|
|
แนะนำผู้เกษียณ อย่าหยุดทำงานหมดเลย สุขภาพจะทรุดโทรม |
|
วารสารวิชาการ "จิตวิทยาการชีวอนามัย" ของสหรัฐฯเผย ผู้เกษียณที่หางานชั่วคราวหรือบางเวลาทำจะลดความเครียดได้มากกว่าผู้ว่างงาน เหตุเพราะปรับตัวให้เข้ากับงานได้...
นักวิจัยมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ กล่าวแนะนำผู้เกษียณทั้งหลายว่า การวางมือจากงานหมดเลย จะทำให้สุขภาพทรุดโทรมวารสารวิชาการ "จิตวิทยาการชีวอนามัย" ของสหรัฐฯเปิดเผยว่า นักวิจัยมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ได้ศึกษาจากผู้เกษียณจำนวน 12,189 ราย เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ได้พบว่า ผู้เกษียณที่ยังคงหางานชั่วคราวหรือบางเวลาทำบ้าง ล้วนแต่ไม่ค่อยจะเจ็บป่วยเป็นอะไรหนักหนา และยังคงทำการทำงานแต่ละวันได้ดี
ผลการศึกษาแสดงว่า ผู้ที่ยังคงหางานที่ใกล้เคียงกับงานเก่าทำหลังเกษียณได้ ยังคงมีขวัญดีกว่าเพื่อนฝูงคนที่หยุดทำงานหมดเลย แต่ขณะเดียวกันไม่พบหลักฐานส่อว่าคนที่ต้องไปทำงานที่ต่างจากงานเก่าทำ จะมีสภาพจิตใจดีเหมือนกันไปด้วย อาจจะเป็นเพราะว่า ต้องปรับตัวให้เข้ากับงาน และสิ่งแวดล้อมที่ต่างออกไป จึงทำให้เกิดความเครียดมากกว่า.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
Create Date : 20 ตุลาคม 2552 | | |
|
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 7:28:19 น. |
| |
Counter : 1426 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
พิษร้าย...ยานอนหลับ ภญ.อัมพร อยู่บาง
หลายท่านคงเคยมีปัญหานอนไม่หลับ และมีประสบการณ์การใช้ยานอนหลับกันบ้างนะคะ และอีกหลายๆ ท่านในกลุ่มนี้เช่นกันที่มีปัญหากับการใช้ยานอนหลับด้วย สำหรับคำถามที่ดิฉันมักได้ยินบ่อยๆ เวลาจ่ายยา เช่น ติดยานอนหลับค่ะ ถ้าไม่ได้กินคือจะนอนไม่ได้เลย เป็นแบบนี้มา 3 ปีแล้ว จะทำยังไงดีค่ะ หรือคุณหมอเปลี่ยนยานอนหลับให้หลายตัวแล้ว แต่ก็ยังนอนไม่หลับอีก มียานอนหลับที่แรงกว่านี้มั้ยค่ะ หรือไม่ได้นอนไม่หลับซะหน่อย แต่ทำไมคุณหมอจ่ายยานอนหลับให้ค่ะ เป็นต้น ดังนั้นฉบับนี้เรามาทำความรู้จักกับยานอนหลับให้มากขึ้นกว่าเดิมกันดีกว่าค่ะ
ยานอนหลับ คือ ยาที่ออกฤทธิ์ทำให้ง่วงนอนและมักช่วยบรรเทาอาการตึงเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม บางท่านที่ไม่มีปัญหานอนไม่หลับ แต่กลับได้รับยานอนหลับมากิน ในขณะที่บางท่านอาจจะรู้สึกเครียด หรือวิตกกังวล ซึ่งยานอนหลับ ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ
ทางการแพทย์ถือว่ายากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษซึ่งจะต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยตนเองจากร้านขายยาทั่วไป ดังนั้นในกรณีที่มีการจำหน่ายยากลุ่มนี้โดยไม่มีใบสั่งแพทย์ จะถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ปัจจุบันนี้การใช้ยานอนหลับในการรักษาอาการนอนไม่หลับได้รับความนิยมอย่างสูง และมียานอนหลับในท้องตลาดหลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งอาจทำให้หลายท่านเข้าใจว่า การใช้ยานอนหลับเป็นการรักษาอาการนอนไม่หลับ แต่ความจริงแล้วการใช้ยานอนหลับ ไม่ได้รักษาอาการนอนไม่หลับ เพียงแค่ทำให้อาการนอนไม่หลับของท่านทุเลาลงเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีมิจฉาชีพบางประเภทที่นำคุณสมบัติของยานอนหลับมาใช้มอมยาเหยื่อ เพื่อล่วงละเมิดทางเพศหรือลักทรัพย์ดังที่เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ
ผลเสียของยานอนหลับ
การใช้ยานอนหลับอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะการซื้อยามากินเอง ทำให้เกิดอันตรายมากกว่าที่คิด เช่น การใช้ยานอนหลับ บางชนิดที่ออกฤทธิ์เป็นระยะเวลานาน หรือในผู้สูงอายุที่ร่างกายมีความสามารถในการกำจัดยาลดลง อาจทำให้ยังมียาสะสมอยู่ในร่างกายเมื่อตื่นนอนแล้ว บางคนจึงยังรู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลีย หรือมึนงง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ในคนที่ต้องขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร เนื่องจากอาการง่วงซึมแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลต่อการตัดสินใจและการเคลื่อนไหวที่ต้องการความรวดเร็ว ทำให้เชื่องช้าลงได้ หรือในผู้สูงอายุอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้
นอกจากนี้ผู้ที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคปอด หรือผู้ที่นอนกรนอย่างมาก หรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่กดประสาทส่วนกลาง ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับ เนื่องจากยานอนหลับบางชนิดออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้ศูนย์ควบคุมการหายใจถูกกดไปด้วย อาจเป็นสาเหตุให้ร่างกายหยุดหายใจได้ หรือในกรณีที่การใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานาน ก็อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น
การดื้อยา คือการใช้ยานอนหลับขนาดเดิมติดต่อกันสักระยะหนึ่งแล้วพบว่าได้ผลการรักษา (การทำให้นอนหลับได้) น้อยลง จนต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งขนาดยาดังกล่าวอาจมากเกินกว่าขนาดปกติที่ใช้ในการรักษาจนเกิดพิษจากยาได้
การติดยา คือเมื่อใช้ยาติดต่อกันสักระยะหนึ่งแล้วหยุด อาจทำให้อาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นอีกครั้ง จนต้องกลับมาใช้ยาต่อเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยให้นอนหลับได้
เซ็กซ์เสื่อม มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับยานอนหลับบางชนิดเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายได้
ความจำเสื่อม ยานอนหลับอาจส่งผลต่อระบบความจำในระยะยาวได้ ทำให้ไม่สามารถจำเหตุการณ์ หรือเรื่องราวต่างๆ ได้ยาวนานเหมือนคนปกติทั่วไป
ดังนั้นการรักษาอาการนอนไม่หลับที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การใช้ยานอนหลับที่มีขนาดต่ำที่สุดที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาสั้นๆ (ไม่ควรเกิน 2 4 สัปดาห์) ร่วมกับการรักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ ร่วมกับการปฏิบัติสุขอนามัยการนอนที่ดีด้วยคะ
การนอนหลับ เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับร่างกาย แต่ภาวะทางสังคมในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือ แม้แต่มลพิษจากสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราสามารถเกิดความตึงเครียด วิตกกังวลได้ ซึ่งอาจส่งผลไม่น้อยต่อการนอนหลับ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะอะไรอาการนอนไม่หลับจึงเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพของคนเราในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต สถาบันวิจัยสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริกา แบ่งความรุนแรงของอาการนอนไม่หลับออกเป็น 3 ระดับ คือ
นอนไม่หลับชั่วคราว หมายถึงการนอนไม่หลับที่เป็นอยู่ช่วงระยะสั้น ๆ มักไม่เกิน 1 สัปดาห์ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสิ่งมากระตุ้น เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล การได้รับสารกระตุ้นการทำงานของร่างกาย เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง หรือในผู้ที่ต้องเดินทางบินข้ามทวีป (Jet Lag) อาจทำให้เกิดการนอนไม่หลับชั่วคราวได้ แต่เมื่อสิ่งที่มากระตุ้นเหล่านี้หมดไป ร่างกายก็จะกลับมานอนหลับเป็นปกติได้
นอนไม่หลับระยะสั้น หมายถึงการนอนไม่หลับเป็นระยะเวลา 1-3 สัปดาห์ อาจเกิดจากความเจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งความเจ็บป่วย บางชนิดนั้นก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบการนอนได้ เช่น โรคหัวใจ การไอเรื้อรัง ไทรอยด์ ปัญหาต่อมลูกหมาก ติดยา เป็นต้น ทั้งนี้หากปล่อยไว้โดยไม่ได้แก้ไข อาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นอาการนอนไม่หลับเรื้อรังในที่สุด
นอนไม่หลับระยะยาว หมายถึงการนอนไม่หลับ เป็นระยะเวลามากกว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเป็นอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง สาเหตุสำคัญอาจเกิดจากโรคประจำตัวต่างๆ โดยเฉพาะโรคทางระบบประสาท และจิตเวช เช่น โรคสมองเสื่อม ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น หากเกิดปัญหาการนอนไม่หลับทั้ง 3 ชนิดนี้ขึ้น ย่อมส่งผลให้ช่วงระยะเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อนหรือเวลาหลับสนิทลดน้อยลงกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลต่อความพร้อมและความสดชื่นของสมองและส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้รู้สึกไม่สดชื่น แจ่มใส ง่วงเหงาหาวนอน ขาดสมาธิในการทำงาน ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตและคุณภาพการทำงานได้
สุขอนามัยในการนอนที่ดี ได้แก่ ่ ควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา ไม่ว่าคืนก่อนจะนอนหลับหรือไม่ก็ตาม
จำกัดเวลานอนให้เหมาะสม และเพียงพอ โดยทั่วไปวัยรุ่นต้องการเวลานอน 11 ชั่วโมง วัยทำงาน 8 ชั่วโมง และผู้สูงอายุ 6 ชั่วโมง ต่อวัน
การจัดห้องนอนและบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสมก็จะช่วยได้มาก เช่น อุณหภูมิห้องไม่ร้อน หรือหนาวเกินไป ที่นอนไม่นุ่มหรือไม่แข็งเกินไป หมอนหนุนไม่สูงมากไม่ต่ำมาก ไม่มีเสียงรบกวน แต่เสียงพัดลมหรือ เสียงเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นเสียงสม่ำเสมอ เป็นตัวกลบเสียงรบกวนอื่น ก็อาจช่วยให้หลับได้ดีขึ้น ห้องนอนต้องไม่สว่างเกินไป ท่านอนที่ดีคือ ท่านอนหงาย
ฝึกฝนการผ่อนคลายความตึงเครียดทุกเย็นอย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือสมาธิ
ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ประมาณ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ แต่ไม่ควรออกกำลังกายในช่วงค่ำและก่อนนอน
งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม โดยเฉพาะเวลาหลังเที่ยงวัน
งดการดื่มสุรา สุราทำให้หลับเร็วขึ้น แต่จะทำให้หลับๆ ตื่นๆ
แม้ว่าบางคืนจะนอนไม่หลับ ในเวลากลางวันสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาที ก็ควรที่จะทำงานให้ยุ่งเสมอ แทนที่จะนอนพักผ่อน เว้นแต่ ในบางรายที่พบว่าการงีบหลับในระหว่างวัน ช่วยให้นอนหลับดีในเวลากลางคืน สุขอนามัยในการนอนที่ดี ทั้งหมดนี้อาจฟังดูปฏิบัติตามได้ยากสักหน่อยในผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับมานานแล้ว แต่หากท่านลองค่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยานอนหลับ
ท้ายนี้ขอให้ทุกคนนอนหลับฝันดี และตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นนะคะ
ขอบคุณ healthtoday
Create Date : 18 ตุลาคม 2552 | | |
|
Last Update : 18 ตุลาคม 2552 7:17:43 น. |
| |
Counter : 1299 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
จามจุรี ไม่ได้มีแค่ความสวย |
|
จามจุรี นอกจากมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ก้ามปู แล้ว บางคนเรียกว่า จามจุรีแดง, ฉำฉา หรือ ก้ามกราม ก็มี ส่วนชื่อเรียกในภาษาอังกฤษคือ Rain Tree จามจุรีเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงเฉลี่ยราว 15 ม. เป็นไม้ใหญ่มีกิ่งก้านสาขาแตกออกเป็นทรงพุ่มกว้างครึ่งวงกลมอย่างสวยงาม ซึ่งต้นที่มีอายุมากๆอาจมีความกว้างของพุ่มได้ถึง 25 ม.
ลักษณะของลำต้น เป็นเปลือกหนาสีน้ำตาลแก่แตกออกเป็นแผ่นๆ ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 5 ซม. ด้านนอกเป็นสีชมพูเข้ม ส่วนด้านในเป็นสีขาว จะออกดอกให้ชื่นชมกันตลอดทั้งปี แต่จะงามสะพรั่งสุดๆในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ถิ่นกำเนิด ของจามจุรีเป็นไม้เมืองร้อนพันธุ์แท้ของประเทศบราซิล ทางทวีปอเมริกาใต้ แต่ถูกนำมาปลูกและขยายพันธุ์เป็นครั้งแรกในเมืองไทยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2443 โดยนายเสลด (Mr. H. Slades) เจ้ากรมป่าไม้คนแรกของสยาม เป็นผู้นำมาปลูกไว้ที่ริมถนนเจริญประเทศในจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ก็นำไปปลูกที่จังหวัดกระบี่ด้วยในปีเดียวกัน
ประโยชน์ ของจามจุรีนี้ นอกจากจะถูกนำมาทำเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ที่มีลวดลายสวยงามน่าใช้ แถมมีราคาถูกแล้ว เนื้อในของฝักที่มีน้ำเชื่อมหวานเจี๊ยบห่อหุ้มเมล็ดไว้ก็ใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์จำพวกเคี้ยวเอื้องได้ ชาวเหนือและอีสานนิยมปลูกไว้สำหรับเลี้ยงตัวครั่ง นอกจากนี้ต้นจามจุรียังให้ทั้งความสดชื่นและร่มเงากับมนุษย์เราอีกด้วย
ในส่วนของคุณค่าทางสมุนไพร นั้น ใบของจามจุรีมีรสเย็นใช้ดับพิษร้อนทั้งหลายทั้งปวง ส่วนเปลือก ลำต้นมีรสฝาด ใช้สมานแผลในปาก แก้เหงือกบวม แก้ปวดฟันก็ได้ แถมยังช่วยห้ามอาการเลือดตกใน แก้ท้องร่วง รักษาอาการริดสีดวงทวารได้อีกต่างหาก ที่เด็ดสุดก็คือ เมล็ด ซึ่งมีรสฝาดเมานั้นใช้รักษาโรคผิวหนังกลากเกลื้อนได้ชะงัดนัก
ขอบคุณ horapa.com
Create Date : 12 ตุลาคม 2552 | | |
|
Last Update : 12 ตุลาคม 2552 7:38:33 น. |
| |
Counter : 1492 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
มีอาหารว่างใดดีไปกว่ากล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโคสรวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอกับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬา
ชั้นนำระดับโลกไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะและป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับ ร่างกายได้อีก หลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน
1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือดและจะช่วยใน กรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะ โลหิตจาง
2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุดแต่มีปริมาณเกลือต่ำทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกายินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วย สามารถโฆษณาได้ว่ากล้วยเป็นผลไม้พิเศษ ช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิต หรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก
3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียนTwickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วยในมื้ออาหารเช้าตอนพักและมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขาจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียน มีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคน จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า trypotophan เมื่อสารนี้เข้าไป ในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง
6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือการดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลงส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริม ปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียดท้อง ลองกินกล้วยสักผลคุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหารจะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที ่เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัดลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่าเปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
10. ระบบระสาท ในกล้วยมีวิตามินบีสูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกินและโรคที่เกิดในที่ทำงานจากการ ศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่าความกดดันในที่ทำงาน เป็นเหตุนำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ตและอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ ในจำนวนคนไข้ 5,000 คน ในโรงพยาบายต่างๆนักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก จากรายงานสรุปว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยาการกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้
11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุมเพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดีเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรังและกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคืองและยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วยคือผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ ทั้งทางร่างกายและจิตใจโดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าทกรกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น
13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ trypotophan ทำให้อารมณ์ดี
14. การสูบบุรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี 6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียมที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็ว อันเป็นผลจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง
15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจนไปยังสมองและปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล
16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%
17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติโดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้
เห็นหรือไม่ว่า กล้วยรักษาโรคต่าง ๆ อย่างธรรมชาติได้มากมายท่านควรลองพิสูจน์ด้วยตัวเองบ้างว่าจะได้ผลตามที่กล่าวหรือไม่และเมื่อเปรียบเทียบแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ล 4 เท่า มีคาร์โบรไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่น มากกว่าอีก 2 เท่า และกล้วยยังอุดมด้วยโปรแตสเซียม กล้วยจึงเป็นหนึ่งใน อาหารที่ดีที่สุด
ดังนั้นถึงเวลาแล้วหรือยังที่เคยกินแอปเปิ้ลวันละผลทุกวันไม่ต้องไปหาหมอ หันมาคุ้นเคยกับคำว่า "กินกล้วยวันละผล ก็ไม่ต้องไปหาหมอ" นอกจากนี้มีคนที่เคยเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่อง แนะนำให้กินกล้วยทุกวัน ตั้งแต่นั้นมาไม่เป็นตะคริวอีกเลยและหายไป
ขอบคุณ horapa.com
Create Date : 11 ตุลาคม 2552 | | |
|
Last Update : 11 ตุลาคม 2552 8:05:58 น. |
| |
Counter : 1070 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|