space
space
space
space

อาหารสุขภาพ
เต้าหู้ และอาหารจากถั่วเหลืองอื่นๆ


อาหารจากถั่วเหลืองในชีวิตประจำวันที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ เต้าหู้ ซึ่งก็มีมากมายหลายอย่าง แม้จนจำแทบไม่ไหวว่าแต่ละชนิดเรียกอย่างไร นอกจากนั้น ก็เป็นฟองเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ เต้าฮวย ถั่วงอกหัวโต เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ถั่วเน่า ซีอิ๊ว โปรตีนเกษตร และน้ำมันถั่วเหลือง

แม้กระทั่งมาการีน มายองเนส และน้ำมันสลัดก็มีส่วนประกอบของถั่วเหลือง โดยอยู่ในรูปของน้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น

เฉพาะผลิตภัณฑ์ "เต้าหู้" นั้นมีให้เลือกหลายชนิด ได้แก่
เต้าหู้อ่อน เป็นเต้าหู้ที่มีเนื้ออ่อนนุ่ม มีสีขาวนวลกลิ่นหอม มีให้เลือกทั้งแบบก้อนบาง และก้อนหนา นิยมนำมาใส่แกงจืด และสุกียากี้ เป็นต้น ปัจจุบันมีผู้ผลิตจำนวนมากผลิตเต้าหู้อ่อนแบบญี่ปุ่นในกล่องพลาสติกสี่เหลี่ยมบรรจุอย่างดีออกมาจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบายในการเลือกซื้อมากยิ่งขึ้น
เต้าหู้หลอด เป็นเต้าหู้อ่อนอีกชนิดหนึ่งที่มีกรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัย บรรจุลงในหลอดพลาสติกแบบสุญญากาศ ทำให้รักษาความสะอาดได้ดี จึงเก็บได้นาน สะดวกในการใช้ มีทั้งชนิดธรรมดาและชนิดใส่ไข่ นิยมนำมาใส่แกงจืด สุกียากี้ เต้าหู้อบ เต้าหู้ตุ๋น เป็นต้น
เต้าฮวย มีลักษณะคล้ายกับเต้าหู้อ่อนมาก ต่างกันตรงที่เต้าฮวยมีเนื้อนิ่มกว่า มักนิยมใช้รับประทานคู่กับน้ำขิง เป็นอาหารว่างอีกชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย และมีราคาถูก
เต้าหู้แข็ง (ขาว) เป็นเต้าหู้ที่มีเนื้อแข็ง สีขาวนวลออกครีมๆ มักทำออกมาเป็นก้อนสี่เหลี่ยม หนาประมาณ 1 เซนติเมตร เหมาะสำหรับทำอาหารหลายชนิด เช่น ยำ ลาบ แกง ผัด รวมทั้งอาหารจานเดียวยอดนิยมของคนทั่วโลกอย่างผัดไทย แต่เคล็ดลับในการปรุงอาหารจากเต้าหู้ชนิดนี้ ควรจะนำมาทอดให้เหลืองเสียก่อน เวลานำไปทำอาหารจะไม่เละ ทำให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น
เต้าหู้เหลือง มีทั้งชนิดอ่อนและแข็ง ลักษณะภายนอกจะมีเปลือกสีเหลือง เนื้อสีขาวนวล รสออกเค็มกว่าเต้าหู้ขาว เพราะเป็นเต้าหู้ขาวที่ปรุงขึ้นมาใหม่ ด้วยการนำก้อนเต้าหู้ไปแช่ในน้ำเกลือ แล้วนำไปจุ่มสีเหลืองหรือขมิ้น เพื่อให้รู้ว่าเต้าหู้ชนิดนี้มีรสเค็มกว่าเต้าหู้ขาวธรรมดา และรสเค็มนี้สามารถยืดอายุการเก็บได้นานขึ้น ดังนั้น อาหารที่นำเต้าหู้เหลืองมาปรุงมักเป็นอาหารที่ต้องการให้มีรสชาติของเต้าหู้ที่เข้มข้นขึ้น เช่น อาหารจำพวก ทอด ผัด แกง ชนิดต่างๆ หรือแม้กระทั่งผัดไทย บางคนก็นิยมใช้เต้าหู้เหลืองมากกว่าเต้าหู้ขาว

วิธีการเลือกซื้อเต้าหู้ โดยรวมแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. เต้าหู้ที่ทำขายทั่วไปในตลาดสด เช่น เต้าหู้อ่อน เต้าหู้แข็ง เต้าหู้เหลือง ที่เป็นแผ่นห่อด้วยใบตองกับที่บรรจุภาชนะอย่างดี เต้าหู้ทำขายในตลาดสด ควรเลือกซื้อที่ทำมาใหม่ๆ สีขาวนวลเป็นปกติ มีกลิ่นหอม ไม่มีเมือก ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว และภาชนะที่บรรจุต้องสะอาด
2. ส่วนเต้าหู้แบบบรรจุภาชนะอย่างดี ควรดูวันที่ผลิตและวันหมดอายุ มีสีสันเป็นปกติ รูปร่างเป็นปกติ

เต้าหู้เป็นอาหารที่บูดเสียได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าเต้าหู้นั้นไม่ใส่สารกันบูด จะสังเกตเห็นว่าบางครั้งที่เราซื้อเต้าหู้มาเก็บไว้ในตู้เย็นเพียงแค่วันสองวัน เต้าหู้ก็จะเริ่มเป็นเมือก มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ยกเว้นเต้าหู้หลอดที่บรรจุในถุงพลาสติกสุญญากาศอย่างมิดชิดจะเก็บไว้ได้หลายวันกว่า แต่ก็ต้องดูวันเดือนปีที่ผลิตและวันหมดอายุด้วยเช่นกัน

วิธีการเก็บเต้าหู้ให้ได้นานวันยิ่งขึ้น มีผู้รู้แนะนำให้เอาน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วใส่ชาม แล้วเอาเต้าหู้ลงแช่ให้ท่วม จากนั้นนำเข้าตู้เย็นก็จะยืดอายุการเก็บได้นาน 7-15 วัน แล้วแต่ชนิดของเต้าหู้ ถ้าเป็นเต้าหู้อ่อนจะเก็บได้ไม่นานเท่าเต้าหู้แข็ง ในกรณีของเต้าหู้หลอด ให้เก็บในตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาก็เก็บได้นานหลายวัน อย่านำไปแช่ช่องแข็ง เพราะลักษณะของเนื้อเต้าหู้จะเปลี่ยนไปไม่คงรูปเหมือนเดิม ส่วนเต้าหู้ทอดแม้จะเก็บในตู้เย็น หากไม่ใช่ช่องแช่แข็ง ไม่นานก็จะขึ้นรา ดังนั้น การทำอาหารจากเต้าหู้จึงไม่ควรซื้อเต้าหู้มาในปริมาณมาก เพราะกลิ่นรสของเต้าหู้จะเปลี่ยนไปเมื่อเก็บไว้หลายวัน

น้ำเต้าหู้ คือน้ำนมถั่วเหลืองที่ได้จากการปั่นถั่วเหลืองแล้วนำมาต้มเป็นน้ำ ถือเป็นเครื่องดื่มทดแทนนมวัวที่นิยมรับประทานกันทั่วไป เพราะเป็นอาหารเสริมสุขภาพที่ราคาถูก
ฟองเต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่ได้จากการทำน้ำเต้าหู้ เมื่อต้มน้ำเต้าหู้จนมีความเข้มข้น ผิวหน้าของน้ำนมเต้าหู้จะจับตัวกันเป็นแผ่น สามารถตักออกมารับประทานได้เลย โดยนิยมใส่ในแกงจืด ฟองเต้าหู้ชนิดที่นำมาใช้เลยนี้เป็นแบบเปียก ส่วนแบบแห้งนั้นต้องนำฟองเต้าหู้ที่ได้ไปตากหรืออบจนแห้ง มีทั้งแบบแผ่นใหญ่ที่คนจีนเรียกว่า "หู่เมาะ" นิยมนำไปห่ออาหาร เช่น แฮ่กึ๊น หอยจ๊อ เปาะเปี๊ยะ และแบบเป็นชิ้นเล็กเรียกว่า "หู่กี่" นิยมใส่แกงจืด ผัดโป๊ยเซียน หรือนำไปอบและทอดให้กรอบแล้วทำเป็นผัดพริกขิง หรือผัดกับขิง

โปรตีนเกษตร หรือ โปรตีนถั่วเหลือง ทำจากแป้งถั่วเหลือง ปราศจากไขมัน มีคุณค่าทางอาหารสูง ราคาถูก เก็บง่ายไม่ต้องใส่ตู้เย็น ใช้สะดวก ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้หลายชนิด ปัจจุบันมีหลายรูปแบบ เช่น ชนิดใหญ่พิเศษ ใช้ใส่แกงเขียวหวาน พะโล้ สะเต๊ก น้ำตก ฯลฯ ชนิดเกล็ดขนาดกลาง ใช้ผัดกะเพรา แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด ผัดพริกขิง ฯลฯ
ชนิดเกล็ดขนาดเล็ก ใช้ทำลาบ แทนเนื้อหมูหรือหมูสับชนิดป่นละเอียด ใช้ทำขนมจีนน้ำยา แกงเลียง ซุป ฯลฯ ช่วยผสมในน้ำแกง ทำให้น้ำแกงข้นขึ้น

ถั่วงอกหัวโต เป็นถั่วงอกชนิดหัวใหญ่ที่เพาะจากถั่วเหลือง ต่างจากถั่วงอกทั่วไปที่นิยมเพาะจากถั่วเขียว จึงเรียกให้ต่างไปว่า "ถั่วงอกหัวโต"

นอกจากนี้แล้ว ยังมีอาหารหมักจากถั่วเหลืองอีกหลายชนิด ได้แก่ ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ เทมเป้ นัตโต เป็นต้น แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ถือเป็นแหล่งของโปรตีนหลักที่จะให้แก่ร่างกาย เนื่องจากเป็นสารปรุงรสที่มีรสเค็ม จึงกินได้น้อย

ซอสปรุงรส หรือ ซีอิ๊ว เป็นเครื่องปรุงรสอาหารที่ได้จากการหมักถั่วเหลือง แบ่งเป็น 3 ประเภท ตามวิธีการที่ใช้ในการผลิต คือ ซีอิ๊วหมัก ซีอิ๊วเคมี และซีอิ๊วกึ่งเคมี โดยซีอิ๊วหมักจะมีกลิ่นและรสชาติดีที่สุด ซีอิ๊วดีที่สุดจะเป็นซีอิ๊วที่ได้จากการหมักครั้งแรก เรียกว่าซีอิ๊วขาว ส่วนซีอิ๊วที่ได้จากการหมักซ้ำโดยใช้ถั่วเหลืองที่หมักไปแล้วจะเป็นซีอิ๊วขาวชั้นรองคุณภาพต่ำลง ราคาถูกลง ส่วนซีอิ๊วดำได้จากการผสมซีอิ๊วขาวกับกากน้ำตาล ขณะเดียวกันซีอิ๊วที่ผลิตเป็นอุตสาหกรรมก็จะมีรสชาติที่ต่างไปจากซีอิ๊วที่หมักถั่วเหลืองอย่างเป็นธรรมชาติด้วย

เดิมนั้นการหมักซีอิ๊วจัดเป็นศิลปะและเป็นความลับที่ถ่ายทอดกันเฉพาะในหมู่สมาชิกครอบครัวและลูกหลานเท่านั้น ประเทศที่นิยมใช้ซีอิ๊วเป็นเครื่องปรุงรส ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น ปัจจุบันคนไทยก็นิยมใช้ซอสปรุงรสจากถั่วเหลืองอย่างแพร่หลาย หลังจากที่คุ้นเคยกับน้ำปลามายาวนาน

เต้าเจี้ยว คือถั่วเหลืองที่หมักด้วยกรรมวิธีเดียวกับการทำซีอิ๊ว แต่เต้าเจี้ยวจะมีส่วนประกอบของเนื้อถั่วอยู่ด้วย การหมักเต้าเจี้ยวใช้ถั่วเหลืองเป็นหลัก มีแป้ง เชื้อรา น้ำเกลือ และเครื่องปรุงรสต่างๆ เป็นส่วนประกอบ ผสมให้เข้ากัน บรรจุในโอ่ง ปิดฝาแล้วตากแดด ปล่อยให้เกิดปฏิกิริยาการหมักเป็นเวลาประมาณ 3-6 เดือน เมื่อครบกำหนดแล้วหากทำซีอิ๊วร่วมกับเต้าเจี้ยวในระยะนี้ก็จะดูดส่วนที่เป็นของเหลวสีน้ำตาลปนแดงออกมา นำไปผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 65-88 องศาเซลเซียส จากนั้นจึงนำไปกรองเพื่อกำจัดตะกอนที่มีถั่วอยู่ออกไปก่อนบรรจุขวด กลายเป็นซีอิ๊วคุณภาพดีจากการหมักครั้งแรก หลังจากนั้น นำเนื้อถั่วเหลืองที่เหลือมาปรุงแต่งรสชาติโดยเติมผงชูรส น้ำตาล และเครื่องปรุงรสอื่นๆ เพื่อเป็นเต้าเจี้ยวบรรจุขวดขายต่อไป

ทั้งนี้ หากผลิตเต้าเจี้ยวโดยวิธีไม่ผ่านการเอาน้ำซีอิ๊วออกไปจำหน่ายก็จะได้เต้าเจี้ยวคุณภาพดีเลิศที่มีราคาค่อนข้างสูงมาก โดยเต้าเจี้ยวที่หมักได้ครั้งแรกนี้จะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดงอยู่ในน้ำหมักพอขลุกขลิก รสไม่เค็มเกินไป ใช้ปรุงอาหารประเภทน้ำจิ้ม ผัด หรือซุป แต่ถ้านำถั่วเหลืองที่ผ่านกรรมวิธีการหมักแล้วบีบน้ำซีอิ๊วออกมาหมักซ้ำก็จะได้เต้าเจี้ยวคุณภาพรอง ซึ่งเต้าเจี้ยวชนิดนี้นิยมรับประทานกันมากในบ้านเราเพราะมีราคาถูก

สำหรับเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น (miso) จะแตกต่างจากเต้าเจี้ยวของจีน ตรงสีข้นดำ เนื้อถั่วบดละเอียด รสและกลิ่นแรงกว่า เพราะใช้เวลาหมักยาวนานเป็นปีๆ นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงพื้นฐานของอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ เครื่องจิ้มต่างๆ รวมทั้งซุปทุกชนิด คล้ายกะปิ และปลาร้าในอาหารไทยของเรา

เต้าหู้ยี้ เป็นผลิตภัณฑ์หมักดองอีกชนิดหนึ่งที่ทำจากถั่วเหลืองและนิยมบริโภคกันทั่วไป ขั้นตอนของการผลิต เริ่มจากนำถั่วเหลืองคุณภาพดีมาทำเป็นเต้าหู้แข็งก่อน แล้วตัดเต้าหู้ให้เป็นก้อนขนาดตามต้องการ นำไปแช่ในน้ำเกลือผสมกรดมะนาว 1 คืน รุ่งขึ้นนำไปฆ่าเชื้อโดยอบในตู้อบที่ 100 องศาเซลเซียส 10-15 นาที ทิ้งไว้ให้เย็นที่อุณหภูมิห้อง แล้วเรียงในถาดและใส่เชื้อราบ่มให้เจริญเติบโต ประมาณ 3-7 วัน เต้าหู้จะมีเส้นใยของเชื้อราขึ้นโดยรอบ ต่อไปนำไปหมักในน้ำเกลือ โดยเรียงเต้าหู้ในถังหมักเป็นชั้นๆ ใส่น้ำเกลือ ไวน์แดง และเครื่องเทศอื่นๆ เช่น พริกแดง ขิง ผงพะโล้ เต้าเจี้ยวบดหรือเติมข้าวแดงเพื่อทำให้เป็นเต้าหู้ยี้ชนิดสีแดง ปิดฝาหมักไว้เป็นระยะเวลาเดือนครึ่งที่อุณหภูมิห้อง เมื่อครบกำหนดเวลาจะได้เต้าหู้ยี้ตามต้องการ

เต้าหู้ยี้นิยมใช้ปรุงอาหารพวกผัก (สุกียากี้) เนื้อสัตว์ เป็นเครื่องจิ้ม และกินกับข้าวต้ม ที่ขายกันอยู่ในท้องตลาดมี 2 ชนิด คือสีเหลืองและสีแดง โดยผู้ผลิตอาจเติมสารที่ให้กลิ่น สี และรสชาติเฉพาะตัวลงไปตามความนิยมชมชอบของผู้บริโภค

เทมเป้ เป็นอาหารหมักพื้นเมืองของชาวอินโดนีเซีย ที่นิยมใช้เป็นเนื้อเทียมแทนเนื้อสัตว์ ทำจากการหมักถั่วเหลืองต้มนาน 1-2 วัน จนเชื้อราออกใยสีขาวเชื่อมยึดเมล็ดถั่วให้ติดกันแน่นเป็นแผ่นหนา เมื่อจะรับประทานก็จะนำไปหั่นเป็นแผ่นบางๆ จุ่มลงในน้ำเกลือ แล้วทอดน้ำมันให้กรอบหอม นอกจากนี้ ยังนำไปปรุงเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ได้อีกมากมาย มีรสชาติอร่อยและให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ย่อยง่าย เป็นที่นิยมในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่ในไทยไม่ค่อยมีคนรู้จักและนิยมรับประทานมากนัก

นัตโต เป็นอาหารหมักพื้นบ้านของชาวญี่ปุ่น ได้จากการหมักถั่วเหลืองด้วยเชื้อแบคทีเรียจำพวก "บาซิลลัส นัตโต" ที่ต่างจากผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองหมักอื่นๆ ที่มักใช้เชื้อรา ดังนั้น นัตโตจึงมีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว และมีเมือกที่แบคทีเรียสร้างขึ้นอยู่บนผิวรอบตัวของนัตโตด้วย คนญี่ปุ่นนิยมรับประทานนัตโตร่วมกับซอสและซีอิ๊วขาวเป็นอาหารเช้าและอาหารค่ำ

ถั่วเน่า เป็นอาหารหมักจากถั่วเหลืองที่นิยมกันมากแถบภาคเหนือของประเทศไทย มีลักษณะคล้ายนัตโตของญี่ปุ่น ใช้เป็นเครื่องปรุงรสแทนกะปิ ส่วนใหญ่มักเติมในซุปผัก หรือนำมาห่อในใบตองนึ่งหรือปิ้งพอสุกแล้วกินกับข้าวเหนียว และนักมังสวิรัติบางคนยังนิยมรับประทานถั่วเน่าเพื่อชูรสชาติอาหารให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น


thanks for horapa.com




 

Create Date : 28 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:06:24 น.   
Counter : 864 Pageviews.  
space
space
กรุ๊ปเลือดกับอาหาร
กรุ๊ปเลือดกับอาหาร

เลือดกรุ๊ป โอ
บุคคลเลือดกรุ๊ปโอนั้น จะมีระบบย่อยเนื้อแดงที่ดีมากเพราะมีความเป็นกรดสูง ทำให้ย่อยเร็วและดูดซึมดี และสามารถให้ประโยชน์สูงสุดต่อส่วนต่างๆของร่างกาย

กรุ๊ปโอ เป็นกรุ๊ปเลือดที่มีวิตามินมากพอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะมีปัญหาบ้างที่จะเกี่ยวกับระบบ metabolism (การเผาผลาญเพื่อนำพลังงานไปใช้ในระบบร่างกาย) จึงควรรับประทานอาหารที่มีไวตามินบี เช่น เนื้อ ตับ เซี่ยงจี๊ ไข่ 5ฟอง/อาทิตย์ ผลไม้ ผักใบเขียวและถั่ว ซึ่งเป็นชนิดที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอ หรือเสริมด้วย ไวตามิน บี-คอมเพล็กซ์

คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ดังนั้นจึงต้องเสริมสร้างวิตามิน เค ให้เลือดกรุ๊ปนี้ด้วยรับประทานตับ ไข่แดง คะน้า สปินิช ผัก Swiss chard และควรหันมารับประทานแป้งสเปลท์แทนแป้งสาลี

และระบบย่อยของคนเลือดกรุ๊ปโอ ไม่รับแคลเซียมจากผลิตภัณฑ์นม จึงต้องหาแคลเซียมจากที่อื่นแทนซึ่งนั่นก็ได้แก่ ปลาซาร์ดีน หรือ ปลาแซลมอนกระป๋องทั้งก้าง บร็อคโคลี่ และผักcollard green
สำหรับเด็ก ที่อายุ 2-5 ขวบ และ 9-16 ขวบ รวมทั้งผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนอาจต้องเพิ่มแคลเซียมเสริม 600-1,100 มิลลิกรัม และเพื่อเป็นการป้องกันการอักเสบในส่วนต่างๆของร่างกายด้วย

อาหารอีกชนิดที่คนเลือดกรุ๊ปจะต้องรับประทานคือ อาหารทะเล เพราะอาหารทะเลนั้นจะให้ไอโอดีน เป็นการเพิ่มผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ซึ่งจะช่วยทำให้ควบคุมน้ำหนักของคนเลือดกรุ๊ปนี้ให้คงที่ เพราะถ้าหากไทรอยด์ไม่คงที่จะทำให้อ้วนได้ง่าย

ผลไม้ที่รับประทานกับเลือดกรุ๊ปโอได้จะมีไม่กี่ชนิด เช่น พลับ พรุน และมะเดื่อ ผลไม้จำพวกนี้จะช่วยลดการละคายเคืองในกระเพาะอาหารได้

น้ำผลไม้ที่ดี คือ นำสับปะรด จะช่วยอุ้มน้ำของเซลในร่างกาย หรือน้ำแบลคเชอรี่ จัดว่าเป็นน้ำที่ดีกับเลือดกรุ๊ปโอมาก เพราะเป็น High alkaline juice ทำให้ลดการระคายเคืองของกระเพาะ

ส่วนถ้าเป็นการดื่มชาสมุนไพรนั้นก็มีชาบางชนิดที่เสริมกับกรุ๊ปเลือดได้ดี เช่น Licoria ช่วยในเรื่องของกระเพาะ ,Peppermint,Parsley,Rosehips,Sarsaparilla ช่วยลดความเครียด เป็นต้น

เลือดกรุ๊ป เอ
กรุ๊ปนี้จะเป็นกรุ๊ปทีมีความแตกต่างจากรุ๊ปโอ โดยสิ้นเชิง เพราะประชากรกรุ๊ปเอ นั้นจัดว่าเป็นพวกมังสวิรัติ ซึ่งมาจากระบบย่อยเป็นเหตุ

คนเลือดกรุ๊ปเอ จึงควรหลีกเลี่ยงไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง ถ้าต้องการรับประทานเนื้อก็ให้เลือกที่จะรับประทานเนื้อไก่แทน เพราะไม่มัน

ควรระวังอาหารสำเร็จรูป เช่นไส้กรอกและแฮม เพราะมีไนไตรท์ ซึ่งกระตุ้นการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร อีกทั้งคนเลือดกรุ๊ปเอจะมีกรดในกระเพาะต่ำ

และเพื่อเป็นการต่อต้านมะเร็ง คนเลือดกรุ๊ปเอ จึงควรรับประทานวิตามิน ซี เพิ่มซึ่งเป็น antioxidants ช่วยในเรื่องของกรดในกระเพาะต่ำ ส่วนในอาหารจะได้วิตามินซี จาก บร็อคโคลี่ผลไม้พวกเบอรี่ เกรฟฟรุต หรือส้มโอ สับปะรด เชอรี่และมะนาวฝรั่ง

นอกจากนี้ยังควรที่จะรับประทานอาหารที่มีวิตามินอี สูง เพื่อป้องกันทั้งโรคหัวใจและมะเร็ง วิตามินอีนี้จะมีอยู่ในน้ำมันพืช ธัญพืช ถั่งลิสงและผักใบเขียว รวมถึงควรรับประทาน อาหารเพื่อสร้างระบบคุ้มกันด้วย ซึ่งอาหารพวกนี้จะเป็นอาหารที่มีวิตามิน บี มากๆเช่น ธัญพืชขัดสี ปลา และไข่

ส่วนเรื่องของแคลเซียมนั้น ถ้าเป็นการดื่มนม คนเลือดกรุ๊ปเอ ไม่ค่อยจะเหมาะกับการดื่มนมซักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดื่มได้มากกว่า คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอ แคลเซียมที่เลือดกรุ๊ปเอจะได้นั้น ส่วนใหญ่มาจากโยเกิร์ตไขมันต่ำ นมถั่วเหลือง ไข่ นมแพะ ปลาแซลมอนและปลาซาร์ดีนทั้งก้าง(กระป๋อง) บร็อคโคลี่และสปินิช

การไม่กินเนื้อสัตว์ของคนเลือดกรุ๊ปเอ จะทำให้ขาดธาตุเหล็กจึงควรรับประทานข้างกล้อง ถั่วมะเดื่อ และน้ำตาลโมแลสซิส(สีดำที่เอามาทำซีอิ๊วดำหวาน) ประกอบด้วย

กรุ๊ปเอ ควรรับประทานผลไม้วันละ 3 เวลา ควรเน้นไปที่ Alkaline fruit เช่นแบรี่และผลพลัม (ผลไม้ที่มีความเป็นกลางของกรด) จะช่วยความเป็นกลางในการสร้างกรดในกล้ามเนื้อ ควรเลี่ยงแตงโม แคนตาลูป และผลไม้เมืองร้อนเช่น มะม่วง มะละกอ กล้วย เพราะทำให้อาหารไม่ย่อย สับปะรด ส้มโอ มะนาวจะช่วยย่อยดีมาก รวมถึงมะนาวยังจะช่วยละลายเสมหะในระบบของเลือดกรุ๊ปเอ ดังนั้นทุกเช้าควรดื่มน้ำอุ่นที่ผสมมะนาวครึ่งลูก

เลือดกรุ๊ปบี

คนเลือดกรุ๊ปนี้จัดอยู่ในพวกสมดุล เพราะเป็นเลือดเพียงกรุ๊ปเดียวที่สามารถรับประทานอาหารนม เนย ไข่ ได้อย่างเต็มที่

แต่โปรตีนชนิดที่เลือดกรุ๊ปบี รับประทานแล้วเป็นผลร้ายมากที่สุดคือ ไก่ Lectin ในเนื้ออกไก่จะรบกวนระบบและนำไปสู่อาการเส้นเลือดแตกหรือตีบในสมอง รวมถึงโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงควรรับประทานไก่งวงแทน

คนเลือดกรุ๊ปบี ควรจะรับประทานปลาน้ำลึก เช่นปลาหิมะ และปลาเนื้อขาว เช่น ปลาจะระเม็ด ปลาตาเดียว

ร่างกายของเลือดกรุ๊ปบีจะตอบสนองต่อน้ำมันโอลีฟดีมาก ควรทานไม่น้อยกว่าวันละ 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนข้าวโอ๊ตกับข้าวกล้องนั้นจะมีประโยชน์ต่อกรุ๊ปบีเช่นเดียวกัน

ถั่วต่างๆไม่ดีนักต่อเลือดกรุ๊ปบี โดยเฉพาะถั่วลิสง งา และเม็ดทานตะวัน ซึ่งมี Lectinที่รบกวนระบบสร้างอินซูริน สิ่งนี้มีผลร้ายทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้มากในคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้

ถั่วแดงหลวง Lima,Navy และถั่วเหลืองทานได้แต่อย่ามากนัก เพราะพืชตระกูลถั่วและนัท อื่นๆ จะมีแนวโน้มทำให้เกิดโรค น้ำตาลในเลือดลดกะทันหัน

คนเลือดกรุ๊ปบีสามารถเลือกรับประทานผักได้เกือบทั้งหมด เว้นอยู่ไม่กี่ชนิดเช่น มะเขือเทศ ข้าวโพด เลือดกรุ๊ปบีนั้น มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับไวรัสและภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงควรรับประทานผักใบเขียวมากๆเพราะมีแมกนีเซียมซึ่งช่วยป้องกันโรคผื่นคันในเด็ก ส่วนผลไม้นั้นก็สามารถรับประทานได้แทบทุกชนิด เพราะมีระบบย่อยที่สมดุล มีเพียงลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์ที่ควรเลี่ยง คนเลือดกรุ๊ปบีควรรับประทานผลไม้ที่มีผลต่อเลือด 2-3 ครั้งต่อวัน จะไห้ผลดีในการรักษาโรคและลดความเจ็บป่วยด้วย

เลือดกรุ๊ป เอบี
การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพดีเยี่ยมของเลือดกรุ๊ปนี้ค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะเป็นส่วนผสมของทั้งกรุ๊ปเลือด เอ และบี อาหารที่ดีต่อกรุ๊ป เอ และบี ก็ดีต่อ กรุ๊ปเอบี ด้วย แต่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารต้องห้ามอย่างจริงจัง อาหารมังสวิรัติจะให้ผลดีต่อร่างกาย ผลิตภัณฑ์นมและไข่ รับประทานได้แต่ไม่มาก โปรตีนที่เหมาะสมจะได้จากอาหารทะเล เต้าหู้ เนื้อแดง แกะ กวาง และกระต่าย ซึ่งควรรับประทานครั้งละน้อยๆจึงจะย่อยได้ดี เพราะกระเพาะของคนเลือดกรุ๊ป เอบี ไม่ผลิตน้ำย่อยเพียงพอที่จะย่อยโปรตีนที่มากเกินไป

ไม่ควรรับประทานปลาเนื้อขาวและแซลมอนรมควัน ควรรับประทานหอยทากเพราะมี Lectin ที่ต้านมะเร็งเต้านม แม้เลือดกรุ๊ปเอบี จะรับประทาน นม เนย ไข่ ได้คล้ายกรุ๊ปบี แต่โยเกิร์ตและครีมเปรี้ยวจะย่อยได้ง่ายกว่า หากมีเสมหะและมีปัญหาไซนัสอักเสบและหูอื้อ ควรงดอาหารที่ผลิตจาก นม เนย ไข่

ไข่ เป็นแหล่งอาหารที่ดีต่อเลือดกรุ๊ปนี้ แต่ควรใช้ประกอบอาหารในอัตราส่วน ไข่ขาว2ฟองต่อ ไข่แดง 1 ฟอง

ส่วนน้ำมันนั้นควรจะใช้นำมันมะกอกอย่างเดียว เพราะเป็นน้ำมันเพียงชนิดเดียวที่ให้ผลดีกับเลือดกรุ๊ปเอบี

ถั่ว กับเลือดกรุ๊ปเอบีนั้น มีเพียงสามชนิดที่ให้คุณ ซึ่งได้แก่ ถั่งลิสง จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน แต่ถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ก็ไม่ควรรับประทานถั่วเม็ด แต่ให้เปลี่ยนเป็นเนยถั่ว ถั่วชนิดที่สองและสามคือ ถั่วเลนทิลและถั่วเหลือง เพราะเป็นอาหารป้องกันมะเร็งที่สำคัญมาต่อกรุ๊ปเลือด เอบี

อาหารประเภทข้าวและแป้ง เช่น ข้าว ข้าวโอ๊ต และข้าวไรย์ มีประโยชน์แต่ระวังการรับประทานอาหารประเภทแป้งข้าวโพด หากต้องการลดเสมหะควรรับประทานไม่เกิน 1-2 ครั้งต่ออาทิตย์

คนเลือดกรุ๊ป เอบี จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ จึงควรรับประทานผักสดมากๆเพราะเป็นอาหารสำคัญในการป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ ซึ่งเกิดได้ง่ายในกรุ๊ปเอบี

ส่วนเรื่องของผลไม้นั้น คนเลือดกรุ๊ปนี้จะสามารถรับประทานผลไม้ได้ดีเพียงบางอย่าง เช่น องุ่น พลัม และแบรี่ เพราะเป็นผลไม้ที่มีกรดเป็นกลาง ช่วยสร้างความสมดุลให้เนื้อเยื่อ อันเนื่องมาจากการบริโภคแป้งและข้าว...

thanks for horapa.com




 

Create Date : 27 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:05:39 น.   
Counter : 1439 Pageviews.  
space
space
สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการให้คำแนะนำดังต่อไปนี้ อาหารที่ท่านรับประทานมีแร่ธาตุ และวิตามินเหล่านี้หรือไม่

วิตามินดี มีการวิจัยว่าการขาดวิตามินดีเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระดูกเปราะ ซึ่งจะทำให้หลังค่อมในผู้สูงอายุ กระดูกแตก เปราะ ดังนั้น นมเป็นแหล่งวิตามินดีที่ดีที่สุด

ธาตุเหล็ก ผู้หญิงมีความต้องการธาตุเหล็กมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีการเสียเลือดทุกเดือน จากการมีรอบเดือน ซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก และหากได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ท่านจะมีอาการเหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ อาจทำให้เป็นโรคโลหิตจาง อาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ อาหารจำพวกเนื้อแดง ปลา ธัญพืช ผักขม พืชกระกูลถั่ว และผักต่าง ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชที่มีวิตามินซีสูง เช่น พริกไทย มะเขือเทศ พืชจำพวกมะนาว กะหล่ำปลี และมันฝรั่ง

แคลเซียม เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทำให้กระดูกแข็งแรง ผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปจะสูญเสียมวลกระดูก 1% ทุกปี ซึ่งนำไปสูงสาเหตุของการเป็นโรคกระดูกเปราะ แต่หากท่านรับประทานแคลเซียมอย่างน้อย 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ก่อนถึงวัยหมดประจำเดือน และ 1,500 มิลลิกรัมหลังวัยหมดประจำเดือน ก็จะช่วยทดแทนมวลกระดูกที่เสียไปได้

นม เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุด นมพร่องมันเนย 1 แก้ว ให้แคลเซียม 300 มิลลิกรัม นมเปรี้ยวพร่องมันเนย ปลาซาดีน ปลาแซลมอนติดกระดูกอ่อนก็เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม

ผัก ผลไม้ และธัญพืช อาหารเพื่อสุขภาพกลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ทั้งเพื่อป้องกัน และต่อสู้โรคร้าย ทุกวันนี้หลายท่านมีมุมมองในการรับประทานผักโดยคำนึงถึงสุขภาพเป็นหลัก ผักมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่รับประทานกันแพร่หลาย ผักพื้นบ้านที่เราไม่คุ้นเคย ขอแนะนำผักพื้นบ้านที่หารับประทานได้ไม่ยาก อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการป้องกัน และรักษาโรค

กระชาย มีสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่น และแก้อาการปวดมวนในท้อง เช่นเดียวกับโหระพา สารอาหารที่พบมากในราก และเหง้าของกระชาย คือ แคลเซียม และวิตามินเอ อาจใช้ราก และเหง้ากระชายมาต้มกับน้ำ ดื่มเพื่อขับลมได้โดยใช้ประมาณครึ่งกำมือ (น้ำหนักสด 5-10 กรัม, น้ำหนักแห้ง 3-5 กรัม)

กระเทียม มีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันในเลือด การรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือดในใบกระเทียมจะมีสารอาหารจำพวกวิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ เช่น วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเบต้า-แคโรทีน

ขมิ้น มีสรรพคุณช่วยรักษาอาการนิ่วในถุงน้ำดี รวมทั้งโรคกระเพาะอาหารได้ หากนำแง่งขมิ้นมาต้มกับน้ำ หรือคั้นน้ำผสมลงในอาหาร

ขิง น้ำขิงมีประโยชน์ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด เพราะขิงจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหาร และลำไส้ ช่วยขับลม เช่นเดียวกับตะไคร้ ส่วนคนที่มีอาการไอ หรือมีเสมหะมาก นำขิงมาฝนกับน้ำมะนาวผสมเกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ จะช่วยบรรเทาอาการได้

ขี้เหล็ก เต็มไปด้วยแร่ธาติต่าง ๆ แกงขี้เหล็กใส่กะทิ มีสารเบต้า-แคโรทีน ซึ่งร่างกายจะนำไปสร้างเป็นวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา เบต้า-แคโรทีนจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด ซึ่งเบต้า-แคโรทีนจะมีประสิทธิภาพ เมื่อกินร่วมกับไขมัน ซึ่งมีมากในกะทินั่นเอง ใบขี้เหล็กช่วยให้เจริญอาหาร และเป็นยาระบายอ่อน ๆ รักษาอาการท้องผูก ป้องกันการเกิดนิ่ว ลดอาการปวดประจำเดือนได้อีกด้วย

ชะอม เส้นใยในยอดชะอมช่วยป้องกันมะเร็ง ชะอม 1 ขีดให้ใยอาหาร 3.9 กรัม เมื่อรวมกับใยอาหารจากผักอื่นที่เรารับประทาน ใยเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายปลอดภัยจากสารก่อมะเร็งต่าง ๆ เช่นเดียวกับบาต้า-แคโรทีน ยอดผักเขียวเข้มของชะอมช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดเช่นเดียวกับตำลึง และสะเดา

ใบแมงลัก ใบและลำต้น เมื่อกินสด ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับลม ขับเหงื่อ น้ำที่คั้นจากใบสดใช้กินแก้หวัด และหลอดลมอักเสบได้ ส่วนเมล็ด หากทานแบบไม่แช่น้ำประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จะช่วยดูดซึมแก้โรคเบาหวานได้

มะเขือยาว รากและลำต้นใช้เป็นยาแก้บิดเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือด เท้าเปื่อยบวมอักเสบ ปวดฟัน และแผลถูกความเย็นจัด ส่วนใบแก้ปัสสาวะขัด หนองใน ถ่ายเป็นเลือด ตกเลือดในลำไส้ แผลบวมอักเสบมีหนอง ส่วนดอกใช้แก้แผลมีหนอง และปวดฟัน ขั้นผลใช้เป็นยารักษาฝี แผลอักเสบ และแก้ปวดฟัน

พริกไทยอ่อน ให้พลังงาน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และมีเบต้า-แคโรทีน ช่วยย่อยอาหาร แก้ปวดหัวปวดตามข้อ และแก้ท้องเสียได้

มันเทศ เป็นแหล่งแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก และฟัน ลดปัญหากระดูกพรุน ซึ่งมักเกิดขึ้นในหญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ นอกจากนี้ยังมีสารเบต้า-แคโรทีน และวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ฟักทอง อุดมไปด้วยสารเบต้า-แคโรทีน ซึ่งป้องกันมะเร็ง เนื้อฟักทองช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ ไต นัยน์ตา ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไปให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

บัวบก ใบบัวบกใช้สมานแผลภายนอก สารสกัดจากผลแห้งใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้แผลหาย ช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำ และสมองทำงานได้ดี นอกจากนี้ยังบำรุงหัวใจ ลดอาการแพ้ ลดความดันเลือด

สะระแหน่ มีสารเบต้า-แคโรทีน และวิตามินซี ช่วยรักษาอาการหวัด


thanks for horapa.com




 

Create Date : 26 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:05:06 น.   
Counter : 915 Pageviews.  
space
space
อาหารในฤดูร้อน
อาหารในฤดูร้อน


บ้านเรามีอากาศร้อน…ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม - มิถุนายนและสิ่งที่ตามมากับฤดูร้อน ก็คือความไม่ปลอดภัยของอาหารที่เราบริโภค เพราะความเน่าเสียง่ายของอาหาร ทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคอาหารเป็นพิษ ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน วันนี้เรามีวิธีการเลือกรับประทานมาฝากกันค่ะ

การเตรียมอาหารเพื่อลดความเสี่ยง ควรพิจารณาและระมัดระวัง ตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาหารเป็นพิษ ดังนี้
1. เลือกซื้ออาหารที่สด สะอาด ไม่มีรอยแตกหรือรอยช้ำ
2. ล้างทำความสะอาดอาหารด้วยน้ำสะอาดทุกครั้ง
3. ปรุงอาหารโดยผ่านความร้อนในอุณหภูมิสูง และนานพอที่จะทำให้อาหารปลอดภัย
4. เลือกใช้ภาชนะปรุงอาหารที่สะอาด โดยเฉพาะเขียงที่ใช้หั่นเนื้อสัตว์ ควรทำความสะอาดอยู่เสมอ
5. หลีกเลี่ยงการจับต้องอาหารที่ปรุงสุกแล้ว หรืออาหารที่พร้อมจะรับประทาน
6. เตรียมอาหารให้เสร็จใกล้กับเวลาที่จะรับประทานมากที่สุด
7. อาหารที่ต้องเก็บในตู้เย็น ควรนำเก็บในตู้เย็นให้เร็วที่สุดไม่ควรวางทิ้งไว้
8. ควรเก็บรักษาอาหารให้พ้นช่วงอุณหภูมิอันตรายคือระหว่าง 5-60 องศาเซลเซียส จึงไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง
9. ไม่ควรเก็บอาหารสุกและอาหารดิบไว้ด้วยกัน เพราะเกิดการปนเปื้อนได้ง่าย
10. ไม่ควรนำอาหารออกจากตู้เย็นก่อนเตรียมอาหารเกิน 20 นาที

การเลือกรับประทานอาหาร
เพื่อลดความเสี่ยง อาหารทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการผิดปกติกับร่างกาย เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ซึ่งอาการจะรุนแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของจุลินทรีย์ ที่ทำให้เกิดโรค คือถ้าอาหารบูดเราสามารถรู้ได้และเลี่ยงที่จะรับประทาน แต่อาหารบางอย่าง สี กลิ่น รส ลักษณะยังไม่เปลี่ยน ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะจุลินทรีย์อยู่ในระดับที่ยังไม่ทำให้อาหารเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีปริมาณมากพอที่จะทำลายสุขภาพของเราได้ ดังนั้นเพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อ การเกิดโรคอาหารเป็นพิษ เฉพาะในช่วงหน้าร้อนจะทำให้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เรามีหลักในการเลือกรับประทานอาหารดังนี้
1. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำไว้นาน
2. เลือกรับประทานอาหารที่ผ่านความร้อนอย่างทั่วถึง เช่น อาหารประเภทแกง ต้มจืด ต้มยำ
3. หลีกเลี่ยงอาหารที่สุกๆดิบๆ หรือผ่านความร้อนน้อย เช่น หอยแครงลวก
4. หลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่ต้องผ่านการสัมผัสหลังจากการทำสุก เช่น ลาบ พล่า ยำ สลัด
5. ควรทราบว่าอาหารประเภทใดบูดง่าย อาหารที่มีเครื่องเทศมากมีรสเผ็ด ได้แก่ แกงเผ็ด ผัดเผ็ด จะบูดเสียกว่าอาหารที่มีรสจืด โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์และกะทิ
6. ไม่ควรซื้ออาหารสำเร็จมาวางทิ้งไว้นาน ถ้ายังไม่รับประทานควรเก็บไว้ในตู้เย็น
7. ควรอุ่นอาหารที่ซื้อสำเร็จก่อนรับประทาน
8. ไม่ควรเก็บอาหารที่ซื้อสำเร็จที่เหลือจากการรับประทานไว้อีกเพราะจะทำให้บูดเสียง่าย ถ้าต้องการเก็บไว้ ควรอุ่นอีกครั้งก่อนนำเข้าเก็บไว้ในตู้เย็น

ในการรับประทานอาหารทุกครั้ง โดยเฉพาะการรับประทานอาหารนอกบ้าน ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และควรดูแลเรื่องความสะอาดของอาหาร ภาชนะและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปรุงอาหาร สิ่งแวดล้อม และอย่าลืมดูแลเรื่องสุขอนามัยของตนเองด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคอาหารเป็นพิษ แล้วฤดูร้อนนี้….คุณจะไม่มีปัญหาด้านสุขภาพมากวนใจค่ะ


Thank for horapa.com




 

Create Date : 24 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:04:34 น.   
Counter : 955 Pageviews.  
space
space
กินแกงกระตุ้นความจำ
กินแกงกระตุ้นความจำ

เครื่องเทศสำคัญในแกงเหลืองอย่างขมิ้น สามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคทางประสาทและลดผลกระทบจากโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทอย่าง อัลไซเมอร์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้นักวิจัยยังยืนยันถึงประสิทธิภาพยอดเยี่ยมของเครื่องเทศในการต่อสู้กับปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ศัตรูร้ายทำลายเซลล์สมองโดยเฉพาะในหน่วยความจำ เมื่อเราอายุมากขึ้น ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นจะโจมตีเซลล์สมองมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่เปราะบางและไวต่อการถูกทำลายจากปฏิกิริยาดังกล่าวมากกว่าส่วนอื่นๆ
สมองจำต้องสร้างยีนที่ชื่อว่า Hemeoxygenase-1( HO-1) ขึ้นมาเพื่อต่อกรกับออกซิเดชั่น และยีนตัวนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสมองถูกกระตุ้นเท่านั้น และสารกระตุ้นดังกล่าวก็พบมากในขมิ้นนั่นเอง นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยคาตาเนียในอิตาลี และนิวยอร์กยืนยันถึงประสิทธิภาพของสารสำคัญในขมิ้นที่มีผลต่อการกระตุ้นยีน HO-1ว่าช่วยยับยั้งไม่ให้เซลล์สมองถูกทำลายโดยออกซิเดนท์ได้เป็นอย่างดี

เมื่อสมองเกิดสภาวะออกซิเดชั่น เซลล์สมองจะเกิดการอักเสบและค่อยๆ ตายไปในที่สุด ส่งผลให้เซลล์เนื้อเยื่อของเส้นประสาทถูกทำลาย และนำไปสู่โรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ขมิ้นจึงไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังบำรุงสมองเราให้เฉียบคมตามอายุที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วยในประเทศอินเดีย แหล่งเครื่องเทศสำคัญของโลกและนิยมใช้ขมิ้นเป็นส่วนประกอบอาหารมีการทดลองเพื่อค้นหาคุณประโยชน์ของขมิ้นที่นอกเหนือไปจากสรรพคุณในการลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์อย่างกว้างขวาง และพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในขมิ้นเป็นกุญแจสำคัญในการถนอมอาหาร นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เมนูอาหารแต่โบราณหลายๆ จานมีขมิ้นเป็นส่วนประกอบ อีกทั้งยังได้สี กลิ่นและรสชาติเป็นของแถม

บรรดาเครื่องเทศต่างๆ นั้นมีสารปฏิชีวนะป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในอาหารได้มากกว่า เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ เม็ดสีในเครื่องเทศคือส่วนที่มีสารปฏิชีวนะดังกล่าว นักวิจัยจากศูนย์โรคอัลไซเมอร์แห่งมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ระบุว่า ขมิ้นมีสารสำคัญที่ไม่พบในเครื่องเทศชนิดอื่นในการยับยั้งไม่ให้ไม่ให้เกิดกลุ่มก้อนโปรตีนเล็กๆ ในสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่เรียกว่า Amyloid Plaquesโดยสารในขมิ้นจะเข้าผ่ากลางกลุ่มโปรตีนดังกล่าวไม่ให้รวมตัวกัน

ดร. Sally Frautschy ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอแนะนำให้รับประทานขมิ้นให้ได้ 200 มิลลิกรัมต่อครั้ง อาทิตย์ละสี่ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย ขณะเดียวกัน เรายังพบสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในเครื่องเทศชนิดอื่น อย่างขิงและอบเชย ซึ่งให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับขมิ้น รวมทั้งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่เซลล์สมองได้เป็นอย่างดี

...รู้อย่างนี้แล้ว มื้อต่อไปต้องมีแกงขึ้นสำรับแล้วล่ะ




 

Create Date : 23 มีนาคม 2551   
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:03:28 น.   
Counter : 1151 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space