|
ลูกศิษย์ระดับปริญญาตรีรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยนเรศวรที่เรียนกับผม ตอนที่ 1(第一課、ナレスアン大学で私の第一期学部生)
ด้วยเหตุผลที่อธิบายไม่ได้ว่าทำไมอยู่ดีๆมีอาการผิดปกติในวันปิยมหาราช (๒๓ ตุลาคม) ปีที่แล้ว ซึ่งผลการตรวจร่างกายคุณหมอลงความเห็นว่าปกติ ผมรู้สาเหตุว่าน่าจะมาจากความเครียดที่สะสมเนื่องจากมองเห็นคุณค่าของความพยายามที่เรียนมาตลอดหลักสูตรปริญญาเอกอาจจะสูญเปล่าวันนึงถ้าช่วยกิจการของครอบครัวต่อไปแบบนี้ เพราะจะมีแต่ความร่ำรวย แต่ความรู้ที่อยู่ภายในตัวไม่มีโอกาสได้ถ่ายทอดให้เกิดประโยชน์แก่ใคร
(去年10月23日突然体に変な状態になった。病院に体を検査させても医者さんの意見は正常と言った。私は多分ストレスの原因と考えた。若しかして実家の商売を続けて手伝ったら、日本で10年間一所懸命留学して博士号を取ったのに自分の知識は誰でも教えない、そんな無駄じゃないと考えた。)
จากบทสนทนากับคุณหมอที่โรงพยาบาลที่ไปตรวจร่างกายวันนั้นที่แนะนำให้ผมลองทำในสิ่งที่ผมชอบโดยไม่ต้องสนใจเรื่องผลตอบแทน...นำมาสู่การตัดสินใจที่จะก้าวเข้าสู่อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัย จากการแนะนำของอาจารย์โยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีว่ามหาวิทยาลัยนเรศวรต้องการอาจารย์ด้านวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจ เท่าที่ผ่านมาอาจารย์ทางด้านกลยุทธ์มักสนใจไปสอนในกรุงเทพฯมากกว่า เพราะทำเงินได้มากกว่าสอนที่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด
(私と医者さんをいろいろな話した。結論は高い給料に関係なく好きな道を選んでやってみたい。大学教師は私に当てると思った。チュラロンコン大学の仲良しからナレスアン大学経営学部を紹介させて頂いた。経営戦略先生はほとんどバンコクで勤めたい。だからピサヌロック県(バンコクの北350キロー)に経営戦略先生あまりいない。)
หลังจากใช้ชีวิตในกรุงเทพฯตั้งแต่อายุ 18 ปี ผมค้นพบว่าชอบชีวิตในต่างจังหวัดมากกว่า คุณภาพชีวิตมันดีกว่า อีกอย่างพิษณุโลกก็ไม่อยู่ไกลจากนครสวรรค์ มีโอกาสที่จะได้กลับมาที่บ้านไม่ลำบาก เพราะจากพิษณุโลกไปนครสวรรค์ใช้ระยะเวลาที่เท่ากับการเดินทางภายในกรุงเทพฯจากย่านสุขุมวิทมายังย่านสามแยกไฟฉายแต่คนละความรู้สึกเลย
(18歳からバンコクで暮らしても、田舎の生活の方が好きです。ピサヌロックからナコンサワンまで一時間半かかる、だから郷帰りは問題がない。バンコク都内の渋滞がひどいいやです。)
วันที่มาสัมภาษณ์งานกับผู้บริหารของมหาวิทยาลัย วันนั้นตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ธันวาคม ผมไม่เคยใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวอีกเลยนับตั้งแต่ลาออกจากธนาคารเพราะตอนอยู่ธนาคาร..ตามระเบียบของธนาคาร พนักงานชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเท่านั้น การใส่เสื้อเชิ้ตผูกเนคไทก็ไม่ใช่ชุดทำงานในฝันอีกเช่นกัน ชุดทำงานในฝันของผมคือสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นโดยไม่ผูกเนคไท
(面接の日、去年12月24日、久しぶり白いシャツを着た)
ยังจำได้ว่าตอนที่ผศ.อนุชา รองอธิการบดีถามผมว่า
"อาจารย์จะมีวิธีการสอนอย่างไรให้ชั้นเรียนน่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ"
ผมตอบไปว่า
"การทำให้นิสิตเขามีส่วนร่วมกับชั้นเรียนมากที่สุด พวกเขาไม่ได้มานั่งฟังผมสอน แต่จะดึงนิสิตเหล่านั้นให้คิดตามและแสดงความคิดเห็น เอาสื่อการสอนมัลติมีเดียมาใช้ประกอบการสอน"
อาจารย์อนุชาถามผมต่อว่า ผมจะมีวิธีโต้ตอบอย่างไรถ้านิสิตในชั้นเรียนเขาแสดงความสงสัยและไม่เชื่อมั่นในสิ่งที่ผมกำลังสอน
ผมตอบกลับไปว่า
"ถึงผมจะจบการศึกษาเป็นด็อกเตอร์ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะรู้ไปทุกเรื่อง แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องถูกเสมอไป บางทีสิ่งที่นิสิตเขาพูดก็อาจจะถูก เรื่องนั้นนิสิตเขาอาจจะรู้ดีกว่าผมก็ได้ ทำไมเราไม่ฟังนิสิตเขาหละครับ ถึงเราจะเป็นอาจารย์ของพวกเขา แต่เราก็น่าจะรับฟังความคิดเห็นของลูกศิษย์ ความคิดที่แตกต่างนำไปสู่การเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ไม่เสียหายอะไรถ้าจะรับฟังความคิดเห็นของนิสิตที่ต่างไปจากเรา เราได้เรียนรู้อะไรจากนิสิตที่เราสอนอีกด้วย"
(面会した時、副大学長から質問した。
「もし、先生の授業は大学生の態度を受かってない場合はどのような対応でしょうか?」
私の答えは
「博士という事はすべてな事を知っている訳ではない。毎度先生は正しいも思わない。ある場合は学生さんの方が正しいかもしれない。何故先生は学生さんの相違な意見を聞かないでしょうか?我々は先生になっても、学生さんの意見を聞くべきです。相違な意見は新たな事を学習していく、だからこそ偶に生徒さんから面白いことを教えてもらう。」
แล้วผมก็ได้มาทำงานวันแรกที่มหาวิทยาลัยนเรศวรในฐานะอาจารย์เมื่อวันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์
(大学の教師仕事は最初の日は2010年2月1日)
แต่ชั้นเรียนแรกในระดับปริญญาตรีที่สอนเป็นวิชา "กลยุทธ์ทางธุรกิจ" ซึ่งคณะให้เริ่มสอนปีการศึกษาที่ 1/2553 ผมมีโอกาสได้มาสอนลูกศิษย์ระดับปริญญาตรีครั้งแรกวันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน ผมสวมเสื้อเชิ้ตตัวเดียวกับวันเริ่มทำงานวันแรกที่มหาวิทยาลัย
ชั้นเรียนวิชากลยุทธ์ทางธุรกิจคาบแรกเริ่มที่ห้องเรียน QS3109
กฎกติกาและมารยาทสำหรับชั้นเรียนวิชากลยุทธ์ถูกชี้แจงให้นิสิตในชั้นเรียนทราบว่า
ทุกคนต้องยกมือแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน โดยมีคะแนนแสดงความคิดเห็นสำหรับทุกครั้งที่มีการยกมือ ไม่ว่าคำตอบที่นิสิตเขาแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนจะถูกหรือว่าผิด เขาจะได้แต้มไป
เหตุผลที่กระตุ้นให้นิสิตเขาแสดงความคิดเห็นในชั้นเพราะอยากเห็นเขากล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ความคิดดีๆที่อยู่ในหัว...คนอื่นไม่มีทางรู้ว่าเราคิดอะไรจนกว่าเราจะพูดออกมา และนิสิตที่ผมสอนต่อไปพวกเขาจะต้องก้าวขึ้นเป็นผู้บริหาร การจะก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารเขาต้องกล้าที่จะคิด กล้าที่จะพูด ถ้าพวกเขาไม่กล้าแสดงความคิดเห็น...บางทีชีวิตการทำงานของพวกเขาจะอยู่ได้แค่พนักงานชั้นต้น เพราะเจ้านายมองไม่เห็นคุณค่าในตัวของเขาที่อยู่ข้างในซึ่งไม่มีวันได้แสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็น
ผมอธิบายความหมายให้นิสิตเข้าใจว่ากลยุทธ์คืออะไรจากภาพสามภาพในสไลด์บรรยายในชั้น
สงคราม กีฬา
การจีบกัน
เหล่านี้ก็คือกลยุทธ์ซึ่งบางครั้งเรามองข้ามไปและมองว่ากลยุทธ์เป็นเรื่องไกลตัว
ผมยกตัวอย่างนักยูโดหญิงญี่ปุ่นที่ชื่อ โอทสึกะ ที่เธอเป็นม้านอกสายตา ไม่มีใครคาดว่าเธอจะได้เหรียญทอง เธอเจอนักยูโดคิวบาอดีตแชมป์หลายสมัยในรอบชิงชนะเลิศ แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อนักยูโดคิวบาพลาดถูกโอทสึกะพลิกตัวแล้วกดล็อคเอาไว้ ถ้าโอทสึกะล็อกนักยูโดคิวบาไว้ได้ภายใน 20 วินาทีเธอจะได้แชมป์
ผมถามนิสิตในชั้นว่า
"ถ้าเป็นคุณจะล็อคเอาไว้ไหม?"
หลายๆคนตะโกนออกมาว่า
"ล็อคค่ะ"
กรณีโอทสึกะเธอทำสำเร็จ เธอพลิกล็อคเอาชนะอดีตแชมป์จากคิวบา ได้เหรียญทองมาครองทั้งน้ำตาในกีฬาโอลิมปิกที่เอเธนส์
กลยุทธ์ทำให้พวกคุณสามารถพลิกสถานการณ์จากผู้แพ้มาเป็นผู้ชนะได้
ในชั้นเรียนผมอธิบายความหมายของคำว่า "พันธกิจ" และ "วิสัยทัศน์" แล้วเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนเรศวรให้ลูกศิษย์ที่ผมสอนรับทราบว่าตอนนี้จากการจัดอันดับของ Webometric มหาวิทยาลัยนเรศวรอยู่อันดับที่เท่าไหร่ของประเทศไทย
หลังจากที่พวกเขารู้ข้อเท็จจริงแล้ว...เห็นสีหน้าและแววตาแห่งความภูมิใจของนิสิตหลายๆคนที่ได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผมบอกกับลูกศิษย์ของผมว่า
"พวกคุณมีส่วนทำให้วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นจริงได้ เมื่อพวกคุณจบจากที่นี่ไปอีก 5 ปี 10 ปี คุณมองย้อนกลับมา คุณจะภูมิใจที่ได้มาเรียนและสำเร็จการศึกษาจากที่นี่"
ในชั้นเรียนตอนอธิบาย Strategic Management Model ผมหยิบเรื่องข้อดีของการมี Feedback/Learning ขึ้นมาพูด ผมถามนิสิตในชั้นว่าใครอยากแชร์ประสบการณ์ที่ผิดพลาดในอดีตบ้าง
กลุ่มเรียนที่ 2 มีนิสิตหญิงที่ชื่อ ทิพยวรรณ เธอเอาประสบการณ์ที่ผิดพลาดในอดีตมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง แล้วสิ่งผิดพลาดทำให้เธอไม่คิดจะทำซ้ำอีก
ผมให้เพื่อนในชั้นปรบมือให้ทิพยวรรณ เป็นการขอบคุณสำหรับความกล้าที่จะเปิดเผยประสบการณ์ที่ผิดพลาดในอดีตให้พวกเราได้เรียนรู้
"ไม่มีใครไม่เคยทำในสิ่งผิดพลาดในอดีต เราเรียนรู้สิ่งผิดพลาดในอดีตได้จากตัวเราและคนอื่น ความผิดพลาดเป็นครูที่ดีสำหรับทุกคน ความผิดพลาดสอนให้เราระม้ดระวังขึ้น ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น"
(過去誰でも間違いことをやって事がある、その間違い事から学んで、間違いことは大切な先生です。二度もないことを起こらないように注意します。)
ก่อนหมดคาบนิสิตทุกคนจะต้องเขียนคีย์เวิร์ด เพื่อทำการเช็กว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมสอนมากน้อยแค่ไหน เช็กว่าผมสอนกับที่นิสิตเขาเข้าใจตรงกันไหม และเป็นการเช็กชื่อไปในตัวด้วย
ผมพยายามกระตุ้นให้นิสิตกล้าแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนแต่หลายคนยังอายไม่กล้ายกมือ
อาจารย๋หลายคนมักสรุปกันว่าเด็กเอกวิชาการบัญชีมักจะเงียบ ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน
แต่สำหรับผม...ผมเชื่อว่าถ้าเรารู้จักวิธีกระตุ้นให้นิสิตเอกบัญชีเหล่านี้เขาสนุกกับชั้นเรียนแล้วดึงเอาศักยภาพในตัวเขาออกมา ถ้าเราเชื่อมั่นในพวกเขา พวกเขาจะแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนออกมาเอง
ภาพข้างล่างสะท้อนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นเรียนที่ผมสอน นิสิตเอกการบัญชีกล้าที่จะยกมือแสดงความคิดเห็นเมื่อผมถามพวกเขา
ตอนที่สอนเรื่อง VRIO แล้วให้นิสิตที่มาจากหลายจังหวัด พูดวิเคราะห์สิ่งดีๆที่จังหวัดบ้านเกิดของพวกเขามี หลายๆคนที่ไม่เคยยกมือกลับยกมือและอธิบายอย่างภาคภูมิใจว่าจังหวัดของตัวเองมีอะไรดีๆ สิ่งที่อยากจะให้ลูกศิษย์ที่ผมสอนรู้สึกก็คือ
"อย่าอายที่เกิดเป็นคนต่างจังหวัด แต่จงภูมิใจในบ้านเกิดของตัวเอง ในความเป็นต่างจังหวัด แต่ละจังหวัดต่างก็มีสิ่งที่มีคุณค่าที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งสิ่งมีค่าเหล่านี้ไม่สามารถค้นหาได้ในกรุงเทพฯ หน้าที่ของเราคือรักษา ส่งเสริม พัฒนา สิ่งดีๆในบ้านเกิดตัวเองเอาไว้"
(田舎で生まれた人々、そんなに恥ずかしくないでください。 逆に自分の故郷誇りを持って、各県いろいろな良いことがある そのことはバンコクでは持ってない 自分の故郷で良いことを守って、発展するには義務ではないでしょうか)
คีย์เวิร์ดที่นิสิตเขาเขียนตอนก่อนหมดคาบที่ผมสอนสะท้อนออกมาเป็นข้อความข้างล่างนี้
ในบรรดาคีย์เวิร์ดที่นิสิตเขาส่งหลังหมดคาบแต่ละครั้งที่ผมสอน มีนิสิตหญิงรายหนึ่งเธออารมณ์ดีและมักวาดการ์ตูนส์ใส่ลงไปในคีย์เวิร์ด วันไหนอารมณ์ดีเป็นพิเศษก็จะเห็นรูปหัวใจปรากฏอยู่ในการ์ตูนส์
เคยถามนิสิตว่าพวกเขาจะสร้างความแตกต่างอย่างไรให้ผมสนใจและเรียกเขาให้ตอบแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน
มีนิสิตหญิงบางคนตอบว่า
"หนูจะสบตาอาจารย์บ่อยๆ ยิ้มหวานๆให้อาจารย์ แล้วเดี๋ยวอาจารย์ก็คงเรียกหนูให้ตอบเอง"
ความคิดเห็นของเธอเรียกเสียงฮาจากเพื่อนในชั้น เพราะผมคิดว่าสิ่งที่เธอคิดจะทำ...มันใกล้เคียงกับการจีบกันมากกว่า ซึ่งอาจารย์และลูกศิษย์ไม่ควรจะกระทำต่อกัน แต่สรุปแล้วตลอดทั้งเทอมที่ผมสอน...วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล ผมไม่เคยเรียกคนที่คิดจะจ้องสบตาผมเลย
มีเหมือนกันที่บางคนพยายามสะกดจิตให้ผมหันไปที่เธอแล้วเรียกเธอให้ตอบ วันนั้นหันไปที่เธอโดยบังเอิญแล้วเห็นเธอกำลังส่งกระแสจิตจริงๆ วันนั้นได้แต้มเพราะกระแสจิตแรงกระมัง
บางคนสร้างความแตกต่างโดยการเอาที่คาดผมสีฉูดฉาดมาคาดเพื่อสร้างความน่าสนใจ หลายคนทำป้ายชื่อสีสันสะดุดตาเพื่อให้ผมเห็นชัดๆ ถามจันทร์เพ็ญว่าทำอย่างไรให้ผมเรียกเธอตอบในชั้นเรียน เธอตอบว่า
"หนูใส่เสื้อสีแจ่มๆค่ะ"
ปกติจันทร์เพ็ญจะใส่แจ๊คเก็ตสีฟ้าอ่อนซึ่งแตกต่างจากเพื่อนเอกบัญชีที่ใส่แจ๊คเก้ตสีเดียวกัน
กัญญารัตน์มักจะแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนเสมอ แต่บางครั้งยังเรียบเรียงคำพูดได้ไม่ดีนัก ดูเหมือนเธอมีความตั้งใจเรียนมากสำหรับวิชานี้
กลุ่ม 1 เอกบัญชี มีณัฐพลเป็นตัวชูโรง มักจะแสดงความคิดเห็นแปลกๆแต่น่าสนใจในชั้นเรียน เคยถามว่าทำไมผมถึงจำณัฐพลได้ เขาตอบว่า
"หนูสวยใช่ไหมละ?"
คำตอบของณัฐพลทำให้เพื่อนๆฮากัน
ความจริงแล้วณัฐพลม้กจะนั่งข้างๆนิสิตหญิงตัวเล็กๆ มันเลยทำให้ณัฐพลสะดุดตาและสังเกตได้ง่ายว่าวันไหนไม่มา
ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสได้คุยกับรุ่งอรุณในขณะที่ผมรอเวลาสอน รุ่งอรุณพบว่าเธอชอบวิชานี้มันทำให้เธอคิดเป็นระบบ เธอสนุกกับการเรียนวิชานี้ เธอบอกว่าผมมีวิธีการอธิบายเรื่องยากๆให้เข้าใจง่าย
Create Date : 01 ตุลาคม 2553 |
Last Update : 1 ตุลาคม 2553 22:15:03 น. |
|
5 comments
|
Counter : 1156 Pageviews. |
|
|
|
โดย: pondpai วันที่: 1 ตุลาคม 2553 เวลา:20:38:15 น. |
|
|
|
โดย: lin IP: 151.205.28.151 วันที่: 1 ตุลาคม 2553 เวลา:21:52:59 น. |
|
|
|
โดย: หน่อยอิง วันที่: 1 ตุลาคม 2553 เวลา:22:13:36 น. |
|
|
|
โดย: BabyGreace วันที่: 1 ตุลาคม 2553 เวลา:22:33:10 น. |
|
|
|
โดย: yo IP: 182.53.152.93 วันที่: 1 ตุลาคม 2553 เวลา:22:57:13 น. |
|
|
|
| |
|
|
แต่เรียน วิทยาลัยนานาชาติ
ว่าไปก็คิดถึง พิษณุโลกที่ สุดเลย