|
คุณภาพของเด็กรุ่นใหม่...กำลังชี้นำโลกในอนาคต
วันอาทิตย์มีโอกาสได้ดูรายการ "มรสุมแดนมังกร" ทางสถานีทีวีไทย รายการสารคดีตีแผ่ชีวิตนักเรียนในประเทศจีน
นโยบายลูกคนเดียวของจีนทำให้พ่อแม่ประคบประหงมลูกมากและคาดหวังในตัวเด็ก พ่อแม่ที่เคยผ่านประสบการณ์ว่างงานหลายเดือน...พอมาได้งานทำแม้จะไม่ใช่งานประจำ ก็ไม่อยากให้ลูกลำบาก ต่างอบรมสั่งสอนให้ลูกตั้งใจเรียน เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้งานดีๆ เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าลูกจบจากมหาวิทยาลัยที่ดีก็จะมีอนาคต
เด็กแบ่งกลุ่มในการคบกัน เด็กกลุ่มที่มีผลการเรียนดีก็คบเฉพาะเพื่อนที่มีผลการเรียนดี ไม่คบกับเด็กที่มีผลการเรียนแย่ เพราะคบแล้วผลการเรียนจะตกลง ผมดูรายการทีวีแล้วรู้สึกเศร้าใจที่เงื่อนไขเน้นเรื่องเรียนที่เหล่าเด็กๆที่โดนพ่อแม่ชี้นำมา....ทำให้ความเป็นเพื่อนของวัยเด็กหายไป มันถูกไหม?
พ่อแม่ชาวจีนเขาคาดหวังและกดดันลูกพวกเขามากเกินไป ความจริงบรรดาเพื่อนๆในไทยที่มีลูกกัน...ผมก็ได้ยินเขาเล่ากันเรื่องลูก ฟังแล้วผมก็คิดว่าพ่อแม่คนไทยบางคนก็คาดหวังและกดดันต่อเด็กไม่ต่างกัน อาจจะต่างรูปแบบกันเท่าน้นเอง ไม่แน่ใจว่าพ่อแม่เคยมองย้อนกลับไปสมัยเด็กบ้างไหมว่าทำอะไรบ้าง....ทำไมต้องคาดหวังลูกมากขนาดนั้น เขารู้ไหมว่า...ลูกๆของพวกเขาได้รับแรงกดดันมากๆจากความคาดหวังของตัวเขา
ลูกเกิดมาเพื่อตอบสนองความต้องการ ความคาดหวังของพ่อแม่ อย่างนั้นหรือ? ถ้าเขารู้แบบนี้...เขาอยากจะเกิดขึ้นมาเป็นลูกของพ่อแม่แบบนั้นไหม?
เด็กๆชาวจีนมีความฝัน ความฝันที่พวกเขาถ่ายทอดออกมาบ่งบอกถึงพลังและศักยภาพในตัวเขา แม้แต่เด็กที่ผลการเรียนแย่ก็ยังมีความฝันแต่ไม่กล้าหวังสูง (มันผิดกับเด็กชาวญี่ปุ่น ภายหลังประเทศเจริญสุดแล้ว คนสบาย ไม่สนใจจะกระตือรือล้น ในรายการทีวีญี่ปุ่นที่ผมเคยดูสมัยอยู่ในญี่ปุ่น เมื่อนักข่าวถามว่าเด็กญี่ปุ่นเหล่านั้นมีความฝันอย่างไร เด็กๆเหล่านั้นตอบไม่ได้---คงเหมือนเด็กไทยบางคนที่มาจากครอบครัวที่กินดีอยู่ดีแล้วบางครอบครัว เขาไม่เห็นความจำเป็นต้องดิ้นรนอะไร ทุกอย่างพ่อแม่ประเคนให้หมด เด็กเหล่านั้นไร้ซึ่งความฝัน)
ในรายการสารคดีที่นำเสนอ บทบาทของครูที่เป็นคนสร้างเด็กที่มีคุณภาพ ไม่ใช่โอ๋แต่เด็กเก่ง เวลาเด็กมีปัญหา ครูมีหน้าที่ขัดเกลา ให้กำลังใจ ชี้นำ และรีบแก้ไขปัญหาทันที
เด็กเก่งบางคน...ไม่รับผิดชอบหน้าที่ซึ่งต้องปฏิบัติในชั้น ครูเรียกเด็กเหล่านั้นออกมาหน้าชั้นเรียนแล้วให้สำนึกผิด เด็กบางคนคิดถึงแต่ตนเอง...หน้าที่ของครูขัดเกลาให้เด็กคนนั้นละทิ้งความคิดถึงตนเองออกก่อน ยอมรับผิด ขอโทษต่อทุกคน เด็กคนนึงซ่อนเหตุผลแท้จริงว่า....ที่เธอไม่ยอมทำเวรความสะอาดเพราะว่าแม่เธอบังคับให้เธอทำการบ้าน ท่องหนังสือ ถ้าเธอกลับบ้านช้าเพราะมัวทำเวร เธอก็จะโดนแม่ตี
ครูเรียกผู้ปกครองของเด็กรายนั้นมาคุยด้วยเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาแบบนี้
ผลการวิจัยออกมากว่า เด็กจีนยุคนี้เผชิญปัญหาจากความเครียด ชีวิตวัยเด็กไม่มีความสุขในชีวิตวัยเด็ก
เด็กๆโดนกดดันจากพ่อแม่ที่บังคับให้ตั้งใจเรียน ขยันเรียน พ่อแม่ไม่เคยสนใจฟังลูก มีแต่สั่งและชี้นำให้ลูกแข่งขันกับเด็กคนอื่น แม้ว่าเด็กบางคนจะมีผลการเรียนในระดับที่ดีแต่แม่ก็ยังไม่พอใจ เพราะคอยแต่เอาคนที่ผลการเรียนดีที่สุดในชั้นเป็นเกณฑ์ ราวกับว่าลูกตนเองต้องดีกว่าเด็กคนนั้น
เมื่อครูเรียกผู้ปกครองและเด็กมาพบกันและให้เปิดใจให้เด็กระบายความรู้สึกบ้าง เด็กหลายคนร้องไห้ในระหว่างที่ระบายความรู้สีกภายในใจ เด็กๆหลายคนโดนบังคับให้ท่องหนังสืออย่างหนัก ไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นอย่างวัยเด็กควรจะทำ ถึงกระนั้นพ่อแม่ก็ไม่พอใจ เด็กผู้หญิงรายหนึ่งโดนพ่อแม่บังคับให้เรียนภาษาอังกฤษเพราะคอยกรอกหูว่า...ภาษาอังกฤษสำคัญอย่างไร ในขณะที่เด็กคนนี้ไม่เคยชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษเลย เด็กคนหนึ่งไม่ว่าจะทำอะไร...พ่อแม่ก็ต่อว่าเด็กคนนั้นว่า "ไม่ได้เรื่อง" เป็นคำพูดที่เด็กคนนั้นไม่อยากได้ยิน และไม่ชอบเลย
บรรดาผู้ปกครองที่ครูเชิญมาฟังความในใจของลูกตัวเอง...เขาโต้ข้อกล่าวหาของเด็กๆว่ากดดันลูกตัวเองด้วยข้ออ้างแบบผู้ใหญ่ว่า
การที่ไม่เคยพอใจลูกตัวเองแม้ว่า..ลูกจะมีผลการเรียนดีอยู่แล้ว เพราะอยากให้ลูกเก่ง ดังนั้นลูกควรต้องมีมาตรฐานเปรียบเทียบจะได้รู้ว่าตัวเองทำดีหรือยัง (ผมฟังแล้วสงสารเด็กคนนั้นที่มีแม่ที่ชอบเปรียบเทียบ อยากเก่ง อยากดี อยากเด่น น่าสมเพชคนที่เป็นแม่และคิดได้แค่นี้ ในเมืองไทยเราก็มีพ่อแม่ประเภทนี้ไม่น้อยเช่นกัน)
พ่อแม่หลายคนโต้แย้งว่า...ลูกๆต่างกล่าวหาว่าพ่อแม่กดดัน บังคับให้เรียนหนังสือ แต่พวกลูกไม่รู้หรอกว่าสังคมปัจจุบันแข่งขันกันแค่ไหน ลูกๆถูกประเมินด้วยผลการเรียน พ่อก็โดนประเมินผลงานเช่นกัน พวกลูกๆไม่เคยเจอการตกงาน การมีอนาคต เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ มีอนาคต ไม่ตกงาน ดังนั้นพ่อแม่จึงคาดหวังในตัวลูกสูง
เคยได้ยินอาจารย์ชั้นมัธยมในไทยหลายคนบ่นกันเรื่องนโยบายของรัฐเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่เน้นผลงานความเป็นเลิศ ผลตามมาก็คืออาจารย์พากันโอ๋เด็กเก่งแล้วไม่แยแสเด็กห้องเรียนไม่เก่งเลย หรือนโยบายของโรงเรียนบางแห่งที่ตัวผู้บริหารบางคนภูมิอกภูมิใจกับเด็กห้องเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โดยไม่สนใจกับเด็กสายศิลป์เลย ผมสงสัยว่าผู้บริหารโรงเรียนคิดกันแบบนี้มันถูกต้องไหม? โลกใบนี้มันจะอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีผู้คนที่จบจากสายศิลป์และแขนงอื่นๆ
ผมได้ยินเพื่อนคนไทยหลายคนเล่ากันว่า...เด็กเดี๋ยวนี้ไม่เรียนพิเศษไม่ได้เพราะอาจารย์สอนชั้นเรียนไม่เพียงพอ แต่หันไปเปิดโรงเรียนกวดวิชา ถ้าเด็กไม่เรียนก็ทำสอบไม่ได้ เมื่อลูกคนอื่นเรียน....ลูกตัวเองก็ต้องเรียนด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางทำคะแนนสอบได้ดี ตัวพ่อแม่เอง...ก็ดีแต่หาเงิน แสวงหาความร่ำรวย เพราะนั่นคือความสุขในความเชื่อของเขา พ่อแม่ไม่มีเวลาสอนหนังสือลูก เพราะสอนไม่ได้ ยกให้เป็นหน้าที่และภาระของครูที่สอนพิเศษ
ถ้าสังคมปัจจุบันมันบิดเบี้ยวแบบนี้...พ่อแม่ดีแต่บังคับให้ลูกมุ่งเน้นไปที่การแข่งขันอย่างเดียว แล้วต่อไปคนรุ่นใหม่จะเป็นอย่างไร เด็กที่ได้รับบ่มเพาะแต่เรื่องการแข่งขันอย่างเดียว....โดยที่คุณภาพชีวิตด้านอื่นขาดหายไป แบบนี้คุณภาพของคนรุ่นใหม่ สังคมยุคใหม่ จะเป็นอย่างไร?
Create Date : 15 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 15 มีนาคม 2553 0:28:43 น. |
Counter : 960 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ละครเรื่องใหม่ หมอหงวน...แสงดาวแห่งศรัทธา
ตอนไปเป็นอาสาสมัครล่ามภาษาญี่ปุ่นค่ายโดสะโฮให้มูลนิธิเพื่อเด็กพิการที่นครศรีธรรมราชเมื่อกลางปีที่แล้ว ในห้องพักมีหนังสือที่เขียนขึ้นโดย นายแพทย์ สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติคนแรกของประเทศไทย ผู้ผลักดันโครงการ "๓๐ บาทรักษาทุกโรค" จนเป็นผลสำเร็จ
ผมไม่เคยรู้จักคุณหมอสงวนมาก่อน แต่พอได้อ่านหนังสือเล่มดังกล่าว...ทำให้ผมทราบว่าคุณหมอเป็นคนเดือนตุลาคม และยังคงรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์จนถึงวันสุดท้าย ก่อนเสียชีวิตลงด้วยมะเร็งปอด ทั้งๆที่คุณหมอไม่เคยสูบบุหรี่ คุณหมอเป็นคนดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี แต่ด้วยเงื่อนไขในการทำงาน..สภาพของที่ทำงานเป็นต้นเหตุทำให้เกิดมะเร็งปอด แต่ถึงแม้จะเป็นมะเร็ง...คุณหมอสงวนไม่ท้อ แต่ยังต่อสู้กับโรคมะเร็ง และพยายามทำงานแข่งกับเวลาที่เหลือน้อยลงไปทุกที คุณหมอสงวนพยายามผลักดันเรื่องนโยบายต่างๆที่เกี่ยวกับสุขภาพของคนไทยจนถึงวาระสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๑
(ที่มาของภาพ: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)
เรื่องราวของคุณหมอ สงวน นิตยารัมภ์พงศ์จะถูกถ่ายทอดให้คนไทยได้มีโอกาสได้ชมกันผ่านรายการละครของสถานีโทรทัศน์ทีวีไทยทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา ๒๐:๒๐ น.
เรื่องราวเหตุการณ์เดือนตุลาคม ๒๕๑๙ ปรากฏการณ์ไทยฆ่าไทยเพราะฝ่ายขวาจัดใช้สื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการฆ่าฟันฝ่ายตรงข้าม ปลุกระดมให้คนไทยเกลียดชังนักศึกษาที่ประท้วงการกลับมาของจอมพล ถนอม กิตติขจร ผู้อยู่เบื้องหลังการกวาดล้างนักศึกษาในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ นักศึกษาจำนวนมากไม่มีทางเลือกมากนักเมื่อพวกเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทางออกสำหรับบางคน..คือการหนีเข้าป่าเพื่อจับอาวุธเข้าต่อสู้กับคนไทยด้วยกัน
ในละครที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของนพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เปิดฉากตอนที่คุณหมอเป็นนายกสโมสรนักศึกษาแพทย์มหิดล และโดนกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในฐานะที่เป็นสมาชิกสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ตำรวจได้รับคำสั่งมากดดันคุณหมอให้เซ็นต์ยอมรับความผิด (เท่ากับกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์) เพื่อจะได้เข้าเรียนตามปกติ และสามารถเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร แต่คุณหมอเลือกที่จะไม่เซ็นต์รับข้อกล่าวหา ยอมที่จะไม่ร่วมพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร พิธีที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต แต่คุณหมอขอใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยมาให้อาม๊า คุณแม่ที่หมอรักมากที่สุดเป็นที่ระลึก เป็นเกียรติว่าลูกชายที่มาจากครอบครัวธรรมดาชาวจีนสำเร็จการศึกษาแพทย์ศาสตร์ ก่อนจะไปใช้ชีวิตเป็นแพทย์ชนบทที่โรงพยาบาลราษีไศล ที่จังหวัดศรีสะเกษ...
เรื่องราวของคนที่มีอุดมการณ์ที่ไม่เคยทิ้งความฝันที่จะช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ห่างไกลความเจริญให้ได้รับบริการทางสาธารณสุขเท่าเทียมกับคนในเมือง คุณหมอต่อสู้และผลักดันอย่างมากเพื่อทำในสิ่งที่ทุกคนไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ คือการที่คนไทยทุกคนสามารถรักษาพยาบาลได้ภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นจริงขึ้นมา
แม้นโยบาย "๓๐ บาทรักษาได้ทุกโรค" จะถูกนักการเมืองหยิบฉวยไปแสวงหาผลประโยชน์ยกเป็นความดีนโนบายของพรรคการเมืองไปแล้วก็ตาม แต่บุคคลผู้ปิดทองหลังพระ ผู้ผลักดันความฝันที่จะให้คนไทยมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นผลสำเร็จคือ นายแพทย์ สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ต่างหาก บุคคลที่คนไทยจำนวนมากอาจจะไม่รู้จัก
ดีใจที่คนไทยมีทางเลือกในการเสพละครดีๆมากขึ้น
เรื่องราวของหมอสงวน ความยึดมั่นในอุดมการณ์ของหมอสงวน..อาจจะมีแรงผลักดันให้คนไทยยุคใหม่ยึดมั่นในอุดมการณ์ ไม่ทิ้งความฝันที่จะพัฒนาประเทศไทยต่อไปโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง วันนึงในอนาคตสังคมไทยอาจจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้น สิ่งดีๆ ความคิดดีๆ ที่คนไทยไม่เชื่อว่าเป็นไปได้แต่สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้จริงเพราะถูกผลักดันโดยคนไทยรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์ อุดมการณ์ที่ไม่ผันแปรไปตามกาลเวลา
เสียงเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่เคยดังกังวาลในอดีต....อาจจะกลับมาดังอีกครั้ง ปลุกประกายไฟแห่งการทำงานเพื่ออุดมการณ์ของผู้คนอีกที
Create Date : 01 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 1 มีนาคม 2553 22:26:57 น. |
Counter : 1471 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|