|
|
ผึ้ง (นมผึ้ง-รอยังเยลลี่) (ตอนที่ 5) |
|
อาหารสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการหรือโรคที่นำมาเสนอนี้ เป็นการศึกษาของประเทศจีน ซึ่งทางจีนได้มีการค้นคว้าอย่างเป็นระบบ หากท่านผู้อ่านท่านใดได้เคยใช้ในการรักษาอาการ หรือโรคใดและได้ผล กรุณาแจ้งมายัง หมอชาวบ้าน เพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลศึกษา และเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์ส่วนรวมต่อไป
ตอนที่แล้ว เราได้เสนอผลการทดสอบนมผึ้งในเชิงเภสัชวิทยาได้แล้วว่าสามารถเพิ่มภูมิต้านทางโรคให้กับร่างกาย และกระตุ้นเนื้อเยื่อให้เจริญเติบโตได้ แต่นมผึ้งยังมีผลต่อร่างกายในด้านอื่นอีก ดังจะได้เสนอต่อไปในฉบับนี้
3. ยืดอายุให้ยืนยาว มีผู้เชื่อว่าในนมผึ้งมีโกลบูลินอยู่ 2 ชนิด โกลบูลินทั้งสองชนิดนี้ สามารถชะลอความชราและสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย แต่ก็มีนักวิชาการบางท่านเชื่อว่า เหตุที่นมผึ้งสามารถทำให้อายุยืนได้เพราะกรดแพนโทเทนิก (Pantothenic acid) (วิตามินชนิดหนึ่งของกลุ่มวิตามินบีรวม) และวิตามินบี 6 เคยมีการทดลองโดยให้นมผึ้งกับหนอนในผลไม้ ผลการทดลองพบว่า หนอนที่เลี้ยงด้วยนมผึ้งจะมีอายุเฉลี่ย 15.5 วัน ส่วนหนอนที่ไม่ได้กินนมผึ้งจะมีอายุเฉลี่ย 13.3 วันเท่านั้น
4. ผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ ร่างกายมนุษย์มีระบบทำงานที่สลับซับซ้อน การที่ร่างกายมนุษย์สามารถทำงานได้อย่างกลมกลืน และเป็นระบบได้รั้นเพราะระบบต่อมไร้ท่อ ถ้าหากต่อมไร้ท่อผิดปกติขาดการควบคุม หรือขาดความสมดุล ก็จะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ หรือตายได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จงจำเป็นต้องมีการปรับสมดุลของร่างกาย สำหรับการปรับสมดุลของร่างกายนั้นมีอยู่ 2 วิธี คือ
วิธีแรก คือ การปรับสมดุลของร่างกายเอง (ปัจจัยภายใน) ทำให้ร่างกายฟื้นคืนสมรรถนะและสา มารถทำงานได้อย่างปกติ วิธีที่สอง คือ การกินอาหาร หรือยา (ปัจจัยภายนอก) ที่มีสารเช่นเดียวกับที่หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อ นมผึ้งนั้นมีผลทั้งสองประการดังที่กล่าวมาแล้ว
ผลการทดลอง นมผึ้งมีฤทธิ์กระตุ้นฮอร์โมนเพศ ในการทดลองให้นมผึ้งในแม่ไก่ไข่จะเพิ่มขึ้นกว่าปกติ 1 เท่าตัว นอกจากนี้ในแม่ไก่ที่หยุดการให้ไข่แล้ว หลังจากกินนมผึ้งจะสามารถวางไข่ได้อีก นมผึ้งกับน้ำตาลในเลือด จากการทดลองในสัตว์ที่มีร่างกายปกติ เมื่อได้นมผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะลดลง ในการทดลองยังพบว่า นมผึ้งสามารถลดน้ำตาลในสัตว์ที่เป็นเบาหวานเนื่องจากใช้แอลล็อกแซน (Alloxan) ได้ หลังจากได้นมผึ้ง 2-6 ชั่วโมง น้ำตาลในเลือดจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ให้นมผึ้ง ในปัจจุบัน พบว่า เหตุที่นมผึ้งสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ เพราะมีพวกเพ็ปไทด์ (Peptide) ที่ออกฤทธิ์คล้ายกับอินซูลินอยู่ นมผึ้งกับไอโอดีนในร่างกาย ผลจากการเลี้ยงหนูถีบจักรด้วยนมผึ้ง ทำให้ต่อมธัยรอยด์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นมผึ้งยังมีฤทธิ์กระตุ้นให้ต่อมธัยรอยด์สามารถรับไอโอดีนได้มากขึ้นหลังจากใช้เมทิล-ไทโอยูราซิล (Methylthiouracil) ยับยั้ง
นมผึ้งกับโคเลสเตอรอล การทดลองโดยให้กระต่ายกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง อีกกลุ่มหนึ่งนอกจากให้อาหารดังกล่าวแล้วยังให้กิน หรือฉีดนมผึ้ง (10-15 มก./กก.) ผลปรากฏว่ากลุ่มที่ให้นมผึ้งไขมันและโคเลสเตอรอลเลือดต่ำกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง หลังจากการผ่าตัดพบว่านมผึ้งสามารถลดการแข็งตัวของหลอดเลือดจากไขมันและโคเลสเตอรอลได้ และผลจากการถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจ ปรากฏว่ากลุ่มที่ให้นมผึ้งหลอดเลือดหัวใจจะตีบน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ให้นมผึ้ง
5. ฤทธิ์ในการยับยั้งแบคทีเรีย ในปี 2501 ที่ประชุมนักเลี้ยงผึ้งระหว่างประเทศได้รายงานว่า นมผึ้งเข้มข้น 7.5 มก./ลิตร สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของโคลิบาซิลลัส (Colibacillus), สแตฟิโลค็อกคัส (Staphylococcus) ได้ สำหรับ ยีสต์(Saccharomyces) แม้จะใช้นมผึ้งที่มีความเข้มข้น 25 มก./ลิตร ก็ไม่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของยีสต์ได้ เคยมีผู้ทำการทดลองเปรียบเทียบนมผึ้งกับเพนิซิลลินในหนูตะเภาที่ติดเชื้อโคลิบาซิลลัส และสแตฟิโลค็อกคัส โดยใช้สารละลายนมผึ้ง 10% เปรียบเทียบกับเพนิซิลลิน 2,000 หน่วย/มล.หรือสารละลาย แกรมมิไซดีน (Gramicidin) ทาบริเวณแผล ผลปรากฏว่าแผลที่ทาด้วยสารละลายนมผึ้งจะหายใน 13-20 วัน สำหรับกลุ่มที่ใช้เพนิซิลลินหรือแกรมมิไซดีนจะหายใน 18-20 วัน ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า นมผึ้งสามารถทำให้แผลหายได้ไม่แพ้การใช้เพนิซิลลิน
6. ความเป็นพิษของนมผึ้ง นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ทำการทดลองพบว่า ถ้าใช้นมผึ้ง 1 มก./กก. จะมีฤทธิ์ กระตุ้นประสาท และทำให้น้ำหนักของร่างกายเพิ่มขึ้น ถ้าใช้ถึง 100 มก./กก. จะมีฤทธิ์ทำให้การสันดาป (Metabolism) ของร่างกายปั่นป่วน (100 มก./กก. ในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีน้ำหนัก 60 กก.) ถ้าใช้จนกระทั่งถึง 6 กรัม/กก. จึงจะเกิดผลข้างเคียง นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ใช้นมผึ้งฉีดเข้าช่องท้องหนูตะเภา ในปริมาณ 300, 1,000, 3,000 มก./กก. เป็นเวลาติดต่อกัน 5 สัปดาห์ ไม่ปรากฏผลข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้น มีบางคนได้เพิ่มปริมาณที่ให้ถึง 16 กรัม/กก. ก็ไม่ปรากฏว่าหนูตาย
ข้อระวัง : มีบางท่านที่แพ้นมผึ้ง อาการที่เกิดจากการแพ้มักมีอาการหืด หอบ หรือเป็นผื่นแดง ถ้าเกิดอาการเหล่านี้ขึ้น ไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่หยุดกินนมผึ้ง อาการดังกล่าวก็จะหายไปเอง
ขอบคุณ หมอชาวบ้าน
Create Date : 30 เมษายน 2552 | | |
|
Last Update : 30 เมษายน 2552 7:13:34 น. |
| |
Counter : 12484 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
ผึ้ง (นมผึ้ง-รอยัลเยลลี่) (ตอนที่ 4) |
|
อาหารสมุนไพรที่ใช้รักษาหรือโรคที่นำมาเสนอนี้ เป็นการศึกษาของประเทศจีน ซึ่งทางจีนได้มีการค้นคว้าอย่างเป็นระบบ หากท่านผู้อ่านท่านใดได้เคยใช้ในการรักษาอาการ หรือโรคใดและได้ผล กรุณาแจ้งมายัง หมอชาวบ้าน เพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลศึกษา และเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์ส่วนร่วมต่อไป
ในตอนก่อน ๆ ได้กล่าวถึงคุณภาพของนมผึ้ง การเก็บนมผึ้งและสารที่พบในนมผึ้งแล้ว ในตอนนี้จะกล่าวถึงผลทางเภสัชวิทยา
ผลทางเภสัชวิทยา
1. เพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
การทดลองโดยแบ่งหนูตะเภาออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้นมผึ้งเป็นอาหาร กลุ่มที่สองให้อาหาร ธรรมดา หลังจากนั้นก็จับหนูทั้งสอง (ทำเครื่องหมายแบ่งกลุ่มให้ชัดเจน) ใส่ลงในอ่างน้ำ หนูทั้งหมดต่างก็ว่ายน้ำ จนกระทั่งเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จะสังเกตได้ชัดว่า หนูที่เลี้ยงด้วยอาหารธรรมดา จะเริ่มเหนื่อย แล้วค่อย ๆ จมลงในน้ำ แล้วลอยขึ้นมาใหม่จนกระทั่งหมดแรงและจมลงไปในน้ำ ส่วนหนูกลุ่มที่เลี้ยงด้วยนมผึ้งจ่ายได้นานกว่าหลายสิบนาทีจึงค่อยหมดแรงแล้วจมลงไปในน้ำ
เป็นที่ทราบกันแล้วว่า สิ่งมีชีวิตถ้าขาดออกซิเจนก็จะตาย แต่นมผึ้งสามารถทำให้มีชีวิตยาวนานขึ้นในภาวะที่ขาดออกซิเจนชั่วคราว จากการทดลองโดยนำเอาขวดมาใบหนึ่ง จับหนูทั้ง 2 กลุ่มที่แบ่งเหมือนข้างต้น ทำเครื่องหมายแบ่งกลุ่มให้เห็นได้ชัดจนใส่ลงในขวด ใส่สารดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไป หลังจากนั้นก็สูบอากาศในขวดออก ปรากฏว่าหนูกลุ่มที่เลี้ยงด้วยอาหารธรรมดา จะค่อย ๆ ตายไปทีละตัวสองตัว หลังจากนั้นหนูกลุ่มที่เลี้ยงด้วยนมผึ้งจึงค่อย ๆ ตายตาม
นมผึ้งทำให้สัตว์ทดลองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร? นักวิทยาศาสตร์ได้นำหนูทดลองที่ตายแล้วทั้งสองกลุ่มมาผ่าดู พบว่านมผึ้งสามารถทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า แมกโครเฟก (macrophage) กลืนและทำลายแบคทีเรีย หรือสารปลอมแปลงอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้น ประมาณเท่าตัว การทดดลองแสดงให้เห็นว่า นมผึ้งสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ เคยมีการทดลองโดยฉายรังสีหนูถีบจักร โดยใช้รังสีโคบอลต์ (Cobalt60) ในปริมาณ 60.4 เรินแกนเป็นเวลาติดต่อกัน 12 วัน และหลังจากฉายรังสีไปแล้ว 12 วัน ปรากฏว่าหนูกลุ่มที่กินนมผึ้งสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก 19 วัน ในขณะที่หนูอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งให้อาหารธรรมดาจะตายไป หลังจากฉายรังสีได้เพียง 11 วัน การทดลองแสดงให้เห็นว่า นมผึ้งสามารถทำให้หนูมีความคงทนต่อรังสีได้สูงกว่าปกติ
2. กระตุ้นเนื้อเยื่อให้เจริญเติบโต ในชีวิตประจำวัน ปรากฏการณ์ที่เรามักพบบ่อย ๆ คือ บาดแผลอย่างเดียวกันในสภาพเหมือนกัน บาดแผลของคนหนุ่มมักหายได้เร็วกว่าของคนแก่ ที่กล่าวมานี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังชีวิต ความแข็งแรงของพลังชีวิตมีผลต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อเป็นอย่างมาก การทดลองพบว่า นมผึ้งสามารถทำให้เซลล์ที่หมดสภาพถูกแทนที่โดยเซลล์ใหม่ เซลล์เม็ดเลือดแดงมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เคยมีผู้นำเอาหมูและไก่ไปทดลองโดยให้กินนมผึ้ง ผลปรากฏหลังจากให้กินนมผึ้ง น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 การทดลองแสดงให้เห็นว่า นมผึ้งมีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักอย่างเห็นได้ชัด การทดลองโดยใช้วิธีตัดหรือทำให้เส้นประสาทขา (sciatic nerve) บอบช้ำ ผลการทดลองพบว่า นมผึ้งสามารถทำให้เส้นประสาทนี้งอกและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น (ขาหลังของเส้นประสาทที่ถูกตัดหรือบอบช้ำมีการสะท้อนกลับได้เร็วขึ้น)เมื่อเทียบกับอีกกลุ่มหนึ่ง มีการทดลองตัดไตข้างหนึ่งของหนูตะเภา ที่เหลืออีกข้างหนึ่งตัดเฉพาะบางส่วน การทดลองพบว่า หนูที่กินนมผึ้งจะมีเนื้อเยื่องอกใหม่ บริเวณไตที่ถูกตัด เคยมีนักวิทยาศาสตร์นำนมผึ้งที่มีความเข้มข้น 500 มิลลิกรัมต่อลิตร ไปรดเห็ดหอม หลังจากนั้น 10 วันจะได้เห็ดหอมหนัก 1,800 มิลลิกรัม ส่วนเห็ดหอมที่ให้อาหารธรรมดาจะมีน้ำหนักเพียง 1,400 มิลลิกรัม ต่างกัน 400 มิลลิกรัม การทดลองพบว่า นมผึ้งไม่เพียงแต่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ได้ แต่ยังสามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้อีกด้วย
ขอบคุณ หมอชาวบ้าน
Create Date : 29 เมษายน 2552 | | |
|
Last Update : 29 เมษายน 2552 7:14:35 น. |
| |
Counter : 1230 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
อาหารสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการหรือโรคที่นำมาเสนอนี้ เป็นการศึกษาของประเทศจีน ซึ่งทางจีนได้มีการค้นคว้าอย่างเป็นระบบ หากท่านผู้อ่านท่านใดได้ เคยใช้ในการรักษาอาการ หรือโรคใดและได้ผล กรุณาแจ้งมายัง หมอชาวบ้าน เพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลศึกษา และเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์ส่วนรวมต่อไป
กล่าวถึงคุณภาพของนมผึ้งแล้ว ฉบับนี้จะกล่าวถึงการเก็บนมผึ้ง การเก็บนมผึ้งที่ดีและถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การเก็บจะต้องระวังเกี่ยวกับอากาศ ความร้อนภาชนะ (ไม่ควรใช้โลหะ) แสง ความสะอาด กรดและด่าง ขวดที่ใส่ควรใส่ให้เต็ม (ให้มีช่องว่างของอากาศน้อยที่สุด) แล้วปิดฝาให้สนิท จะต้องเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ โดยทั่วไปการเก็บนมผึ้งจะอยู่ระหว่าง -5 ถึง -7 องศาเซลเซียส จะเหมาะที่สุด จากประสบการณ์พบว่า นมผึ้งถ้าเก็บที่อุณหภูมิ -2 องศาเซลเซียสจะเก็บได้นาน 1 ปี ที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียสจะเก็บได้นานหลายปี
การใช้นมผึ้งในการรักษาโรคนั้น มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน มีบันทึกไว้ในหนังสือต่าง ๆ มากมาย จนกระทั่งปี ค.ศ. 1921 (พ.ศ. 2464) ความลับของนมผึ้งได้ถูกเปิดเผยโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ ดี.เจ. เลนจ์ (D.J.Lange) เขาพบว่านมผึ้งจะถูกหลั่งออกมาจากต่อมบริเวณหัวของผึ้งงานที่มีอายุ 5-15 วัน สำหรับการวิจัยทางชีววิทยาเคมี เภสัชวิทยา และผลการทดลองทางคลินิกนั้น เพิ่งจะมีการศึกษา วิจัยเมื่อไม่นานนี้เอง
สารที่พบในนมผึ้ง น้ำ 65% โปรตีน 12% ไขมัน 6% คาร์โบไฮเดรต 13% เถ้า 1% สารอื่น ๆ 3%
โปรตีนและกรดอะมิโน โปรตีนและกรดอะมิโนเป็นสาระสำคัญในนมผึ้ง ในโปรตีนมีอัลบูมิน (Albumin) 2 ส่วน 3 โกลบูลิน (Globulin) 1 ใน 3 ซึ่งเหมือนกับอัตราส่วนของอัลบูมินและโกลบูลินในร่างกายมนุษย์ โปรตีนเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต และกรดอะมิโนก็เป็นสารพื้นฐานของโปรตีน ดังนั้นถ้าขาดกรดอะมิโน ก็จะไม่มีชีวิต และทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ กรดอะมิโนในนมผึ้งล้วนเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย บางชนิดร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้ จะต้องพึ่งพาอาศัยจากภายนอก
วิตามิน ในนมผึ้งมีวิตามิน บีหนึ่ง, บีสอง และบีหกเป็นจำนวนมาก แต่จะเป็นวิตามินบีหนึ่งมากที่สุด
ฟอสเฟต ในนมผึ้ง 1 กรัมมีฟอสเฟต 2-7 มิลลิกรัม เป็นอะดีโนซีน ไตรฟอสเฟส (adenosine troposphere) 302 ไมโครกรัม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานในร่างกาย การที่นักยกน้ำหนักสามารถยกน้ำหนักได้มาก ๆ ก็เป็นเพราะสารตัวนี้นี่เอง
กรดอินทรีย์ ในนมผึ้งมีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง เรียกว่า กรดดีไซลีน (Decylene acid) ซึ่งมีประมาณร้อยละ 4 เนื่องจากกรดชนิดนี้มีในธรรมชาติ โดยเฉพาะในนมผึ้ง จึงเรียกว่ากรดนมผึ้ง กรดชนิดนี้นอกจากมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโรคได้ดีแล้ว จากผลการวิจัยในจีนพบว่าสามารถยับยั้งมะเร็งได้ระดับหนึ่ง กรดชนิดนี้จะมีอยู่ในนมผึ้งในปริมาณและสภาพที่แน่นอน ถ้านมผึ้งมีคุณภาพเปลี่ยนไปหรือเป็นนมผึ้งปลอม กรดนี้ก็จะลดน้อยลงด้วย ดังนั้นจึงถือเป็นมาตรฐานอย่างหนึ่งในการกำหนดคุณภาพของนมผึ้ง ในทางสากลกำหนดไว้ว่า ควรมากกว่า 1.4%
ธาตุอื่น ๆ ธาตุอื่น ๆ ในนมผึ้ง แม้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็เป็นธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ธาตุที่พบในนมผึ้งได้แก่ เหล็ก แมงกานีส ทองแดง สังกะสี โคบอลต์ เป็นต้น
ฮอร์โมน ที่สำคัญ ได้แก่ นอร์อะดรีนาลิน, ไฮไดรคอร์ติโซน เป็นต้น เนื่องจากนมผึ้งเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ดังนั้นปริมาณของฮอร์โมนเหล่านี้จึงมีจำนวนน้อย ไม่มากพอที่จะเกิดผลข้างเคียงกับร่างกาย แต่จะมีผลที่สำคัญต่อร่างกาย
ขอบคุณ หมอชาวบ้าน
Create Date : 28 เมษายน 2552 | | |
|
Last Update : 28 เมษายน 2552 7:02:31 น. |
| |
Counter : 1107 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
อาหารสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการหรือโรคที่นำมาเสนอนี้ เป็นการศึกษาของประเทศจีน ซึ่งทางจีนได้มีการค้นคว้าอย่างเป็นระบบ หากท่านผู้อ่านท่าใดได้เคยใช้ในการรักษาอาการ หรือโรคใดและได้ผล กรุณาแจ้งมายัง หมอชาวบ้าน เพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลศึกษา และเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์ส่วนรวมต่อไป
มีผู้กล่าวว่า ผึ้งเป็นสถาปนิกชั้นเลิศนั้น เป็นคำพูดที่เท็จจริงแค่ไหน?รวงรังของผึ้งทุกชนิดประกอบไปด้วยเซลล์ที่เป็นรูปหกเหลี่ยมด้านเท่าจำนวนมากเรียงกันเป็นรวงรัง เซลล์จะมีขนาดที่ต่าง ๆ กัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของผึ้ง เช่น ผึ้งหลวง เซลล์จะใหญ่ ผึ้งมิ้มจะมีขนาดเล็กที่สุด ส่วนจำนวนของเซลล์นั้น อาจมีจำนวนมากเป็นหมื่น ๆ เซลล์เดียวกับผึ้งเลี้ยงได้ รวงผึ้งนั้นเปรียบเสมือนบ้าน เซลล์ก็คือห้องที่อยู่ในบ้านนั่นเอง เซลล์เป็นที่อยู่อาศัยของผึ้งอ่อน ผึ้งนางพญาจะวางไข่ลงที่ฐานเซลล์ หลังจากนั้นตัวอ่อนจะค่อย ๆ เจริญเติบโต กลายเป็นดักแด้ เมื่อลอกคราบแล้วก็จะกลายเป็นผึ้ง
เซลล์จะมีขนาดกว้าง 0.20 นิ้ว (สำหรับผึ้งงาน) 0.25 นิ้ว (สำหรับผึ้งตัวผู้) ส่วนเซลล์ของผึ้งนางพญานั้น มีลักษณะพิเศษคือ เป็นเซลล์ที่ใหญ่ที่สุด เป็นหลอดยาวอยู่ทางด้านล่างของรวงรังในลักษณะที่ห้อยหัวลง ผึ้ง (ยกเว้นนางพญา) เมื่อโตเต็มที่และจะไม่เข้าไปอยู่ในเซลล์อีก แต่จะอาศัยโดยเกาะห้อมล้อมอยู่รอบ ๆ รวงรัง ในฤดูดอกไม้บาน เซลล์สำหรับวางไข่อาจเป็นที่เก็บน้ำผึ้งและเกสรได้อีกด้วย โดยปกติผึ้งจะเก็บน้ำผึ้งไว้ส่วนบนสุดของรวงรัง (ที่เราเรียกว่า หัวรวง) เซลล์ที่อยู่ต่ำลงมา จะเป็นที่เก็บเกสรและตัวผึ้งอ่อนเมื่อรวงรังชำรุดหรือเสียหาย ก็เป็นหน้าที่ของผึ้งงายที่จะต้องเป็นผู้ฝ่ายซ่อมแซม โดยใช่ไขผึ้งซึ่งได้จากต่อมไขผึ้ง 4 คู่ ทางด้านล่างส่วนท้องของผึ้งงาน (อายุ 12-18 วัน) ไขผึ้งที่ได้จะเป็นแผ่น ๆ ผสมกับน้ำลายให้อ่อนตัวลง แล้วจึงนำไปเชื่อมต่อ ๆ กัน เป็นเซลล์จนกลายเป็นรวงรัง
การแยกรังของผึ้ง การแยกรังเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติที่ผึ้งต้องการจะสร้างรังใหม่ ผึ้งนางพญาที่แก่แล้วมีโอกาสในการที่จะแยกรังมากกว่าผึ้งนางพญาที่มีอายุน้อยก่อนการแยกรัง 7-10 วัน ผึ้งงานจะสร้างหลอดนางพญาขึ้นตรงบริเวณด้านล่างของรวงรัง ขณะเดียวกันผึ้งนางพญาก็จะเพิ่มอัตราการวางไข่ เพื่อเพิ่มประชากรผึ้งให้มากข้นในเวลาสั้น ๆ มีการหาอาหารมากขึ้น เกือบทุกเซลล์ในรวงผึ้งจะเต็มไปด้วยน้ำผึ้ง เกสร นมผึ้ง หรือตัวอ่อน เมื่อประชากรผึ้งหนาแน่นขึ้น จนถึงจุดที่ไม่มีเซลล์ว่างให้ผึ้งนางพญาวางไข่ ผึ้งงานก็จะลดอาหารที่ให้กับนางพญา ทำให้ผึ้งนางพญาน้ำหนักลดลง
สัญญาที่แสดงถึงการแยกรัง จะเกิดขึ้นหลังจากผึ้งงานได้ปิดเซลล์ของนางพญาผึ้งตัวใหม่ วันหนึ่งในวันที่อากาศดีมีแสงแดด ขณะที่ผึ้งนางพญาตัวใหม่กำลังจะเกิดขึ้น ผึ้งจำนวนมากก็จะออกจากรวงรัง บ้างก็เกาะอยู่บนรวงรัง บ้างก็บินอยู่รอบ ๆ ผึ้งนางพญาตัวเดิมซึ่งมีน้ำหนักลดลงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ก็จะบินตามผึ้งงานไป มันไปหาแหล่งใหม่ที่จะสร้างรวงรังใหม่ สำหรับรวงรังเดิมนั้นผึ้งนางพญาตัวใหม่ก็จะปกครองต่อไป
นมผึ้ง (รอยัลเยลลี่) นมผึ้งเป็นอาหารของผึ้งนางพญาและตัวอ่อน นมผึ้งจะถูกผลิตโดยผึ้งงานที่มีอายุประมาณ 5-15 วัน จามต่อมผลิตอาหาร ซึ่งเป็นต่อมที่อยู่ติดกับต่อมน้ำลายในบริเวณส่วนหัวของผึ้งงาน ต่อมนี้จะทำหน้าที่ผลิตนมผึ้ง ซึ่งมีสีขาวเหมือนนมหรือขาวครีม มีกลิ่นหอม รสหวานอมเปรี้ยว เผ็ด และฝาดเล็กน้อย
ในเมื่อนมผึ้งเป็นอาหาร สำหรับผึ้งนางพญา และผึ้งตัวอ่อนแล้ว เราจะเอามาได้อย่างไร? โดยธรรมชาติ ผึ้งงานเมื่อเห็นว่าในเซลล์แต่ละเซลล์มีผึ้งตัวอ่อน มันก็จะหลั่งนมผึ้งออกมา มนุษย์จึงได้ศึกษาเลียนแบบและสร้างเซลล์หกเหลี่ยมขึ้น เมื่อมีเซลล์เกิดขึ้นก็เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่ทำให้ผึ้งงานเริ่มหลั่งนมผึ้งเพื่อไปเลี้ยงผึ้งอ่อน ในระยะนี้มนุษย์จะนำเอาตัวอ่อนที่มีอายุ 18-24 ชั่วโมงใส่ลงไปในเซลล์หลังจากใส่ตัวอ่อนลงไปในเซลล์ประมาณ 3 วัน(70 ชั่วโมง) ก็จะได้นมผึ้งที่มีคุณภาพดีและปริมาณมากที่สุด แต่หลังจาก 72 ชั่วโมง ตัวอ่อนก็จะกินอาหารมากขึ้นและเลือกกินเฉพาะส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารดี คงเหลือไว้เฉพาะส่วนที่มีคุณภาพด้อยไว้ ซึ่งมีลักษณะคล้ายไอศกรีม แต่เราจะเก็บนมผึ้งก่อนก็ไม่ดี เพราะมีปริมาณน้อย
เคยมีผู้ศึกษาพบว่า หลังจากใส่ตัวอ่อนลงไปในเซลล์ จะมีนมผึ้งในเซลล์ ประมาณ 79 มิลลิกรัม 48 ชั่วโมง มี 244 มิลลิกรัม 72 ชั่วโมง มี 400 มิลลิกรัม สรุปแล้วระยะที่เก็บนมผึ้งควรอยู่ในระยะ 60-70 ชั่วโมงเซลล์แต่ละเซลล์เฉลี่ยแล้วให้นมผึ้ง 200-250 มิลลิกรัม เพราะฉะนั้นนมผึ้ง 1 กิโลกรัม จะต้องใช้เซลล์ 4,000-5,000 เซลล์ โดยปกติแล้วผึ้ง รังหนึ่ง ๆ สามารถใส่เซลล์ตัวอ่อนได้ 200-300 เซลล์และเก็บนมผึ้งได้ 40-50 กรัม นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นมผึ้งหายากและมีราคาแพง
แทบไม่ต้องกล่าวถึงการทำเซลล์แล้วจับตัวอ่อนใส่ลงไปในเซลล์นั้นมีความยากลำบากเพียงไร สำหรับผึ้งงานตัวน้อย ๆ ค่อย ๆ หยดนมผึ้งทีละหยดลงในเซลล์นั้น มีความยากลำบากที่น่าทึ่งทีเดียว แม้แต่การจับตัวอ่อนออกจากเซลล์นั้นก็ยิ่งลำบาก จะต้องค่อย ๆ บรรจงคีบออกมา มิฉะนั้นผึ้งน้อยอาจจะท้องแตกและทำให้นมผึ้งสกปรก หลังจากนั้นก็ใช้พู่กันหรือหลอดแก้วเขี่ยนมผึ้งใส่ลงในขวด แล้วต้องรีบเก็บใส่ลงในตู้เย็นอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้คือกระบวนการอันลำบาก และยุ่งยากในการเก็บนมผึ้ง สำหรับผึ้งนั้นมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก ในตัวอ่อนมีไขมัน 3.71% โปรตีน 15.4% นอกจกนี้ ยังมีวิตามิน เอ และดี วิตามินดี 6130-7430 หน่วยสากล น้ำมันตับปลา 100-600 หน่วยสากล เป็นต้น
ขอบคุณ หมอชาวบ้าน
Create Date : 27 เมษายน 2552 | | |
|
Last Update : 27 เมษายน 2552 7:16:42 น. |
| |
Counter : 1208 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|