู่มีเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งเรียกร้องจากอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา....ชีวิตคู่แบบนั้นดูไร้ค่า การอยู่เป็นโสดตามลำพังอาจจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า เพราะชีวิตที่เป็นโสดมันดูโปร่งเบา อิสระ มากกว่า คงจะมีคนไม่กี่คนบนโลกใบนี้ที่มีความสุขที่ได้รองรับอารมณ์ของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา และต้องคอยตามใจอีกฝ่ายโดยไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่อีกฝ่ายไม่เคยสนใจเลย"


"ชีวิตคู่ คงมีความหมายเหมือนปรากฏการณ์ซินเนอร์จี้ ที่กล่าวว่า 1+1 > 2 หมายถึง ความสุขของแต่ละคนอย่างไรก็ไม่มีทางมากกว่าความสุขที่เกิดขึ้นจากการที่คนสองคนนั้นได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน ได้ช่วยเหลือ ห่วงใยดูแลกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน และร่วมสร้างความสุขในชีวิตของคนสองคนไปด้วยกัน เวลาที่สูญเสียไปของคนๆหนึ่้งเพื่อไปชดเชยให้กับอีกคนหนึ่ง และเวลาที่เกิดขึ้นก็เป็นเวลาของคนสองคนที่ก้าวผ่านไปด้วยกัน พร้อมที่จะเผชิญสิ่งต่างๆที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตของคนสองคนร่วมกัน"




ภาพสองตายายที่อยู่เคียงข้างกัน...เฝ้าดูยอดเขาจูงเฟราด้วยกัน ทำให้ผมได้ข้อคิดดีๆเรื่องชีวิตคู่ขึ้นมา เป้าหมายของชีวิตคู่ของผู้คนที่แท้จริงคงไม่ใช่เพื่อการมีลูก หรือการมีเพศสัมพันธ์ เพราะภาพที่เห็นในขณะนี้....มีแต่สองคนตายายที่อยู่ดูแลกัน ลูกก็อยู่ดูแลครอบครัวเขาต่อไป และแม้กามารมณ์จะเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถาวร และก็ไม่ใช่ความสุขสูงสุดของการเกิดเป็นมนุษย์


การได้มาเปลี่ยนบรรยากาศในต่างแดน....มันทำให้เราได้เห็นภาพอะไรในชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น






Create Date : 07 กันยายน 2554
Last Update : 12 กันยายน 2554 0:21:36 น. 10 comments
Counter : 1567 Pageviews.

 
ตามมาชมภาพจากสวิสเซอร์แลนด์ค่ะ

น้ำพุที่เจนีวา ดูสูงใหญ่อลังการจริงๆ

โลซานน์ถือเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชาติไทยมากทีเดียว

ปล.ทะเลสาปที่เจนีวา และโลซานน์ ชื่อ ลาค เลอมอง ค่ะ


โดย: diamondsky วันที่: 7 กันยายน 2554 เวลา:22:45:17 น.  

 
วิวสวยเชียว
ต้องมาอ่านตอนต่อไปว่าไปประชุมสนุกฉันใด ^^

ที่แน่ๆ เย็นตาโฟน่าทานค่ะ


โดย: SevenDaffodils วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:8:35:50 น.  

 
เอ ลูกศิษย์คนไหนน้อ
ถามอาจารย์...
คงไม่ใช่ป้านัท ใช่ไหมครับอาจารย์
อิอิ


โดย: Boy DBA IP: 125.26.245.8 วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:22:11:47 น.  

 
"ชีวิตคู่" ในความคิดของอาจารย์ไม่ได้ผิด แต่ถ้าชีวิตคู่ต้องกลายเป็น"เลี้ยงเดี่ยว"ในขณะที่ยังไม่ถึงเวลาอันควรไม่ว่ากรณีใด ๆคนที่คอยให้กำลังใจกัน คนที่คอยดูแลกันหายไป คนที่อยู่ข้างหลังต้องอยู่ให้ได้และให้ดีชีวิตที่เหลืออยู่ก็ต้องทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด และเฝ้าประคองลูกให้แข็งแรงเพื่ออยู่ให้ได้ในโลกใบนี้อย่างคนมีคุณภาพ..แล้วแบบนี้ชีวิตคู่หรืออยู่เป็นโสดแบบไหนดีกว่ากันคะ อาจารย์ตอบได้ไหม(คนนี้ไม่ใช่ลูกศิษย์ถามจะตอบไหมเนี่ย)


โดย: chanphen IP: 118.172.224.63 วันที่: 9 กันยายน 2554 เวลา:21:13:01 น.  

 
ขอบคุณคุณแป๋วที่แวะมาทักทาย รู้ว่าคุณแป๋วชอบทานเย็นตาโฟ ผมทานเย็นตาโฟร้านลีคาเฟ่เผื่อแล้วครับสำหรับคอเย็นตาโฟเหมือนกัน แต่รสชาติที่สนามบินสุวรรณภูมิไม่อร่อยอย่างที่เคยทานที่ร้านลีคาเฟ่ที่สาขาอื่น

ตอนนี้งานยุ่งมาก...จนไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่จะมีเวลามาเขียนตอนต่อไป เพราะยังตรวจข้อสอบกลางภาคลูกศิษย์อีก ๒ กลุ่มจำนวน ๑๔๐ คนยังไม่เสร็จ แฟนคลับของบล็อกนี้คงต้องรออ่านตอนต่อไปเมื่อผมว่างจะเข้ามาเขียนต่อ


ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณDaimandsky


บอย...ที่เขียนใช้สรรพนามผู้ชายแบบนั้น รับรองไม่ใช่พี่นัทแน่นอน ว่าแต่พี่นัทแกเข้ามาอ่านหรือยัง อันนี้ไม่ทราบ ตอนหยิบเรื่อง "ความจำสั้นแต่รักฉันยาว" มาใช้ประกอบการอธิบายในชั้นเรียน ดูพี่นัทจะอินมาก


คุณจันทร์เพ็ญ ตอนแรกผมเข้าใจว่าเป็นลูกศิษย์กลุ่มบัญชีที่เคยสอนซึ่งชื่อจันทร์เพ็ญเหมือนกัน แต่ตอนนี้ทราบแล้วว่าเป็นคุณแม่ของลูกศิษย์

ชีวิตโสดและชีวิตคู่ต่างมีข้อดี-ข้อเสีย และสิ่งหนึ่งที่มักจะสอนลูกศิษย์ก็คือ

"ทุกอย่างเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์

อนิจจัง ---ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรคงทน
ทุกขัง ---สภาพที่ทนได้ยาก
อนัตตา --ไม่มีอะไรที่เป็นของเราแท้จริงซักอย่าง ที่ว่าเป็นของเรา แท้จริงเป็นแค่สมมติบัญญัติ เมื่อตอนเขามา..เขาไม่ได้บอก ถ้าวันนึงจะจากลาไป เขาไม่จำเป็นต้องบอกลาด้วยซ้ำ "

ดังนั้นไม่มีใครในโลกนี้จะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่ทิ้งเรื่องราวดีๆให้กันไว้ เมื่อคนที่เคยอยู่ด้วยกันจากลาไป จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เรื่องราวดีๆของเขายังคงอยู่ในความทรงจำเราตลอดไป

ความจริงชีวิตโสด..ถ้ามันไม่เป็นทุกข์ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหาคนมาอยู่เป็นคู่ด้วย ทำหน้าที่ณ.ปัจจุบันให้ดีที่สุด ณ.เวลาที่ยังมีลมหายใจ

สำหรับคนที่มีคู่ ก็ใช้เวลาตอนที่มีคนอยู่เคียงข้างด้วยกันอย่างดีที่สุด เพราะเมื่อเวลาที่คนเคยอยู่เคียงข้างเขาไม่อยู่แล้ว การได้นึกถึงช่วงเวลาดีๆที่อยู่ด้วยกันกับเขา...มันก็เป็นความสุข

คืนวันเสาร์ไปร่วมงานสวดศพของสามีของเจ้าหน้าที่ที่คณะฯ ได้ข้อคิดบางอย่างกลับมา ชีวิตของคนเราช่างไม่แน่นอน เมื่อสองอาทิตย์ก่อนยังคุยกับเจ้าหน้าที่รายนี้เรื่องสามีเขาที่ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล แนะนำเขาว่าให้ทำดีที่สุดในช่วงเวลาที่เราสามารถทำได้ จะได้ไม่เสียใจภายหลังที่ไม่ได้ทำตอนที่สามีเขายังอยู่ จะได้ไม่ต้องมาโทษตัวเองภายหลัง แล้วอยู่ๆวันพฤหัสตอนเช้าสามีเขาก็เสียไป

ตอนนี้เขาต้องอยู่ตามลำพัง และไม่แน่ใจในอนาคตว่าจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป?

คนตายก็ตายไปแล้ว....คนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ต้องเดินหน้าต่อไป ใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด ไม่จมอยู่กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้ ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่ากับที่ยังมีชีวิตอยู่


โดย: ชีวประภา วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:1:08:03 น.  

 
ขอบคุณครับอาจารย์ที่บอกเล่าเรื่องราวที่มีคุณค่าเสมอมาและมีแง่คิดที่ดีเสมอที่ให้ผมได้คิด ว่าที่จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เที่ยงเลยแม้แต่ชีวิตคู่ รักและดูแลกันดีขนาดไหนย่อมตายจากกัน คงเหลือไว้ซึ่งความรักความรู้สึกที่ดีเป็นกำลังให้คนที่อยู่ดำเนินชีวิตต่อไป ฉะนั้นสิ่งที่เราหนี้ไม่พ้นและเป็นความเที่ยงที่แท้จริง ก็คือการหมดลมหายใจ แต่จะหมดลมหายใจไปกับความสุขหรือความทุกข์ขึ้นอยู่กับการประพฤติ ทางกาย วาจา ใจ ของแต่ละบุคคล
อย่าเครียดนะครับประเด็นไปเที่ยวสวิส แต่กับได้แง่คิดอีกแง่มุมหนึ่งมาสะท้อนกันครับ


โดย: จิระ (ฮอล) IP: 223.206.4.125 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:11:31:24 น.  

 
"ชีวิตคู่มีเพื่อคอยช่วยเหลือกัน อยู่ดูแลกัน ห่วงใยกัน คอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเรื่องของสภาพร่างกายที่โรยราไปตามสังขาร ความสวยงามหรือว่าความหล่อเข้ามาเกี่ยวข้อง ความเป็นคู่ก็ยังคงเป็นคู่เหมือนเดิมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี"
**ชอบประโยคนี้มากๆๆเลยคะ ....เป็นประโยคที่ไม่ต้องอธิบายอะไร เพราะมันมีความหมายอยู่ในตัวของมันเอง**


โดย: Nayty (Jittra) DBA. IP: 118.172.148.99 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:19:27:36 น.  

 
ขอบคุณฮอลและนายที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนบล็อกของผม


โดย: ชีวประภา วันที่: 12 กันยายน 2554 เวลา:0:23:41 น.  

 
"ช่วงที่ดีที่สุด"มีอยู่ในความทรงจำของทุก ๆคนแต่ความพลัดพรากนี้สิเป็นบททดสอบที่ยากสำหรับคนที่อยู่ข้างหลัง..มีบางวิชายากมากจนต้องเสียน้ำตา..แต่ต้องสอบให้ผ่านให้ได้ หนังสือแบบเรียนของคนเดียวที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอ..อาจต้องขอยืมหนังสือของอาจารย์ที่มีหลากหลายกว่ามาอ่าน..เฮ้อ!ทำแฟนคลับบล็อกอาจารย์เครียดกันหมดแล้วเรา..แอบอิจฉาภาพที่อาจารย์เก็บมาฝากที่อยู่คู่กันจนวัยขนาดนี้..ว่าแต่.. จะมีใครอิจฉาเราบ้างไหมนะที่พอถึงวันแม่เราก็เป็นแม่..พอถึงวันพ่อเราก็เป็นพ่อ.. ขอบคุณอาจารย์ค่ะที่ให้คำแนะนำจะอยู่กับปัจจุบันและทำหน้าที่ให้ดีที่สุด


โดย: chanphen IP: 180.180.58.53 วันที่: 12 กันยายน 2554 เวลา:1:47:39 น.  

 
ขอบคุณค่ะ เหมือนได้ไปเที่ยวด้วย สนุกจัง


โดย: chompu IP: 118.172.183.71 วันที่: 2 ตุลาคม 2554 เวลา:23:02:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.