space
space
space
space

สารพัดประโยชน์น้ำส้มสายชู


น้ำส้มสายชู เป็นสารประกอบของกรดน้ำส้มกับน้ำ ได้จากการหมักน้ำผลไม้จนเกิดแอลกอฮอล์ ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ หมักแล้วถ้าอยากได้น้ำส้มใช้เร็วๆ ก็หมั่นคนบ่อยๆ ให้ออกซิเจนลงไปทำการเปลี่ยนแปลงทางเคมีไม่ขาดตอน


ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู ส่วนใหญ่เน้นเรื่องการดูแล ป้องกันรักษาสุขภาพและโรคภัย เช่น ใช้น้ำส้มสายชูผสมต้นโทงเทงสด หรือผักคราดหัวแหวนสดๆ คั้นเอกน้ำชุบสำลีอมไว้ข้างแก้มค่อยๆ กลืนทีละนิด แก้ฝีในคอ หรือต่อมทอนซิลอักเสบได้ชะงักนักแล


ยามไปเที่ยวทะเล ขอให้พกพาน้ำส้มสายชูไปด้วยทุกครั้ง หากเคราะห์หามยามร้าย เจอแมงกะพรุนไฟเข้าก็อย่าตกใจ ราดน้ำส้มตรงบริเวณถูกแมงกะพรุนทันที จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ทันใจผิวที่เจอแดดจัดๆ จนเป็นรอยเกรียม ลูบด้วยน้ำส้มสายชู ผิวที่ไหม้จะไม่พองให้คุณปวดแสบทรมานได้อีก


ด้านการถนอมอาหาร สมัยก่อนมีการดองเปรี้ยวผักต่างๆ ด้วยน้ำส้มไว้บริโภคนานๆ เช่น ต้นหอม ผักเสี้ยน กระเทียม ขิง


ในแง่ของการขจัดรอยเปื้อน น้ำส้มสายชูก็เป็นมือโปรสำหรับแม่บ้านได้ยอดเยี่ยม เลือกใช้ได้ตามอาการต่อไปนี้

» รองเท้าหนัง รองเท้ายาง หรือสารสังเคราะห์ใดๆ ก็ตาม หากเปื้อนน้ำมันให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูแล้วจะหมดรอย

» กระจกบานเกล็ดสกปรก ล้างด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดรับรองเงางาม สะอาดใสแจ๋ว

» หม้ออะลูมิเนียมเป็นคราบดำ น้ำส้มสายชุละลายขี้เถ้าใต้เตาถ่าน ขัดถูก็สะอาดเอี่ยมในพริบตา

» ภาชนะทองแดง ทองเหลือง ขัดด้วยน้ำส้มผสมเกลือในอัตราส่วนเท่ากัน ผ้านุ่มๆ จุ่มพอหมาดเช็ดถูแล้วจะแวววาวขึ้น

» ของใช้พลาสติก ตลอดจนภาชนะอื่นๆ ในครัวเปื้อนไขมันมากจนเป็นรอยดำ ให้แช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชู รอยเปื้อนจะหายไปพร้อมกับกลิ่นอาหาร

»ปัญหาของเตาอบ ถาดอบเครื่องครัวสแตนเลส และพื้อนครัวเป็นคราบสกปรกล้างยาก ใช้น้ำส้มเช็ดถู คราบฝังแน่นกับเศษอาหารตามพื้นจะหลุดง่าย ไม่เปลืองแรงขัด

» เฟอร์นิเจอร์ ฝาผนังบ้านต่างดำ มีคราบนิ้วมือของสมาชิกตัวเล็กผ้านุ่มๆ ชุบน้ำส้มสายชูร้อนๆ เช็ดปุ๊บหายปั๊บ

» อ่างล้างมือ อ่างอาบน้ำ ราวโครเมียมสกปรก เป็นสนิม น้ำส้มสายชูกับน้ำสบู่ เช็ดถู ทุกอย่างเงางามสะอาดตา

» รอยเปื้อนสุดท้ายที่มักสร้างความอับอายให้ก็คือ เสื้อผ้าบริเวณรักแร้เป็นคราบเหลืองนั้น น้ำส้มสายชูทาตรงรอยเปื้อนให้ชุ่ม หากได้แช่เสื้อผ้าในน้ำส้มสายชุสักครู่ก่อนซักตามปกติ กลิ่นเปรี้ยวและเหม็นอับจากเหงื่อจะหายพร้อมรอยเปื้อน


น้ำส้มสายชูยังมีคุณสมบัติ ขจัดกลิ่น ได้ไร้เทียมทาน กลิ่นอาหาร กลิ่นผลไม้แรงๆ อย่างทุเรียนที่ติดตามภาชนะพลาสติกนั้น ให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูตามด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง

» ท่อระบายน้ำภายในอาคารบ้านเรือนที่มักสกปรกเร็ว ตามด้วยกลิ่นเหม็นรุนแรง รบกวนความสุข ให้เทผงฟูลงท่อน้ำร่องไปก่อน 1 กำมือ สักครู่ตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วย ทิ้งไว้สักพัก ลองเปิดน้ำระบายดุอีกที

» เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อวัว เนื้อควาย ถ้าแช่น้ำเกลือผสมน้ำส้มสายชูก่อนเก็บเข้าตู้เย็น กลิ่นคาวจะไม่ออกมารบกวนอาหารอื่นๆ ด้วย


การแก้ปัญหาภายในบ้าน

» ฝักบัวในห้องน้ำเกิดอุดตันใช้ไม่สะดวก น้ำที่ไหลกะปริบกะปรอย ลองถอดชิ้นส่วนออกมาแช่น้ำส้มสายชูปัดเศษฝุ่นด้วยแปรง แทงตามรูด้วยเข็มหมุด ล้างให้สะอาด ประกอบเข้าที่เดิม คราวนี้ฝักบัวไหลฉลุยแน่นอน

» ขวด แจกัน คนโทที่ปากแคบคอดเล็ก ทำความสะอาดยาก กรอกน้ำส้มสายชุ ผสมเปลือกไข่ทุบพอละเอียด แช่ไว้ แล้วเขย่าๆ เศษคราวสกปรกจะหลุดโดยง่าย

» หม้อและกาต้มน้ำชา กาแฟทั้งหลาย ใช้ไปนานๆมักมีตะกรัรนหินปูนจับหนา น้ำส้มสายชูผสมน้ำอย่างละถ้วย เทลงในภาชนะ ต้มให้เดือด แล้วทิ้งให้เย็นค้างไว้ 1 คืน ตะกอนทั้งหลายจะหลุดเป็นกระบิทีเดียว


ท่านสุภาพสตรีที่มีปัญหาม้วนผม หรือเซ็ทผมแล้วไม่อยู่ตัว หรือหยิกไม่ทนนาน โกรกผมด้วยน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เมื่อสระและเซ็ทตามปกติ ผมจะหยิกเป็นลอยสลวย ทนนานสะใจหลายวัน

» ไข่สดและใหม่มากเกินไป เวลาทำไข่ต้มมักมีปัญหาปอกเปลือกยาก ไข่เป็นรอยขรุขระไม่น่ารับประทาน ลองเติมน้ำส้มสายชูครึ่งช้อนชาลงในน้ำต้มไข่ ไข่ขาวจะไม่ติดเปลือก ปอกง่ายขึ้นกว่าเดิม

» ต้มแปรงสีฟันขนแข็งๆ ในน้ำส้มสายชู ขนจะนุ่มไม่ทิ่มเหงือกให้เจ็บปากอีก

» ปัญหาหินปูนจับตามเครื่องซักผ้า เครื่องล้างชาม แก้ด้วยน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย เทใส่เครื่องพร้อมน้ำ ปิดฝา เปิดเครื่องให้ทำงานตามปกติจะเห็นเครื่องสะอาดทันตา


น้ำส้มสายชูกับเคล็ดลับบางประการ

» อยากรับประทานผัดไทย หอยทอด ขนมจีน กับถั่วงอกอวบอ้วน ขาวกรอบละก็ แช่น้ำผสมน้ำส้มสายชูไว้สักครู่

» ดอกกุหลาบช่อใหญ่ อยากให้สดอยู่นานๆ น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 5 กรัม ผสมน้ำสะอาด 5 ถ้วย ด้วยสูตรนี้รดกุหลาบทั้งช่อ

» หม้อหุงข้าวไฟฟ้าใช้ไปนานๆ เกิดอาการน่าเป็นห่วง ก้นหม้อเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ ผสมคราบไคลน้ำข้าวจับหนาเตอะ อย่าใช้ฝอยขัดหม้อหรือใยเหล็กไปขัดเข้านะ เดี๋ยวหม้อเป็นรอยขีดข่วน หมดสวย ซ้ำพาเอาคุณภาพเสื่อม สารเคลือบผิวออกไปด้วย

สูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับ ก็น้ำส้มสายชูเจ้าเดิมครึ่งส่วน ผสมน้ำ 1 ส่วน เติมลงหม้อ เสียบปลั๊ก รอจนเดือดปุดๆ จึงถอดปลั๊ก เทน้ำทิ้ง แล้วล้างตามปกติคุณจะได้หม้อที่สะอาดเหมือนเดิม

» หยดน้ำส้มสายชูลงบนแว่นตาเช็ดด้วยผ้านุ่ม รอยขีดข่วนจะหายไป พร้อมคราบเหงื่อไคล

» เสื้อผ้าสีขาวสะอาด มักกลายเป็นสีขาวขุ่นเข้าทุกที เมื่อใช้ไปนานๆ เพียงผสมน้ำส้มสายชูลงขณะซัก วิธีนี้ผ้าจะขาวสะอาดยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้น้ำยาซักผ้าขาวให้ผ่าเปื่อยก่อนเวลา

» ลองใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดชำระล้างผมในน้ำครั้งสุดท้าย ดูสักครั้งจะพบว่า ความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู ช่วยล้างแชมพูออกได้สะอาดหมดจดเส้นผมเป็นเงางาม มีน้ำหนัก ปราศจากรังแคด้วย



"น้ำส้มสายชูราคาย่อมเยาเพียงขวดเดียว ที่มีอยู่ในครัว สามารถทำประโยชน์สารพัดอย่าง สุดแต่เราจะสร้างสรรค์ให้ถูกวัตถุประสงค์ ตรงตามความต้องการได้ไม่ยากนัก ในภาวะเงินทองเป็นของหายากนี้ น้ำส้มสายชูคงช่วยคุณประหยัดแรงงาน และค่าใช้จ่ายได้ดีทีเดียว"

แช่ผักชีสักก้านในน้ำส้มสายชู ดูว่าใบไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เพื่อทดสอบว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้




 

Create Date : 12 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:02:45 น.   
Counter : 1030 Pageviews.  
space
space
อาหารต้องห้าม
อาหารต้องห้ามยามเป็นโรค

เป็นไข้หวัด มีไข้สูง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมากๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยากจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมืออาหารเชื้อเพลิงหรือเป็นการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

โรคกระเพาะ
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสมทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ
แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

โรคความดันเลือดสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเลือดเลือดแข็งตัวขาดความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกายและความชื้นก็มีผลก็ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูง นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไยขนุน ทุเรียน

โรคตับและถุงน้ำดี
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด
เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลงและเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

โรคหัวใจและโรคไต
ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงานและหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน

โรคเบาหวาน
หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่นเต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด

นอนไม่หลับ
หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน
หรือนอนไม่หลับสนิท

โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทะให้ท้องผูก
หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด
ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ

สิว หรือต่อมไขมันอักเสบ
งดอาหารเผ็ดและมัน เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย ทำให้เกิดสิว




 

Create Date : 10 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:02:15 น.   
Counter : 1049 Pageviews.  
space
space
สารพันคุณค่าจากเนื้อปลา
สารพันคุณค่าจากเนื้อปลา


โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย พักหลังๆ นักโภชนาการจึงแนะนำให้คนรับประทานปลากันมากๆ เพราะปลาเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพดี ย่อยง่าย มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และกรดไขมันพิเศษที่เรียกว่า “โอเมก้า-3” ค่อนข้างสูง ถ้าเป็นปลาเล็กปลาน้อยที่รับประทานทั้งกระดูกก็จะได้แคลเซียมปริมาณสูงแถมไปด้วย

แล้วเราจะทราบอย่างไรว่า…ควรรับประทานปลาปริมาณเท่าไรถึงจะพอเพียง

จริงๆ แล้วปริมาณอาหารที่พอเพียงเป็นทฤษฎีที่มีแต่นักโภชนาการเท่านั้นที่ทราบดี ว่าอาหารใดมีประโยชน์มากน้อยต่างกันอย่างไร การที่จะทราบปริมาณของสารอาหารได้ต้องผ่านการวิเคราะห์ทางเคมี แล้วยังต้องนำไปเทียบกับปริมาณที่รับประทานจริงในแต่ละครั้งอีกต่างหาก คนทั่วไปอย่างเราๆ ต้องอาศัยการกะปริมาณเอา อย่างง่ายๆ ในการรับประทานปลา คุณมักจะได้ยินการพูดถึง”ปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภค” อยู่เสมอๆ …แล้วมันเท่าไรกันละนี่ ก็ลองกะคร่าวๆ ได้เท่าๆ กับ 1/3 ถ้วยตวง ประมาณนั้น เหตุที่ใช้เป็นถ้วยตวง คงทำให้ง่ายขึ้น เพราะเป็นเครื่องครัวพื้นฐานที่มีเกือบทุกครัวเรือน และตำรับอาหารต่างๆ ก็กำหนดกันเป็นถ้วยตวงอยู่แล้ว

ในแต่ละวันคนเราในวัยทำงานจะต้องการโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้ามีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม จะต้องการโปรตีนวันละ 50 กรัม เป็นต้น ปริมาณโปรตีนในเนื้อปลาสุกมีค่าอยู่ระหว่าง 16-30 กรัมต่อ 100 กรัม (หรือ 9 –17 กรัมต่อ 1/3 ถ้วยตวง) ดังนั้นคนที่หนัก 50 กิโลกรัม แล้วต้องการโปรตีนจากปลาเพียงอย่างเดียวก็คงต้องรับประทานจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว ปกติปลามีส่วนที่รับประทานได้ประมาณร้อยละ 55-80 ในบรรดาปลาชนิดต่างๆ แนะนำว่าปลาสลิดตากแห้ง มีโปรตีนมากกว่าชนิดอื่น เมื่อเทียบกับแหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ปลาดิบ ปลาต้ม และปลานึ่งทุกชนิดมีไขมันและพลังงานต่ำ ซึ่งปลาย่างและปลาทอดจะมีไขมันและพลังงานสูงกว่าอีกหน่อย

เมื่อคุณคิดจะรับประทานปลาให้มากขึ้นแล้ว…ลองมาดูกันว่ามีปลาชนิดไหนน่าเลือกรับประทานบ้าง โดยแบ่งประเภทปลาสดได้จากปริมาณไขมันในปลา คือ

- ปลาที่มีไขมันต่ำมาก (น้อยกว่า หรือเท่ากับ 2 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาไหล ปลากราย ปลานิล ประกะพงแดง และปลาเก๋า


- ปลาที่มีไขมันต่ำ (มากกว่า 2-4 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาทูนึ่ง ปลากะพงขาว ปลาจะละเม็ดดำ และปลาอินทรี


- ปลาที่มีไขมันปานกลาง (มากกว่า 4-5 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลาจะละเม็ดขาว


- ปลาที่มีไขมันสูง (มากกว่า 8-20 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสำลี


คงจะพอเลือกกันได้แล้วว่าปลาชนิดไหนเข้าตากรรมการบ้าง ไม่ว่าคุณจะเลือกรับประทานชนิดไหน คุณก็ยังจะได้สารอาหารที่มีคุณค่าอื่นๆ อีกมากมาย เพราะนอกจากจะมีโปรตีน และไขมันต่ำแล้วยังมีกรดไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอลไม่สูงมากนัก อาหารบางชนิดอุดมด้วยสารสองชนิดนี้ จึงก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตันโดยเฉพาะหัวใจได้ แต่ในปลามีกรดไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลน้อยกว่า 25 % ของปริมาณที่สำนักงานอาหารและยาแนะนำให้บริโภคต่อวัน (น้อยกว่า 20 กรัม, Thai Recommended Daily Intake, Thai RDI) จึงน่าจะปลอดภัยใช้ได้ที่จะเลือกเป็นอาหารจานหลักประจำบ้าน

ในขณะเดียวกันในเนื้อปลาก็ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญอีกหลายชนิดด้วยกัน ทั้งโอเมก้า 3 เช่น กรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ช่วยลดระดับไขมันในเลือด… จะพบได้มากในปลาทะเล และปลาน้ำจืดที่นิยมเลี้ยงเพื่อจำหน่าย เช่น ปลาจะละเม็ดดำ ปลาจาระเม็ดขาว ปลากะพงขาว ปลาสวาย ปลาสลิด ปลาดุก และปลาช่อน เมื่อนำมาต้มหรือนึ่งจะให้กรดไขมันโอเมก้า 3 สูง คือ รับประทาน1/3 ถ้วยตวง (หนึ่งหน่วยบริโภค) จะให้กรดไขมันโอเมก้า-3 ร้อยละ 54-120 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกา (600 มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อได้รับพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่) โดยเฉพาะปลาทอดด้วยน้ำมันพืช หรือปลาย่างจะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 อยู่ ในระดับสูงมาก (คิดเป็นร้อยละ 67-287 ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน)

เมื่อรับประทานปลาเป็นประจำแล้วจะยังทำให้ห่างไกลจากโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกและฟันที่เกิดจากการขาดธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กค่อนข้างสูงที่มีส่วนเสริมสร้างเลือด และที่สำคัญในปลากลับมีโซเดียม โปตัสเซียม และคลอไรด์ ที่มีผลก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงมีอยู่ในปลาปริมาณต่ำ ยกเว้นปลาบางชนิด เช่น ปลาสลิด ปลาทูนึ่ง หรือปลาที่ผ่านการหมักเกลือ หรือน้ำปลา เป็นต้น และถ้าเป็นปลาทะเล ก็ยังมีธาตุไอโอดีนแถมให้ไปช่วยป้องกันโรคคอพอก และบำรุงสมองในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกายอีกด้วย

จากเรื่องราวของสารอาหารในเนื้อปลาชนิดต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ ปลา ได้รับยกย่องว่า เป็นแหล่งรวมของสารอาหารชั้นดีอันทรงคุณค่าชนิดหนึ่งเลยทีเดียว จากนี้ไปคงถึงเวลาแล้วที่คุณจะลดเนื้อสัตว์ใหญ่ชนิดอื่นๆ ลงหันมารับประทานปลา ผักสด ผลไม่ให้มากขึ้นกันดีกว่า สิ่งที่จะได้กลับมาเห็นจะเป็น ความเสี่ยงต่อโรคภัยลดลง สุขภาพสดใสแข็งแรง กระฉับกระเฉงขึ้นแน่นอน แต่…อย่าลืมนะครับว่า รับประทานปลาที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น จะปลอดภัยจากพยาธิต่างๆ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่ารับประทานอย่างชาญฉลาด



สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล




 

Create Date : 08 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:01:51 น.   
Counter : 860 Pageviews.  
space
space
เรื่องกล้วยๆแต่ช่วยคุณได้เยอะ



เรื่องกล้วยๆ แต่ช่วยคุณได้เยอะ

เคยสังเกตบ้างมั้ยว่านักกีฬาระดับโลก อย่างเทนนิส หรือรถแข่ง มักจะกินผลไม้อะไรเป็นประจำในเวลาพักระหว่างเกม...ก็ 'กล้วย" ไง!!

กล้วย เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ลสี่เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า สองเท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่าสามเท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่าห้าเท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่าสองเท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต

นอกจากนี้ กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้งยังอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติสามชนิด คือซูโครส (Sucrose) ฟรุคโตส (Fructose) และ กลูโคส (Glucose) น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิต ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงพวกไฟเบอร์หรือเส้นใยต่างๆ ซึ่งทำให้กล้วยกลายเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ทันที จากการวิจัยพบว่า กล้วยเพียงแค่สองผลให้พลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานหนักนานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กล้วยเป็นผลไม้คู่กายของพวกนักกีฬาชั้นนำระดับโลก นอกจากกล้วยจะให้พลังงานมากมายแล้ว กล้วยยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเพิ่มความแข็งแรง สมบูรณ์ให้แก่ร่างกายของเราได้อีกด้วย เป็นต้นว่า

โรคซึมเศร้า จากการสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆ คนรู้สึกดีขึ้นเมื่อกินกล้วยเหตุผลก็คือกล้วยมีส่วนประกอบของทริปโตแฟน (Tryptophan) โปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น เซโรโทนิน (Serotonin) ที่รู้จักกันดีว่าจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น นอกจากนี้กล้วยยังมีส่วนประกอบของวิตามินบี 6 ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย ผู้หญิงที่มีอาการ PMS (Premenstrual Syndrome) หรือช่วง 'รมณ์บ่จอย' ก่อนมีประจำเดือน) ควรกินกล้วยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นนะจ๊ะ

โรคโลหิตจาง กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้ โรคเกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยมีโปแตสเซียมสูงมากในขณะที่มีเกลือต่ำ จึงช่วยปรับความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ อีกทั้งกระตุ้นการทำงานของสมองให้รู้สึกตื่นตัว องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ยอมให้โรงงานผลิตกล้วยกล่าวอ้างได้ว่ากล้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตได้

ท้องเสีย กล้วยดิบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญคือแทนนิน มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสีย โดยนำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้งหนึ่ง ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย

ท้องผูก กล้วยมีไฟเบอร์สูงช่วยให้ลำไส้ใหญ่ของเรากลับมาทำงานได้เป็นปกติโดยไม่ต้องพึ่งพาพวกยาถ่ายต่างๆ อีกต่อไป

-แก้อาการเมาค้าง หนึ่งในวิธีรักษาอาการแฮงค์ให้เร็วที่สุดก็คือการกินน้ำกล้วยปั่น หรือ Banana Milkshake ผสมน้ำผึ้ง กล้วยช่วยให้กระเพาะอาหารกลับมาอยู่ในสภาพปกติ น้ำผึ้งช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และนมจะช่วยเพิ่มน้ำให้แก่ร่างกาย

รักษาอาการเจ็บเสียดหน้าอก กล้วยดิบตากแห้งช่วยให้เกิดปฏิกิริยาในร่างกาย ที่จะไปหักล้างกับกรดในกระเพาะอาหารที่มีเยอะเกินไป จนทำให้เรารู้สึกเจ็บเสียดที่หน้าอก
-แก้อาการ Morning Sickness หรืออาการคลื่นไส้และอาเจียนเวลาตื่นนอนตอนเช้า จะเป็นมากในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ระยะแรก การกินกล้วยเป็นของว่างระหว่างมื้อจะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด สามารถช่วยลดอาการ Morning Sickness ได้ดี

ระบบประสาท กล้วยมีวิตามินบีสูง ช่วยในการทำงานของระบบประสาท น้ำหนักเกินเพราะความเครียดจากการงาน จากการศึกษาของสถาบันด้านจิตวิทยาในออสเตรียพบว่า ความเครียดที่เกิดจากการทำงานนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่แย่ลง เช่น อาหารขยะ ช็อคโกแลตและมันฝรั่งทอดบ่อยๆ เมื่อพิจารณาผู้ป่วยกว่า 5,000 คน นักวิจัยพบว่าคนที่เป็นโรคอ้วนส่วนใหญ่ทำงานท่ามกลางแรงกดดันสูง รายงานนั้นสรุปว่าถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการกินอย่างไม่ยั้งคิด เราต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยเลือกกินของว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตเยอะๆ ทุกสองชั่วโมง จะอะไรซะอีก...ก็ "กล้วย" ไง

รักษาแผลในกระเพาะอาหาร กล้วยเป็นอาหารที่ใช้ต่อสู้กับอาการผิดปกติต่างๆ ในระบบทางเดินอาหารเนื่องจากกล้วยมีผิวสัมผัสที่นุ่มและลื่น เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่สามารถกินได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง รวมทั้งยังช่วยปรับภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารให้กลับสู่ปกติ ช่วยลดอาการระคายเคือง โดยทำหน้าที่ช่วยเคลือบผิวของกระเพาะอาหารได้

ตะคริว ผู้ที่มักจะเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่องบ่อยๆ การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้

-ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย หลายๆ ท้องถิ่นเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยทำให้ทั้งอุณหภูมิร่างกายและอารมณ์ของคนที่กำลังจะเป็นแม่เย็นลงได้ ในประเทศไทย ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มักจะทานกล้วยเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กในครรภ์จะเกิดมาด้วยอุณหภูมิที่เย็น Seasonal Affective Disorder (SAD) กล้วยช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า จากสารประกอบ Tryptophan ที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์

ช่วยเลิกสูบบุหรี่ กล้วยยังสามารถช่วยคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ได้ด้วย กล้วยมีวิตามินบี 6 และ บี12 รวมไปถึง

โปแตสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายจากผลของการเลิกนิโคติน
กันยุงกัด ก่อนที่จะไปหยิบเอายาทายุงกัดมาใช้ ลองเอาผิวด้านในของเปลือกกล้วยมาถูๆ บริเวณที่ยุงกัดดู หลายคนพบว่ามันช่วยลดอาการบวมและคันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
...แล้วคุณจะมอง "กล้วย" ในมุมที่เปลี่ยนไป...
(ล้อมกรอบ)

ทราบหรือไม่
แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
- ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว
- ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละประมาณหนึ่งช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก
- หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม
- ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้
- รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ
- เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นหูด ตุ่มคัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก




 

Create Date : 07 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:01:07 น.   
Counter : 1114 Pageviews.  
space
space
เกล็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับผลไม้ไทย


เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับผลไม้ไทย


ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม


ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่

10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี

ข้อมูลจาก horapa.com




 

Create Date : 06 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 15:43:58 น.   
Counter : 2540 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space