|
Zhouzhuang (周圧)& Shanghai (上海)
ติดค้างมานานว่าจะเขียนเล่าเรื่องบรรยากาศงานเอ็กซ์โปที่เซี่ยงไฮ้ จนกระทั่งมีเหตุผลที่จะต้องเดินทางไปงานเอ็กซ์โปที่เซี่ยงไฮ้อีกครั้งเร็วๆนี้ เลยถือโอกาสเขียนเล่าก่อนที่อารมณ์เขียนจะหายไป แล้วการเดินทางไปเยือนงานเอ็กซ์โปที่เซี่ยงไฮ้คราวหน้าก็จะเป็นอีกเรื่อง เพราะเดินทางกับคนละคณะกัน
ตอนที่คณาจารย์ที่คณะฯตกลงกันว่าจะเดินทางไปดูงานที่ไหนดี สุดท้ายเราเลือกกันว่าน่าจะไปเซี่ยงไฮ้เนื่องจากตรงกับช่วงงานเอ็กซ์โปเริ่มพอดีในเดือนพฤษภาคม ไม่ตรงกับช่วงเปิดภาคเรียนไม่ต้องทำเรื่องงดชั้นเรียนบ่อย ผมประสานงานกับบริษัทหัวเหว่ยในประเทศไทยเพื่อขอเยี่ยมชมกิจการของหัวเหว่ยในประเทศจีน เรามาลงตัวเรื่องของเวลาปลายเดือนพฤษภาคม
แล้วก็มีงานสัมภาษณ์นิสิตเข้าใหม่ที่ต้องทำการสัมภาษณ์วันเสาร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม จำได้ว่าวันศุกร์มีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อย...กว่าจะได้นอนก็ตี ๔ ตื่นมาแต่เช้าแล้วมารอสัมภาษณ์เด็กนักเรียนที่สอบเข้ามาเรียนเป็นนิสิตภาคพิเศษของคณะฯ (เด็กหลายๆคนที่สัมภาษณ์ตอนนี้กลายมาเป็นนิสิตในความดูแลของผมไปแล้ว) อาการเพลียแสดงออกในระหว่างที่รอเด็กเข้าสัมภาษณ์ คิดในใจว่าแล้วเดี๋ยวไปแอบงีบในรถที่นั่งไปสนามบินสุวรรณภูมิแล้วกัน
พอสัมภาษณ์เสร็จตอนบ่ายโมงก็รีบกลับมาอาบน้ำที่บ้านพัก รถบัสมารับที่บ้านพักตอนบ่าย...ที่เข้าใจว่าจะหลับสบายๆ กลายเป็นว่าชูเกียรติ ศิษย์เก่าของคณะฯที่ตอนนี้เป็นคนดูแลทัวร์ให้กับการเดินทางคราวนี้เปิดดีวีดี "เดี่ยวไมโครโฟน ของโน้ต (อุดม)" พวกเราดูกันแล้วฮาจนไม่ได้หลับกันตลอดเวลา ๕ ชั่วโมงที่นั่งรถจากพิษณุโลกไปสนามบินสุวรรณภูมิ ในเนื้อหาของดีวีดีที่ดู เขาพูดถึงสภาพเลวร้ายของส้วมในประเทศจีน ซึ่งพอจะจินตนาการออกว่ามันทุเรศขนาดไหน เขาพูดถึงอาการงอนของผู้หญิงที่ผู้ชายไม่มีวันเข้าใจว่าเริ่มงอนเมื่อไหร่...ในมุมมองที่ตลกๆ แล้วทำไมไม่รู้จักพูดกันให้ชัดก่อนจะมีอาการงอนกัน
แล้วเรื่องที่แต่งงานกันไม่ทันไรมักเลิกกันง่ายๆ....มีคนบอกว่า เรื่องแต่งงานนี่ "คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า" คนสองคนรู้จักกันไม่ดี...รู้จักกันไม่นาน...ก็แต่งงานกันเลย คงจะกลัวว่าไม่ได้แต่งงาน โน้ตแนะนำว่าวันหลังก็ทำเหมือนคู่มือการใช้งานออกมาเลยว่า ฉันเป็นอย่างไร นิสัยอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วแลกคู่มือการใช้งานก่อนจะคบกัน จะได้ไม่มีปัญหาในการคบกัน
กว่าเครื่องบินจะออก...ก็หลังเที่ยงคืน ใช้เวลาสบายๆที่สนามบินก่อนจะขึ้นเครื่องบินของสายการบินไทยมุ่งหน้าไปเซี่ยงไฮ้ แล้วเราก็ผลอยหลับไปบนเครื่องเพราะความเหนื่อยล้า....
มาถึงสนามบินปู่ตงตอนเช้าวันที่ ๓๑ พฤษภาคม มีไกด์ชาวจีนที่ชื่อคุณหัว (華)มาต้อนรับเราที่สนามบิน เขาพูดภาษาไทยได้ดีเพราะเรียนภาษาไทยในประเทศจีนกับอาจารย์ที่เป็นชาวไทย ที่สนามบินตอนเช็กหนังสือเดินทางเขาให้เรากดประเมินความพึงพอใจในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด้วย เป็นระบบที่เก๋ดีแต่เขาไม่ให้เราถ่ายภาพ
จากสนามบินรถบัสพาพวกเราไปทานอาหารเช้า พอถึงร้านอาหาร...ผมแวะเข้าห้องน้ำก่อนเลย แต่ห้องน้ำที่เจอ...ดีกว่าที่โน้ตบรรยายเอาไว้มากๆ ดูรูปแล้วคงเห็นด้วย
อาหารเช้าที่มาเสิร์ฟมีหลายอย่างตามสไตล์ของการมาทัวร์จีนกับบริษัททัวร์ อาหารมักจะเยอะจนลูกทัวร์มักจะกินกันไม่หมด เสียดายเหมือนกัน ได้ทานเสี่ยวหลงเปาซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของเซี่ยงไฮ้ การได้ทานเสี่ยวหลงเปา (小包子)ถือว่าได้มาถึงเซี่ยงไฮ้แล้ว
หลังอาหารเช้าเสร็จเรามุ่งหน้าไปหอไข่มุก ตอนเดินทางมาเซี่ยงไฮ้เมื่อหลายปีก่อนไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปหอไข่มุก วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์และเป็นช่วงมีงานเอ็กซ์โปทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก คนจีนมีนิสัยส่งเสียงดังและชอบลัดคิว มันเป็นมารยาททางสังคมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ปลื้มกัน
เรารอคิวกว่าจะได้ขึ้นลิฟท์ เขามีการตรวจกระเป๋าเพื่อความปลอดภัย คนมาขึ้นหอไข่มุกกันมาก บนจุดชมวิวที่ระดับความสูง 276 เมตร สามารถมองเห็นมุมมองของเมืองเซี่ยงไฮ่ได้รอบ 360 องศา ในแต่ละจุดเขาเขียนกำกับเอาไว้ว่าเมืองสำคัญต่างๆอยู่ห่างจากเซี่ยงไฮ้กี่กิโลเมตร คนเยอะจนความรู้สึกอยากถ่ายภาพหายไปเพราะมองไปทางไหนก็มีแต่คน
จากจุดชมวิวสามารถมองเห็นจุดที่เป็นที่ตั้งของงานเอ็กซ์โปได้ชัดเจน เห็นตัวอาคารของประเทศจีนได้ชัดเจนแต่ไกลซึ่งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำหวงปู่ เลือกจุดชมวิวแล้วถ่ายภาพหาดไว่ทานจากหอไข่มุกเอาไว้เป็นที่ระลึก หาดไว่ทานเป็นภาพเขียนที่มีชื่อเสียงเคยเห็นสมัยเด็กที่อากงซื้อมาแขวนไว้ที่ฝาผนังภายในบ้าน เป็นฉากสำคัญในละครซีรี่ยส์ "เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้" เขาเลยเรียกหาดไว่ทานว่า "หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้"
พอลงมาอีกระดับหนึ่ง เจอระเบียงที่เขาอนุญาตให้แขกออกไปเดิน แต่ความหวาดเสียวมันอยู่ตรงที่มันเป็นพื้นใสๆ แม้ว่ามันจะรองรับน้ำหนักคนได้เป็นอย่างดี แต่เวลามองลงมามันชวนให้เกิดอาการเสียววูบขึ้นมา สำหรับคนกลัวความสูงไม่แนะนำให้ออกไปถ่ายรูป ถึงแม้ผมจะรู้สึกกลัวๆก็ตามแต่ก็อยากถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก เลยไปนั่งถ่ายภาพบนพื้นใสๆแบบนั้น
ขึ้นลิฟท์ลงมาชั้นล่างแล้วแวะเข้าไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ เขานำเสนอด้วยหุ่นขี้ผึ้งแสดงประวัติความเป็นมาของเมืองเซี่ยงไฮ้ในยุคต่างๆ
รูปปั้นผู้หญิงคนนี้เขาปั้นได้ใบหน้างดงามมาก
รองเท้าขนาดต่างๆเป็นสัญลักษณ์ว่าผู้หญิงสมัยก่อนเธอคงโดนกดขี่มาก ถูกบังคับให้ต้องสวมรองเท้าขนาดเล็กเพื่อรัดเท้าให้เรียวเล็ก
หลังจากนั้นเราเดินทางไปทานอาหารกลางวัน มื้อนี้ทานอาหารประเภทสุกี้ยากี้ แต่เป็นสไตล์จีนซึ่งเขาให้เราเลือกน้ำจิ้มที่มีหลากหลายรสชาติด้วยตัวของเราเอง
ผมเติมมั่วเพราะไม่รู้ว่ารสชาติมันจะเป็นอย่างไร ลองผสมหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน ตอนจะทาน...กลัวท้องเสียเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วท้องผมเข้มแข็งพอ ไม่เกิดอาการท้องเสียในระหว่างเดินทาง
หลังจากนั้นเขาก็พาลงสถานที่ขายยาจีน บัวหิมะ มีบริการนวดฝ่าเท้าก่อนจะขายของ หมอจับชีพจรลูกค้า..และมักลงความเห็นว่าลูกทัวร์สุขภาพไม่ดี สมควรซื้อยาบำรุงราคาแพงๆติดมือไปทาน มันเป็นเทคนิคการขายของโดยเอาเรื่องของความกลัวมาเป็นตัวกดดันให้ลูกทัวร์เห็นความสำคัญของสุขภาพ แล้วตัดสินใจซื้อของเพราะความหวาดกลัว คงเป็นเพราะคนไทยมาที่นี่กันมาก...เพราะบริษัททัวร์พามา ดังนั้นคนขายของ..เขาจึงอธิบายเป็นภาษาไทยได้ และพยายามโน้มน้าวถึงคุณสมบัติที่ดีของยาที่ขายแม้จะแพงแสนแพงก็ตาม
หลังจากนั้นเดินทางออกจากเซี่ยงไฮ้มุ่งหน้าไปเมืองโจวจวงที่อยู่ห่างออกไปร่วม 2 ชั่วโมง เราหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว...ตื่นอีกทีก็ใกล้เขตโจวจวงแล้ว โจวจวงขึ้นทะเบียนมรดกโลก ในความเก่ามีการตบแต่งเมืองใหม่ภายใต้คอนเซ็ปท์เมืองเก่าที่นั่งเรือล่องไปตามลำคลอง ร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่สองข้างทาง ที่นี่คล้ายเวนิสของจีน
เรานั่งเรือล่องไปตามลำคลอง คนพายเรือเธอขับขานเพลงเก่าๆและเพลงที่คนไทยอาจจะคุ้นเคยเช่นเพลงจากหนังเรื่อง "เถียนมี่มี่" ด้วยเสียงที่โทนสูงมาก ผมกล่าวชมเชยน้ำเสียงของเธอเมื่อเธอร้องจบเป็นภาษาจีนกลางว่า
「大好」
เธอยิ้มและตอบกลับมาว่า
「謝謝」
หลังจากขึ้นเรือแล้วก็เดินดูรอบๆตัวเมือง บรรดาคณาจารย์เชื้อชวนให้ถ่ายภาพหมู่ รอจังหวะคนไม่เดินผ่านมาก...ผมตั้งกล้องแล้วถ่ายภาพโดยฟังก์ชั่นอัตโนมัติ ได้ภาพที่ระลึกร่วมกันออกมา
บรรยากาศของร้านขายของที่ระลึกสองข้างทาง มีคนวาดภาพด้วยพู่กัน มีของที่ระลึกแบบจีนๆ
มีโอกาสได้เข้าไปชมที่พักที่เขาออกแบบให้กลมกลืนระหว่างบรรยากาศความเป็นจีนสมัยโบราณกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องสมัยใหม่
ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องขาหมูมาก เรามีโอกาสได้ลิ้มลองขาหมูเป็นอาหารมื้อเย็นด้วย แต่ร้านอาหารนี้ห้องน้ำมีแขกคนก่อนหน้าทิ้งทองคำเอาไว้ในส้วม สมกับเมืองจีนจริงๆ ทำให้เริ่มนึกถึง "เดี่ยวไมโครโฟนของโน้ต(อุดม)" ที่ดูเมื่อวานขึ้นมา
ทานอาหารเย็นเสร็จ ลมพัดตอนค่ำๆทำให้รู้สึกเย็นๆแต่เสื้อแขนยาวช่วยป้องกันความหนาวได้ระดับหนึ่ง เพื่อนๆซื้อของที่ระลึกแต่เจรจากันไม่รู้เรื่อง เขาขอร้องให้ช่วยพูดให้หน่อยกับคนขาย ใช้ภาษาจีนกลางที่เรียนแบบครูพักลักจำช่วยเจรจากับคนขาย พอคนขายเห็นว่าพอจะพูดภาษาจีนกลางได้บ้าง....คราวนี้เธอมาเป็นชุด สิ่งที่พูดกับพวกเธอก็คือ "ฉันพูดได้นิดหน่อย" พอจนแต้มเพราะไม่รู้ศัพท์ก็ใช้วิธีเขียนด้วยตัวอักษรคันจิ (ตัวอักษรจีนที่ใช้ในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งก็ช่วยทำให้สามารถสื่อสารได้พอจะเข้าใจว่าเราต้องการถามอะไร สื่อสารอะไรกับเขา
อันนี้ต้องขอบคุณระยะเวลาที่ไปเรียนในญี่ปุ่นหลายปี ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้วิธีสื่อสารกับคนจีน เคยคิดจะรื้อฟื้นภาษาจีนกลาง...แต่ก็ขาดความพยายามอย่างต่อเนื่องหรือยังขาดแรงจูงใจ ดังนั้นภาษาจีนกลางก็ยังเป็นแค่เอาตัวรอดเวลาไปเที่ยวเมืองจีนเท่านั้น
แวะกลับที่พัก เราค้างที่โรงแรมฮอลิเดย์อินน์เอ็กซ์เพรส บรรยากาศห้องพักหน้าตาแบบนี้ โชคดีที่ได้พักห้องคนเดียว....ทำให้ทำตัวสบายๆ เลือกดูรายการทีวีทั้งช่องภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ อย่างที่สนใจ
Good Night Shanghai
Create Date : 27 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2553 15:04:22 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1776 Pageviews. |
|
|
|
โดย: yo IP: 125.25.202.246 วันที่: 27 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:52:55 น. |
|
|
|
โดย: kanyarat IP: 192.168.51.169, 183.89.124.40 วันที่: 27 กรกฎาคม 2553 เวลา:23:05:15 น. |
|
|
|
โดย: ชูเกียรติ IP: 124.121.27.163 วันที่: 7 กันยายน 2553 เวลา:17:01:52 น. |
|
|
|
| |
|
|