space
space
space
space

คัน (ในร่มผ้า) จะ เกาตรงไหนดีละ

เนื้อหา

ช่วง ที่ผ่านมาเดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวฝนตกแสนจะยุ่งยากเวลาต้องไปไหนมาไหน แต่ที่แสนจะยุ่งยากใจกว่าเห็นจะเป็นความชื้นที่ติดมากับฝนส่งผลให้เกิดอาการ ขยุกขยิกในร่มผ้า ถ้าเป็นคนไม่ใยดีต่อสายตาคนรอบข้างก็อาจจะล้วงแคะแกะเกากันเลย แต่ถ้าเป็นประเภทแม่แตงร่มใบจะให้เกาต่อหน้ามวลชนก็ยังเกรงใจกันอยู่ จำใจต้องทนเก็บอาการไปเกาในที่ลับตาคน

อันสาเหตุของการคันเหมือนกัน ทุกแห่ง แต่ในร่มผ้ามีลักษณะเฉพาะ เพราะว่าสิ่งแวดล้อมในร่มผ้าก็จะมีลักษณะซึ่งแตกต่างกับผิวหนังบริเวณอื่น เช่น การใช้กางเกงในทำให้เกิดการอับชื้น การขับเหงื่อต่าง ๆ ก็ไม่สะดวกรวมทั้งบริเวณข้อพับส่วนต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้อาการคันเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น ยิ่งฝนตกเสื้อผ้าที่สวมใส่อาจแห้งไม่สนิทก็มีผล นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีเชื้อโรคบางอย่าง หรือแมลงบางชนิดสามารถจะมาอาศัยอยู่ได้ที่พบบ่อยคือเชื้อรา โลน ซึ่งจัดเป็นกามโรคอย่างหนึ่ง ติดต่อกันโดยเพศสัมพันธ์ อีกประการหนึ่งคือการแพ้สารเคมีที่มีปะปนไปกับผ้าหรือยางรัดตาม ขอบกางเกงใน เมื่อสัมผัสกับร่างกายผสมกับเหงื่อทำให้เกิดอาการแพ้และอักเสบได้

รศ. น.พ.ป่วน สุทธิพินิจธรรม ชี้แจ้งว่า อาการคันในร่มผ้า จะบ่งชี้ถึงโรคได้ เช่น ถ้าคันโดยทั่ว ๆ ไป จะหาสาเหตุไม่ชัดเจนอาจเป็นเพราะความอับชื้น หมักหมม เหงื่อไคล อาจเป็นเพราะหน้าที่การงานของเรา หรือต่อมเหงื่อทำงานมากกว่าคนปกติทั่วไป หรืออีกประการหนึ่งทางด้านจิตใจ เช่นการหงุดหงิดทำให้เกิดอาการคันได้ เมื่อเกาทำให้เกิดอาการอักเสบ การแพ้สารบางชนิดเช่น ขอบยางกางเกงใน แพ้น้ำหอม โดยเฉพาะสุภาพสตรีบางรายชอบใช้น้ำหอมในบริเวณภายในร่มผ้า เป็นสาเหตุของการแพ้สารเคมีได้ สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนัง แต่เป็นสาเหตุน้อยมาก

กรณีถ้ามีอาการคันในร่มผ้าไม่ว่าสาเหตุใดก็ตาม รศ.น.พ.ป่วน แนะนำว่า ให้ทำการรักษาโดย

1. ดูที่สาเหตุถ้าเกิดจากเชื้อโรค วิธีรักษาคือใช้ยาฆ่าเชื้อ ถ้าเป็นจากเชื้อราใช้ยาฆ่าเชื้อรา ควรให้แพทย์เป็นผู้แนะนำ

2. สาเหตุจากการอับชื้นใช้วิธีอาบน้ำบ่อย ๆ เช็ดให้แห้งใช้แป้งทาช่วย เพราะแป้งจะดูดซับเหงื่อไคลของเราไปบางส่วน ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นแห้ง

3. ถ้าเป็นจากการแพ้ อาทิ แพ้ขอบกางเกงในหรือผ้าบางชนิดควรเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่นแทน

4. ผิวหนังภูมิแพ้เฉพาะบุคคลซึ่งมีเหตุทำให้ผิวหนังเกิดอาการคันได้ง่าย ผิวหนังภูมิแพ้เป็นลักษณะเฉพาะตัวต้องพยายามหลีกเลี่ยงของต่าง ๆ ที่จะระคายเคืองผิวหนังบริเวณนั้น

สำหรับการซื้อยามารักษาเองเป็นที่ นิยมอย่างแพร่หลายเพราะสะดวก ประหยัด รวดเร็วทันใจ แต่ควรใช้ถ้ามีอาการอักเสบที่บริเวณผิวหนังไม่รุนแรง อาจใช้ยาบางอย่างเช่น เพนนิซิลินครีมลองทาดู ประมาณ 3-4 วัน ผื่นยุบไปได้ก็หมดปัญหา แต่ถ้าไม่หมดอย่านิ่งนอนใจ ควรรีบไปหาแพทย์ผิวหนัง ไม่เช่นอาจเกิดการลามในวงกว้างได้

ขอขอบคุณ samunpai.com




 

Create Date : 01 กันยายน 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:39:28 น.   
Counter : 2126 Pageviews.  
space
space
ภาวะชราของผิวพรรณและการป้องกันแก้ไขด้วยสาร Antioxidants
เนื้อหา

ใน วงจรชีวิตธรรมชาติ ่ไม่มีสรรพสิ่งใด หลบให้พ้นได้ นั่นคือ ภาวะเกิด แก่ เจ็บ และตาย โดยดำเนินไปตามกาลเวลา ผิวหนังก็เป็นอวัยวะหนึ่ง ซึ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมเช่นกัน

ขบวนการชราของผิวหนัง(Cutaneous Ageing) แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. ความชราที่เกิดขึ้นภายในเซลล์(Intrinsic Ageing) โดยมีการเสื่อมไปตามกาลเวลา

2. ความชราที่เกิดขึ้นภายนอกเซลล์(Extrinsic Ageing) เป็นความชราที่เกิดขึ้นภายนอกเซลล์ จากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด (บางครั้งจึงเรียก Photoageing) อายุ ภูมิคุ้มกัน ระดับฮอร์โมน และพันธุกรรม เศรษฐานะ ภูมิประเทศ ศาสนา อาชีพ วัฒนธรรม ดังนั้น ภาวะชราจากปัจจัยภายนอก จึงแตกต่างกันในแต่ละคน
เห็นได้ว่า ภาวะ Cutaneous Ageing เป็นผลของความชรา จากเซลล์ภายใน และปัจจัยภายนอกร่วมกัน เช่น แสงแดด(ด้งนั้น การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ สามารถป้องกัน และลดความแก่ได้ระดับหนึ่ง) และพบว่าตัวการสำคัญที่เกิดขึ้น เราเรียกว่า free radicles(อนุมูลอิสระ)

Free radicles คืออนุมูลอิสระ อาจ เป็น อะตอม อิออน หรือ โมเลกุล ที่พร้อมจะทำปฏิกริยากับสารต่างๆ ในขบวนการเผาผลาญพลังงาน(Metabolism) ในขบวนการต่างๆ และมี ออกซิเจน เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องด้วย และอนุมูลอิสระนี้เอง แบ่งได้เป็นหลายชนิด ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะชราของผิวหนังทั้งสิ้น
ดังนั้น ในการแก้ไข ป้องกันภาวะชรา จึงต้องหาสารที่สามารถกำจัด อนุมูลอิสระ(free radicles)เหล่านี้ และสารดังกล่าวที่นำมาใช้กำจัด เราเรียกว่า Antioxidants

Antioxidants จำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ

1. Enzymatic antioxidants อาทิ Superoxide dismutase,catalase, glutathione peroxides,G-6-PD ( ไม่มีคำแปลภาษาไทย ขอโทษด้วย) โดยสารประเภทนี้จะปกป้องเซลล์อยู่ภายในร่างกาย

2. Non-enzymatic antioxidants สารกลุ่มนี้จะมีโมเลกุลเล็ก ทำงานทั้งภายในและภายนอกของร่างกาย โดยส่วนใหญ่จะทำงานภายนอกเซลล์ และในกลุ่มนี้เอง ที่ได้นำมาใช้ในทางการแพทย์ อย่างแพร่หลาย และได้มีการคิดค้นเพื่อใช้ป้องกันและรักษา ภาวะชราของผิวหนัง ซึ่งได้แก่ ( จะกล่าวถึงรายละเอียดแต่ละตัว ในบทความต่อๆ ไป)
- Viamin C
- Vitamin E
- Vitamin A
- Beta carotene
- Coenzyme Q10

คุณสมบัติของสาร Antioxidants ที่ดี(Ideal) ควรมีดังนี้

1. กำจัด free radicles ได้หลายชนิด
2. หาง่าย
3. ไม่เป็นพิษ ไม่ระคายเคือง
4. ดูดซึมทางผิวหนังได้ดี
5. มีความคงตัว ไม่สลายง่าย
6. ออกซิไดซ์ ได้ง่ายในบริเวณที่ใช้

ดัง นั้น ในอนาคตคงมีสาร หรือ ตัวยา ตลอดจนเครื่องสำอาง หลายๆ ยี่ห้อ ได้นำ Antioxidants มาผสมเพื่อใช้ในการป้องกันและรักษาภาวะชรา การได้ทราบพื้นฐานของกลไกการทำงาน อาจเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ เลือกใช้ อย่างฉลาด

ขอขอบคุณ samunpai.com




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:39:06 น.   
Counter : 1538 Pageviews.  
space
space
“อั้นอึ” เพิ่มความสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้
เนื้อหา

แพทย์ ศิริราชเตือนผู้นิยม “อั้นอึ” เพิ่มความสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ให้ตนเองไม่รู้ตัว ปัจจุบันพบเป็นมากในหมู่คนกรุงและแนวโน้มช่วงอายุที่เป็นค่อนข้างต่ำลง หากมีอาการต้องสงสัยควรไปพบแพทย์ทันทีมีทางหายขาด

น.พ. สุรชาติ จักรภีร์ศิริสุข หัวหน้าหน่วยเคมีบำบัด คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล แนะให้สังเกตอาการบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยการขับถ่ายจะเปลี่ยนไป ท้องเสียโดยไม่ทราบสาเหตุและไม่เกี่ยวกับอาหารที่กิน มีหมูกเลือดเวลาขับถ่าย แต่จะไม่เหมือนกับบิดเพราะถ้าเป็นบิดจะหายภายใน 1 สัปดาห์ ท้องผูกมากขึ้น โดยปกติมักพบผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งลำไส้ในวัย 50ปีกว่า แต่ปัจจุบันนี้พบในกลุ่มผู้ที่มีอายุน้อยกว่าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนกรุงพบว่าเป็นวัยรุ่นส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการบริโภคที่ผิดแผกไป จากวัฒนธรรมดั่งเดิมที่มักได้รับสารพิษมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว อักทั้งกรรมพันธุ์ และพฤติกรรมการอั้นอุจจาระ เพราะของเสียที่อยู่ในร่างกายไม่ควรอยู่นานเกิน 24 ชั่วโมง ฉะนั้นผู้ที่มีพฤติกรรมชอบอั้นอุจจาระถือว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ตนเอง เมื่อหมักหมมนานปริมาณเชื้อโรคจะเพิ่มขึ้น อุจจาระแข็งตัวมากขึ้น เวลาที่ถ่ายออกมาอุจจาระจะไปครูดผนังลำไส้เป็นการสะกิดให้เกิดการเป็นแผลและ ลุกลามกลายเป็นมะเร็งสำไส้ได้

ที่ผ่านมาคนไข้ที่มาพบแพทย์มักมาใน ช่วงที่ป่วยในระยะ 2-3 แล้ว เพราะอาการจะเริ่มชัดเจน เช่นถ่ายเป็นหมูกเลือกแต่ไม่มีไข้ หากได้รับการตรวจร่างกายประจำปีก็สามารถพบได้ ส่วนการรักษานั้น น.พ. สุรชาติเผยว่า หากพบในระยะที่ 2 – 3 สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด โดย “ตัดเนื้อดีหัวท้ายยกเนื้อร้ายออก” จะทำให้เชื้อไม่แพร่กระจาย จะไม่เหมือนกับในสมัยก่อนที่เจอเนื้อร้ายตรงไหนแล้วก็ตัดในระยะประชิด จึงทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก แต่การ“ตัดเนื้อดีหัวท้ายยกเนื้อร้ายออก”นั้นเป็นการถอยไปตัดให้ห่างจากก้อน เนื้อร้าย ผลข้างเคียงหลังการผ่าตัดอาจเป็นคนที่รับประทานแล้วขับถ่ายเร็วขึ้นเพราะลำ ไส้โดนตัดออกไป แต่จะไม่เป็นอันตราย โอกาสการกระจายของเนื้อร้ายมีน้อยมาก

“อยาก ให้ผู้ป่วยเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งลำไส้เพราะ ปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ค่อนข้างเจริญก้าวหน้าโอกาสในการหายมีมาก ภาพเดิมๆที่เคยเห็นว่าหลังผ่าตัดจะต้องมีถุงขับถ่ายห้อยอยู่หน้าท้องก็ไม้ ต้องแล้ว ส่วนเรื่องของยาก็มีการผลิตยาขนานใหม่ที่มีผลข้างเคียงน้อย และให้ผลตอบสนองค่อนข้างดี เช่นจากยาเดิมให้ผลการรักษา 20-30 เปอร์เซ็นต์ แต่ในยาใหม่ถ้าให้ในระยะที่ 2 ให้ผลถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเป็นในระยะที่ 3 มีโอกาสถึง 70- 80 เปอร์เซ็นต์ โดยการให้ยาจะต้องควบคู่กับการผ่าตัด ต่อให้เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในระยะที่หนักแล้วก็ยังประคองอาการอยู่ได้อีกนนาน”

ส่วน เรื่องของกรรมพันธุ์มีสิทธ์เป็น 10-15 เปอร์เซ็นต์ หากใครที่มีญาติพี่น้องสายตรง เป็นมะเร็งลำไส้แล้วเสียชีวิตในวัยที่อายุค่อนข้างน้อย ควรต้องสงสัยตนเองก่อนแล้วไปพบแพทย์ตรวจหากมีอาการเข้าข่าย เลือกการตรวจโดยการส่องกล้องทางทวารหนักเข้าลำไส้ใหญ่จะได้ผลชัดกว่าการ เอกซเรย์ โดยปกติผู้ที่มีความเสี่ยงจากกรรมพันธุ์จะมีติ่งเนื้ออยู่ภายในลำไส้อยู่ แล้วมีโอกาสเป็นเพียง 10-15 เปอร์เซ็นต์ หากมีพฤติกรรมความเสี่ยงเพิ่มท้องผูกบ่อยโอกาสเป็นจะมีสูงมากขึ้นตามลำดับ โดยทั่วไปกรรมพันธุ์มะเร็งมักจะเป็นตามกลุ่มโรคเช่นเป็นมะเร็งเต้านมก็จะมี โอกาสเป็นมะเร็งรังไข่ แล้วก็ต่อด้วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ อย่างไรก็ตามน.พ. สุรชาติแนะนำว่า ควรใช้ชีวิตให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด ทั้งการกินอยู่ จะสามารถลดความเสี่ยงไปได้มาก พยายามขับถ่ายให้เป็นปกติ หากถ่ายทุกวันได้จะถือเป็นการดี

ข้อมุลจาก samunpai.com




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:38:35 น.   
Counter : 2206 Pageviews.  
space
space
กินมื้อเย็นเพื่อสุขภาพกันเถอะ

อาหารมื้อเย็นกลายเป็นปัญหาสำหรับหลายคนเมื่อกินอย่างผิดวิธี บางคนกินในปริมาณที่มากเกินไปจึงส่งผลให้เป็นโรคอ้วน บางคนกินอาหารชนิดที่ย่อยยาก ทำให้ปวดท้อง หรือท้องอืดจนทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท ส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพได้ และบางคนกินในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมต่อระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกาย ก็ส่งผลให้บางอวัยวะต้องทำงานหนักเกินไป เช่น การกินในช่วงเวลาดึก ซึ่งร่างกายควรพักผ่อนทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักเกินความจำเป็น

แต่หากเรากินมื้อเย็นอย่างถูกวิธีแล้ว ปัญหาเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้น คอลัมน์ “เรื่องพิเศษ”ฉบับนี้มีวิธีการกินมื้อเย็นเพื่อสุขภาพดีอย่างเห็นผลมาบอกกัน ค่ะ

มื้อเย็นจำเป็นแค่ไหน

ผศ.ดร.จินตนา หย่างอารี อาจารย์ประจำฝ่ายโภชนาการชุมชน สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า

“อาหารมื้อเย็นถือว่ามีความจำเป็น เหตุผลแรกคือเป็นมื้อที่เติมเต็มพลังงานและสารอาหารอื่นๆ ให้ครบตามที่ร่างกายต้องการตลอดทั้งวัน ถ้ารับประทานเพียง 2 มื้อ เราแน่ใจได้อย่างไรว่ากินอาหารครบตามพลังงานที่ร่างกายต้องการ เหตุผลที่สองเพื่อให้พลังงานและสารอาหารที่กินในมื้อเย็นไปช่วยรักษาดุลย์ การเคลื่อนไหวของร่างกาย ช่วงเวลาจากเที่ยงไปจนถึงเวลาเข้านอน ร่างกายเรายังมีการเคลื่อนไหว และมีการทำงานอยู่ ถ้าไม่กินในช่วงเวลาที่เหลือเลยพลังงานก็จะพร่องไปเรื่อยๆ เซลล์ข้างในก็จะปรับตัวให้ไม่ทำงาน กลไกการทำงานก็จะพร่องตาม เป็นผลให้ร่างกายขาดความสมดุลในการเคลื่อนไหว”

“และอีกเหตุผลคือมื้อเย็นช่วยให้การกระจายสารอาหาร พลังงาน และวิตามินเกลือแร่ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมในแต่ละวัน เพราะกระเพาะอาหารของเรามีเพดานการทำงานที่เหมาะสมตามปริมาณอาหารที่กินเข้า ไป เช่น มื้อเช้าไม่ควรเกิน 35-40 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน ฉะนั้นก็จะกระจายอยู่ที่มื้อเช้าประมาณ 700 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ซึ่งเป็นความจุหรือเพดานที่กระเพาะอาหารเรารับได้ จากนั้นก็เป็นมื้อกลางวันที่ไม่สามารถรับได้ทั้งหมดตามที่ร่างกายต้องการ จึงต้องแบ่งมาทำงานในมื้อเย็น นี่คือเหตุผลว่าทำไมอาหารมื้อเย็นจึงจำเป็น แต่ก็อยู่ในเงื่อนไขว่าจะกินอย่างไรให้สมดุลกับกิจกรรมของร่างกายก่อนเข้า นอน”

กินมื้อเย็นแบบสุขภาพดี

วิธีการกินมื้อเย็นเพื่อให้ได้สุขภาพดีทำได้ไม่ยากเลยค่ะ


1. ปริมาณของสารอาหารมื้อเย็นควรน้อยที่สุดรองจากมื้อเช้า และมื้อกลางวัน โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่ควรจะได้รับพลังงาน 1,800 กิโลแคลอรี่ต่อวันต่อคน ซึ่งรวมทั้งอาหารหลักและอาหารว่างของแต่ละมื้อ ถ้าจะฝึกวินัยให้สมสัดส่วน มื้อเช้าควรจะได้รับประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ (700 กิโลแคลอรี่) มื้อเที่ยง 35 เปอร์เซ็นต์ (600 กิโลแคลอรี่) และมื้อเย็น 25 เปอร์เซ็นต์ (500 หรือ 400 กิโลแคลอรี่) สอดคล้องกับหลักการของนาฬิกาชีวิต (Biological Clock) ที่ระบุช่วงเวลาของกระเพาะอาหารไว้ในช่วงเวลา 7.00 น.-9.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่กระเพาะอาหารแข็งแรงจึงทำงานได้ดี ดังนั้น ในช่วงเวลาเย็นจึงไม่ควรกินอาหารในปริมาณมาก
2. ควรเน้นผักกับผลไม้ และกินให้หลากหลาย ควรกินให้ได้ทุกวันเพื่อเสริมวิตามินและเกลือแร่ และยังต้องกินให้หลากหลาย เพราะในผักแต่ละชนิดมีสารอาหารวิตามินและเกลือแร่ไม่เหมือนกัน การกินคละเคล้ากันจะไปช่วยเสริมกันและกัน นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกอิ่มใจ และสนุกกับการกินมากขึ้น
3. ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ถ้าเป็นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ควรเป็นเนื้อปลา และเป็นอาหารที่มีความจุไขมันต่ำ จึงควรเลี่ยงอาหารประเภททอด
4. ควรกินมื้อเย็นก่อนเข้านอน 4-6 ชั่วโมง เพราะถ้ากินโปรตีนจากสัตว์ ร่างกายจะใช้เวลาย่อยและดูดซึมถึง 4 ชั่วโมง และหากพิจารณาตามหลักแพทย์แผนไทย ซึ่งมีวิธีการกินอาหารมื้อเย็นที่ระบุไว้ในคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย ว่า “ตอนเย็น ในระหว่างเวลา 14.00 น.-18.00 น.เป็นช่วงเวลาที่ธาตุลมกำเริบ จึงควรกินอาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเพื่อขับลม หากกินในช่วงเวลา 18.00 น.-22.00 น. จะแป็นช่วงที่ธาตุน้ำกำเริบ จึงควรกินอาหารที่มีรสชาติเปรี้ยวเพื่อขับเสมหะ”

เมื่อพิจารณาตามหลักการดังกล่าว อาจสรุปได้ว่าการกินมื้อเย็นเพื่อสุขภาพ ต้องกินในปริมาณน้อย เน้นผักผลไม้ที่หลากหลาย เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ในเวลาก่อนเข้านอน 4-6 ชั่วโมง และรสชาติอาหารควรเป็นรสเผ็ดร้อนและเปรี้ยว (ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารไม่ควรกินอาหารรสเผ็ดจัด)

แนะนำเมนูอาหารมื้อเย็น

เมนูอาหารมื้อเย็นเพื่อสุขภาพที่เราอยากแนะนำให้ลองทำกินกันเองง่ายๆ มี 3 ประเภท ได้แก่ เมนูกับข้าว เมนูอาหารจานเดียว และเมนูสำหรับคนไม่นิยมข้าว รับรองว่าถูกใจคนรักสุขภาพ และถูกลิ้นคนช่างกินแน่นอนค่ะ (ติดตามอ่านได้ในฉบับ)

ขอขอบคุณ cheewajit.com




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:37:59 น.   
Counter : 1570 Pageviews.  
space
space
การใช้ "สเต็มเซลล์" รักษาโรค
การใช้ "สเต็มเซลล์" รักษาโรค


ใน ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความพยายามนำ “เซลล์ต้นกำเนิด” หรือ “สเต็มเซลล์” มาทดสอบรักษาผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ทั้งในโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนโรงพยาบาลเอกชน ทำให้ทางแพทยสภาต้องออก “ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในการบำบัดรักษาโรค” มาควบคุม
นพ.ดร.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะอนุกรรมการพิจารณาร่างข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่ง วิชาชีพเวช กรรม เกี่ยวกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด บอกว่า เซลล์ต้นกำเนิดมีคุณสมบัติสำคัญ คือ สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ กันได้หลายชนิด รวมทั้งสามารถแบ่งตัวสร้างเซลล์ใหม่ที่มีคุณสมบัติเหมือนเดิมได้อย่างไม่ จำกัด พบได้ทั้งในตัวอ่อน และในเกือบทุกอวัยวะของร่างกาย

)


หลายอวัยวะของคนที่เซลล์ตายไปจากภาวะต่าง ๆ แล้วร่างกายไม่สามารถสร้างเซลล์ปกติขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่เสียไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ทำให้มีโรคหลายชนิดที่ไม่สามารถรักษาหายได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด แผลจากเส้นเลือดตีบ โรคกระจกตา โรคลานประสาทตา โรคเบาหวาน โรคอัมพาต โรคพาร์คินสัน โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ โรคข้อเสื่อม โรคไตวาย โรคกระดูกผุ และโรคชราภาพอื่น ๆ

จากความก้าวหน้าเกี่ยวกับการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดทำให้เกิดความหวังในการ รักษาผู้ป่วยโรคเหล่านี้ และมีบางโรคที่งานวิจัยก้าวหน้าถึงขั้นมีการศึกษาในผู้ป่วยแล้ว ยิ่งสนับสนุนความสำคัญของงานวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด ในทางตรงข้ามก็มีผู้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดโดย ขาดพื้นฐานทางวิชาการและหลักฐานด้านความปลอดภัย จนมีประชาชนจำนวนมากที่อาจได้รับผลกระทบจากการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดใน อนาคต

สำหรับเซลล์ที่นำมาใช้มากที่สุด คือ เซลล์จากไขกระดูก ซึ่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังมีจำกัดว่า เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ ถ้ามีประโยชน์เป็นเพราะอะไร มีความปลอดภัยเพียงใด เนื่องจากมีผู้ที่ขาดความรู้แต่สามารถหาเซลล์และผู้ป่วยที่ยินยอมมาทดลองได้ ง่าย ผลที่ตามมา คือ มี รายงานการทดลองการรักษาที่ไม่มีมาตรฐานที่ดี ข้ามขั้นตอนทดสอบประสิทธิภาพในสัตว์ หรือไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ถูกตีพิมพ์เพิ่มขึ้น และรายงานเหล่านี้มักถูกใช้ในการอ้างอิงโดยแพทย์หรือนักวิจัยที่ขาดความรู้ เพื่อทำการศึกษาในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นในช่วง 2-3 ปีนี้จะเห็นรายงานลักษณะนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มที่จะมีการใช้ในทางที่ผิดเพื่อหารายได้

การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ เป็นแนวทางการรักษาที่น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการแพทย์ เพราะเกี่ยวข้องกับโรคที่มีความสำคัญ มีผู้ป่วยจำนวนมาก จำเป็นต้องมีแผนการใน การดูแลและควบคุมระดับประเทศ ปัญหาสำคัญในขณะนี้ คือ มีหลายแห่งในประเทศที่นำสเต็มเซลล์ไปหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยไม่ถูก ต้องตามหลักวิชาการสากล มีการโฆษณาเกินจริง ทำให้ผู้ป่วยที่ขาดความรู้หลงเชื่อ นอกจากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมากแล้ว ยังไม่ได้ผลหรือเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ ในระยะสั้นอาจนำรายได้เข้าประเทศ แต่ระยะยาวเมื่อชื่อเสียงของประเทศไทยเสียไปจะทำให้เกิดผลเสียต่อความน่า เชื่อถือของประเทศด้านการบริการทางการแพทย์โดยรวม ดังนั้นถ้าควบคุมให้ดีได้มาตรฐาน มีหลักวิชาการสามารถตรวจสอบได้ ก็สามารถเป็นจุดขายเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มุ่งเป็นศูนย์กลางการรักษา พยาบาลในภูมิภาคได้

อย่างไรก็ดีการนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ประโยชน์ในผู้ป่วยที่ได้ผลจริงยังมี ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ผลการรักษาโรคหัวใจแสดงว่าเซลล์ต้นกำเนิดอาจมีประโยชน์อื่น ๆ อีก ซึ่งถ้าศึกษาให้ดีในสัตว์ทดลอง เพื่อทำความเข้าใจกลไก หาทางคัดเลือกเซลล์ที่มีประโยชน์สูงสุด ก็อาจให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพดีพอที่จะเป็นการรักษามาตรฐานได้ และเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกและรกอาจใช้เป็นส่วนประกอบของการรักษาปกติหลาย อย่างได้ ทั้งนี้ประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่าย ความเสี่ยงของคนไข้ จะเป็นปัจจัยตัดสินว่าการรักษาใดจะถูกนำไปใช้กว้างขวางขึ้น และมีโอกาสมากที่จะได้ผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติ และกลายเป็นการรักษาทั่วไป ด้วยข้อมูลปัจจุบันการปลูกถ่ายกระจกตาจากเซลล์ต้นกำเนิดกระจกตาน่าจะกลาย เป็นการรักษามาตรฐาน ส่วนการรักษาแผลเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคกระดูก จะเป็นการรักษามาตรฐานต่อเมื่อแสดงให้เห็นประสิทธิภาพจนเป็นที่ยอมรับว่าได้ ผลมากเพียงพอ โรค อื่น ๆ อย่างน้อยประมาณ 3 ปีจึงจะกลายเป็นการรักษามาตรฐาน

(สนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ หน่วยสื่อสารความรู้และขับเคลื่อนสังคม
//www.hsri.or.th; 02-951-1286-93 ต่อ 121 , 135 , 145)




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:37:26 น.   
Counter : 1689 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space