ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 

ถวายเทียนพรรษา

ปีที่ผ่านๆมาผมรู้สึกเฉยๆกับการถวายเทียนพรรษา แต่สำหรับปีนี้ผมเกิดมีความตั้งใจอยากจะถวายเทียนพรรษาขึ้นมา เมื่อวันอาทิตย์พอมีโอกาสแวะเข้าไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเลยซื้อเทียนพรรษา ๑ คู่กลับมา และตั้งใจจะนำไปถวายวัดนอกเขตอำเภอเมืองพิษณุโลก เพราะคิดว่าอาจจะมีคนนำเทียนพรรษาไปถวายน้อยกว่าวัดในเขตอำเภอเมืองพิษณุโลก

เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ กรกฎาคม ที่ลานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีจำนวนนิสิตมาใส่บาตรเช้ามากกว่าปกติ ไม่แน่ใจว่าส่วนหนึ่งมาจากสาเหตุใกล้สอบกลางภาคหรือเปล่า? เพราะใกล้สอบกลางภาคเข้ามาทุกที นิสิตอาจจะต้องการกำลังใจเลยมาทำบุญใส่บาตรกันมาก





หรือเป็นเพราะวันนี้มีพิธีถวายเทียนพรรษาขององค์การสโมสรนิสิตเพราะเหลืออีกไม่กี่วันก็เป็นช่วงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว






ผมไม่ทราบเหตุผลแท้จริงแต่วันนี้มีจำนวนนิสิตที่มาใส่บาตรมากกว่าปกติจนรู้สึกได้






นอกจากนี้วันนี้ก็มีการนิมนต์พระมารับบาตรจำนวนมากกว่าปกติเช่นกัน วันนี้มีพระมารับบาตรถึง ๒๑ รูป มีพิธีการซึ่งปกติไม่มี มีการอาราธนาพระปริตร และหลวงพ่อประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่คนที่มาใส่บาตรเช้าวันนี้





การตั้งใจมาใส่บาตรแต่เช้า (พิธีเริ่มตอนราวๆ ๗ โมง ๑๕ นาทีซึ่งก็ถือว่าเช้าสำหรับคนทั่วไป) ก็คงเหมือนกับการออกกำลังกาย ถ้าขาดความตั้งใจจริงๆ....ก็จะมีข้ออ้างได้มากมายแล้วสุดท้ายก็จะไม่ได้ทำกิจกรรมแบบนี้ สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างระหว่างการใส่บาตรซึ่งเป็นการให้อมิสทานกับการออกกำลังกายคือ ใครทำใครก็ได้ คนที่ออกกำลังกายมีแนวโน้มที่สุขภาพโดยรวมจะดีกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย แล้วจะมาออกกำลังกายแทนคนอื่นก็ไม่ได้ การทำความดีด้วยการบริจาคออกก็เช่นเดียวกัน ใครทำก็ได้รับความสุขจากการบริจาคออก ได้ช่วยยืดต่อพระพุทธศาสนาให้สงฆ์และญาติโยมที่พึ่งพิงวัดได้ประโยชน์จากอาหารที่พวกเราร่วมกันถวาย






ภาพนิสิตชายนิสิตหญิงใส่อาหาร เครื่องดื่ม เภสัช ลงในบาตรโดยไม่มีการเบียดเสียด แย่งชิงกันทำความดี เป็นภาพที่ดูงดงามสะท้อนว่าสังคมไทยเรายังมีพุทธศาสนาเป็นเครื่องหล่อหลอมคนในชาติให้ทำกิจกรรมดีๆเพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไป






ที่นี่พิษณุโลกเมืองที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิที่คนที่นี่เคารพและสักการะนั่นคือ พระพุทธชินราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช






ตอนเย็นขับรถออกนอกเขตอำเภอเมืองพิษณุโลกมุ่งหน้าไปเขตอำเภอวังทอง ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเลือกอำเภอวังทอง ทำไมไม่ใช่อำเภอบางระกำ หรือ อำเภอพรหมพิราม


ในใจคิดอย่างเดียวว่าจะเอาเทียนพรรษาที่ซื้อมาไปมอบให้วัดใดวัดหนึ่งในเขตอำเภอวังทองโดยไม่เจาะจง......


พอขับรถเลยเขตในตัวเมืองอำเภอวังทองออกมาไม่กี่กิโลเมตร...บรรยากาศของสองข้างทางที่ขับรถผ่านเริ่มเห็นทุ่งนาสีเขียวๆที่ดูแล้วสบายตา บริเวณนั้นเป็นเขตตำบลไชยนาม


แล้วอยู่ๆก็สะดุดตากับภาพของโบสถ์ที่เด่นอยู่เหนือทุ่งนาสีเขียวและแนวต้นตาล เลยตัดสินใจว่าจะแวะเข้าไปถวายเทียนพรรษาที่วัดนี้ โดยไม่รู้จักวัดนี้มาก่อน ไม่รู้แม้แต่ชื่อวัดนี้เลย ขับผ่านเห็นป้ายบอกทางว่าวัดไชยนามอยู่เข้าไปข้างในจากถนนใหญ่ราวๆ ๘๐๐ เมตร ตัดสินใจขับรถเข้าไปตามป้ายบอกทางจนถึงเขตวัดไชยนาม ซึ่งภายในวัดมีโรงเรียนอยู่ด้วยชื่อ โรงเรียนวัดไชยนาม ตามชื่อของวัด






ไม่ได้เห็นบรรยากาศโรงเรียนในชนบทแบบนี้นานมากแล้ว โรงเรียนนี้น่าจะเปลี่ยนวันที่ทุกวัน เขาใส่เลขวันนี้ลงไปช่วยเตือนความจำว่าผมแวะมาเยือนวันที่เท่าไหร่....


วัดนี้น่าจะเป็นวัดเก่าแก่ ดูจากสภาพวิหารที่อยู่ภายในวัดมีขนาดเล็ก ศิลปะที่ประดับตัววิหารดูเป็นศิลปะสมัยโบราณ







ขึ้นไปที่กุฏิหลวงตารูปหนึ่งซึ่งกำลังสนทนากับญาติโยมอยู่...แจ้งเจตนาในการมาวันนี้ให้หลวงตาทราบว่า ต้องการถวายเทียนพรรษาให้แก่วัด

หลวงตาครองจีวรให้เรียบร้อยก่อนจะให้ผมตั้งนะโม แล้วกล่าวถวายเทียนพรรษา ภายหลังจากรับการถวายเทียนพรรษาแล้ว หลวงตาได้ให้พรเป็นบทสวดอายุวัฒโก (บทนี้ผมเคยสวดสมัยบวชในพรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์) แล้วก็มีการให้กรวดน้ำอุทิศการทำความดีคราวนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว

ในขณะที่กรวดน้ำให้แก่เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายและญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว....จิตใจรู้สึกเบิกบาน อิ่มเอิบใจที่ได้ทำบุญในวันนี้



หลวงตาถามว่าผมบวชมากี่พรรษา?

ไม่แน่ใจว่าหลวงตาอาจจะเดาจากท่ากราบพระ...ซึ่งคนที่่ผ่านการขัดเกลามาจะแสดงท่ากราบพระที่ดูเหมาะสม ก้นไม่กระดก หรือบทสวดต่างๆที่สามารถท่องได้อย่างไม่ติดขัด


ผมตอบหลวงตาไปว่า ผมเคยบวช ๑ พรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ตอนอายุ ๒๘ ปี

....ยังจำบรรยากาศวันที่ผมอุปสมบทได้ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ปีพ.ศ.๒๕๓๙ อันเป็นปีที่ในหลวงทรงครองราชย์ครบ ๕๐ ปี วันนั้นมีปีติมาก

สำหรับชีวิตลูกผู้ชายการได้บวชสักครั้งหนึ่งในชีวิตเป็นความภาคภูมิใจที่อาจจะเรียกได้ว่าสูงสุดสำหรับลูกผู้ชายที่นับถือและศรัทธาในพระพุทธศาสนา ปีติของการได้บวชมันเป็นอย่างไร...บอกไม่ถูกแต่เชื่อว่าผู้ชายที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนารู้สึกเหมือนกัน ตอนที่ได้ครองสมณเพศมันเป็นปีติมาก อย่างน้อยก็ทำให้บุพการีอิ่มเอิบใจที่ได้เห็นลูกชายได้ครองสมณเพศ คนจำนวนไม่น้อยอยากจะบวชแต่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตของสมณเพศเพราะมีกรรมบางอย่างมาบังเอาไว้


ในช่วงของการครองสมณเพศ...ชีวิตเรียบง่าย หลีกหนีจากความวุ่นวายทั้งปวง หมั่นเฝ้าสำรวจจิตใจของตนเอง จิตสงบและมีสมาธิดี มีเวลามากพอที่จะค้นคว้าเนื้อหาธรรมะที่เป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา หยิบจับธรรมะเหล่านั้นเอามาเพียงกำมือเดียว แต่เพียงกำมือเดียวที่หยิบออกมากลายเป็นยารักษาโรคในบรรยากาศแบบชาวโลกได้หลายครั้ง...


พอรู้ว่าผมเคยบวชมา....หลวงตาเลยเรียกผมว่า "ทิด"

คำว่า "ทิด" ก็มาจากคำว่า (บัณ)ฑิต

เมื่อเคยบวชเรียนมา....ย่อมน่าจะเข้าใจในธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ ที่ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติเหมือนกัน เพราะทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

หลวงตาถามว่าผมมาจากไหน?


ผมเล่าให้หลวงตาฟังว่าตอนนี้ทำงานที่มหาวิทยาลัยนเรศวรแต่ไม่ใช่คนพิษณุโลก


บางทีอาจจะเป็นเรื่องของความผูกพันในอดีตชาติ (ชาติที่เท่าไหร่ผมไม่ทราบ...เพราะไม่เคยเช็ก) เลยมีเหตุให้วันนี้ผมแวะเข้ามาที่วัดไชยนามซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ทั้งๆที่มีวัดที่อยู่สองข้างทางหลายวัด แต่ผมก็ไม่แวะ แต่กลับตรงเข้ามาที่วัดแห่งนี้เพื่อถวายเทียนพรรษา

ผมอาจจะเคยทำกรรมในอดีตชาติณ.วัดแห่งนี้มาก่อน ด้วยเหตุที่ทำในอดีตเลยทำให้ผมมีความผูกพันกับวัดนี้ และมีมูลเหตุให้สนใจที่จะนำเทียนมาถวายที่วัดแห่งนี้



หลวงตาก็มีความคิดเช่นเดียวกับผมว่า....คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่อยู่ดีๆผมจะเดินทางมาจากพิษณุโลกเพื่อเอาเทียนพรรษามาถวายที่วัดซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน เรื่องของกรรมในอดีตคงเป็นเหตุชักนำให้ผมมาที่วัดไชยนามแห่งนี้

หลวงตาถามว่ามาคนเดียวหรอ? ไม่ชวนแฟนมาด้วยหละ?


ความจริงถ้าตอนนี้มีแฟนก็คงจูงมือมาถวายเทียนพรรษาด้วยกันเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตด้วยกัน


ตอบหลวงตาไปว่าผมมัวแต่เรียนหนังสือและมัวแต่เลือก เลยยังไม่มีใครที่เรียกว่าแฟน....แต่การใช้ชีวิตเป็นโสดแบบนี้ ชีวิตก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันขาดหายอะไรไป ไม่รู้สึกเหงา ว้าเหว่ เดียวดาย ณ.ตอนนี้มีชีวิตที่อิสระและมีโลกส่วนตัวที่ทุกครั้งที่สัมผัสตัวเรามีความสุข


หลวงตาหยิบประเด็นของการครองเรือนว่ามีเพื่อมีคนคอยดูแลยามแก่เฒ่า มากกว่ามีกามารมณ์และมีลูกไว้สืบพันธุ์อย่างชาวโลกจำนวนมากเชื่อว่าแต่งงานเพียงเพื่อบำบัดความต้องการพื้นฐาน

ตอนนี้สอนนิสิตในชั้นเรียน เวลาพยายามอธิบายความหมายของคำว่า พลังทบทวี (Synergy) พยายามยกตัวอย่างให้นิสิตเข้าใจความหมายของคำว่าซินเนอร์ยี่ได้เห็นภาพชัดเจนโดยยกตัวอย่างว่า ความสุขของคนสองคนที่อยู่ตามลำพังไม่มีทางได้เท่ากับความสุขเมื่อคนสองคนมารวมกันด้วยการใช้ชีวิตสมรส นี่คือความหมายของคำว่าพลังทบทวีหรือ ซินเนอร์ยี่ แต่ไม่ได้บอกพวกเขาว่าเขาต้องแต่งงาน ถ้าเขาจะตัดสินใจแต่งงาน...ผลลัพธ์ของการใช้ชีวิตคู่มันต้องมีคุณค่ามากกว่าเขาอยู่ตามลำพัง และคุณค่านั้นไม่มีทางเกิดถ้าเขาอยู่ตามลำพัง ถ้าเป็นแบบนั้นก็แต่งงานไปเถอะ แต่ถ้าคิดจะแต่งงานอย่างที่แต่งกันเพราะเหตุผลอย่างที่แต่งๆกัน....ไม่มีความจำเป็นเลย


ความคาดหวังว่าจะมีใครคอยมาดูแลยามแก่เฒ่า.....ความคาดหวังตัวนี้จะทำให้เราเป็นทุกข์ถ้าคนที่คาดหวังให้อยู่ดูแลเรา...เขาจากเราไปด้วยเหตุผลมากมาย จะด้วยเหตุผลจากเป็นหรือว่าจากตายก็ตาม

คนเราเป็นทุกข์เพราะความคาดหวังนี่แหละ!!!!!!


ตอนนี้พึ่งนึกออกว่า....ก่อนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นเคยไปงานแสงสีเสียงที่ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี ยังจำฉากไก่ของพระนเรศวรชนกับไก่ของมังสามเกียดได้ บางทีในอดีตชาติเราอาจจะเคยรับใช้ในแผ่นดินของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาก่อน....ดังนั้นมันเลยมีมูลเหตุให้มาใช้ชีวิต มาทำงานที่พิษณุโลก มารู้จักผู้คนที่นี่ สร้างกรรมร่วมกันในฐานะที่เกี่ยวข้องกัน จะเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นอาจารย์ เป็นศิษย์ เป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง เป็นแค่คนรู้จัก ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน


ผมขับรถออกจากวัดไชยนามด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส ชีวิตมีเรื่องราวที่เราอาจจะยังไม่เข้าใจณ.ตอนนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะเข้าใจมันเองด้วยเหตุและปัจจัยที่ถึงพร้อมณ.เวลานั้น เราจะรู้และสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้นในชีวิตของเราณ.เวลาต่างๆกัน




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 23 กรกฎาคม 2553 0:46:31 น.
Counter : 1559 Pageviews.  

พิธีไหว้ครู..ประสบการณ์ครั้งแรกในฐานะครูของลูกศิษย์

สมัยผมเป็นนักเรียน เราทำพิธีไหว้ครูกันในวันพฤหัสบดี ผมเคยได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของชั้นถือพานพุ่มดอกไม้ไปกราบครูสมัยเรียนอยู่ชั้นป.๒

ประโยคที่ผู้นำนักเรียนเขากล่าวนำให้พวกเรากล่าวตามว่า

"ปาเจรา จริยา โหนติ
คุณุตรานุสาสะกา...."


มันเป็นประโยคที่ผมคิดว่า....คนไทยที่ผ่านการเรียนการสอนในระบบของสังคมไทย เราคุ้นเคยกันดี สังคมไทยเราสอนให้นักเรียนเคารพครูอาจารย์ พิธีไหว้ครูจึงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการศึกษาของไทย

พิธีไหว้ครูเป็นการแสดงออกถึงความผูกพันระหว่างศิษย์กับครู ศิษย์ผู้ยอมอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพให้เกียรติครู ยอมรับในตัวครู ครูยอมรับลูกศิษย์ เป็นผู้ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์ สร้างศิษย์ให้เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า


ผมห่างหายจากพิธีไหว้ครูนานมากแล้ว....ครั้งสุดท้ายที่ร่วมพิธีน่าจะเป็นสมัยเรียนปริญญาตรี ซึ่งมหาวิทยาลัยก็จัดงานไหว้ครูสำหรับนิสิตชั้นปีที่ ๑ เท่านั้น


...บางทีชีวิตถูกกำหนดให้เลือกเดินบนเส้นทางของความเป็นครู


วันที่ผมมาสัมภาษณ์เพื่อเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร..วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี


วันที่คณะฯเชิญผมมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนนิสิตปริญญาเอก ชั้นเรียนปริญญาเอกที่ผมสอนเป็นครั้งแรกที่คณะฯตรงกับวันครู (๑๖ มกราคม) พอดี


มันจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นนิมิตหมายที่ดี...ผมตอบไม่ได้ แต่สุดท้ายผมก็ผันตัวเข้ามาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย


ชั้นเรียนแรกในระดับปริญญาตรีที่ผมสอน...ความประหม่าถูกกำจัดด้วยความพร้อมในการเตรียมการสอน ผมปลุกเร้าให้นิสิตในชั้นเรียนเขาเกิดความภาคภูมิใจที่เขาได้เรียนในสถาบันแห่งนี้ ชี้ให้เขาเห็นว่าเขาสามารถกำหนดอนาคตด้วยตัวเขาเอง

ตอนที่เห็นนิสิตเขาสนุกกับชั้นเรียนที่เราสอน...นิสิตเหล่านั้นเขาไม่รู้หรอกว่าเขาได้ให้พลังแก่เราซึ่งเป็นผู้สอนกลับมาด้วยเช่นกัน


บ่อยครั้งที่เรารู้สึกเหนื่อยกับการเตรียมตัวสอน... บางครั้งผมนอนไม่กี่ชั่วโมง เพราะเราอยากให้นิสิตที่เขามาเรียนในชั้นเรียนที่เราสอน เขารู้สึกสนุก เขาได้แนวคิดอะไรดีๆที่เป็นประโยชน์ติดตัวกับพวกเขาไปตลอดไม่ใช่เอาแค่เกรดที่ดูดี แต่สิ่งที่ถ่ายทอดในชั้นเรียนมันจะช่วยทำให้เขาดำเนินชีวิตอย่างสง่างามและภูมิใจในตัวพวกเขาเอง


นิสิตหลายคนมักจะไม่กล้าแสดงความคิดเห็น นั่งเงียบในชั้นเรียน...เรารู้ว่าในฐานะของคนที่ผ่านประสบการณ์ในการทำงานโลกธุรกิจมาหลายปี การที่เราปล่อยให้นิสิตเคยชินกับพฤติกรรมแบบนั้น มันไม่เป็นผลดีต่อตัวพวกเขาเอง หน้าที่ของครูคือคนชี้แนะสิ่งที่ถูกต้อง

ผมกระตุ้นให้นิสิตในชั้นเรียนกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าความคิดเขาอาจจะดูไม่เข้าท่า...แต่ความไม่เข้าท่านั้นอาจจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในอนาคต ถ้าเพียงแต่เขากล้าเสนอความคิดต่อหน้าคนอื่นณ.ตอนนี้ โดยไม่กลัวใครจะดูถูกความคิดที่ดูแล้วไม่เข้าท่านั้น

ทำไมต้องพยายามกระตุ้นให้นิสิตกล้าแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนด้วย?

เพราะว่านิสิตพวกนี้คือคนที่จะก้าวต่อไปเป็นผู้บริหารในอนาคต ถ้าเพียงแต่เขาอายไม่กล้าแสดงความคิดเห็นแล้วก็ฝึกนิสัยนั่งเงียบในชั้นเรียนต่อไป เขาก็จะเคยชินกับการไม่กล้าแสดงความคิดเห็น แล้วสุดท้ายตลอดชีวิตการทำงานของเขาก็ไม่มีทางก้าวหน้าไปไกล เพราะความคิดดีๆของพวกเขาไม่เคยถูกเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้เลย ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีความคิดดีๆดังนั้นพวกเขาจะได้รับการโปรโมทให้ก้าวขึ้นไปรับผิดชอบงานที่ใหญ่โตขึ้นได้อย่างไร



ในฐานะครู....เราคงมีบทบาทที่สามารถทำอะไรอีกหลายๆอย่างมากกว่าการเป็นแค่คนสอนหนังสือให้แก่นิสิตเหล่านั้นกระมัง



...วันนี้คณะฯจัดพิธีไหว้ครู


ผมไปร่วมพิธีไหว้ครูในฐานะของครูที่ให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ ครูที่มีความปรารถนาดีต่อลูกศิษย์


บรรยากาศของพิธีไหว้ครูของคณะฯมีความศักดิ์สิทธิ์ เสียงพูดคุยในระหว่างพิธีน้อยกว่าพิธีไหว้ครูสมัยตอนผมเรียนสมัยมัธยม


เขาเชิญอาจารย์ผู้ใหญ่ขึ้นไปรับพานจากตัวแทนนิสิต









บรรยากาศการรับพานจากตัวแทนนิสิตดำเนินไป โดยมีวงนักร้องประสานเสียงร้องเพลง "พระคุณที่สาม" อยู่ด้านบนอัฒจรรย์





ผมได้ยินเพลง "พระคุณที่สาม" ครั้งแรกตอนเรียนปริญญาตรีในงานพิธีไหว้ครู แต่วันนี้ฟังเพลงนี้กลับมีความรู้สึกที่แตกต่าง

ครูไม่ได้เป็นเพียงเรือจ้างที่แค่ส่งลูกศิษย์ถึงฝั่งเมื่อจบการสอนวิชานั้น ครูกับศิษย์ยังคงมีความสัมพันธ์ครู-ศิษย์แบบนั้นตลอดไป ความปรารถนาดีที่ครูมีต่อศิษย์ไม่เปลี่ยนแปลง คุณค่าดีๆที่ครูหยิบยื่นให้แก่เราในชั้นเรียน...แม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่มันติดตัวเราตลอดไปและคุณค่าที่เราได้รับ มันต่อยอดให้เราใช้ชีวิต พัฒนาตัวเราเองให้เจริญรุ่งเรืองเรื่อยไป


ในเนื้อเพลง "พระคุณที่สาม" พูดถึงก่อนนอนกราบระลึกพระคุณครู...

ทุกครั้งที่ผมสวดมนต์ก่อนนอน...ในบทสวดมีบทระลึกถึงพระคุณครูอาจารย์และบุพการีเสมอ


ไม่ว่าสมัยเรียนเราจะเคยไม่ชอบครูคนไหนมาก่อน ครูคนนั้นทำให้เราเกลียดชังอย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมพบว่าเพราะการที่เราผ่านครูเหล่านั้นทำให้เราพัฒนาตนเองและเลือกทางเดินที่ถูกต้อง มีชีวิตที่ก้าวหน้า เป็นพระคุณของครูเหล่านั้นที่เราควรระลึกถึงมากกว่า


หลังจากเสร็จจากพิธีมอบพานพุ่มดอกไม้ไหว้ครูแล้ว ก็เป็นการตัดสินการประกวดพานในแง่ความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์

บางทีนิสิตเขาคงไม่เข้าใจความหมายของดอกไม้และร้านขายดอกไม้ก็สักแต่ว่าขายดอกไม้โดยไม่รู้ความหมายของดอกไม้และวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน

ดอกเบญจมาศแม้จะดูดีขนาดไหน ในสังคมญี่ปุ่นเขาถือที่จะเอาดอกเบญจมาศมอบให้คนเป็นเพราะดอกเบญจมาศมีแต่เขาใช้วางเคารพศพเท่านั้น ดอกอาจิไซ (ไฮดรานเยีย) เป็นดอกที่ดูดี (ถ้าอ่านตำนานดอกอาจิไซจากเรื่องในบล็อกก่อนหน้า จะเข้าใจคุณค่าว่าทำไม ซีโบลด์ จึงเลือกที่จะเอาต้นอาจิไซกลับไปปลูกที่ยุโรป?) แต่เพราะฝรั่งช่างไม่รู้ตำนานที่มาที่ไปของดอกไม้แสนโรแมนติกนี้เลย มันเลยแปลความหมายตามใจฉันว่า ดอกอาจิไซหรือ ไฮดรานเยีย มีความหมายว่า "ขอบคุณสำหรับความเย็นชา"


เห็นพานดอกไม้ที่เอามาไหว้ครูมีดอกเบญจมาศและอีกพานมีดอกอาจิไซแซมอยู่ในพานด้วย


คณาจารย์ที่มาร่วมงานช่วยกันลงคะแนนตัดสินว่าพานของนิสิตสาขาใดควรได้รับรางวัลด้านความสวยงามหรือรางวัลด้านความคิดสร้างสรรค์












หลังจากนั้นเขาเชิญอาจารย์ที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนิสิตชั้นปีที่ ๑ ออกมารับพวงมาลัยกราบไหว้จากนิสิตชั้นปีที่ ๑ และให้พรแก่นิสิต






ในฐานะของอาจารย์ที่ปรึกษานิสิตสาขาการจัดการชั้นปีที่ ๑ ตอนที่นิสิตเขาเอาพวงมาลัยเข้ามากราบ....ตื้นตันบอกไม่ถูกเหมือนกัน ตอนที่เราเป็นลูกศิษย์เราเข้าไปกราบอาจารย์เราไม่รู้หรอกว่า....วันที่เราเป็นอาจารย์บ้าง แล้วมีลูกศิษย์เข้ามากราบความรู้สึกปีติมันเป็นอย่างไร ตอนให้พรนิสิตใหม่ที่เอาพวงมาลัยเข้ามากราบขอพร...บางครั้งก็อึ้งไป

อาจารย์คนอื่นที่ผ่านพิธีไหว้ครูมาหลายครั้งแล้วอาจจะเคยชิน

แต่สำหรับผม...พิธีไหว้ครูครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นครูแล้วมีลูกศิษย์มากราบไหว้ ยอมฝากตัวเป็นศิษย์ กราบด้วยความเคารพ มันเป็นความตื้นตันที่อธิบายลำบาก


ลูกศิษย์ยกมือไหว้...เขาเคารพในความเป็นครูภายในตัวเรา และในฐานะครูคนที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้เขา...เรามีหน้าที่ทุ่มเท ให้ความรู้ ให้แนวทางที่ถูกต้อง ช่วยเหลือ สมกับที่เขายอมรับนับถือในความเป็นครูในตัวเรา


หลังจากเสร็จพิธีแล้วก็มีโอกาสได้พบกับนิสิตชั้นปีที่ ๑ ที่เป็นนิสิตภายใต้การดูแลทั้งหมด มีโอกาสได้ถ่ายภาพร่วมกันเนื่องจากนิสิตมีจำนวนมาก และไม่มีรูปในระบบทะเบียน ผมเคยนัดเจอนิสิตปี ๑ เมื่อเดือนที่แล้วแต่เป็นการยากที่จะจำหน้าได้ทุกคน การถ่ายภาพร่วมกันวันนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษาและนิสิตในความดูแล มันง่ายต่อการจำได้ว่านิสิตคนนี้ชื่ออะไร ความจริงเราแบ่งอาจารย์ที่ดูแลนิสิตภายในสาขาแต่ละชั้นปีจำนวน ๒-๓ คน คราวก่อนอาจารย์เฟื่องฟ้าไม่สะดวกมาเจอนิสิต แต่สำหรับวันนี้อาจารย์เฟื่องฟ้ามาร่วมงานพิธีไหว้ครูได้ เลยมาพบนิสิตภายใต้การดูแลด้วยกันและถ่ายภาพร่วมกันไว้เป็นที่ระลึก







มีพิธีไหว้ครูของสาขาที่แยกจัดขึ้นมาต่อในตอนเย็น แต่เป็นพิธีสำหรับนิสิตกับอาจารย์ในสาขาเท่านั้น


คราวนี้อาจารย์ที่มาร่วมงานทั้งหมดขึ้นไปบนเวทีรับพานจากตัวแทนนิสิต และผูกข้อมือให้นิสิตชั้นปีที่ ๑ ด้วยด้าย...และให้พรแก่นิสิตเหล่านั้น


ลูกศิษย์หลายๆคนที่ผมกำลังสอนอยู่ตอนนี้ถือโอกาสเข้ามาขอพร เอาพวงมาลัยมากราบไหว้ มาขอรับการผูกข้อมือจากเรา บางคนถือโอกาสแกล้งแอบขอเกรดวิชานี้ล่วงหน้า...ซึ่งนิสิตเขารู้ดีว่า...เกรดอยู่ที่ความพยายามของตัวเขาเองต่างหาก


พรที่ให้แก่ลูกศิษย์คือ อยากเห็นความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขา เขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาทำ และใช้ชีวิตให้มีคุณค่า


พิธีไหว้ครูของสาขาเสร็จสิ้นลงตอนเกือบสองทุ่ม นัดเจอนิสิตชั้นปีที่ ๑ ที่ดูแลอีกครั้งเพื่อนัดหมายการทำกิจกรรมเพื่อสร้างความรู้จัก คุ้นเคย และสานความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกันระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษาและนิสิต


เดินผ่านอาคารอเนกประสงค์เห็นจันทร์เสี้ยววันข้างขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๘/๘ อีกไม่นานก็จะเป็นวันเพ็ญอาสาฬหบูชา


สิ่งที่เหลือไว้เป็นความทรงจำจากพิธีไหว้ครูวันนี้






พวงมาลัยที่นิสิตเอามามอบให้ เป็นเครื่องหมายของการนอบน้อมถ่อมตน ขอฝากตัวเข้าเป็นศิษย์

ด้ายมงคลที่ครูผูกที่ข้อมือลูกศิษย์ เป็นเครื่องหมายของสิ่งที่เป็นมงคลซึ่งจะเข้ามาสู่ชีวิตของลูกศิษย์ หมายถึงความผูกพันระหว่างครู-ศิษย์ ที่ครูสอนวิทยาการอันเป็นประโยชน์ในชีวิตศิษย์ต่อไป ความปรารถนาดีที่มีต่อศิษย์ตลอดไป




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2553 23:24:06 น.
Counter : 3945 Pageviews.  

เดือนมิถุนายนแล้วชวนให้นึกถึงตำนานดอกอาจิไซ (Hydrangea)

ตอนไปงานเอ็กซ์โปที่เซี่ยงไฮ้...ผมเดินผ่านสวนที่อยู่ตรงข้ามซุ้มของประเทศเกาหลีใต้ สิ่งแรกที่สะดุดตาคือ ดอกไอริช สีขาวและสีม่วงของดอกไอริชชวนให้นึกถึงหน้าฝนในประเทศญี่ปุ่น





ตอนนั้นนึกขึ้นมาได้ว่าตรงกับวันที่ ๑ มิถุนายนพอดีเป๊ะ

รุ่นน้องรายหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่าทำไมหญิงสาวหลายคนชอบแต่งงานหน้าฝนซึ่งตรงกับเดือนมิถุนายน... เป็นเพราะเทพธิดาที่ประทานพรแห่งความโชคดีในรักเธอเป็นเทพในเดือนมิถุนายนนี่เอง

แต่หน้าฝนนี่เฉอะแฉะนะ...น่าสงสารเจ้าสาวมาก ถ้าพวกเธอต้องลากชุดแต่งงานที่ยาวเฟื้อยเดินผ่านพื้นดินเฉอะแฉะ

เคยเห็นบรรยากาศงานแต่งงานท่ามกลางดงของดอกไอริชสองข้างทางตอนอยู่ญี่ปุ่น มันได้บรรยากาศอีกแบบ ในงานเทศกาลดอกไอริชที่เมืองซาวารา จังหวัดอิบาริกิ ผู้คนเขาพายเรือแล้วให้เจ้าสาวชุดกิโมโนนั่งในเรือผ่านดอกไอริชสองข้างทาง....เก๋อีกอย่าง


....เดินผ่านสวนไปอีกนิดเห็นกลุ่มดอกอาจิไซเรียงเป็นแนว...เริ่มออกดอกสีสันต่างๆให้เห็น







ทุกครั้งที่เห็นดอกอาจิไซ...ผมมักนึกถึงตำนานดอกอาจิไซ ความรักระหว่างซีโบลด์และโอทากิ....





เหตุการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างซีโบลด์และโอทากิเริ่มต้นที่บริเวณเดจิม่า ในเขตนางาซากิ ย้อนไป ๔๐๐ กว่าปี สมัยญี่ปุ่นยังคงปิดประเทศไม่ทำการค้ากับต่างชาติ แต่เปิดเมืองท่าไม่กี่แห่งให้คนต่างชาติทำการค้ากับญี่ปุ่น ที่เมืองนางาซากิเป็นบริเวณที่คนต่างชาติตั้งรกรากทำการค้าแลกเปลี่ยนกับญี่ปุ่น








ดร. นพ.ฟอน ฟิลิปป์ ซีโบลด์เป็นนายแพทย์ชาวเยอรมันที่เดินทางมากับกองเรือพาณิชย์อีสอินเดีย เมื่อมาถึงเมืองท่านางาซากิ ดร.นพ.ซีโบลด์ฟอน มีหน้าที่เป็นแพทย์รักษาโรคให้กับชาวเมืองนางาซากิ ซีโบลด์นำความรู้แพทย์แผนใหม่เข้ามาเผยแพร่ให้แก่ญี่ปุ่น เขาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ด้านการผ่าตัดให้แก่คนญี่ปุ่น เขาเปิดโรงเรียนแพทย์ในนางาซากิ







ในเขตนางาซากิปกติจะไม่อนุญาตให้คนญี่ปุ่นเข้าไป แต่ก็มีบางคนที่ได้รับอนุญาตให้สามารถเข้าไปได้ แต่ไม่กี่คน หนึ่งในจำนวนนั้นคือ โอทากิ โอทากิเป็นหญิงสาวญี่ปุ่น เธอเข้ามาดูแลบ้านพักของบรรดาคนต่างชาติ และแล้วก็มีเหตุผลให้โอทากิได้รู้จักกับซีโบลด์ โอทากิพาซีโบลด์ไปเดินเที่ยวยังที่ต่างๆในเมืองนางาซากิ แล้วความรักก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสอง






ครั้งหนึ่งซีโบลด์นำสตอร์เบอร์รี่ของเยอรมันให้โอทากิลองทานดู...โอทากิไม่เคยทานสตอร์เบอร์รี่มาก่อน ในอดีตญี่ปุ่นไม่มีต้นสตอร์เบอร์รี่ โอทากิชื่นชอบในรสชาติความอร่อยของสตอร์เบอร์รี่ที่ได้ทาน


ภายหลังจากที่คบหากัน....ในที่สุดโอทากิก็แต่งงานกับซีโบลด์มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อ อิเนะ


ซีโบลด์นอกเหนือจากเป็นนายแพทย์แล้ว ตัวเขาชื่นชมในพฤกษศาสตร์ เขาวาดภาพต้นไม้ ดอกไม้ต่างๆที่เขาเจอในญี่ปุ่น เขาทำการทดลองเพาะพันธุ์ไม้ต่างๆ ซีโบลด์สนใจในภูมิประเทศญี่ปุ่น เขาจ้างวานให้คนเขียนแผนที่ประเทศญี่ปุ่นให้....แต่แล้วเคราะห์กรรมก็มาเยือน เมื่อเรือที่เขาเดินทางเกิดล่ม สิ่งของที่บรรทุกมาลอยไปเกยชายหาด หีบใบหนึ่งของซีโบลด์ถูกเปิดฝาออกและพบภาพแผนที่ญี่ปุ่นที่ซีโบลด์ได้จ้างนายช่างวาดเอาไว้ เรื่องรู้ไปถึงสำนักพระราชวัง การที่ซีโบลด์วาดภาพแผนที่ญี่ปุ่นถือว่าซีโบลด์กระทำความผิดร้ายแรงตามกฎหมายของญี่ปุ่น ซีโบลด์โดนตั้งข้อหาว่าเป็นสายลับที่มาค้นหาความลับของญี่ปุ่นให้ข้าศึกภายนอก ดังนั้นญี่ปุ่นจึงมีคำสั่งให้เนรเทศซีโบลด์ออกจากประเทศญี่ปุ่น


ซีโบลด์เก็บข้าวของและจำใจต้องพลัดพรากจากภรรยาและลูกสาว ซีโบลด์นำกระถางต้นไม้ที่บรรจุต้นอาจิไซไปด้วย ทุกครั้งที่มองดอกอาจิไซ....ซีโบลด์ก็ระลึกถึง "โอทากิ" ภรรยาของตนที่ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศญี่ปุ่น ตลอดทางที่เรือเดินสมุทรที่ออกเดินทางจากญี่ปุ่นไปยุโรป...ซีโบลด์ได้เขียนจดหมายพรรณาถึงความโศกเศร้าที่ต้องพลัดพรากกับภรรยาและลูกน้อย ซีโบลด์ได้เพาะพันธุ์ดอกอาจิไซสายพันธุ์ใหม่แล้วตั้งชื่อว่า "โอทักขุสะ" ในภาษาฮอลแลนด์ซึ่งถ้าแปลเป็นภาษาญี่ปุ่่นก็คือ "โอทากิ" ชื่อของภรรยาที่ซีโบลด์สุดแสนรัก






โอทากิมองว่า....ในชีวิตนี้เธอคงไม่มีโอกาสที่จะได้เจอซีโบลด์อีกแล้ว เธอจึงเขียนจดหมายถึงซีโบลด์ ให้ซีโบลด์ลืมเรื่องของเธอเถิดแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรป

เมื่อซีโบลด์ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ถึงกับตกใจและเสียใจที่โอทากิได้ขอเลิก.....


เหตุการณ์ผ่านไปอีกหลายปี....ทั้งซีโบลด์และโอทากิต่างก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ ซีโบลด์มีบุตรหลายคนกับแคทเธอรีน ในขณะที่โอทากิไม่มีบุตรกับสามีใหม่

แล้วกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นเมื่อญี่ปุ่นยอมเปิดประเทศภายหลังจากที่เปอรี่ได้นำกองทัพเรือมาปิดอ่าวเอโดะและเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ

๓๖ ปีที่ซีโบลด์จากญี่ปุ่นไป....ถึงเวลาที่ซีโบลด์มีโอกาสได้เดินทางกลับมาเยือนญี่ปุ่นอีกครั้ง ซีโบลด์เดินทางมาญี่ปุ่นพร้อมอเล็กซานเดอร์บุตรชาย ซีโบลด์มีโอกาสได้เจอโอทากิและอิเนะลูกสาวซึ่งตั้งใจจะเป็นแพทย์ตามอย่างพ่อ ซึ่งอิเนะไปศึกษาโรงเรียนแพทย์สมัยใหม่ในนางาซากิและสุดท้ายเป็นแพทย์หญิงสำหรับวิชาแพทย์แผนใหม่คนแรกในประเทศญี่ปุ่น





แม้ว่าซีโบลด์จะได้กลับมาพบกับโอทากิใหม่....ความรู้สึกดีๆระหว่างกันยังคงมีอยู่.....แต่ด้วยพันธะของครอบครัวที่ตอนนี้ต่างคนต่างมี คนทั้งสองจึงไม่สามารถจะกลับมาครองรักกันได้อีก

ซีโบลด์เดินทางกลับไปประเทศเนเธอร์แลนด์และในช่วงชุดท้ายของชีวิต...ซีโบลด์เขียนข้อความเอาไว้ว่า


ภายหลังจากฉันเสียชีวิตลงแล้ว..
อยากโบยบินไปยังดินแดนที่สงบและสวยงามที่ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่.....








อีกมุมนึงของโลก...ก่อนที่โอทากิจะเสียชีวิตลง ..ความอร่อยของสตอร์เบอร์รี่นับตั้งแต่เธอเคยสัมผัสเป็นครั้งแรกเมื่อซีโบลด์ให้เธอลองทาน เธอไม่เคยลืม....เธอจึงขอทานสตอร์เบอร์รี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนอำลาโลก...



ถึงแม้วันนี้ดอกอาจิไซจะได้รับการเผยแพร่พันธุ์ไปทั่วโลกในชื่อภาษาอังกฤษว่า Hydrangea แต่ต้นกำเนิดจริงๆมาจากญี่ปุ่น

ดอกอาจิไซสัญลักษณ์ของความรักที่ซีโบลด์มีต่อภรรยาแสนรักของเขา "โอทากิ"




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2553    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 20:55:04 น.
Counter : 5806 Pageviews.  

กิจกรรมภายใน ๒๔ ชั่วโมงจากพิษณุโลกสู่กรุงเทพฯและจากกรุงเทพฯกลับพิษณุโลก

ก่อนเดินทางไปดูงาน Expo 2010 ที่เซี่ยงไฮ้ ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันรายหนึ่ง เขาแจ้งให้ผมทราบว่า อ. มาศ เคหาสน์ธรรม ประธานชมรมฮวงจุ้ยแห่งประเทศไทยที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันมากตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีจะแต่งงาน เคยเจอกับอ. มาศครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้วก่อนผมเดินทางไปรัสเซีย ตอนนั้นเคยเกริ่นกันเอาไว้ว่าถ้าอ.มาศแต่งงานเมื่อไหร่อย่าลืมส่งข่าวมาบอกด้วยผมจะมาร่วมงาน

ตอนที่ทราบว่ากำหนดงานวันฉลองสมรสตรงกับกิจกรรมงานปฐมนิเทศนิสิตใหม่ระดับบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัย...ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าจะไปร่วมงานได้ไหม? แต่ได้ปรึกษาอาจารย์รุ่นพี่ที่เป็นกรรมการของคณะ อาจารย์รุ่นพี่แนะนำว่าผมสามารถไปร่วมงานฉลองมงคลสมรสของอาจารย์มาศได้เพราะผมไปร่วมงานปฐมนิเทศนิสิตใหม่ระดับปริญญาเอกในวันเสาร์แล้วในฐานะกรรมการหลักสูตรปริญญาเอก ดังนั้นเมื่อคุ้นเคยได้รู้จักกับนิสิตใหม่แล้ว กิจกรรมวันอาทิตย์ของคณะในวันอาทิตย์ตอนบ่ายถ้ามีธุระจริงๆสามารถปลีกตัวเพื่อเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงฉลองสมรสที่กรุงเทพฯให้ทันได้

ในระหว่างที่อยู่ในเซี่ยงไฮ้ รุ่นน้องที่เป็นคนประสานงานติดต่อถามผมอีกทีว่า การ์ดเรียนเชิญไปงานฉลองสมรสของอ.มาศมาถึงผมเรียบร้อยแล้วหรือยัง? และผมสามารถมางานเลี้ยงฉลองสมรสได้ไหม? ผมตอบตกลงว่าจะไปงานเลี้ยงฉลองสมรสของอาจารย์มาศแน่ๆ

กิจกรรมวันอาทิตย์ที่ ๖ เดือน ๖ (มิถุนายน) จึงเป็นวันที่กิจกรรมแน่นมาก ผมเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศนิสิตใหม่ระดับบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยที่อาคารอเนกประสงค์ตอนเช้าในฐานะกรรมการหลักสูตรปริญญาเอก บรรยากาศในหอประชุมที่มีเหล่าบรรดานิสิตใหม่ในหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอกนั่งกันอยู่เต็มไปหมด...ชวนให้นึกถึงตัวเราเองสมัยเข้าหอประชุมในงานปฐมนิเทศตอนเรียนปริญญาเอกในญี่ปุ่น แม้บรรยากาศจะต่างกันก็ตามที ทุกคนต่างมีความหวัง และมีความฝัน ว่าวันนึงในอนาคตจะสำเร็จการศึกษา

เมื่อวันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายนตอนไปร่วมงานปฐมนิเทศให้แก่นิสิตใหม่ระดับปริญญาเอก ผมได้ให้ข้อคิดและแชร์ประสบการณ์แก่นิสิตใหม่ทุกคนรวมทั้งนิสิตรุ่นพี่ในระดับหลักสูตรปริญญาเอกทุกคนว่ากว่าจะสำเร็จการศึกษาได้เป็นด็อกเตอร์...พวกเขาต้องเผชิญอะไรกันบ้าง ควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะเรียนจบและได้วุฒิ, ศักดิ์, และสิทธิของการเป็นด็อกเตอร์ แต่วันที่พวกเขาสำเร็จการศึกษาจะเป็นวันที่พวกเขาภูมิใจกับความพยายามและความอดทนที่เขาฝ่าฟันกันมาจนสำเร็จการศึกษา ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาเรายินดีที่จะช่วยชี้แนะแนวทาง ให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้พวกเขาไปถึงเป้าหมายที่พวกเขาตั้งใจเอาไว้

พอเสร็จสิ้นพิธีปฐมนิเทศนิสิตใหม่ระดับบัณฑิตศึกษา...ผมใช้เวลาเตรียมเนื้อหาที่จะต้องสอนในชั้นเรียนวิชาที่ผมรับผิดชอบซึ่งเริ่มต้นสอนวันแรกของภาคการศึกษาใหม่วันจันทร์ที่ ๗ มิถุนายน ใช้เวลาเอาเรื่องในการเตรียมเนื้อหาการสอนให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางไปกรุงเทพฯเพื่อร่วมงานฉลองสมรสให้ทันตอนค่ำ เตรียมเนื้อหาเสร็จทันเวลา

ออกเดินทางจากพิษณุโลกก่อนบ่าย ๒ โมงเล็กน้อย...

ใช้เวลาตามที่คาดการณ์เอาไว้...ผมมาถึงโรงแรม S31 ปากซอยสุขุมวิท 31ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองสมรสตอน ๖ โมงครึ่ง

แขกเริ่มทยอยมางานเลี้ยงกัน...

มีโอกาสได้เจอสุกิจน้องชายอ.มาศ สุกิจเป็นรุ่นน้องที่คณะเช่นกัน คุ้นเคยและสนิทกันดี เมื่อปีที่แล้วในระหว่างที่จัดของภายในบ้านพบสมุดเฟรนด์ชิพที่สองพี่น้องช่วยกันเขียนให้ผมก่อนที่ผมจะเรียนจบ ผมอ่านข้อความอวยพรที่สุกิจเขียนเอาไว้ว่า...วันที่ผมประสบความสำเร็จอย่าลืมแจ้งให้เขาทราบด้วย ตอนนั้นนึกถึงสุกิจขึ้นมาแม้ว่าคำอวยพรของเขาจะยังไม่ปรากฏขึ้นมาเป็นจริงตอนนี้ก็ตาม ผมไม่ได้เจอสุกิจร่วม ๒๐ ปีได้แล้ว นับจากวันที่ผมเรียนจบ

เพื่อนยังคงเป็นเพื่อนเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี การได้เจอเพื่อนเก่าเป็นความรู้สึกที่ดี







ร่วมแสดงความยินดีกับอาจารย์มาศ ผมมีโอกาสถ่ายรูปกับอาจารย์มาศครั้งล่าสุดก่อนผมเดินทางไปรัสเซียและกล้องที่ถ่ายภาพตัวนั้นถูกขโมยไปที่เมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก แม้กล้องจะสูญหายไปแต่โชคดีที่ไฟล์ภาพถูกเก็บเอาไว้ก่อนเดินทางไปรัสเซียดังนั้นผมจึงยังมีภาพแห่งความทรงจำเอาไว้

น้องอ้วนที่เป็นเจ้าสาว...รูปในการ์ดเรียนเชิญร่วมงานฉลองสมรสแตกต่างจากตัวจริงที่เจอ วันนี้ช่างแต่งหน้าแต่งหน้าเจ้าสาวได้ดีมาก โครงหน้าเจ้าสาวตัวจริงที่ได้เห็น...เข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์มาศถึงเลือกน้องอ้วน







ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆพวกเธอหลายคนกลับมีชีวิตที่รุ่งโรจน์มากกว่าผู้หญิงหน้าตาสวย เหตุผลที่อธิบายก็คือ...บางทีโครงหน้าที่ผู้หญิงส่วนมากเชื่อว่าสวยและอยากเป็น หลายคนยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อทำศัลกรรมตกแต่งใบหน้า...กลับเป็นโครงหน้าที่ทำให้ชีวิตของพวกเธอไม่ราบรื่นนัก แล้วที่น่าเศร้าก็คือพวกเมคอัพอาร์ติสท์ขาดความรู้เรื่องลักษณะโครงหน้าที่ดีเป็นอย่างไร...ดังนั้นพวกนี้เวลาแต่งหน้าให้เจ้าสาวจึงแต่งตามลักษณะที่พวกหล่อนคิดว่าดูสวย แต่ลักษณะแบบนั้นทำให้ชีวิตสมรสของเจ้าสาวหลายคนไม่ราบรื่นนัก


จะด้วยเหตุผลของกรรมจัดสรรหรืออย่างไรไม่ทราบ...ผมมีโอกาสได้นั่งโต๊ะเดียวกับเพื่อนที่รู้จักกันสมัยอบรม Marketing Trainee ซึ่งไม่ได้เจอกันร่วม ๒๐ ปีเช่นกัน การได้คุยแลกเปลี่ยนกัน...ทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้นและเชื่อมั่นว่าชีวิตสมรสไม่ใช่มีเพื่อสืบเผ่าพันธุ์มนุษย์แม้ว่าคนส่วนมากจะเชื่อและคิดกันแบบนั้นก็ตามที

สมรสแปลว่า "เสมอกันด้วยรสชาติในชีวิตของคนสองคน"

ถ้าขาดซึ่งความเสมอกันด้วยหลักสมชีวิตาธรรม...มันเป็นได้เพียงการแต่งงานซึ่งเป็นพิธีการยังไม่น่าจะเรียกว่านั่นคือความหมายของคำว่า "สมรส" ซึ่งวัฒนธรรมการแต่งงานทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นทั่วไป


บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองสมรสมีแขกมาในงานมากทีเดียว มีซินแสชื่อดังจากสิงคโปร์คนที่วางตำแหน่ง Malion และวางฮวงจุ้ยผังเมืองสิงคโปร์ให้มีความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งก็ได้รับเชิญมาร่วมงานและกล่าวอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาว

ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย...เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ศาสตร์เรื่องความสมดุลระหว่างทิศทางและตำแหน่งของลม (ฮวง) และน้ำ (จุ้ย) มีผลต่อสุขภาพและความผาสุกของคนที่อยู่อาศัยและใช้สถานที่เหล่านั้น ศาสตร์นี้อาจจะอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เพียงแต่ยังไม่มีใครทำวิจัยเป็นเรื่องเป็นราว....ศาสตร์นี้จึงเป็นเพียงแค่ความเชื่อส่วนบุคคล เป็นค่าทางสถิติที่มีการจดบันทึกเอาไว้หลายพันปีและไม่มีคำอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงมีผลต่อชีวิตผู้คน ความมั่งคั่ง ความรุ่งโรจน์และความตกต่ำในชีวิตของผู้คน

เจ้าภาพเขาเชิญคุณปู โลกเบี้ยว หมอดูและนักแสดงชื่อดังมาเป็นพิธีกร คุณปูอาจจะติดมุขตลกมามาก....จนบางครั้งเวลาเขาพูดอะไรเขาลืมคิดถึงความเหมาะสมของถ้อยคำที่สมควรใช้กับงานพิธีฉลองสมรสในค่ำคืนนี้
อันนี้น่าตำหนิมากกว่ายกย่อง

พอฟังคำกล่าวขอบคุณแขกที่มาในงานของเจ้าบ่าว...พอจับประเด็นได้ว่าเจ้าบ่าวเป็นคนโรแมนติกอย่างไร รักต่างวัยมันเริ่มต้นได้อย่างไร...มาเฉลยกันในงานนี้ เพราะตอนเจออาจารย์มาศเมื่อปีที่แล้ว....เขาเพียงแต่บอกว่าแฟนเขาที่คบกันมา ๘ ปีอายุต่างกัน ๑๐ กว่าปี


นานมากแล้วที่จะเจอกันครบแก๊งค์สี่คน นับจากวันที่ผมเรียนจบ...ก็ไม่มีโอกาสได้เจอครบทั้งสามคน สุกิจ อาจารย์อ้วน อาจารย์มาศ วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เจอกันครบทีม เลยชวนกันถ่ายภาพที่ระลึกเก็บเอาไว้





ตอนที่อาจารย์อ้วนแนะนำผมให้เพื่อนๆหรือว่าลูกศิษย์ที่มาเรียนวิชาเฟิงสุ่ยหรือฮวงจุ้ยกับอาจารย์มาศ....เขาให้เกียรติเกินไปหน่อยที่อธิบายว่าผมเป็นคนเดียวที่อาจารย์มาศยอมฟัง สมัยเรียนเวลาเฮียพูดอะไรอาจารย์มาศฟังเสมอ ผมคิดว่าความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเรามีมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือที่จุฬาฯ แม้ว่าสถานะและหน้าที่การงานจะเปลี่ยนแปลงไป แต่เราก็ยังคบกันเหมือนเดิม อาจารย์มาศยังคงให้เกียรติเรียก "เฮีย" เหมือนเดิมแล้วเวลาผมแนะนำอะไรเขาก็ยังฟังเหมือนเดิม




ร่ำลาเจ้าภาพแล้วก็ขอตัวกลับบ้าน....แล้วพบกันอีกทีตอนที่กรรมจัดสรรให้มาเจอกันใหม่

ตัดสินใจค้างที่กรุงเทพฯเพราะดึกมากแล้ว ขับขี่กลับไปพิษณุโลกในยามค่ำคืนแบบนี้ไม่ดี อันตรายในการขับขี่และการทำให้คนอื่นเป็นห่วงไม่ดี

ราตรีสวัสดิ์กรุงเทพฯ...

เช้าวันจันทร์ที่ ๗ มิถุนายน....ผมตื่นแต่เช้าโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก ขับรถออกจากบ้านเพื่อเดินทางกลับไปพิษณุโลก เพราะวันนี้ภาคการศึกษาใหม่เริ่มต้นแล้วและผมมีชั่วโมงสอนตอนบ่ายสองโมง มีโอกาสแวะไปบ้านที่นครสวรรค์ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปพิษณุโลก นครสวรรค์ยังคงเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยร้านอาหารอร่อยในราคาไม่แพงสำหรับนักชิม อาหารเที่ยงวันนี้เป็นผัดไทยที่ไม่เคยทานมาก่อนแต่แม่แนะนำให้ไปลองทานดู ร้านผัดไทยอยู่ถนนสุชาดาใกล้ๆกับธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนโกสีย์ รสชาติอร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ


ผมขับรถมาถึงมหาวิทยาลัยตอนบ่ายโมงนิดหน่อย มีเวลาเพียงพอที่จะเตรียมตัวสอนชั้นเรียนปริญญาตรีครั้งแรกที่จะเริ่มตอนบ่ายสองโมง

ชั้นเรียนปริญญาตรีที่ผมสอนเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยนเรศวร..เริ่มต้นที่ห้องเรียนในอาคารเรียนรวมหมายเลขห้อง QS3109





ชั้นเรียนวิชา "กลยุทธ์ธุรกิจ" เริ่มต้นเวลาบ่ายสองโมง...


ยอมรับว่ามีอาการประหม่าเล็กน้อยตอนเริ่มต้นสอน...แต่เป็นเพราะเคยสอนชั้นเรียนปริญญาเอกและปริญญาโทมาแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่เข้ามาทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ กอปรกับการเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี ทำให้เราสามารถควบคุมอาการประหม่านั้นให้หายไปในเวลาอันสั้น

กฎ กติกา มารยาท ข้อตกลงในการเรียนการสอนถูกหยิบขึ้นมาชี้แจงให้นิสิตในชั้นเรียนวิชานี้รับทราบ...

ผมเริ่มสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนให้นิสิตรู้สึกสบายๆแล้วก็พยายามกระตุ้นให้พวกเขามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น เพราะผมเชื่อว่าในอนาคตนิสิตเหล่านี้ภายหลังจากจบจากมหาวิทยาลัยไป....เขาต้องมีอนาคตที่ดี พัฒนาตัวเองต่อไป ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้บริหาร หน้าที่ของอาจารย์คือฝึกให้เขากล้าที่จะคิด กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น การจะเป็นผู้นำคนอื่นได้ต้องกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา....ไม่ว่าความคิดของนิสิตจะดีขนาดไหน ถ้าเขาไม่กล้าพูดออกมา...ไม่มีใครทราบว่าพวกเขาคิดอย่างไร และเป็นการเสียโอกาสที่เขาจะพัฒนาตนเอง ปิดโอกาสที่จะแสดงศักยภาพในตัวเองของพวกเขาให้คนอื่นเห็น

ตอนอธิบายถึงความหมายของพันธกิจ (Mission) และวิสัยทัศน์ (Vision) ผมยกตัวอย่างพันธกิจและวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยนเรศวรคืออะไร? สิ่งหนึ่งที่พูดให้นิสิตเหล่านั้นฟังคือ วันนึงเมื่อพวกเขาจบออกไป เขาหันกลับมาดูมหาวิทยาลัยที่พวกเขาเคยเรียน สำเร็จการศึกษามา เขาจะเกิดความภาคภูมิใจที่ได้เห็นวิสัยทัศน์ที่มหาวิทยาลัยวางเอาไว้ตอนที่พวกเขาเรียนอยู่มันบรรลุแล้ว และวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่วางเอาไว้จะเป็นจริงหรือไม่ก็อยู่ที่พวกเขาจะช่วยกันทำให้เป็นจริงได้ไหมด้วย


เห็นแววตาที่แฝงด้วยพลังและความเชื่อมั่นของนิสิตในชั้นเรียน หลายคนมีสีหน้าแห่งความภูมิใจที่ได้มาเรียนที่นี่ ภายหลังจากที่ผมได้กระตุ้นให้พวกเขาเห็นคุณค่าและศักยภาพในตัวพวกเขา


ผมหยิบกรณีของนักยูโดหญิงที่ชื่อ โอทสึกะ ได้เหรียญทองโอลิมปิกในกีฬาโอลิมปิกที่กรีซคราวที่แล้วมาอธิบายโดยเชื่อมโยงความหมายของคำว่า "กลยุทธ์" คืออะไร แม้โอทสึกะจะถูกกดก่อนแต่เธอไม่ยอมปล่อยโอกาสหลุดลอยไปโดยการพลิกสถานการณ์พลิกตัวกลับมากดอดีตแชมป์ชาวคิวบา และเอาชนะอดีตแชมป์ชาวคิวบาโดยการกดล็อกเอาไว้จนอดีตแชมป์ไม่สามารถปลดล็อกได้ภายในเวลา ๒๐ วินาทีสำเร็จ เธอได้เหรียญทองมาครองทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเธอเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำและไม่มีใครเคยคิดว่าเธอจะมีโอกาสชนะ แต่เธอก็ทำสำเร็จ

คนแพ้ไม่ได้แพ้ตลอดไป...ถ้ารู้จักใช้ปัญญาและบริหารกลยุทธ์เป็น..ก็สามารถกลับมาชนะได้


ตอนอธิบาย Strategic Management Model ผมอธิบายให้พวกเขาเข้าใจว่าทำไมต้องมี Feedback/Learning และมันสำคัญอย่างไรแม้แต่ในการใช้ชีวิตของผู้คน การมี Feedback จากคนอื่นมันดีอย่างไร

มีประโยคที่กินใจจากคำพูดของขงจื้อที่ผมพี่งอ่านผ่านตาเมื่อเร็วๆนี้

"ยาแม้ว่ามันจะมีรสชาติขม แต่มันดีต่อร่างกาย มันช่วยทำให้ร่างกายที่เจ็บป่วยหายเร็วขึ้น เช่นเดียวกัน มนุษย์ควรเปิดใจรับฟังคำพูดและเสียงสะท้อนของผู้คน แม้คำพูดเหล่านั้นจะบาดหูก็ตามที เพราะคำพูดและเสียงสะท้อนเหล่านั้นช่วยขัดเกลาพฤติกรรมของเราให้เป็นพฤติกรรมที่ถูกต้องและเหมาะสม"


ก่อนหมดเวลาเรียน ผมให้นิสิตเขาเขียน Keywords เป็นการเช็กว่าพวกเขาเข้าชั้นเรียนนี้จริง ขณะเดียวกันก็เช็กว่าเขาเก็บเกี่ยวอะไรจากชั้นเรียนนี้ไปได้บ้าง และสิ่งที่ผมถ่ายทอดให้แก่พวกเขาพวกเขารับไปได้มากน้อยแค่ไหน พวกเขาเข้าใจตรงกับสิ่งที่ผมต้องการสื่อสารในระหว่างที่สอนหรือไม่ ทุกคนตั้งใจเขียน Keywords มากราวกับว่านี่เป็นการสอบเก็บคะแนน









ภายหลังจากหมดคาบแล้ว ผมถามนิสิตรายหนึ่งว่าผมพูดเร็วไปไหม? เธอตอบกลับมาพร้อมใบหน้าที่มีรอยยิ้มว่า

"ไม่ค่ะ หนูชอบคำพูดที่อาจารย์สอนในชั้นเรียนค่ะ"


ถึงแม้จะเป็นคำพูดชมเชยเล็กน้อยจากนิสิตที่สอนเป็นครั้งแรกแต่คำพูดเหล่านี้เป็นกำลังใจให้อาจารย์อย่างผมพยายามสอนต่อไปเพื่อทำให้นิสิตในชั้นเรียนนี้เขาพัฒนาตัวเองและเป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญให้แก่สังคมนี้ต่อไป

๒๔ ชั่วโมงคือเวลาที่ธรรมชาติมอบให้แก่เราทุกคนเท่ากัน...
แต่สำหรับผม...
เวลา ๒๔ ชั่วโมงที่ผ่านมา..
ที่ผมใช้เดินทางจากพิษณุโลกไปกรุงเทพฯ
จนกระทั่งกลับมาพิษณุโลก...
มันช่างมีเรื่องราวน่าจดจำจริงๆ...




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2553    
Last Update : 9 มิถุนายน 2553 3:03:54 น.
Counter : 2472 Pageviews.  

เยือนมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นตอนที่ ๓(第三課、日本で大学に訪問しました)

 เช้าวันเสาร์อากาศเย็นๆสบายๆ มีเวลาช่วงเช้าไปเดินถ่ายภาพอาคารสูงย่านชินจูกุฝั่งตะวันตก เมื่อคืนได้เสื้อแจ๊คเก็ตสีม่วงสดที่ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นจากร้าน UNIQLO ....ไม่ได้คิดมาก่อนด้วยว่าจะมี....เพราะช่วงนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้วโดยมากเสื้อผ้าที่พบเห็นจะมีแต่เสื้อลำลอง ไม่ค่อยมีแจ๊คเก็ตเท่าไหร่

แต่ของมันจะเป็นของเรา.....มันก็มีเหตุให้ไปเจอโดยบังเอิญและซื้อกลับมา

土曜日ちょっと寒い肌が感じた。朝の余裕時間があり、私は西新宿アリアで高層ビル写真を撮った。昨日の夜UNIQLO店で偶然紫ジャンパを見付て買った。このジャンパは体に暖かくなった。普段、この季節はジャンパーを見つかり難い。

 でも、この物は私の物べきだ、だから偶然会って買って持って来た。


 


อาคารตึกที่ทำการกรุงโตเกียว

東京都庁ビル




 มีร้านราเมนที่ผมโปรดปรานชื่อ 「一蘭らーめん」อิชิรังราเมน เวลาเพื่อนคนไทยมาญี่ปุนมักจะพาไปทาน รสชาติของน้ำซุป บรรยากาศของร้าน ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะเอาเส้นนุ่มขนาดไหน น้ำซุปข้นขนาดไหน รสชาติเผ็ดจัดจ้านขนาดไหน ซึ่งแตกต่างจากร้านราเมนทั่วๆไป

私の大好きならーめん店は「一蘭らーめん」という名店です。タイ人の友達は日本に来たら、彼らを連れてこの店に行って食べた。この店風や味わいなど他のらーめん屋さんはその条件は見付けない。


 อยากให้คณาจารย์ได้ลองไปสัมผัสรสชาติราเมนของร้านอิชิรังราเมนดู ร้านนี้มีสาขาหลายแห่งแต่สำหรับสาขาชินจูกุซันโจวเหมะพึ่งเปิดต้นเดือนนี้เอง ดังนั้นคนในละแวกนั้นเองก็ยังไม่รู้จักว่ามีร้านนี้อยู่ละแวกใกล้ๆ พวกเราเดินผ่านร้านในขณะที่เดินคุยกัน...ผมเริ่มแปลกใจว่าทำไมเรายังหาร้านไม่เจอ สำหรับสาขานี้ผมยังไม่เคยมา ดูจากแผนที่ซึ่งไปพิมพ์มาจากเครื่องน่าจะอยู่บริเวณนั้น แต่หาไม่เจอ สอบถามคนแถวนั้น...แล้วพยายามสังเกตดู ในที่สุดพบว่าที่แท้พวกเราเดินผ่านร้านนี้มาสัก ๑๐ เมตรได้ เลยต้องเดินกลับไป

この店の支店が多いですが、この支店では今月開店したばかりです。この辺人々はこの「一蘭らーめん」支店はどこにあるがあまり知りません。実は私たちがその支店を通過した。


 


เขาสร้างบรรยากาศเน้นความเป็นส่วนตัวของลูกค้า เทคนิคในการทานราเมนที่ร้านของเขาให้อร่อยคือทานแล้วมีม่านบังเอาไว้ไม่ให้คนอื่นรบกวนความเป็นส่วนตัว












  มีโอกาสได้ขึ้นไปชั้น ๔๕ ของอาคารที่ทำการกรุงโตเกียว ภายในปีค.ศ.๒๐๑๑ อาคารโตเกียวสกายทรีในเขตสุมิดะสร้างเสร็จจะกลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโตเกียว

東京都庁ビル45階に行った。2011年東京スカイツリービルを完成したら、その建物は東京都内で一番高いビルになろう。





  ได้ภาพบรรยากาศตลาดนัดในสวนสาธารณะที่อยู่ข้างๆอาคารที่ทำการกรุงโตเกียว ภาพแปลกตาแบบนี้ไม่ค่อยได้เจอบ่อยนักจึงเก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก

珍しいバザー風景を見付けた。記念写真を撮った。




หลังจากนั้นเดินทางไปอาซากุซะ บังเอิญวันนั้นเขามีเทศกาลซันฉะ ผู้คนออกมาแบกโอมิโกชิไปรอบถนนบริเวณอาซากุซะ มีนักท่องเที่ยวมากันเยอะ เลือกที่จะไปทานอาหารที่ร้านเทนย่าซึ่งเป็นร้านเทมปุระเชนสโตร์ที่มีสาขาทั่วไปเป็นการประหยัดงบของคณะ เพราะถ้าจะไปทานร้านเทมปุระทั่วไปในย่านนี้จะตกอย่างต่ำเซ็ทละ ๑,๓๐๐ เยนขึ้นไปทั้งๆที่รสชาติก็แสนธรรมดา ร้านเทนย่ามีเซ็ทเมนูเทมปุระหลากหลายให้ลูกค้าเลือก เลือกที่จะสั่งเซ็ทโคอุด้งซึ่งมี "ซานุกิอุด้ง" อุด้งขึ้นชื่อของจังหวัดคากาว่า เสิร์ฟพร้อมเทมปุระ ซานุกิอุด้งเส้นจะเหนียวนุ่มหนากว่าเส้นอุด้งที่พบเห็นในเขตโตเกียว

その後、浅草に行った。丁度その日三社祭りを行った。人がいっぱいなので、昼ごはんは「天屋」てんぷら屋さんで食べた。「小うどん」メニューを注文した何故ならこの店は讃岐うどんを使った。香川県な名物なので折角日本に来たら、讃岐を食べないと惜しいでしょう。






ต่อไปนี้เป็นภาพบรรยากาศการแบกโอมิโกชิในเทศกาลซันฉะที่อาซากุซะ

これから、三社祭りの風景です。


 


 


ตอนเย็นกลับมาที่โรงแรมพบกระเป๋าเดินทางของผมถูกนำส่งจากสนามบินนาริตะมาถึงโรงแรม เหมือนเสื้อผ้าที่เตรียมเอามาจากเมืองไทยแทบจะไม่ได้ใช้งานเลยเพราะวันรุ่งขึ้นตอนเช้าก็เดินทางกลับเมืองไทยแล้ว

ホテルへ戻って私の鞄を見付けた。沢山シャツやズボンなど持ってきて、でも明日帰国するです。本当に持った無いと思った。





มีเวลาไปเดินดูหนังสือที่ร้านคิโนะคูนิยะ อยากใช้เวลานานๆที่นี่เพราะยิ่งอยู่นานก็มีความสุขกับการเลือกดูหนังสือชนิดต่างๆ เลือกดิกชันนารีญี่ปุ่น-ภาษาอังกฤษกลับมาเล่มหนึ่งภายหลังเปรียบเทียบคุณภาพในการแปลแล้วพึงพอใจมากกว่าเล่มอื่น อย่างไรผมก็ไม่อยากทิ้งภาษาญี่ปุ่นตรงกันข้ามอยากพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้วเชื่อมั่นว่าการใช้ดิกชันนารีมีผลต่อการพัฒนาการเรียนภาษาและจดจำคำศัพท์ได้นานกว่าการใช้ดิกชันนารีไฟฟ้าที่ไม่ช่วยในการจดจำคำศัพท์ให้แก่มนุษย์

私は紀伊国屋で本を探した。ここで長く時間かけては欲しい何故なら私は読者だから。。。ゆっくりいろいろな本を読むと幸せな時間を通過した。私は選んだ和英辞典は他の辞典と比べて、この辞典の通訳品実は満足した。電子辞典を使ってはあまり好きじゃない何故なら電子辞典は早いけど、人間の暗記能力が伸ばさないと思います。

 
  อาหารมื้อเย็นก่อนอำลาญี่ปุ่่น ท่านคณบดีกรุณาเลี้ยงอาหารมื้อนั้นให้แก่พวกเราที่ร้านโอโทย่า ลองสั่งชุดหมูกิมจิมาทานดู

日本に別れる前に最後晩御飯は経営と情報科学部からご馳走になった。大戸屋のキムチ豚定食を選んだ。


  


เวลายามราตรีหลังอาหารไปเดินดูของที่ร้านโยโดบาชิคาเมร่าพอร้านปิดถึงแวะไปร้านทาวเวอร์เร็คคอร์ด มีความตั้งใจจะซื้อหนังญี่ปุ่นที่ชื่อว่า "俺は、君のためにこそ、死ににいく" เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของเหล่าบรรดานักบินคามิกาเซ่ที่สละชีวิตตามคำสั่งของกองทัพญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และ ความผูกพันระหว่างเหล่านักบินคามิกาเซ่กับคุณป้าโทริฮาม่า โทเม เจ้าของร้านอาหารโทมิย่า หนังเรื่องนี้ไม่มีการนำมาฉายในเมืองไทย ตอนมางานเกษียณอายุอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่อสามปีก่อนในเดือนมีนาคม ผมมีโอกาสทราบว่าหนังเรื่องนี้มีกำหนดฉายตามโรงหนังในเดือนพฤษภาคม ซึ่งไม่มีโอกาสได้ดู ตอนที่ไปยังพิพิธภัณฑ์นักบินคามิกาเซ่ที่จังหวัดคาโกชิม่าที่อยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น รู้สึกสงสารและหดหู่อย่างจับใจ ถ้าเราเป็นเหล่านักบินเหล่านั้น....ที่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นจะเดินทางไปตาย...ความอาลัยที่มีต่อพ่อแม่ พี่น้อง คนรัก มันแสนอาดูรย์ยิ่งนัก

สงครามเป็นเรื่องเลวร้าย....สงครามไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ เพราะไม่ว่าผู้แพ้หรือว่าผู้ชนะต่างมีคนตายไปเพื่อสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของประเทศ

食事を終わったら、買い物した。Tower Recordの店で「俺は、君のためいこそ、死ににいく」DVDを買った。この映画が見たい。この映画の内容は第二世界大戦の特攻隊に対する少年たち命かけて国を守った。彼らは富屋食堂のトメさんの絆がある。私は鹿児島へ行ったとき、知覧市特攻平和館に入れた。悲しい気持ちをもった。もしかして、私は彼らになったら。。。愛する人を別れる時とても悲しいです。

 戦争は酷いな事です。勝った国または負ける国両方共に犠牲者がいる。人々は国の誇りのため、沢山亡くなりました。





ได้ซีดีเพลงแจ๊สติดมือกลับมาทั้งเพลงบรรเลงจากการ์ตูนส์ญี่ปุ่นและเพลงสากล ดูเหมือนผมแทบจะไม่ได้ซื้อซีดีนานมากแล้ว ครั้งล่าสุดก็ซื้อตอนเดินทางเยือนรัสเซีย-ตุรกี กว่าจะกลับมาถึงที่พักก็ช่วงเวลาเขาปิดร้านพอดีตอน ๕ ทุ่มเพราะมัวแต่เลือกเพลงว่ามันไพเราะจริงไหมหรือว่ามีเพลงไพเราะที่ฟังสบายและถูกจริตเราเพียงแค่ ๒-๓ เพลง


それで、Jazz曲 CDを買った。久しぶりCDを買った。この前、ロシア、トルコの旅地元の歌を買った。開店まで(午後11時)店内あちこちCDを選んで聞いた。

 
ตอนเช้านั่งแท็กซี่จากโรงแรมไปที่ท่ารถบัสลิมูซีนไปสนามบิน เห็นคนขับไว้ผมยาวแต่ใบหน้าเขาเป็นผู้ชายแต่เขาใช้ชื่อ ฮารุมิ 「晴美」ซึ่งเป็นชื่อผู้หญิง เลยถามเขาว่าทำไมเขาใช้ชื่อนี้ เขาบอกว่าจิตใจเขาเหมือนตอนท้องฟ้าหลังฝนตก รู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นพวกแปลงเพศ พอเขารู้ว่าเรามาจากเมืองไทย เขาเลยเล่าว่าพวกแปลงเพศชอบไปผ่าตัดที่เมืองไทย แต่เขาไม่มั่นใจเลยทำการแปลงเพศเป็นสาวในญี่ปุ่น แต่ภายหลังแปลงเพศแล้ว...เขาพบว่าเขามีความสุข นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสสนทนากับคนขับรถแท็กซี่ที่ไปแปลงเพศมา แต่โชเฟอร์รายนี้เขาเป็นคนคุยสนุกนะ ปกติโชเฟอร์แท็กซี่ในญี่ปุ่นไม่ค่อยสนทนากับผู้โดยสารเท่าไหร่


ด้วยเวลาที่จำกัด...เลยไม่มีโอกาสได้ทานข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นก่อนมาขึ้นรถบัสลิมูซีน แต่ก็มีเหตุผลทำให้ต้องแวะที่ทำการไปรษณีย์ภายในท่าอากาศยานเพื่อซื้อแสตมป์ที่ระลึกเก็บสะสมไว้ บังเอิญเขาเปิดที่ทำการตอน ๙ โมงเช้า เลยแวะทานข้าวก่อน มีร้านขายข้าวแกงกะหรี่อยู่ไม่ไกล เลยแวะไปทานข้าวแกงกะหรี่ได้สมใจ

カレーライスが食べたいでうが時間が無い。だから新宿駅周辺でカレーライスを食べる機会が無かった。空港に着いた後で、郵便局で記念切手を買った後でカレーライス店を見付けた。ビーフカレーライスを食べた。喜んだ。






เพลง Blue Danube ของ Johann Strauss บรรเลงดังขึ้นในขณะที่เครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 747-400 ทะยานขึ้นเหนือสนามบินนาริตะ การเดินทางเยือนมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่่นสิ้นสุดแล้ว มีความรู้สึกว่าผมคงมีโอกาสได้กลับมาเยือนญี่ปุ่นอีกแต่เมื่อไหร่...คงอยู่ที่กรรมจัดสรร

飛行機は成田空港を出発した後でJohann Strauss の有名な曲「Blue Danube」を聞いた。今回旅をお終い。また日本に来る機会があると信じた。いつか分からないけど、その時縁に任せます。



  




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 16:44:24 น.
Counter : 976 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.