space
space
space
space

‘ฟันร้าว’ ภัยเงียบเสียฟัน








อีกหนึ่งโรคฟันที่เป็นกันมาก ชนิดไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็คือ ‘ฟันร้าว’ ที่ก่อให้เกิดอาการเสียวฟัน โดยเฉพาะช่วงฟันกรามที่ใช้บดเคี้ยวอาหาร แต่ผู้ที่มีอาการมักไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกิดจากฟันซี่ใด

ปัญหาฟันร้าวมักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ และจะส่งสัญญาณเตือนเพียงแค่อาการเสียวฟันขณะรับประทานอาหารทั้งร้อนและเย็น ร่วมกับอาการปวดฟันเล็กน้อย จากนั้นราว 12-18 เดือน ฟันซีที่ร้าวจึงจะแตก

สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันร้าวมักเป็นเพราะการเคี้ยวอาหารแข็ง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ลักษณะของเนื้อฟันและอวัยวะรอบรากฟันจะมีความยืดหยุ่นลดน้อยลง ส่งผลให้ฟันกรอบมากขึ้น ดังนั้นเมื่อมีแรงกดดันแรง ๆ จะทำให้ฟันร้าวและแตกได้ง่าย

สาเหตุต่อมาเกิดจากฟันผุ อาจมีรูโพลงขนาดใหญ่ หรือฟันซี่ที่มีรอยอุดขนาดใหญ่ สภาพดังกล่าวทำให้ฟันไม่แข็งแรงและเสี่ยงต่อการเกิดฟันร้าว

นอกจากนี้ฟันร้าวยังมักเกิดกับฟันซี่ที่มีปุ่มฟันสูงชันและมีร่องลึก ส่วนใหญ่จะพบในฟันกรามน้อย และจะร้าวในแนวดิ่ง รวมทั้งสาเหตุจากแรงกระแทกขณะเกิดอุบัติเหตุหรือเล่นกีฬา รวมทั้งการนอนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หรือชอบกัดขบฟันบ่อย ๆ

ไม่ว่าจะเป็นอาการหรือสาเหตุของฟันร้าวที่กล่าวไปข้างต้น ก็ยังเป็นปัจจัยที่ผู้คนส่วนใหญ่มักมองข้าม แต่คุณผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า เมื่อเกิดอาการเสียวหรือปวดฟันแล้วรีบพบทันตแพทย์เพื่อตรวจจะทำให้ง่ายต่อการรักษาและไม่สูญเสียฟันซี่ที่ร้าว

ส่วนวิธีตรวจหาฟันร้าว ทันตแพทย์จะเช็คโดยการย้อมสีฟัน (Staining) เพื่อให้เห็นความเสียหายชัดเจน บางครั้งอาจต้องใช้แสงจากเครื่องฉายแสงอุดฟันร่วมด้วย

ยังมีวิธีทดสอบโดยให้ผู้ป่วยกัดไม้เนื้อนิ่มแผ่นบาง แผ่นยาง หรือสำลีบนซี่ฟันต้องสงสัย หากเกิดฟันร้าวจริง เมื่ออ้าปากคลายสิ่งที่กัดเอาไว้จะรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาทันที

ส่วนวิธีเอกซเรย์อาจบอกได้ไม่ชัดเจนเนื่องจากรอยร้าวจะแคบและมีเงาฟันซ้อนทับอยู่ แต่จะแสดงให้เห็นว่ามีการติดเชื้อลุกลามไปสู่รากฟันหรือไม่

ส่วนการรักษาฟันร้าวจะสัมพันธ์กับระดับความลึกของการร้าว หากฟันร้าวแบบตื้น ๆ ทันตแพทย์จะครอบฟันชนิดชั่วคราวทันที จากนั้นรอดูอาการราว 2-4 สัปดาห์ หากไม่มีความผิดปกติจะทำการรักษาโดยครอบฟันชนิดถาวร

ในทางตรงกันข้าม กรณีที่มีอาการผิดปกติ อาจเป็นข้อบ่งชี้ว่ารอยร้าวลามลงถึงโพรงประสาทฟันแล้ว จะต้องรักษารากฟันก่อนจึงครอบฟัน แต่หากรอยร้าวเกิดขึ้นนานจนแตกแยกในแนวดิ่งจะรักษาด้วยการถอนฟันซี่นั้นออกเพียงวิธีเดียว.


ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์






 

Create Date : 25 มีนาคม 2553   
Last Update : 25 มีนาคม 2553 6:31:25 น.   
Counter : 5547 Pageviews.  
space
space
พริกขี้หนูสดลดระดับน้ำตาลในเลือด





Capsaicin ในพริกขี้หนู ซึ่งทำให้เกิดความเผ็ดร้อน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางยา เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด





รศ.สุพีชา วิทยเลิศปัญญา ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยเรื่อง “เภสัชจลนศาสตร์ของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูสด และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกขี้หนูสดต่อน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครสุขภาพดี” เพื่อพิสูจน์สรรพคุณของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หรือไม่

Capsaicin ว่าพบมากที่สุดบริเวณรกของพริกขี้หนู วิธีในการวิจัยระยะแรกจะศึกษานำร่องในอาสาสมัครจำนวน 2 ราย เพื่อพิสูจน์ปริมาณที่เหมาะสมของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลลดลง

การวิจัยเลือกใช้พริกขี้หนูขนาด 5 กรัม ผลปรากฏว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงทดลองในอาสาสมัครจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็น 12 ราย

อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งรับประทานพริกขี้หนูบรรจุในแคปซูลพร้อมกับน้ำตาลความเข้มข้น สูง อาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งรับประทานแคปซูลเปล่า เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างอาสาสมัครทั้งสองกลุ่ม จากนั้นจึงวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก 15 นาที ตั้งแต่เริ่มรับประทานยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดในนาทีที่ 30 เป็นต้นไป

กลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่รับประทานแคปซูลเปล่า และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

นอกจากนี้ จากการวิจัยโดยให้กลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานแคปซูลเปล่ามารับประทานพริกขี้ หนูสด และเจาะเลือดวัดระดับอินซูลิน รวมทั้งวัดระดับ Capsaicin ใน เลือดของอาสาสมัครกลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดที่บรรจุในแคปซูล ผลปรากฏว่าระดับอินซูลินในกลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานพริกขี้หนูสดอยู่ใน ระดับคงที่ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับอินซูลินลดลง

แสดงให้เห็นว่า Capsaicin จาก พริกขี้หนูสดสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ผลการวิจัยสรุปได้ว่าพริกขี้หนูสดขนาด 5 กรัมมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้ ผลที่ได้น่าจะมาจากการที่ Capsaicin เข้าสู่ร่างกายและออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินนั่นเอง




รศ.สุพีชา กล่าวเสริมว่า นอกจากพริกขี้หนูสดแล้วยังมีสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ใบหม่อน มะระขี้นก ฯลฯ ที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อใช้สมุนไพรดังกล่าวเสริมกับการรับประทานยาแผนปัจจุบัน สำหรับงานวิจัยที่จะทำต่อไปในอนาคตจะศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานต่อไป


ขอบคุณวิชาการดอทคอม








 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 7:53:23 น.   
Counter : 2380 Pageviews.  
space
space
6 สุดยอดอาหารยืดชีวิตให้ยืนยาว







อาหารที่ดีต่อสุขภาพมีคุณสมบัติในการต่อต้านความร่วงโรยของวัย มันอาจไม่ทำให้คนตายฟื้นคืนได้ แต่จะทำให้ภูมิคุ้มกันของคุณแข็งแกร่งขึ้น ช่วยคุณต่อสู้โรคร้าย และทำให้คุณอายุยืนยาวขึ้นได้

1. คาโมมายล์
คุณสมบัติ เป็นพืชในตระกูลเดซี่ และดอกของมันมีคุณสมบัติในการรักษาโรค
ประโยชน์ คาโมมายล์ทำหน้าที่คลายกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยลดความเครียดและอาการตึงตัว และเมื่อคุณครียดน้อย คุณก็มีโอกาสน้อยลงที่จะเกิดโรคหัวใจที่เนื่องมาจากความเครียด คาโมมายล์ยังช่วยล้างพิษในร่างกายด้วยการช่วยไตในการขับถ่ายของเสีย
กินอย่างไร การดื่มชาคาโมมายล์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลดี

2. ปลาเนื้อมัน
คุณสมบัติ ปลาเนื้อมันๆอย่างเช่น ปลาแซลมอนหรือแม็กเคอเรล (ปลาซาบะ) มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูง
ประโยชน์ ปลาชนิดนี้ช่วยลดระดับไขมันในเลือดและป้องกันเส้นเลือดอุดตัน และลมปัจจุบัน
กินอย่างไร จะกินดิบๆ (ซาซิมิหรือซูชิ) หรือนึ่ง ย่าง ทอด ก็ได้ทั้งนั้น

3. มะนาว
คุณสมบัติ มะนาวอุดมด้วยวิตามินซี
ประโยชน์ มะนาวไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ แต่กรดในน้ำมะนาว ยังมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับแบคทีเรียและช่วยป้องกันอาการเจ็บคอและแผลในปากได้อย่างดี
กินอย่างไร การเติมน้ำมะนาวลงในอาหาร ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้คุณประโยชน์ แต่ยังชูรสอาหารได้เกือบทุกอย่าง

4. หัวหอม

คุณสมบัติ อุดมด้วยวิตามินซีและแอนตี้ออกซิเดนท์อย่างซัลเฟอร์และเควอซีติน
ประโยชน์ มันอาจทำให้ลมหายใจของคุณมีกลิ่น แต่ก็ช่วยป้องกันโรคที่เกี่ยวกับการหายใจได้หลายอย่าง เนื่องจากหัวหอมช่วยปกป้องร่างกายจากโรคหอบหืด และโรคที่เกิดจากการอักเสบอื่นๆและที่มากไปกว่านั้นก็คือ หัวหอมทำให้ระดับไขมันดีในร่างกายเพิ่มขึ้น และช่วยปกป้องมะเร็งด้วย
กินอย่างไร ถึงแม้มันอาจทำให้ลมหายใจของคุณมีกลิน แต่วิธีที่ดีที่สุดในการได้รับคุณค่าจากหัวหอมก็คือ การกินดิบๆ

5. ข้าวโอ๊ต
คุณสมบัติ ข้าวโอ๊ตอุดมด้วยแคลเซียม และเส้นใยอาหารแบบละลายในน้ำและไม่ละลาย
ประโยชน์ ถ้าคุณต้องการมีฟันสวยแข็งแรงตลอดกาลข้าวโอ๊ตช่วยได้ นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังช่วยให้กระดูกแข็งแรงและเส้นใยอาหารในข้าวโอ๊ตยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต และต่อสู้มะเร็งลำไส้
กินอย่างไร ข้าวโอ๊ตสำเร็จรูปหรือโจ๊กข้าวโอ๊ต เป็นอาหารแสนอร่อยและได้คุณค่า

6. มะเขือเทศ
คุณสมบัติ มะเขือเทศมีไลโคปีนที่เป็นแอนตี้ออกซิเดนต์อันทรงอำนาจ
ประโยชน์ มะเขือเทศทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแกร่ง ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งต่อมลูกหมาก ปอดและกระเพาะอาหาร
กินอย่างไร มะเขือเทศจะให้คุณค่าสูงสุดเมื่อปรุงให้สุกด้วยความร้อน เพราะจะมีไลโคปินเพิ่มขึ้นมากกว่ามะเขือเทศสดอย่างเช่น มะเขือเทศกระป๋องมีไลโคปินมากกว่ามะเขือเทศสดถึง 3 เท่า และซอสมะเขือเทศก็ให้ไลโคปินมากกว่าถึง 5 เท่าเลยทีเดียว


ขอบคุณ โหระพา ดอทคอม




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2553 8:10:51 น.   
Counter : 1159 Pageviews.  
space
space
รู้จริงเรื่องการนอน





ถ้าคุณมีอาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือง่วงหลับประจำตอนกลางวัน สาเหตุใดที่เป็นปัญหาที่กวนใจแท้จริง และปัญหาใดเป็นความเชื่อผิดๆ กันแน่








เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหลับสบายยามหัวถึงหมอน หรือหลับได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ การนอนสำคัญและเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ มากกว่าที่คุณคิด




ความเชื่อ : ขณะนอนหลับพักผ่อน ร่างกายกับสมองจะหยุดพักไปด้วย
ข้อเท็จจริง : ในขณะหลับร่างกายจะหยุดพักผ่อนตามไปด้วย แต่สมองยังคงทำงานอยู่ การนอนหลับเป็นการลดภาระให้สมองทำงานเบาลง เสมือนว่าได้รับการชาร์ตแบตเตอรีเพื่อเตรียมพร้อมทำงานในวันต่อไป แต่ก็ยังคงต้องควบคุมการทำงานอวัยวะต่างๆ ของร่างกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ ระบบประสาท ฯลฯ




ความเชื่อ : ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องนอนมาก
ข้อเท็จจริง : ไม่จริง ผู้สูงอายุต้องการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับคนวัยหนุ่มสาวทั่วไป ทั้งนี้อายุที่มากขึ้น ประกอบกับการทำงานของอวัยวะในร่างกายเริ่มเสื่อมไปตามเวลา ทำให้กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้พฤติกรรมการนอนไม่เหมือนเดิม นอนหลับได้น้อยชั่วโมงลง หรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แต่ไม่ว่านอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มอย่างไร ร่างกายก็ยังคงต้องการเวลาพักผ่อนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง




ความเชื่อ : การนอนหลับพักผ่อนน้อยเป็นประจำ ร่างกายจะชินและไม่ต้องการนอนมากอย่างที่เคย
ข้อเท็จจริง : ไม่จริง เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการนอนว่า ในวัยผู้ใหญ่หากนอนให้ได้ประมาณ 7-9 ชั่วโมงทุกวัน จะส่งผลให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีอย่างน่าทึ่ง หากวันไหนนอนหลับได้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะชดเชยชั่วโมงนอนที่ขาดรวมกับชั่วโมงนอนในอีก 2-3 คืนถัดไป ไม่ว่าเราจะนอนน้อยเป็นประจำหรืออดนอนเป็นประจำแค่ไหน ร่างกายไม่มีวันชินหรือยอมรับให้นอนน้อยได้ตลอด เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติการพักผ่อนที่ร่างกายต้องการ




ความเชื่อ : ง่วงหาวตอนกลางวันแสดงว่านอนไม่พอ
ข้อเท็จจริง : จริง สาเหตุของอาการง่วงหาวตอนกลางวันอาจมีส่วนหนึ่งมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่ก็อาจเกิดกับคนที่นอนหลับเต็มอิ่มได้ด้วย และถ้าง่วงผิดสังเกตอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีเรื่องสุขภาพอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องไปปรึกษาแพทย์ต่อไป




ความเชื่อ : นอนน้อยมีผลต่อน้ำหนัก
ข้อเท็จจริง : จริง หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเลปตินและเกรลิน ส่งผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ฮอร์โมนทั้ง 2 ทำหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมและสร้างสมดุลความต้องการอาหาร ฮอร์โมนเกรลินถูกผลิตขึ้นในระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร ในขณะที่เลปตินถูกผลิตในเซลล์ไขมัน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณรับรู้ว่าอิ่มไปยังสมอง เมื่อได้รับอาหารพอดีกับความต้องการ ดังนั้นหากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลทำให้ระดับเลปตินต่ำลง ร่างกายไม่รู้สึกอิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามฮอร์โมนเกรลินจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายรับประทานอาหารเกินพอดี น้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้น


ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เป็นการสร้างเสริมสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today






 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2553 7:20:21 น.   
Counter : 1295 Pageviews.  
space
space
ม่านพลาสติกที่แขวนในห้องน้ำเพื่อกั้นพื้นที่แห้ง กับเปียก ใช้ไปนาน ๆ ก็คงสกปรก และอาจก่อให้เกิดเชื้อแ




ม่านพลาสติกที่แขวนในห้องน้ำเพื่อกั้นพื้นที่แห้ง กับเปียก ใช้ไปนาน ๆ ก็คงสกปรก และอาจก่อให้เกิดเชื้อแบคทีเรียได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...







มีนักจุลชีววิทยา ในต่างประเทศ สังเกตว่าที่ม่านพลาสติกมีคราบดำ ๆ ทีแรกคิดว่าเป็นคราบสบู่ ลองขูดแล้วเอาไปส่องกล้อง ปรากฏว่าคราบดำ ๆ ดังกล่าวเป็นแบคทีเรียชนิดร้ายแรงที่เติบโตโดยอาศัย การผายลม การเลอ การไอ จาม


แนะนำว่า ควรถอดไปซัก อาทิตย์ละครั้ง หรือ เดือนละ 2 ครั้งก็ได้ หรือถ้าไม่มีเวลาก็เดือนละครั้งก็ยังดี


นอกจากนี้ อะไรที่เป็นพลาสติกก็เข้าข่ายเหมือนกัน เชื้อโรคมันจะทำอันตรายเราก็ต่อเมื่อ เราป่วย มีบาดแผล คนแก่ คนที่ผ่าตัด เปลี่ยนอวัยวะ แล้วต้องกินยากดภูมิคุ้มกันยังไงก็อย่าลืมหันมาทำความสะอาดม่านพลาสติกกันด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี.


ขอบคุณ เดลินิวส์






 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 8:04:53 น.   
Counter : 2013 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space