space
space
space
space

ฟันปลอม( ตอนที่ 1)
















ผู้เขียน: ทพ.ไพศาล กังวลกิจ


ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2552   
Last Update : 26 มิถุนายน 2552 7:15:55 น.   
Counter : 2690 Pageviews.  
space
space
ไข่กับโรคหัวใจ




ไข่ เป็นอาหารที่สำคัญประจำบ้านอย่างหนึ่ง หาซื้อได้ง่าย การเก็บรักษาและการเตรียมเพื่อกินก็ทำได้สะดวก สามารถปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด นับตั้งแต่อาหารที่เป็นไข่ล้วนๆ อาทิเช่น ไข่ลวก, ไข่เจียว, ไข่ดาว, ไข่กวนน้ำ (แกงจืดไข่), ไข่ลูกเขย, ไข่หวาน และฝอยทอง นอกจากนี้ ยังมีอาหารทั้งคาวและหวานอีกมากมาย ที่มีส่วนประกอบทำมาจากไข่ที่คุ้นๆ กันก็คงมี ไข่ยัดไส้, ไข่เจียวหมูสับ, ข้าวผัดใส่ไข่, ทองหยิบ, สังขยา, ขนมหม้อแกง, ขนมเค้ก เป็นต้น


เรื่องของไข่เอง ก็มีอะไรที่ทำให้ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ สนใจ เพราะราคาของไข่จะเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างหนึ่งถึงราคาสินค้าในท้องตลาด จนกระทั่งมีคนเปรียบเทียบราคาไข่ในสมัยของนักการเมืองยุคต่างๆ ว่า ถ้าเศรษฐกิจดี ราคาไข่ก็ไม่แพง เมื่อเกิดเรื่องข้าวยากหมากแพง ไข่ก็จะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นที่ฮือฮากัน


ความสำคัญของไข่ต่อสุขภาพของคน ก็มีเรื่องที่ทำให้ฮือฮาเช่นกัน เพราะมีคนกล่าวถึงการกินไข่และการเกิดโรคหัวใจกันมาก จนทำให้เกิดการกลัวไข่ขึ้นมา ไม่กล้ากินไข่ ในบางรายเกิดปัญหากลัวอาหารอื่นๆ ไปด้วย เลยอดอาหารเสียจนตัวเองเป็นโรคขาดสารอาหาร


ก่อนอื่นลองมาดูซิว่า ไข่ประกอบด้วยอะไรบ้างโดยทั่วๆ ไป ไข่ของสัตว์อะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นไข่เป็ด, ไข่ไก่, ไข่นก หรือไข่เต่า จะมีไข่ขาวและไข่แดงทั้งนั้น

ไข่ขาว จะประกอบไปด้วยโปรตีน ซึ่งมีความสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ, น้ำย่อย และเป็นองค์ประกอบของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ทำให้เกิดการเจริญเติบโตเป็นปกติ

สำหรับไข่แดงนั้น จะมีวิตามินต่างๆ ที่สำคัญคือ วิตามิน เอ ซึ่งจำเป็นสำหรับตาในการมองเห็นในเวลากลางงคืน และทำให้เยื่อบุตาเป็นปกติ ไม่เกิดเป็นโรคตาบอด และยังมีวิตามินอีกมากมายหลายตัว ซึ่งทำให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ไม่เกิดโรคขาดวิตามินขึ้น เช่น วิตามินบี หนึ่ง จะป้องกันโรคเหน็บชา, วิตามิน บี สอง ป้องกันโรคปากนกกระจอก เป็นต้น นอกจากนี้ ไข่แดงยังมีแร่ธาตุต่างๆ แทบทุกชนิด มีทั้งแคลเซี่ยม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก และแร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็นในการเติบโต

ส่วนประกอบที่สำคัญของไข่แดงอีกอย่างก็คือ ไขมัน ซึ่งจะมีไขมันชนิดต่างๆ รวมทั้งโฆเลสเตอรอลด้วย ซึ่งจะว่ากันไปแล้ว ไขมันก็มีความจำเป็นในการเจริญเติบโต เพราะเป็นต้นตอของกำลังงาน และให้กรดไขมันชนิดต่างๆ ที่จำเป็นแก่ร่างกาย

ถึงตอนนี้ ก็พอจะเห็นได้ว่า ไข่เป็นอาหารชั้นดีทีเดียว มีสารอาหารต่างๆ ครบถ้วน จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายลองนึกดูก็แล้วกัน ถ้าไข่ไม่ดีจริงคงไม่สามารถที่จะฟักออกมาเป็นลูกสัตว์ได้ เช่น ไข่ไก่ ก็จะทำให้เกิดเป็นลูกไก่ และไข่เต่าก็จะถูกฟักเป็นลูกเต่าได้


ที่คนเกิดกลัวเรื่องการกินไข่นั้นเพราะ กลัวเรื่องโฆเลสเตอรอล ที่มีในไข่แดง อันเนื่องมาจากผลของการศึกษาที่พบว่า การที่คนเรามีระดับโฆเลสเตอรอลสูงในเลือดนั้น เป็นข้อเสี่ยงอย่างหนึ่งในหลายๆ อย่าง ที่มีส่วนทำให้เกิดโรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจอุดตัน ในคนอายุเกิน 30 ปีขึ้นไป
ข้อเสี่ยงที่พบกันว่าทำให้คนมีโอกาสเป็นโรคหัวใจประเภทนี้กันมาก ก็คือ ระดับโฆเลสเตอรอลที่สูงในเลือด
ไขมันสูงในเลือด
โรคความดันเลือดสูง
การสูบบุหรี่
สภาวะความเครียดของจิตใจและสมอง อันเกิดจากการทำงานและภาวะของสังคม
การไม่ได้ออกกำลังกาย
โรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคเบาหวาน, โรคอ้วน
ถ้าอยากป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจที่เกิดจากหลอดเลือดอุดตันก็ต้องลดหรือหลีกเลี่ยงข้อเสี่ยงเหล่านี้


โฆเลสเตอรอล เป็นเรื่องที่มีคนพูดถึงกันมากที่สุด และเนื่องจากไข่แดงก็มีโฆเลสเตอรอลอยู่ด้วย จึงทำให้คนเกิดกลัวการกินไข่ขึ้น เมื่อมีการพูดกันมากขึ้นๆ ทุกที ข่าวที่ออกไปก็เกิดสั้นขึ้นๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดอาจจะสั้นๆ เป็นว่า กินไข่แล้วเกิดโรคหัวใจ

ถ้าไข่มีชีวิตจิตใจ ก็คงจะต้องเกิดการโต้แย้งกลับ อย่างน้อยอกน้อยใจว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจมีมากมาย ทำไมต้องมาโทษไข่ด้วยล่ะ โฆเลสเตอรอลในไข่ก็มีพอดีๆ สำหรับการเป็นไข่และไข่ก็มีอะไรที่ดีๆ ตั้งเยอะแยะ

การที่คนมีระดับโฆเลสเตอรอลสูงในเลือดนั้น โฆเลสเตอรอลอาจจะได้มาจากอาหาร และมาจากการสังเคราะห์เองในร่างกายที่ตับและลำไส้

คนที่เป็นโรคโฆเลสเตอรอลสูงในเลือด บางคนไม่ได้เกิดจากอาหารแต่อย่างใด แต่เกิดเพราะมีความผิดปกติบางอย่างในร่างกาย ทำให้ระดับโฆเลสเตอรอลสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโรคนี้มักจะเป็นโรคทางพันธุกรรม ทำให้มีโรคหัวใจเกิดขึ้นได้ และมักจะมีตุ่มหรือก้อนตามผิวหนัง บริเวณข้อศอก, ข้อเข่า, บริเวณก้น ซึ่งตุ่มเหล่านั้น จะมีสีเหลืองๆ อันเกิดจากโฆเลสเตอรอล

สำหรับคนทั่วๆ ไปแล้ว ไม่ควรกลัวเรื่องโฆเลสเตอรอลสูงจนเกินไป เพราะข้อเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจนั้นมีหลายอย่าง ดังกล่าวมาแล้ว การกลัวจนทำให้เกิดความวิตกกังวลก็จะทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความเครียด จะทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข ฉะนั้น ควรจะทำให้จิตใจผ่องใส กินอาหารให้เหมาะสมครบทุกประเภท นับตั้งแต่อาหารพวกข้าว, เนื้อสัตว์, ไข่, ถั่วต่างๆ, ผัก และผลไม้ และให้มีการออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ

สำหรับเรื่องของไข่นั้น ก็ควรจะส่งเสริมและบริโภคกันต่อไป เพราะเป็นอาหารที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ควรจะสนับสนุนให้ผลิตมากพอจนราคาถูก พอที่จะให้คนทุกระดับซื้อกินได้

ความสำคัญของไข่ต่อทารกและเด็กนั้นมีมาก มีการแนะนำให้เลี้ยงเด็กอ่อน ด้วยข้าวบดไข่แดง ตั้งแต่อายุ 4 เดือน เพราะถือว่า ไข่แดงมีวิตามิน, แร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นในการเติบโตของเด็ก และเมื่อเด็กโตขึ้น ก็อาจจะให้กินไข่วันละฟองได้ พอเป็นผู้ใหญ่ไข่ก็ยังมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน ก็อาจใช้ไข่ทำเป็นอาหารประเภทต่างๆ ได้

คนที่ชอบกินไข่มากจนเกินไป เช่น กินวันละ 3-4 ฟองนั้น ก็อาจถือว่ามากไปหน่อย เพราะหลักทางโภชนาการนั้น ควรจะต้องกินอาหารหมุนเวียนไป เช่น อาจเปลี่ยนจากไข่เป็นเนื้อสัตว์, ถั่วต่างๆ, ตับ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังอาจจะกินไข่ได้วันละฟอง

ในบางรายที่มีปัญหาเรื่องโฆเลสเตอรอลสูงในเลือดนั้น ไข่ก็ยังมีความสำคัญในชีวิต อาจจะกินไข่ทั้งฟองได้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง แต่สำหรับไข่ขาวนั้นอาจกินได้ทุกวัน โดยแยกไข่แดงให้เด็กกิน

ถ้าจะสรุปเกี่ยวกับเรื่องของไข่กับโรคหัวใจแล้ว ก็พอจะกล่าวได้ว่า ไม่ควรจะกลัวเรื่องไข่ ควรจะระวังและปฏิบัติตัวในเรื่องอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ จะสำคัญกว่าสำหรับในวัยทารกและเด็กอ่อนที่กำลังเจริญเติบโตนั้น ไข่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นอาหารที่ดีพร้อม ควรสนับสนุนให้กินได้ทุกวัน วันละฟอง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็กินไข่หมุนเวียนสลับกับอาหารประเภทต่างๆ

ผู้เขียน: นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์

ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2552   
Last Update : 24 มิถุนายน 2552 7:29:39 น.   
Counter : 1105 Pageviews.  
space
space
จริงหรือที่ว่า……กินไข่แล้วแผลเน่า เป็นแผลห้ามกินไข่



เกือบทุกครั้งที่ได้แนะนำคนไข้หรือญาติคนไข้ในเรื่อง การดูแลบาดแผล มักจะได้ยินเสมอๆ ว่า

“หมอกินไข่ได้ไหม คนเขาบอกว่าแสลง กินแล้วแผลจะเน่า กลายเป็นแผลปูด”

“กินปลาดุกไม่ได้หรอก เงี่ยงปลาดุกจะไปทำให้แผลพุพองและหายช้า”

ฯลฯ และอีกหลายๆ คน ก็มีอีกหลายๆ ความเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการดูแลเรื่องแผล ไม่ว่าแผลถลอก แผลเล็กๆ ที่โดนมีดบาด แผลที่ถูกมีดเฉือน แผลตะปูตำ แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือแผลผ่าตัด สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจมีอยู่ 2 ประการ คือ

1.การดูแลรักษาความสะอาดของแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค

2.การบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น อาหารที่จะทำให้แผลหายเร็วนี้ก็ได้แก่ อาหารพวกโปรตีน ซึ่งมีในอาหารจำพวก ไข่ เนื้อทุกชนิด (ไก่ หมู ปลา ฯลฯ) และมีในพืชประเภทถั่วไม่ว่าจะเป็นถั่วงอก ถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ฯลฯ อาหารพวกนี้จะไปเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้บาดแผลสนิทและหายในที่สุด


ไข่ จึงไม่ใช่ของแสลง และไม่ได้ทำให้แผลเน่า
ที่เน่าก็เพราะแผลสกปรก มีเชื้อโรคเข้าไปทำให้อักเสบเป็นหนอง
ส่วนแผลเป็นที่ปูดโตไม่ได้เกี่ยวกับการกินไข่แต่อย่างไรก็เป็นธรรมชาติของเนื้อหนังของคนๆ นั้น
ดังนั้น ถ้าหากท่านมีแผล ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็ก แผลกลาง แผลใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ควรจะได้ปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดใน 2 ประการที่กล่าวมาแล้ว จะทำให้แผลของท่านหายได้ และมาช่วยขจัดความเชื่อทั้งหลายที่เป็นผลเสียซึ่งกระทบต่อผลประโยชน์ของส่วนรวมกันดีไหม


ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2552   
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 7:11:57 น.   
Counter : 18573 Pageviews.  
space
space
การแสบร้อนในปาก






การแสบร้อนในปากเป็นอาการที่อาจปรากฏขึ้นมากับใครเมื่อไรก็ได้ วันใดวันหนึ่งท่านอาจมีความรู้สึกแสบร้อนในปาก เช่น อาจปรากฏที่ลิ้น หรือข้างแก้ม อาการแสบร้อนอาจทำให้รู้สึก
รำคาญในระยะแรกๆ และคิดว่าอีกสักประเดี๋ยวคงหาย แต่วันรุ่งขึ้นและอีกหลายวันก็แล้ว บ้วนปากก็แล้ว แปรงฟันแปรงแล้วแปรงอีกก็แล้ว อ้าปากให้เพื่อนดูหรือส่องกระจกดูด้วยตนเองจนคอจะเคล็ดก็แล้ว ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ก็ยังไม่หาย กลับรู้สึกจะแสบร้อนเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ความรู้สึกเพียงรำคาญจะเปลี่ยนเป็นความรำคาญบวกความหงุดหงิด,ความกลัว (เช่น จะเป็นมะเร็งแล้วละมั้ง…เรา) และชักจะทนไม่ค่อยได้ อาหารที่เคยกินอร่อยหรือเห็นแล้วตั้งใจว่าจะกินให้อร่อย พอตักใส่ปากกลับไม่อร่อยเหมือนใจคิด จะเผ็ดสักนิด เค็มไปสักหน่อย ก็ให้รู้สึกแสบร้อนเพิ่มขึ้น เรื่องที่เคยคุยสนุกปากพออ้าปากคุยได้ 2-3 ประโยคก็หมดอารมณ์ ถ้ามีอาการอย่างนี้ก็ลองสังเกตทบทวนดูถึงเรื่องราวที่จะพูดถึงต่อไปนี้ ท่านอาจทำให้หายด้วยตนเองได้ โดยไม่ต้องใช้เวทย์มนต์คาถาหรือเอายาอะไรใส่เข้าไป แปะเข้าไป จนเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น


การแสบร้อนในปาก แม้โดยตัวเองไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการที่ชอบแสดงออกที่ปาก เพราะปากของคนเราปกคลุมด้วยเยื่อบุอ่อนที่เป็นด่านต้นที่มีคุณสมบัติมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่สัมพันธ์กับความผิดปกติหรือการเกิดโรคทั่วๆ ไปของร่างกาย และมีบ่อยๆ ที่แสดงออกด้วยอาการแสบร้อนในปาก โดยที่ปากอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเพียงเล็กน้อย เช่น อาจมีปากแห้งหรืออย่างมากอาจมีแผลร่วมด้วย เป็นต้น หรือบางครั้งอาจสังเกตว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยก็ได้


อาจแบ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการแสบร้อนในปากได้คร่าวๆ เป็น 2 พวกคือ
พวกแรก (ซึ่งมีจำนวนไม่ถึงครึ่งเมื่อเทียบกับพวกที่สอง)
เป็นพวกที่มีอาการแสบร้อนในปากที่พอจะบอกสาเหตุได้ เช่น อาจเกิดจากการระคายเคืองในปาก จากขอบฟันคมที่เนื่องจากฟันสึกหรือบิ่นหรือแตกหัก ในบางคนที่ฟันหลอและใส่ฟันไว้ จะเป็นชนิดถอดได้หรือติดแน่นก็ตาม หรือในรายที่ใส่เครื่องมือจัดฟันไว้ อาจมีแง่มุมที่คม ทำให้ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในปากได้

บางคนมีหินน้ำลาย (หินปูนน่ะแหละ) เกาะจับที่ฟัน และหวงเอาไว้ จะเป็นเพราะไม่ทราบ กลัวเจ็บ ไม่มีเงิน ไม่มีเวลาจะไปหาหมอหรือไม่อยากขูดเพราะเข้าใจเอาเองว่า (ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด) มีหินปูนเกาะเอาไว้มากๆ ดี เหมือนถมหินปักตอแน่นดี เก็บถนอมเอาไว้จนยิ้มทีเห็นคราบเหลืองหรือดำประดับด้วยเหงือกแดงอร่ามหรือแดงม่วงช้ำ อย่างนี้ละก็นอกจากเหงือกจะอักเสบ,ติดเชื้อ,อาหารหมักหมมและอาจตามมาด้วยมีหนองรอบๆ รากฟัน และกระดูกรอบรากฟันละลายตัวแล้ว ยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดการระคายเคืองหรืออักเสบข้างแก้มโดยเฉพาะที่ลิ้น เพราะลิ้นเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และเกิดอาการแสบร้อนขึ้นได้


หรืออาจเป็นแผลจากโรคทางกายทั่วไป เช่น ในผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง, เบาหวาน, ขาดวิตามิน บี เป็นต้น ซึ่งจะร่วมกับการมีลิ้นเรียบแดงชัดเจน

โรคบางชนิดที่มีความผิดปกติเกดขึ้นในปาก และตามมาด้วยมีอาการปวดเสียงแทงจี๊ดๆ จ๊าดๆ ในปากจนถึงใบหน้าก็มี เช่นในรายที่มีปลายประสาทอักเสบหรือโรคบางชนิดทำให้เกิดแผลขึ้นในปาก เช่น โรคติดเชื้อ เป็นต้น ก็อาจมีปวดแสบปวดร้อนเวลากินอาหารได้


ส่วนพวกที่สอง
เป็นพวกที่มีอาการปวดแสบปวดร้อนโดยไม่พบสาเหตุหรือสาเหตุไม่ชัดเจน พวกนี้พบบ่อยกว่าพวกแรก โดยเฉพาะในคนวัยกลางคนขึ้นไป หรือหากเป็นในหญิง ก็มีพบบ่อยระยะหลังหมดประจำเดือน และในกลุ่มนี้ จะไม่พบการเปลี่ยนแปลงในปากที่เห็นได้แต่อย่างไร การปวดแสบปวดร้อนมักเกิดเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย, เหนื่อยล้า,หรืออยู่ในภาวะวิตกกังวล , มีความทุกข์เกาะกินใจที่ไม่สามารถปล่อยวางได้ บางคนเสียความรัก, ความเหงาว้าเหว่, ปัญหาครอบครัว, ปัญหาความเจ็บป่วยเรื้อรัง, ความกลัวเป็นมะเร็ง หรือความกดดันจากอะไรก็ตามทีต่างๆ เหล่านี้อาจทำให้ปรากฏอาการปวดแสบปวดร้อนในปากขึ้นได้ และมีบ่อยๆ ที่พบว่า เริ่มมีอาการแสบร้อนในปากขึ้นภายหลังจากไปทำอะไรสักอย่างหนึ่งในปากมา เช่นไปอุดฟันมาหรือไปครอบฟันมา ซึ่งไม่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอาการอักเสบร้อนแต่อย่างใด


ฉะนั้นวันใดวันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมา และพบว่ามีอาการแสบร้อนในปาก ซึ่งส่วนมากจะปรากฏที่ลิ้นจะเป็นปลายลิ้นหรือบริเวณโคนลิ้นด้านข้างก็ตาม และหากยังไม่มีเวลาที่จะไปพบแพทย์ เพราะต้องรีบทำมาหากินตัวเป็นเกลียวอยู่ ก็ลองสำรวจดูตนเองไปพลางๆ ก่อน ถ้าพอจะทราบสาเหตุได้บ้างเช่นนี้ การแสบร้อนในปากอาจเป็นสิ่งบอกเตือนตนเองว่า เป็นโรคกายหรือใจ ซึ่งอาจหายได้โดยตนเอง หรือโดยแพทย์


วิธีปฏิบัติตนง่ายๆ เมื่อรู้สึกว่ามีอาการแสบร้อนในปาก

1) สังเกตว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร

2) ถ้าเหตุนั้นอยู่ในวิสัยที่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยตนเอง ก็ให้กระทำเสียก่อน เช่น สาเหตุจากใส่ฟันชนิดถอดได้ ก็ควรใส่ฟันนั้นเฉพาะเวลาที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น นอกจากนั้นให้ถอดออก

3) ตำแหน่งตรงที่แสบร้อน ให้ดู (ดูเองหรือให้ผู้อื่นช่วยดู) ว่า มีแผลหรือไม่ หากมีแผล ควรปรึกษาทันตแพทย์ได้ และต่อมารู้สึกว่าแผลนั้นค่อยๆ หายและหายสนิทภายใน 2 อาทิตย์แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นแผลชนิดไม่รุนแรง

4) หากการแสบร้อนร่วมกับมีรอยอักเสบในปาก หรือมีมุมปากแตก และหาสาเหตุด้วยตนเองไม่พบ ถ้าอยู่ในวิสัยที่จะหาวิตามิน บีรวม ได้ไม่ยาก ก็ให้กินยาวิตามิน บีรวมครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 3 เวลา หลังอาหาร นาน 3-4 สัปดาห์ ถ้าอาการดีขึ้นและหายไปในระยะเวลาประมาณ 10-14 วัน อาจมีสาเหตุจากขาดวิตามิน บี ได้

5) กินอาหารมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอและทำใจให้สบาย ถึงร่าเริงไม่ได้ก็พยายามให้เบิกบานในหัวใจไว้ ทุกข์-สุข เป็นเรื่องธรรมชาติเป็นสมบัติของทุกคน

6) มีเวลา ไปพบทันตแพทย์หรือแพทย์เสีย

ผู้เขียน: ทพ.สัมพันธ์ ศรีสุวรรณ

ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2552   
Last Update : 22 มิถุนายน 2552 7:19:40 น.   
Counter : 2020 Pageviews.  
space
space
อาหารตา




ใครไม่รู้กล่าวว่า “ดวงตาคือหน้าต่างของดวงใจ” เห็นทีจะจริง ดูเอาเถอะ อยากจะรู้ว่าใครคิดอย่างไร อารมณ์ฟุ้งซ่านแค่ไหนดูกันได้ที่ตา โกรธก็ทำตาเขียว ตื่นเต้นก็ทำตาโต คิดมากก็ทำตาลอย เศร้าก็ทำตาละห้อย ทำได้สารพัดแบบ นอกจากนี้ดวงตายังแสดงออกถึงสุขภาพของผู้เป็นเจ้าของได้อีก เห็นใครตาเหลือง ตาโรย ตาแห้ง ตาแดง คงพอจะรู้ว่าผิดปกติต้องพาไปตรวจเสียเงินกันวุ่นวาย เศรษฐกิจยิ่งตกสะเก็ดเพราะน้ำมันแพงอยู่ด้วย ว่าไปแล้วทุกคนต่างอยากมีดวงตาที่ดีกันทั้งนั้น ตาดีแล้วก็ยังอยากให้ตาสวย เพราะตาไม่ใช่จะสำคัญยิ่งยวดเฉพาะใช้มองดูอะไรต่ออะไรอย่างเดียว แต่ยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกเป็นศรีสง่าแก่ใบหน้า จะหล่อ จะสวย ตานี่แหละสำคัญ เราจึงต้องให้ความสนใจ ป้องกัน ดูแลรักษาดวงตากันบ้าง ถ้าไม่สนใจไม่ดูแลรักษา นอกจากตาจะไม่ดี ไม่สวย ตาอาจจะฝ้า ฟาง กลายเป็นคนตาบอดไปก็ได้ใครจะรู้

จะป้องกันรักษาตากันอย่างไร มีวิธีง่าย ๆ ราคาก็ไม่แพง เคล็ดลับอยู่ที่อาหารที่กินกันอยู่ทุกวันนั่นแหละ ดวงตาเหมือนอวัยวะอื่น ต้องการอาหารเข้าไปเพื่อบำรุงเลี้ยง ไปช่วยให้มันทำหน้าที่ได้อย่างปกติ สารอาหารที่สำคัญสำหรับดวงตามี พวกโปรตีน วิตามินเอ วิตามินบีต่าง ๆ วิตามินซี และ ธาตุฟลูออรีน (Fluorine) อย่าเพิ่งไปงงอยู่กับชื่อภาษาฝรั่งพวกนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่า สารอาหารที่เอ่ยมาแต่ละตัวสำคัญอย่างไร หาได้ที่ไหน

เริ่มจากโปรตีน ลูกตาก็เช่นเดียวกับอวัยวะอื่น เนื้อเยื่อส่วนใหญ่ถูกสร้างจากโปรตีน เมื่อร่างกายขาดโปรตีนเนื้อเยื่อก็ไม่เจริญ ประสิทธิภาพของสายตาจะลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้โปรตีนยังเป็นตัวช่วยพาสารอาหารอื่น ไปให้ดวงตา เช่น วิตามินเอ ขาดโปรตีนอย่างเดียว เลยพาลทำให้ขาดสารพวกนี้ไปด้วย อาการผิดปกติต่าง ๆ ของตาจะเกิดตามมา จึงต้องกินโปรตีนให้เพียงพอ ซึ่งมีมากในอาหารพวกเนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ฯลฯ โปรตีนจากสัตว์ ราคามันแพงนัก ก็หาโปรตีนจากพืชมากินแทน อย่างเช่น พวกถั่วเหลือง มีโปรตีนสูง ราคาก็ถูก เอามาทำเป็นน้ำเต้าหู้ กินอร่อยอย่าบอกใคร เห็นไหมว่าไม่รวยตาก็สวยได้ ไม่มีปัญหา

ตัวต่อไปคือ วิตามินเอ ตัวนี้สำคัญมาก ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นในที่มืด นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างเยื่อบุต่าง ๆ ภายในลูกตา ถ้าร่างกายขาดสารตัวนี้ จะเกิดอาการในขั้นแรกที่เรียกว่า ตาบอดกลางคืน (Night blindness) มองไม่เห็นในเวลากลางคืน หรือในที่มืด หรือกว่าจะมองเห็นก็ใช้เวลานานผิดปกติ ลองทำการตรวจสอบกับตัวเองหรือกับคนในครอบครัวดูว่า มีอาการแบบนี้บ้างหรือเปล่า เมื่อขาดวิตามินเอ มากเข้า นานเข้า ขั้นต่อไปตาจะแห้ง คนปกติตาจะมีประกายสะท้อนแสง ถ้าตาแห้งจะไม่มีประกายใครมาเห็น อาจเข้าใจว่าเป็นผีกระสือจะถูกรุมเอาเปล่า ๆ ต่อมาตาอาจเกิดเป็นรอยย่น หรืออาจเกิดเป็นจุดเล็ก ๆ สีขาวหรือเทาเห็นได้ชัดที่ตาขาว เรียกว่า “จุดบีโต้” (Bitot’s spot) หรือที่ชาวบ้านเราเรียกว่า “เกล็ดกระดี่” นั้นแหละ ขั้นสุดท้ายตาดำจะมีฝ้าขาวซึ่งอาจเป็นแผล หรือเกิดตาทะลุ ทำให้ตาบอดได้ ก็แปลกอยู่อย่าง ข้าวปลาอาหารในเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวิตามินต่าง ๆ รวมทั้ง วิตามินเอ แต่ปรากฏว่าคนไทยเป็นโรคขาดวิตามินเอกันมาก ที่แย่กว่านั้นก็คือ คนไทยตาบอดเพราะขาดวิตามินเอ มีจำนวนสูง ในโรงเรียนสอนคนตาบอดพบว่า เด็ก 9 ใน 10 คนตาบอดเพราะขาดวิตามินเอ สาเหตุเกิดจากความไม่รู้ กินไม่เป็น กินไม่ถูก อาหารที่มีวิตามินเอหาได้ง่าย ราคาไม่แพง เช่น มะละกอสุก ฟักทอง ผักบุ้ง ผักตำลึง ไข่แดง ตับ ผลไม้ที่มีสีเหลือง ผักใบเขียว ฯลฯ ที่ว่ากินไม่เป็น กินไม่ถูก อย่างเช่น แถวภาคอีสาน ชาวบ้านแทนที่จะกินมะละกอสุก ก็กินดิบ ๆ ทำเป็นส้มตำ เด็กทารกแทนที่จะเลี้ยงด้วยนมแม่ ก็ให้กินนมข้นหวาน เสียเงินแล้วยังเสียสุขภาพ ซ้ำร้ายยังเสียดวงตาไปอีก กรณีเช่นนี้ พบอยู่บ่อย ๆ และทั่วไปในเมืองไทยใหญ่อุดมของเรา (ดูเรื่อง เกล็ดกระดี่ขึ้นตา ใน “หมอชาวบ้าน” ปีที่ 1 ฉบับที่ 4)


สารพวกที่สามได้แก่ พวกวิตามินบี ที่เรียกเป็นพวก เพราะมีหลายตัว เช่น วิตามินบีหนึ่ง บีสอง ไนอาซิน ร่างกายถ้าขาดวิตามินบีหนึ่ง นอกจากจะเป็น โรคเหน็บชา ยังอาจเกิดปวดประสาทตา มองภาพพร่าได้ อาหารที่มีวิตามินบีหนึ่งมาก ๆ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ ข้าวซ้อมมือ สำหรับวิตามินบีสอง ถ้าขาดนอกจากจะเป็น โรคปากนกกระจอกแล้ว ยังอาจมีอาการระคายเคืองที่ตา น้ำตาไหล ไม่กล้าสู้แสงสว่าง มองอะไรไม่ชัด อาจเกิดเป็นต้อกระจกได้ อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินบีสอง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ตับ ผักใบเขียว ส่วนไนอาซีน ถ้าร่างกายขาด จะเกิดการอักเสบที่หนังตา ตามัว ขนตาร่วง ร่างกายได้ไนอาซีนจากเนื้อสัตว์ ถั่ว ฯลฯ


สารอาหารตัวต่อไปคือ วิตามินซี ร่างกายขาดแล้วจะเป็นโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกง่ายตามไรฟัน ที่เกี่ยวข้องกับตา คือ เกิดการเสื่อมสลายของเซลล์ อาจเกิดต้อกระจก ในเมืองไทยหาอาหารที่มีวิตามินซีได้ง่ายมาก เช่น พวกผลไม้ โดยเฉพาะส้ม มะนาว พวกผักต่าง ๆ


สำหรับตัวสุดท้ายที่จะพูดถึงคือ ฟลูออรีน (Fluorine) หลายคนอาจเคยได้ยินอยู่บ่อย ๆ เป็นธาตุตัวเดียวกับฟลูออไรด์ที่ช่วยป้องกันฟันผุ โฆษณากันโครม ๆ ว่าเอามาผสมกับยาสีฟันนั่นแหละ สารตัวนี้ทำให้ดวงตามีประกายแจ่มใส สดสวยทั้งเวลาทำตาหวาน ตาโศก มองแล้วก็ต้องเหลียวกลับมามองอีก สารตัวนี้ร่างกายต้องการน้อย แต่ก็สำคัญ พบในอาหารทะเล น้ำมันตับปลา ไข่แดง กระเทียม ฯลฯ อย่าเผลอไปกินยาสีฟัน เพราอยากมีตาสวยเข้าล่ะ

นอกจากนี้ยังมีสารอาหารตัวอื่น ๆ ที่มีผลต่อดวงตาทางอ้อม เช่น พวกที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก โฟลิค วิตามินบีหก บีสิบสอง ถ้าร่างกายขาดจะเกิดโลหิตจาง เกิดซีดที่ใต้ขอบตาต้องกินอาหารบำรุงเลือดกันบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละ
สารอาหารทั้งหมด กินให้พอดี กินให้ถูก ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายและดวงตา แต่ถ้ากินมากก็เกิดโทษได้ เช่น อาหารพวกแป้ง พวกของหวาน กินมากเกินไปจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงในเลือด ขอบตาจะคล้ำ นอกจากนี้การอดนอนเพราเล่นไพ่ หรือเพราะเหตุอื่น การได้รับอากาศไม่บริสุทธิ์ก็ทำให้ขอบตาคล้ำ กลายเป็นคนตาโหลเหลไม่ชวนมอง ต้องระวังไว้บ้าง ยังมีสาเหตุอื่นอีกหลายอย่างที่เป็นผลเสียต่อดวงตา เช่น
1. การกินอาหารพวกควีนิน (quinine) ซึ่งใช้รักษาโรคไข้จับสั่น ถ้ากินมาก หลอดเลือดจะหดตัว
เลือดที่ไปเลี้ยงดวงตาน้อยลง ทำให้สายตาเสื่อม

2. สูบบุหรี่มาก ๆ ประสาทตาอาจอักเสบ สายตาเสื่อมได้

3. ดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากๆ การดูดซึมอาหารในลำไส้อาจผิดปกติตาจะขาดสารอาหาร
ที่เป็นประโยชน์ ตาเสื่อมหรือผิดปกติได้

4. ยาระบายพวกน้ำแร่ เช่น ยาระบายอีแอลพี (ELP) กินมาก หรือใช้มาก จะทำให้การดูดซึมวิตามินเอ
ในลำไส้น้อยลง ตาจะขาดวิตามินเอ

เห็นได้ว่า อาหารเป็นส่วนสำคัญ เมื่อกินให้ครบถูกต้องตามที่ร่างกายต้องการแล้ว นอกจากสุขภาพร่างกายจะสมบูรณ์ สุขภาพตายังสมบูรณ์ตามไปด้วย อาหารหลายอย่าง อาจราคาแพง เราก็เลี่ยงไปกินอาหารราคาถูก ๆ แทน อย่างเช่น พวกถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ราคาถูก เราใช้เป็นอาหารโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ได้ ส่วนการกินวิตามินเม็ด กินน้ำมันตับปลา ราคาแพงถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ หมอไมได้สั่งก็ไม่ควรกินให้เปลืองเงิน สารอาหารพวกนี้มีอยู่ครบแล้วในอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องไปหาที่ไหนมาเสริมอีก การกินที่ดีก็คือ “กินถูกถูก” ถูกทั้งคุณภาพ ถูกทั้งราคา ข้อสำคัญอีกประการก็คือ การปรุงอาหารต้องให้ถูกหลักเพื่อให้สารอาหารสูญเสียไประหว่างการปรุงน้อยที่สุด เมื่ออาหารดี สุขภาพตาก็ดี เมื่อสุขภาพตาดี จิตใจก็แจ่มใส มองโลกสดสวยไปเสียหมด เงินจะเฟ้อจะฝืด ใครจะปฏิวัติ ปฏิรูป เราก็ยังยิ้มได้

ส่วนปัญหาของตาที่เกิดจากขอบตาเขียวเพราะถูกต่อย ตาโศกเพราะเงินเดือนขึ้นเป็นเต่าขาเกคลานในภาวะที่ค่าครองชีพวิ่งเป็นจรวดนั้น เป็นคนละประเด็น หาทางแก้กันเอาเองเถอะ


ผู้เขียน: วินัย ดะห์ลัน, ฐิติพร ศิริอัศวกุล


ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 21 มิถุนายน 2552   
Last Update : 21 มิถุนายน 2552 7:23:41 น.   
Counter : 1087 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space