space
space
space
space

ดื่มน้ำจากขวดพลาสติก ระวังสารบีพีเอปนเปื้อน







ผลการศึกษาล่าสุดจาก Harvard School of Public Health (HSPH) ชี้ให้เห็นว่า
ผู้ที่ดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนตหรือขวดพลาสติกแข็งหรือขวดนมเด็กเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จะมีสารบีพีเอ (bisphenol A; BPA) เพิ่มขึ้นในปัสสาวะถึงสองในสามส่วน สารจำพวกนี้ใช้มากในอุตสาหกรรมบิสฟีนอลเอและพลาสติกชนิดอื่น มีผลต่อการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ในสัตว์ สำหรับในคนเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและเบาหวาน


จัดเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ครับที่พบว่า

การดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนตทำให้ปัสสาวะมีสารบีพีเอเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอจากขวดบรรจุน้ำดื่มปนเปื้อนเข้าสู่ของเหลวในขวดและหากเราดื่มในปริมาณที่พอเหมาะก็จะทำให้พบสารตัวนี้เพิ่มในปัสสาวะ


นอกจากจะพบสารบีพีเอในขวดโพลีคาร์บอเนตซึ่งเป็นขวดน้ำที่นิยมใช้กันในหมู่เด็กนักเรียน นักท่องเที่ยวและของใครอีกหลายคนแล้วยังพบสารนี้ในขวดนมเด็ก ชิ้นส่วนงานทันตกรรม กาว อลูมิเนียมที่ใช้ใส่อาหาร และเครื่องดื่มกระป๋องอีกด้วย

การศึกษาหลายเรื่องแสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อในสัตว์ ตั้งแต่ขัดขวางการเจริญของระบบสืบพันธุ์ การพัฒนาและการจัดเรียงตัวของเนื้อเยื่อบริเวณต่อมน้ำนม ลดการผลิตสเปิร์มในรุ่นลูกรุ่นหลาน และอาจอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการแรกเริ่ม


คาริน บี มิเชล กล่าวว่า

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาจาก HSPH และ Harvard Medical School กล่าวว่า การดื่มน้ำเย็นจากขวดโพลีคาร์บอเนตแค่เพียงอาทิตย์เดียวก็สามารถทำให้ระดับบีพีเอในปัสสาวะเพิ่มขึ้นถึงสองในสามส่วนได้ และหากน้ำในขวดร้อนอย่างกรณีของขวดนมเด็กระดับของสารบีพีเอที่พบในปัสสาวะก็จะมากขึ้น จึงต้องระวังอย่างยิ่งเนื่องจากสารบีพีเอจะขัดขวางการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อในทารกได้มากกว่า


การศึกษานี้ใช้อาสาสมัครจำนวนทั้งสิ้น 77 คน โดยให้อาสาสมัครทำการ ‘ล้างท้อง’ ก่อนด้วยการดื่มน้ำเย็นจากขวดสแตนเลสเป็นเวลา 7 วันเพื่อลดระดับสารบีพีเอในร่างกาย ระหว่างนี้ทีมวิจัยก็จะตรวจสารบีพีเอในปัสสาวะไปด้วย จากนั้นจึงให้ขวดโพลีคาร์บอเนตแก่อาสาสมัครคนละสองขวดและให้อาสาสมัครดื่มน้ำทุกชนิดจากขวดที่เตรียมให้ตลอดสัปดาห์และทำการตรวจปัสสาวะไปด้วย


ผลตรวจแสดงให้เห็นว่า

สารบีพีเอในปัสสาวะอาสาสมัครเพิ่มขึ้นถึง 69% หลังดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนต (ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอที่ตรวจพบในกลุ่มเด็กนักเรียนใกล้เคียงกับคนอเมริกาทั่วไป) การศึกษาก่อนหน้านี้รายงานว่า สารบีพีเอ สามารถปนเปื้อนเข้าสู่ของเหลวในขวดได้ และการศึกษานี้เป็นงานแรกที่แสดงให้เห็นถึงระดับความเข้มข้นของสารบีพีเอในปัสสาวะคน


ที่น่ากังวลก็คือ เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ใช้ขวดประเภทนี้ดื่มน้ำเป็นประจำ แถมยังไม่ค่อยยอมล้างขวด และหากเด็กเด็กกรอกน้ำร้อนลงไปก็จะทำให้ได้รับสารบีพีเอเพิ่มมากขึ้น เพราะความร้อนช่วยทำให้สารบีพีเอรั่วไหลออกมามากขึ้น
นับได้ว่าการศึกษานี้เห็นผลพอดีเวลาก็ว่าได้ครับ เพราะหลายประเทศกำลังตัดสินใจว่าจะออกมาตรการห้ามใช้บีพีเอในขวดนมเด็กดีหรือไม่ แถมยังช่วยเติมเต็มข้อมูลผลเสียของสารตัวนี้ต่อสุขภาพให้เห็นชัดยิ่งขึ้น หากไม่จำเป็นจริง ๆ ลองลดการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกดูนะครับ ไม่แน่ว่าสารบีพีเอส่วนใหญ่ในตัวเราอาจมาจากขวดน้ำพลาสติกเหล่านี้ก็ได้ใช่ไหมครับ



ที่มา : วิชาการดอทคอม






 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 7:34:34 น.   
Counter : 1694 Pageviews.  
space
space
ไข่ : อาหารอันทรงคุณค่า











อาหารสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการหรือโรคที่นำมาเสนอนี้ เป็นการศึกษาของประเทศจีน หากท่านผู้อ่านท่านใดเคยใช้ในการรักษาอาการหรือโรคใดและได้ผล กรุณาแจ้งมายัง “หมอชาวบ้าน” เพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลศึกษา และเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป



คงจะไม่มีใครที่ไม่เคยกินไข่เลยในชีวิต ไข่อาหารสำหรับทุกครอบครัว และทุกชนชั้น ดูเหมือนว่าอาหารชนิดนี้จะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะเอาเสียเลย และเป็นอาหารชนิดเดียวที่คนทำกับข้าวไม่เป็น ก็สามารถทำได้ง่ายที่สุด ก็ไข่ต้ม


เคยมีนิทานเล่ากันว่า “ชายยากจนผู้หนึ่ง บังเอิญเก็บไข่ไก่ได้ 2 ฟอง” เขารู้สึกดีใจมาก และได้บอกกับภรรยาว่าคราวนี้ตั้งตัวได้แล้วล่ะ ฉันจะเอาไข่ 2 ฟองนี้ไปฟักเป็นแม่ไก่ หลังจากนั้น 2 ปี แม่ไก่ก็จะออกไข่ ฉันก็จะเก็บเงินไปซื้อวัว วัวก็จะออกลูกวัวหลังจากนั้น 3 ปี ก็จะเงินทองมากมาย ฉันก็จะตั้งตัวได้ ฉันจะหาอีหนูสักคน” พอพูดถึงตอนนี้ ภรรยาก็เกิดโมโหขึ้นมาทุบไข่ทั้งสองแตก ความฝันของชายผู้นั้นก็สลายไป
นิทานเรื่องนี้ให้คติหลายอย่างแต่ผู้เขียนจะไม่ขอวิจารณ์อะไร ผู้อ่านเอาไปคิดกันเองก็แล้วกัน แต่จะขอเขียนถึงไข่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอาหารสมุนไพร



⇒ไข่อาหารที่มีคุณค่ามากมาย
ภายใต้เงื่อนไขของอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม ไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว จะถูกฟักเป็นลูกไก่ได้โดย
ไม่ต้องอาศัยอาหารจากภายนอกเลย จุดนี้แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ในทางโภชนาการของไข่ได้เป็นอย่างดี



⇒ สรรพคุณ (ในทรรศนะจีน)

ไข่ขาว : มีคุณสมบัติเย็น (เป็นยิน) รสหวาน ดับร้อนถอนพิษ แก้อักเสบ รักษาอาการเจ็บคอ ตาแดง ไอ ท้องเสีย ไข้มาเลเรีย แผลไฟไหม้ แผลเป็นหนอง แก้อาหารเป็นพิษ

ไข่แดง: คุณสมบัติเป็นกลาง รสหวาน รักษาอาการกระวนกระวาย นอนไม่หลับ อาเจียนเป็นเลือด อาเจียนเป็นบิด ประจำเดือนมามากกว่าปกติ ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ตับอักเสบ เด็กอาหารไม่ย่อย

เปลือกไข่ : ใช้ภายใน รักษากระเพาะอาหารเป็นแผล กระเพาะอาหารอักเสบและปวด โรคกระดูกอ่อนในเด็ก และยังเป็นยาเสริมสำหรับรักษาวัณโรคปอด ใช้ภายนอก รักษาบาดแผลไม่ให้เน่าเปื่อย ทำให้บาดแผลหายเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นยาห้ามเลือดอีกด้วย (เวลาใช้ทั้งสองกรณี ให้บดเป็นผง)

เยื่อหุ้มเปลือกไข่ : ทำให้ปอดชุ่ม แก้ไอ ห้ามเลือด ไอเรื้อรัง เสียงแห้ง บาดแผล และเลือดออกที่ลิ้น



⇒ตำรับยา (ในทรรศนะจีน)

1.ไอเรื้อรัง ไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเปลือกทิ้ง) คนให้แตก เตรียมน้ำประมาณครึ่งแก้ว ใส่หม้อต้มแล้วเติมน้ำตาลทรายขาว 1-2 ช้อน ต้มให้เดือดแล้วเทลงไปในชามที่ใส่ไข่ไว้ คนให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำขิงสดประมาณ 1-2 ช้อนชา กินวันละ 2 ครั้ง กินเช้ากลางคืน

2.แผลไฟไหม้
ฆ่าเชื้อโดยวิธีเอาไข่ไก่แช่ในแอลกอฮอล์ 75% นาน 15 นาที แล้วเจาะรูเล็ก ๆ ตรงหัวและท้ายของไข่ขาวให้ไข่ขาวไหลออกมาในชามที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว หลังจากทำความสะอาดบริเวณแผลไฟไหม้แล้ว (ถ้ามีแผลพุพองมีน้ำให้ตัดหนังออก) ใช้ไม้พันสำลีที่ฆ่าเชื้อแล้วชุบไข่ขาวป้ายลงบนผ้ากอซที่สะอาดหมาด ๆ แล้วปิดลงบนแผล เปลี่ยนวันละ 2-3 ครั้ง โดยทั่วไปประมาณ 6-15 ชั่วโมง แผลก็จะเริ่มมีสะเก็ดแห้งสีเหลือง อาการเจ็บปวดก็จะลดลง ให้ทำต่อไปจนกระทั่งสะเก็ดแห้งเต็มบริเวณแผล ถ้ามีหนองให้เช็ดหนองออก แล้วค่อยปิดไข่ขาว

3. มีกรดในกระเพาะอาหารมาก
กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้นเป็นแผล ใช้เปลือกไข่ผิงไฟให้แห้งแล้วบดเป็นผง กินครั้งละ 3 กรัม วันละ 2-3 ครั้งให้กินก่อนอาหารับน้ำอุ่นๆ



⇒ หมายเหตุ : กินไข่ไก่สุกหรือดิบดี
บางคนชอบกินไข่ดิบ เพราะคิดว่าบำรุงร่างกายและย่อยง่าย แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้ามเพราะ

ประการแรก
ไข่ดิบมี antibiotin albumen และ antipancreas protease สำหรับ สำหรับ antibiotin albumen สามารถรวมเข้ากับ biotin ไม่เพียงแต่ทำให้ biotin กลายเป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้แล้ว ยังทำให้วิตามินบีในอาหารที่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเสื่อมหายไป หากร่างกายขาด biotin จะทำให้ไม่อยากกินอาหาร อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ผิวหนังอักเสบ ขนคิ้วร่วง เป็นต้น
สำหรับ antipancreas protease นั้น จะทำให้โปรตีนสลายตัวยาก และทำให้การย่อยอาหารผิดปกติ

ประการที่สอง
โปรตีนในไข่ดิบมีโครงสร้างที่หนาแน่น ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้สามารถดูดซึมเพียงผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ แล้วก็ถ่ายมา เนื่องจากโปรตีนประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิดรวมกัน จะต้องผ่านการแยกสลายในลำไส้ ทำให้มีขนาดเล็กลง ร่างกายจึงสามารถดึงดูด แล้วนำไปใช้ประโยชน์ได้

ประการที่สาม
ไข่ดิบมีกลิ่นคาวสามารถยับยั้งการทำงานของประสาทส่วนกลาง ทำให้น้ำลาย น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และในลำไส้ถูกขับออกมาน้อย เป็นผลให้ไม่อยากกินอาหาร อาหารไม่ย่อย


ดังนั้นสรุป
แล้ววิธีกินไข่ที่ดีและถูกต้องจึงควรกินไข่ที่สุกแล้ว นอกจากนี้ต้องระวังการเก็บรักษาไข่ให้ดี ไข่เสียไม่ควรกิน ไม่ควรเก็บไว้ในที่อุณหภูมิร้อน เพราะจะทำให้ไข่เสียหรือเก็บไว้ในที่ชื้น เพราะเป็นอุณหภูมิที่แบคทีเรีย เจริญได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ไข่เสียได้เช่นกัน ในไข่เสีย (เน่า) ส่วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถูกสลายกลายเป็นสารพิษ แม้จะทำให้สุกก็ไม่ควรกิน เพราะจะทำให้เกิดพิษกับร่างกายได้



ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 24 พฤษภาคม 2552 7:34:38 น.   
Counter : 1079 Pageviews.  
space
space
แพ้สัมผัส





โรคแพ้สัมผัส เป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยมาก ประมาณว่า ประมาณ 30 %ของผู้ป่วยที่มารับการรักษาจากปัญหาโรคผิวหนังมีปัญหาเรื่องโรคแพ้สัมผัส

โรคแพ้สัมผัสคืออะไร
โรคแพ้สัมผัสคือ อาการอักเสบของผิวหนังจากการเกิดปฏิกิริยาต่อสารบางชนิด ปฏิกิริยาดังกล่าวนี้อาจเกิดได้ 2 แบบ
- อาการแพ้จากการระคายเคืองโดยตรง เกิดจากสารที่มีสารมีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป และก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อผิวหนัง
- อาการแพ้จากการเกิดภาวะภูมิแพ้ไวเกินปกติ เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาต้านทานต่อสารบางอย่างมากกว่าปกติ

อาการโรคแพ้สัมผัสเป็นอย่างไร
อาการของโรคแพ้สัมผัสแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ คือ
1. ระยะเฉียบพลัน
จะมีอาการบวมแดง มีตุ่มใส ๆ ที่ผิวหนังซึ่งจะแตกออกมีน้ำเหลืองเยิ้ม มักมีอาการแสบมากกว่าคัน ต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้นอาจจะใหญ่ขึ้น แต่ไม่เจ็บ
2. ระยะเรื้อรัง
ผิวหนังจะหนา มีสีคล้ำขึ้น มีสะเก็ด มีอาการคันมาก รอยโรคจะเกิดบริเวณที่สัมผัสกับสารที่แพ้ เช่น
- เครื่องสำอาง มักจะเป็นที่ใบหน้า
- ยาย้อมผม จะเป็นที่ไรผม, หน้าผาก, ท้ายทอย
- ยาสีฟัน จะเป็นที่ริมฝีปาก
- โลหะ, สารเคมี ฯลฯ มักเป็นที่มือ
- ยางหรือหนัง มักจะเป็นหลังเท้า

วิธีรักษาโรคแพ้สัมผัส
เมื่อสงสัยว่าจะเกิดโรคแพ้สัมผัสขึ้น สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ หยุดถูกต้องสารหรือวัตถุที่สงสัย หรือถ้าจำเป็นต้องถูกต้องก็ต้องมีการป้องกัน เช่น สวมถุงมือ หยุดสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง เช่น ใช้สบู่ยา, ถูกผงซักฟอก, ถูกสารเคมี ฯลฯ

การรักษา
1. ระยะเฉียบพลัน
ใช้น้ำเกลือ หรือน้ำต้มสุกแล้วทิ้งให้เย็น ชุบผ้าสะอาดประคบบริเวณที่เป็นครั้งละประมาณ 15 นาที ทำทุก 2-3 ชั่วโมงจนกว่าอาการบวม, แดง, มีน้ำเหลืองแฉะจะแห้งลง

2. ระยะเรื้อรัง
ในระยะนี้อาการคันจะเป็นอาการสำคัญมาก ควรรับประทานยาแก้แพ้ประเภท คลอร์เฟนิรามีน ขนาด 4 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง ยานี้ใช้แล้วจะค่อนข้างง่วง คนที่ต้องขับยวดยานหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ไม่ควรใช้ อาจเกิดอุบัติเหตุได้
- ควรทราบบริเวณที่เป็นผื่นด้วย ขี้ผึ้งเบตาเมธาโซน วันละ 2-3 ครั้ง
- จะต้องหยุดเกาหรือขัดถูบริเวณที่เป็น เพราะจะทำให้มีผื่นหนาขึ้นได้
เมื่ออาการอักเสบแห้งลงแล้วถ้ายังมีอาการแดงและคันอยู่ อาจทาด้วย ครีมเพร็ดนิโซโลน หรือ เบตาเมธาโซน วันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าจะหายสนิท

ถ้ามีอาการคันมากขึ้นอาจรับประทาน ยาคลอร์เฟนิรามีน ขนาด 4 มิลลิกรัมวันละ 2-3 ครั้ง หลังอาหาร

การทดสอบหาสารที่แพ้จำเป็นไหม
การแพ้ชนิดแรกที่เกิดจากการระคาย เช่น แม่บ้านซึ่งต้องทำงานเปียกแฉะเป็นประจำ ถ้าหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ อาการมักจะดีขึ้นจนหายไปได้ การทดสอบก็ไม่มีความจำเป็น

แต่ถ้าการแพ้นั้นเกี่ยวข้องกับงานอาชีพ เช่น แพ้บริเวณมือ และต้องทำงานเกี่ยวข้องกับสารเคมีหรือยาเป็นประจำ การทดสอบว่าแพ้อะไรก็อาจจะช่วยได้มาก

สำหรับการ แพ้เครื่องสำอาง เนื่องจากเครื่องสำอาง ปัจจุบันมีมากมายจนบรรยายไม่หมด และแต่ละชนิดก็มีส่วนประกอบที่แตกต่างกันไป อีกประการหนึ่งเครื่องสำอางเหล่านี้เก็บไม่ได้แสดงสูตรหรือหรือส่วนผสมไว้ให้ทราบ ดังนั้นถึงแม้จะทดสอบ ทราบว่าแพ้สารอะไร แต่ในทางปฏิบัติ แทบจะไม่มีผลเพราะไม่อาจทราบได้ว่าสารที่แพ้นั้น มีอยู่ในเครื่องสำอางชนิดไหน
เครื่องสำอางชนิดเดียวที่การทดสอบภูมิแพ้จะเห็นผลได้มาก ได้แก่ ยาย้อมผม ซึ่งมักจะมีอาการแพ้ได้บ่อย ๆ

ทำอย่างไรจึงจะป้องกันโรคแพ้สัมผัสได้
การแพ้ชนิดระคายนั้นย่อมป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นสาเหตุ เช่น ความเปียกชื้น, ผงซักฟอก , สารเคมี ฯลฯ การแพ้ชนิดนี้ที่พบบ่อยคือ ที่มือในคนที่ทำงานเปียกและถูกผงซักฟอก หรือสารเคมีเป็นประจำ การสวมถุงมือขณะทำงานดังกล่าวจะช่วยได้มาก

ส่วนการแพ้ชนิดเกิดภาวะภูมิแพ้ไวเกินปกตินั้น เราป้องกันได้ยาก เมื่อเกิดขึ้นแล้วควรหาสาเหตุให้พบ อาจเป็นการสังเกตด้วยตนเอง หรือการทดสอบสารที่เป็นสาเหตุโดยการแพทย์ และหลีกเลี่ยงสาเหตุดังกล่าว ก็จะไม่เป็นอีก

สำหรับการแพ้เครื่องสำอางนั้น เนื่องจากเราไม่อาจทราบได้ว่าชนิดไหนมีสารที่เราแพ้อยู่หรือไม่ จึงควรใช้น้อยที่สุด เฉพาะท่าที่เห็นว่าจำเป็นจริง ๆ เช่น แป้ง, ลิปสติค, ก็จะช่วยลดการเสี่ยงจากการเกิดการแพ้สัมผัสลงไปได้


ขอบคุณ หมอชาวบ้าน








 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 23 พฤษภาคม 2552 7:04:22 น.   
Counter : 1701 Pageviews.  
space
space
ไข้หวัดใหญ่








ไข้หวัดใหญ่ (Influenza/Flu) เป็นโรคที่พบได้มากในคนทุกเพศ ทุกวัย พบได้เกือบตลอดทั้งปี แต่จะเป็นมากในช่วงฤดูฝน (เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม) บางปีอาจพบการระบาดทั่วโลก

สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า อินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza Virus) เชื้อนี้จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อได้โดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน


อาการ
มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง หนาวๆ ร้อนๆ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก (โดยเฉพาะที่กระเบนเหน็บ ต้นแขน ต้นขา) ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บในคอ คัดจมูก น้ำมูกใส ไอแห้งๆ จุกแน่นท้อง บางรายอาจไม่มีอาการคัดจมูกหรือเป็นหวัดเลยก็ได้ ไข้มักเป็นอยู่ ๒-๔ วันและจะค่อยๆลดลง อาการไอและอ่อนเพลีย อาจจะเป็นอยู่ ๑-๔ สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่นๆจะทุเลาลงแล้วก็ตาม บางครั้งเมื่อหายจากไข้หวัดแล้วอาจจะมีอาการวิงเวียนเหมือนเมารถเมาเรือ เนื่องจากมีการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งมักจะหายเองภายใน ๓-๕ วัน

การดูแลรักษาการดูแลรักษาไข้หวัดใหญ่นั้น ให้ดูแลปฏิบัติตัว ดังนี้

๑. นอนพักมากๆ ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง กินอาหารอ่อน (ข้าวต้ม โจ๊ก) ดื่มน้ำและน้ำหวานหรือน้ำผลไม้มากๆ

๒. ให้ยารักษาตามอาการที่สำคัญ คือ ยาลดไข้แก้ปวดได้แก่ พาราเซตามอลครั้งละ ๑-๒ เม็ด ซ้ำได้ทุก ๖ ชั่วโมง (ในเด็กเล็กควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน)

๓. ยาปฏิชีวนะ ไม่จำเป็นต้องให้ทุกราย เพราะเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส จะให้ต่อเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น มีน้ำมูก หรือเสลดสีเหลืองหรือเขียว ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ เป็นต้น

๔. ถ้ามีอาการไข้เกิน ๔ วัน หรือมีอาการหอบหรือสงสัยปอดอักเสบ โดยเฉพาะถ้าพบในคนสูงอายุหรือเด็กเล็ก ควรส่งโรงพยาบาลด่วน

การจำแนกอาการว่าอาการอย่างไรคืออาการไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดธรรมดา ให้สังเกตว่าไข้หวัดใหญ่นั้นจะมีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อร่วมด้วย ซึ่งไข้หวัดธรรมดาไม่มี แต่หวัดทั้ง ๒ ชนิดก็มีวิธีดูแลรักษาเหมือนกัน และอาการตัวร้อนมักจะหายได้ภายใน ๓-๔ วันเหมือนกัน

ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 22 พฤษภาคม 2552 7:18:53 น.   
Counter : 963 Pageviews.  
space
space
มะขาม ยาถ่ายใกล้มือ






ทุกคนและสัตว์มีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยอาหาร ว่ากันตรงๆ ก็คือ ต้องกินนั่นเอง ถ้ากินไม่ได้หรือไม่ได้กินก็ต้องตายเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ แต่ถ้ากินได้กินดี แล้วไม่ยอมถ่ายสักทีก็จะตายอีก การถ่ายจึงเป็นของคู่กับการกิน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สาเหตุแห่งการถ่ายไม่ได้หรือไม่ออกนั้น เราเรียกกันว่า “ท้องผูก” ได้แก่อึแข็งนั่นเอง ต้นเหตุของท้องผูกมีหลายประการ เช่น กินอาหารไม่มีการอาหาร ไม่ชอบกินผักผลไม้ ไม่ชอบดื่มน้ำ ไม่ชอบออกกำลังกาย อดนอน ใช้ความคิดมากเกินไป เป็นต้น

ผู้ที่บริหารสุขภาพไม่ได้ จะต้องมีโรคประจำตัวอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆ อย่าง เช่น ท้องผูก เป็นต้น

การที่ท้องผูกให้ทุกข์และโทษอย่างไร คิดว่าทุกคนคงเคยเป็นมาบ้างไม่มากก็น้อย ตามแต่ธาตุหนักหรือเบาโรคที่นะเกิดตามมาจากการท้องผูก คือ อาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้ กินไม่ค่อยได้นอนไม่ค่อยหลับ ท้องอืด เฟ้อ มึนศีรษะ ความคิดไม่ปลอดโปร่ง อารมณ์หงุดหงิด แต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกัน

ใครมีอาการเหล่านี้แล้วท้องผูกด้วยอย่าได้ตกใจ ไม่ต้องรีบหาซื้อยาถ่ายราคาแพงมากิน ในบ้านเราหรือเอาง่ายๆ ในครัวเรามีตัวยาถ่ายอย่างดีราคาถูกปลอดภัยไม่มีพิษข้างเคียงหรือตกค้างให้คันหัวใจ นั่นคือ “มะขามเปียก” นั่นเอง

ผู้เขียนมีประสบการณ์มามาก ในสมัยครองเรือนก็ใช้มาตลอด แม้ในปัจจุบันจะไม่ได้ใช้ (เพราะธาตุตัวเองอ่อน) แต่ก็ได้ใช้แก้ปัญหาท้องผูกให้พระ เณร เด็กวัด และชาวบ้านมาตลอด ได้ผลดีทุกราย วีธีทำหรือกินก็ง่ายมาก

ถ้าท้องผูกมาก เคยถ่ายประจำวันแล้วเกิดหยุดไป 2-3 วันไม่ถ่าย แน่นท้อง อึดอัด ให้ใช้มะขามเปียกขนาดกำปั้นผู้ใหญ่ จะมีเมล็ดหรือไม่มีเมล็ดก็ได้ เอามาขยำกับน้ำสุกสักชามก๋วยเตี๋ยวใหญ่ หรือประมาณ 3 แก้ว ให้ได้น้ำมะขามขั้น ๆ เหมือนก๋วยจั๊บน้ำข้นค่อนชามใหญ่ เอาเกลือผสมลงไปเพื่อตัดรสเปรี้ยวสักช้อน 1 กาแฟ แล้วดื่มให้หมดในคราวเดียวตอนก่อนนอนสัก 1 หรือ 2 ชั่วโมง

เมื่อดื่มแล้วสักครู่ จะมีอาการปั่นป่วนในท้องอย่าตกใจ สักครู่ใหญ่จะถ่ายสัก 2 หรือ 3 ครั้งแล้วก็หยุดไปเอง ไม่ต้องกินยาคุมธาตุ ถ้าท้องผูกเพียงเล็กน้อย จะเอามะขามเปียกจิ้มเกลือกินสัก 5 ฝักก็จะถ่ายเป็นปกติ

ถ้าเด็กเล็กให้กินมากๆ อย่างนั้นยาก ก็คงจับแกนอนคว่ำลง เอามะขามเปียกที่มีเมล็ดด้วยยึดเข้าไปทางก้นสักฝักหรือครึ่งฝัก ครูเดียวก็จะถ่ายเป็นจรวดหายร้องโยเยทันที อย่าลืม ก่อนยัดใส่ก้น ควรหักเป็นข้อๆ แล้วยัดเข้าไปทีละข้อ

ท้องผูกเกิดจากอุจจาระแข็ง และที่แข็งนั้นก็มิได้แข็งทั้งหมด มันแข็งแต่ต้นขบวนเท่านั้น เพราะทับถมและถูกกดแน่น จึงเกิดอาการท้องผูก เมื่อต้นขบวนถูกข้าศึก (มะขาม) ทำลาย กลางขบวนและท้ายขบวนก็เคลื่อนสะดวก

อย่างไรก็ดี การปล่อยให้ท้องผูกแล้วแก้ทีหลัง เป็นการแก้ที่ปลายเหตุไม่ถูกต้อง ยิ่งไปเชื่อหรือซื้อยาถ่ายของต่างประเทศ ยิ่งจะเป็นการทำลายเศรษฐกิจในครอบครัวที่น่าสงสาร เพราะยาถ่ายจากสมุนไพรในบ้านเรามีมากมายทั้งหาง่าย ราคาถูก พิษภัยก็ไม่มี ยิ่งถ้าได้กินอาหารที่มีกาก ออกกำลังกายและดื่มน้ำมากๆ เป็นประจำวันก็จะไม่รู้จักกับท้องผูกอีกเลย


ขอบคุณ หมอชาวบ้าน





 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 21 พฤษภาคม 2552 7:24:06 น.   
Counter : 3354 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space