เรื่อง “แผลเป็น”มีคนจำนวนมากถามหาผลิตภัณฑ์หรือยาที่จะช่วยให้แผลเป็นมีสีจางลง และแบนราบไม่เป็นสีเข้มหรือนูนเด่น จนมีผลต่อความสวยความงามของร่างกาย รอยแผลเป็น เกิดได้อย่างไร แผลเป็นเกิดจากกระบวนการรักษาแผลที่เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อมีการสร้างเนื้อเยื่อซึ่งเป็นคอลลาเจน (collagen)มาทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป เป็นกระบวนการสมานรักษาแผลตามธรรมชาติและเมื่อแผลหายดีแล้ว ก็ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เป็นหลักฐาน ณ บริเวณที่เกิดแผล แผลที่มักทำให้เกิดรอยแผลเป็น ได้แก่ แผลผ่าตัด แผลจากอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ แผลสิว แผลจากโรคสุกใส เป็นต้น รอยแผลเป็นที่เห็นกันทั่วไปจะเป็นรอยแผลเป็นที่ผิวหนังภายนอกเท่านั้นแต่ในความเป็นจริงรอยแผลเป็นเกิดขึ้นได้กับอวัยวะภายในได้ด้วยเช่นกัน ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดแผลเป็น โอกาสเกิดรอยแผลเป็นในแต่ละคนได้มากน้อยขึ้นอยู่กับ ๒ ขั้นตอน ๑. ขั้นตอนการเกิดแผลเป็น มีความรุนแรงของแผลหรือการฉีกขาดของเนื้อเยื่อว่า ตื้นลึกเพียงใด ๒. ขั้นตอนการรักษาแผลให้หาย มีการดูแลรักษาแผลอย่างไร ถ้าเกิดบาดแผลเพียงผิวๆ เล็กๆ น้อยๆ เช่น ในระดับของหนังกำพร้าซึ่งเป็นผิวหนังชั้นบางๆ ชั้นนอกสุดเมื่อแผลหายดีแล้วก็อาจทำให้เกิดแผลเป็นเล็กๆ น้อยๆซึ่งเมื่อทิ้งไว้สักระยะหนึ่งรอยแผลเป็นก็จะจางหายไปได้เองหรืออาจจะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นเลยก็เป็นได้ แต่ถ้าบาดแผลหรือการฉีกขาดเจาะลึกลงถึงชั้นหนังแท้หรือลึกกว่านั้น เช่นบาดแผลลึกจนถึงชั้นของกล้ามเนื้อ กระดูก เป็นต้นแผลเหล่านี้เมื่อหายดีแล้ว ก็อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้เป็นที่ระลึกได้ อีกประเด็นหนึ่ง คือการดูแลรักษาแผล ถ้ามีการดูแลรักษาที่ดีและทำให้แผลหายเร็ว รอยแผลเป็นก็จะลดน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลรักษาที่ไม่ดี มีความสกปรก และแผลหายช้า ธรรมชาติของรอยแผลเป็น เมื่อแผลหายเป็นปกติแล้วมักจะทิ้งรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาลและนูนขึ้นแต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้กระบวนการตามธรรมชาติจะช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงพร้อมทั้งแบนราบลงได้เอง หลังจากนั้นประมาณ ๑-๒ ปีเป็นต้นไปยกเว้นในบางกรณีที่รอยแผลเป็นอาจมีอาการคันและเจ็บปวดได้ นอกจากนี้ยังพบว่าในเด็กโอกาสที่จะเกิดแผลเป็นได้น้อยกว่าในผู้ใหญ่โดยพบว่าในวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยกว่าในวัยอื่นๆ ในเพศหญิงจะมีโอกาสการเกิดแผลเป็นได้บ่อยและมากกว่าในเพศชายในคนผิวคล้ำจะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนผิวขาวและผู้ที่มีประวัติเคยเกิดแผลเป็นและมีประวัติของครอบครัวเกิดแผลเป็นจะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้มากกว่าผู้ที่ไม่เคยมีประวัติดังกล่าว ชนิดของแผลเป็น รอยแผลเป็นมีมากมายหลายชนิด แต่ที่เป็นปัญหาหลักๆ จะมี ๒ ชนิดใหญ่ ดังนี้ ๑. รอยแผลเป็นนูนหนา (Hypertrophic scar) คือแผลเป็นที่มีสีแดงและนูนขึ้นมาจากผิวหนังปกติแต่ยังอยู่ในขอบเขตของรอยแผลที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือฉีกขาดของแผลเดิมแผลเป็นชนิดนี้เกิดจาการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปและมักไม่ขยายกว้างขึ้นเกิดจากรอยโรคเดิม ๒. คีลอยด์ (Keloid)คือ แผลเป็นที่มีอาการนูนและแดงคล้ายกับรอยแผลเป็นนูนหนาแต่มีความผิดปกติทำให้เกิดการขยายตัวกว้างขึ้นเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆรอยโรคของแผลตอนแรกเริ่ม การป้องกันแผลเป็น สิ่งสำคัญอย่างแรกในการลดแผลเป็นคือควรลดสาเหตุและระดับความรุนแรงของการเกิดแผล แต่ในกรณีที่เกิดแผลขึ้นแล้วควรดูแลรักษาทำความสะอาดแผลอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกันทั้งนี้เพื่อให้แผลหายเร็วที่สุดยิ่งแผลหายเร็วเท่าใดโอกาสการเกิดแผลเป็นก็จะน้อยหรือเบาบางลงเท่านั้น ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการหายของแผล ได้แก่ อายุ ยาคอร์ติโคสตีรอยด์ การขาดอาหารการสูบบุหรี่ อุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรดด่าง และออกซิเจนโดยพบว่าแผลจะหายได้ดีขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่อบอุ่นได้ดีกว่าอากาศเย็น ความชื้น ความเป็นกรดด่าง ๗.๔และออกซิเจนจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นเช่นกัน ทำอย่างไรให้แผลหายเร็ว ดังนั้น ในการรักษาแผลจึงควรรักษาสภาวะแวดล้อมและความสะอาดของแผลให้เหมาะสมมีอุณหภูมิที่อบอุ่น มีความชื้นเพียงพอ ความเป็นกรดด่าง และออกซิเจนเหมาะสมและเพียงพอ เพื่อช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น สำหรับการดูแลแผลเล็กๆน้อยๆ เบื้องต้น เริ่มต้นการล้างหรือเช็ดทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดตามด้วยการปิดทำแผลโดยปราศจากเชื้อ ไม่แนะนำให้ใช้แอลกอฮอล์หรือยาฆ่าเชื้อเช่น โพรวิโดนไอโอดีน เพราะส่งผลเสียต่อการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายช้า ส่วนชนิดของแผลที่ควรแนะนำไปพบแพทย์ ได้แก่ แผลที่เลือดไหลไม่หยุดแผลขนาดใหญ่หรือแผลลึกมาก แผลที่เกิดจากแมลงพิษกัดแผลบริเวณข้อต่อหรือข้อพับ และแผลที่แดง อักเสบ และปวดรุนแรงหรือเป็นหนองเป็นต้น ซึ่งมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้ ปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลร้ายต่อการหายของแผลคือ การสูบบุหรี่ การขาดวิตามินซีและธาตุสังกะสี ซึ่งควรรักษาระดับวิตามินซี และสังกะสีให้อยู่ในระดับปกติในทางตรงกันข้ามการได้รับวิตามินซีและสังกะสีในขนาดสูงหรือปริมาณมากเกินกว่าความต้องการของร่างกายก็ไม่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนี้ การเกิดแผลเป็นอาจลดลง ถ้าให้ปากแผลแนบสนิทกันพร้อมทั้งลดแรงตึงต่อแผลลง การรักษารอยแผลเป็น ในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่นำมาเพื่อใช้รักษาหรือลดขนาดของแผลเป็นให้ลดน้อยลง เช่น การผ่าตัด การฉีดยาคอร์ติโคสตีรอยด์ การฉายรังสีการใช้ความเย็น การรักษาด้วยเจลซิลิโคน (silicone gel) ครีมวิตามินอียาครีมบางชนิด การปล่อยให้ดีขึ้นเอง เป็นต้น อย่างไรก็ดี วิธีการรักษาแผลเป็นส่วนใหญ่มักไม่มีเอกสารทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือเพียงพอว่าได้ผลดี ตามแนวทางการดูแลรอยแผลเป็น ของ The International Clinical Guidelines forScar Management 2002 ได้สรุปไว้ว่าการรักษาแผลเป็นที่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือเพียงพอ มีเพียง ๒วิธี เท่านั้น ได้แก่ แผ่นเจลซิลิโคน (silicone gel sheet)และการฉีดคอร์ติโคสตีรอยด์ (intralesional steroid injection) ๑. แผ่นเจลซิลิโคน (silicone gel sheet) เป็นแผ่นซิลิโคนใสที่เหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูนซึ่งมีรายงานว่าเมื่อใช้แผ่นเจลซิลิโคนแล้วจะช่วยให้สีของแผลจางลงและแผลแบนราบลงได้ ในการใช้แผ่นเจลซิลิโคนนี้ไม่ควรจะใช้ในขณะแผลเปิดควรเริ่มใช้ทันทีที่แผลปิดสนิทหรือหลังตัดไหมสำหรับแผลเย็บโดยปิดแผ่นเจลซิลิโคนนี้ทับแผลเป็นหรือคีลอยด์เป็นระยะเวลานานมากกว่า ๑๒ชั่วโมงต่อวัน (อาจเริ่มต้นด้วยระยะเวลาน้อยๆ และเพิ่มขึ้นจนมากกว่า ๑๒ชั่วโมงต่อวัน) จะช่วยให้แผลเป็นนี้ยุบลงได้ โดยที่ไม่เจ็บแต่ใช้เวลาอาจจะประมาณ ๔-๖ เดือน แผ่นซิลิโคนใสนี้สามารถนำมาล้างทำความสะอาด ใช้สบู่ฟอก ใช้น้ำสะอาดล้าง แล้วผึ่งให้แห้งนำมาใช้ปิดแผลเป็นได้จนกว่าจะปิดไม่อยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะสามารถใช้ได้นาน๑๔-๒๘ วัน ๒. การฉีดยาคอร์ติโคสตีรอยด์ (Intra lesional corticosteroid) การฉีดยาสตีรอยด์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่ง (plasticsurgeon) จะฉีดยาสตีรอยด์นี้เข้าใต้ตำแหน่งของแผลเป็นซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นนั้นนุ่มลงและแบนราบลงได้ ยานี้ควรใช้เมื่อใช้แผ่นซิลิโคนใสแล้วยังไม่หายดี ขนาดของยาที่ใช้อยู่ระหว่าง ๑๐-๑๒๐มิลลิกรัมต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็น ควรให้ทุก ๔-๖สัปดาห์ ซึ่งได้ผลพอใช้ได้ แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บขณะที่ฉีดยาและต้องมาฉีดเป็นระยะตามที่แพทย์นัด นอกจากนี้ในบางรายอาจทำให้แผลยุบตัวและสีผิวเปลี่ยนได้ การใช้ทายาสตีรอยด์ทาบริเวณแผลเป็น จะช่วยบรรเทาอาการคัน ตึง ปวด เพื่อไม่ให้ลุกลามขึ้น แต่ไม่ช่วยให้แผลเป็นหรือคีลอยด์ยุบลงได้ ๓. การผ่าตัด การผ่าตัดจะช่วยจัดตำแหน่งร่องรอยแผลเป็นให้ดูดีขึ้นได้แต่ทุกครั้งที่มีการผ่าตัดก็จะเกิดแผลเป็นใหม่แทนที่แผลเป็นเก่าเสมอการผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ได้ผลดีพอสมควรแต่ยังขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็นด้วย ๔. การทาด้วยครีมวิตามินอี มีบางรายงานที่อ้างว่า วิตามินอี ช่วยเร่งให้แผลหายเร็วขึ้นซึ่งแพทย์บางคนแนะนำให้ใช้แต่มีรายงานการศึกษาเปรียบเทียบขี้ผึ้งวิตามินอีกับยาหลอกพบว่าขี้ผึ้งวิตามินอีไม่ช่วยให้แผลเป็นดีขึ้นแตกต่างจากยาหลอกอีกทั้งมีรายงานการเกิดผื่นแพ้สัมผัสจากขี้ผึ้งวิตามินอี ถึง ๑ ใน ๓ของผู้ที่ใช้ขี้ผึ้งวิตามินอีอีกด้วย การปล่อยให้แผลเป็นจางลงเองตามธรรมชาติ แผลเป็นอาจหดและจางลงได้เองในระดับหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นศัลยแพทย์ตกแต่งจำนวนมากจะแนะนำให้ทิ้งไว้เฉยๆ สัก ๑ ปีจนแผลจางลงเต็มที่ก่อนให้การรักษา นอกจากนี้ การใช้แสงเลเซอร์ก็ได้ผลปานกลางขึ้นอยู่กับขนาดคีลอยด์ การใช้เครื่องสำอางตกแต่งแผลเป็น เป็นต้น การรักษารอยแผลเป็นให้จางลงหรือหายสนิทเป็นทั้งความหวังและความสวยงาม ตลอดจนความมั่นใจในชีวิต อย่างไรก็ตามในท้องตลาดมักพบผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดที่โฆษณาหรือสื่อความหมายให้เข้าใจว่าได้ผลดีช่วยให้รอยแผลเป็นหายได้ ไม่ว่าจะเป็นครีมต่างๆ หลายชนิดซึ่งแพทย์ผิวหนังหลายท่านยืนยันว่าไม่ได้ช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงเลย ขอบคุณ หมอชาวบ้าน
Create Date : 10 พฤศจิกายน 2555 |
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2555 6:27:39 น. |
|
11 comments
|
Counter : 17184 Pageviews. |
|
|
ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาฝากนะครับ