|
|
พริกขี้หนูสดลดระดับน้ำตาลในเลือด |
|
Capsaicin ในพริกขี้หนู ซึ่งทำให้เกิดความเผ็ดร้อน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางยา เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
รศ.สุพีชา วิทยเลิศปัญญา ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยเรื่อง เภสัชจลนศาสตร์ของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูสด และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกขี้หนูสดต่อน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครสุขภาพดี เพื่อพิสูจน์สรรพคุณของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หรือไม่
Capsaicin ว่าพบมากที่สุดบริเวณรกของพริกขี้หนู วิธีในการวิจัยระยะแรกจะศึกษานำร่องในอาสาสมัครจำนวน 2 ราย เพื่อพิสูจน์ปริมาณที่เหมาะสมของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลลดลง
การวิจัยเลือกใช้พริกขี้หนูขนาด 5 กรัม ผลปรากฏว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงทดลองในอาสาสมัครจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็น 12 ราย
อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งรับประทานพริกขี้หนูบรรจุในแคปซูลพร้อมกับน้ำตาลความเข้มข้น สูง อาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งรับประทานแคปซูลเปล่า เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างอาสาสมัครทั้งสองกลุ่ม จากนั้นจึงวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก 15 นาที ตั้งแต่เริ่มรับประทานยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดในนาทีที่ 30 เป็นต้นไป
กลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่รับประทานแคปซูลเปล่า และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
นอกจากนี้ จากการวิจัยโดยให้กลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานแคปซูลเปล่ามารับประทานพริกขี้ หนูสด และเจาะเลือดวัดระดับอินซูลิน รวมทั้งวัดระดับ Capsaicin ใน เลือดของอาสาสมัครกลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดที่บรรจุในแคปซูล ผลปรากฏว่าระดับอินซูลินในกลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานพริกขี้หนูสดอยู่ใน ระดับคงที่ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับอินซูลินลดลง
แสดงให้เห็นว่า Capsaicin จาก พริกขี้หนูสดสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ผลการวิจัยสรุปได้ว่าพริกขี้หนูสดขนาด 5 กรัมมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้ ผลที่ได้น่าจะมาจากการที่ Capsaicin เข้าสู่ร่างกายและออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินนั่นเอง
รศ.สุพีชา กล่าวเสริมว่า นอกจากพริกขี้หนูสดแล้วยังมีสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ใบหม่อน มะระขี้นก ฯลฯ ที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อใช้สมุนไพรดังกล่าวเสริมกับการรับประทานยาแผนปัจจุบัน สำหรับงานวิจัยที่จะทำต่อไปในอนาคตจะศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานต่อไป
ขอบคุณวิชาการดอทคอม
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
|
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 7:53:23 น. |
| |
Counter : 2380 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
6 สุดยอดอาหารยืดชีวิตให้ยืนยาว |
|
อาหารที่ดีต่อสุขภาพมีคุณสมบัติในการต่อต้านความร่วงโรยของวัย มันอาจไม่ทำให้คนตายฟื้นคืนได้ แต่จะทำให้ภูมิคุ้มกันของคุณแข็งแกร่งขึ้น ช่วยคุณต่อสู้โรคร้าย และทำให้คุณอายุยืนยาวขึ้นได้
1. คาโมมายล์ คุณสมบัติ เป็นพืชในตระกูลเดซี่ และดอกของมันมีคุณสมบัติในการรักษาโรค ประโยชน์ คาโมมายล์ทำหน้าที่คลายกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยลดความเครียดและอาการตึงตัว และเมื่อคุณครียดน้อย คุณก็มีโอกาสน้อยลงที่จะเกิดโรคหัวใจที่เนื่องมาจากความเครียด คาโมมายล์ยังช่วยล้างพิษในร่างกายด้วยการช่วยไตในการขับถ่ายของเสีย กินอย่างไร การดื่มชาคาโมมายล์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลดี
2. ปลาเนื้อมัน คุณสมบัติ ปลาเนื้อมันๆอย่างเช่น ปลาแซลมอนหรือแม็กเคอเรล (ปลาซาบะ) มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูง ประโยชน์ ปลาชนิดนี้ช่วยลดระดับไขมันในเลือดและป้องกันเส้นเลือดอุดตัน และลมปัจจุบัน กินอย่างไร จะกินดิบๆ (ซาซิมิหรือซูชิ) หรือนึ่ง ย่าง ทอด ก็ได้ทั้งนั้น
3. มะนาว คุณสมบัติ มะนาวอุดมด้วยวิตามินซี ประโยชน์ มะนาวไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ แต่กรดในน้ำมะนาว ยังมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับแบคทีเรียและช่วยป้องกันอาการเจ็บคอและแผลในปากได้อย่างดี กินอย่างไร การเติมน้ำมะนาวลงในอาหาร ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้คุณประโยชน์ แต่ยังชูรสอาหารได้เกือบทุกอย่าง
4. หัวหอม คุณสมบัติ อุดมด้วยวิตามินซีและแอนตี้ออกซิเดนท์อย่างซัลเฟอร์และเควอซีติน ประโยชน์ มันอาจทำให้ลมหายใจของคุณมีกลิ่น แต่ก็ช่วยป้องกันโรคที่เกี่ยวกับการหายใจได้หลายอย่าง เนื่องจากหัวหอมช่วยปกป้องร่างกายจากโรคหอบหืด และโรคที่เกิดจากการอักเสบอื่นๆและที่มากไปกว่านั้นก็คือ หัวหอมทำให้ระดับไขมันดีในร่างกายเพิ่มขึ้น และช่วยปกป้องมะเร็งด้วย กินอย่างไร ถึงแม้มันอาจทำให้ลมหายใจของคุณมีกลิน แต่วิธีที่ดีที่สุดในการได้รับคุณค่าจากหัวหอมก็คือ การกินดิบๆ
5. ข้าวโอ๊ต คุณสมบัติ ข้าวโอ๊ตอุดมด้วยแคลเซียม และเส้นใยอาหารแบบละลายในน้ำและไม่ละลาย ประโยชน์ ถ้าคุณต้องการมีฟันสวยแข็งแรงตลอดกาลข้าวโอ๊ตช่วยได้ นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังช่วยให้กระดูกแข็งแรงและเส้นใยอาหารในข้าวโอ๊ตยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต และต่อสู้มะเร็งลำไส้ กินอย่างไร ข้าวโอ๊ตสำเร็จรูปหรือโจ๊กข้าวโอ๊ต เป็นอาหารแสนอร่อยและได้คุณค่า
6. มะเขือเทศ คุณสมบัติ มะเขือเทศมีไลโคปีนที่เป็นแอนตี้ออกซิเดนต์อันทรงอำนาจ ประโยชน์ มะเขือเทศทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแกร่ง ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งต่อมลูกหมาก ปอดและกระเพาะอาหาร กินอย่างไร มะเขือเทศจะให้คุณค่าสูงสุดเมื่อปรุงให้สุกด้วยความร้อน เพราะจะมีไลโคปินเพิ่มขึ้นมากกว่ามะเขือเทศสดอย่างเช่น มะเขือเทศกระป๋องมีไลโคปินมากกว่ามะเขือเทศสดถึง 3 เท่า และซอสมะเขือเทศก็ให้ไลโคปินมากกว่าถึง 5 เท่าเลยทีเดียว
ขอบคุณ โหระพา ดอทคอม
Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
|
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2553 8:10:51 น. |
| |
Counter : 1159 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
ถ้าคุณมีอาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือง่วงหลับประจำตอนกลางวัน สาเหตุใดที่เป็นปัญหาที่กวนใจแท้จริง และปัญหาใดเป็นความเชื่อผิดๆ กันแน่
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหลับสบายยามหัวถึงหมอน หรือหลับได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ การนอนสำคัญและเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ มากกว่าที่คุณคิด
ความเชื่อ : ขณะนอนหลับพักผ่อน ร่างกายกับสมองจะหยุดพักไปด้วย ข้อเท็จจริง : ในขณะหลับร่างกายจะหยุดพักผ่อนตามไปด้วย แต่สมองยังคงทำงานอยู่ การนอนหลับเป็นการลดภาระให้สมองทำงานเบาลง เสมือนว่าได้รับการชาร์ตแบตเตอรีเพื่อเตรียมพร้อมทำงานในวันต่อไป แต่ก็ยังคงต้องควบคุมการทำงานอวัยวะต่างๆ ของร่างกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ ระบบประสาท ฯลฯ
ความเชื่อ : ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องนอนมาก ข้อเท็จจริง : ไม่จริง ผู้สูงอายุต้องการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับคนวัยหนุ่มสาวทั่วไป ทั้งนี้อายุที่มากขึ้น ประกอบกับการทำงานของอวัยวะในร่างกายเริ่มเสื่อมไปตามเวลา ทำให้กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้พฤติกรรมการนอนไม่เหมือนเดิม นอนหลับได้น้อยชั่วโมงลง หรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แต่ไม่ว่านอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มอย่างไร ร่างกายก็ยังคงต้องการเวลาพักผ่อนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง
ความเชื่อ : การนอนหลับพักผ่อนน้อยเป็นประจำ ร่างกายจะชินและไม่ต้องการนอนมากอย่างที่เคย ข้อเท็จจริง : ไม่จริง เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการนอนว่า ในวัยผู้ใหญ่หากนอนให้ได้ประมาณ 7-9 ชั่วโมงทุกวัน จะส่งผลให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีอย่างน่าทึ่ง หากวันไหนนอนหลับได้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะชดเชยชั่วโมงนอนที่ขาดรวมกับชั่วโมงนอนในอีก 2-3 คืนถัดไป ไม่ว่าเราจะนอนน้อยเป็นประจำหรืออดนอนเป็นประจำแค่ไหน ร่างกายไม่มีวันชินหรือยอมรับให้นอนน้อยได้ตลอด เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติการพักผ่อนที่ร่างกายต้องการ
ความเชื่อ : ง่วงหาวตอนกลางวันแสดงว่านอนไม่พอ ข้อเท็จจริง : จริง สาเหตุของอาการง่วงหาวตอนกลางวันอาจมีส่วนหนึ่งมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่ก็อาจเกิดกับคนที่นอนหลับเต็มอิ่มได้ด้วย และถ้าง่วงผิดสังเกตอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีเรื่องสุขภาพอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องไปปรึกษาแพทย์ต่อไป
ความเชื่อ : นอนน้อยมีผลต่อน้ำหนัก ข้อเท็จจริง : จริง หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเลปตินและเกรลิน ส่งผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ฮอร์โมนทั้ง 2 ทำหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมและสร้างสมดุลความต้องการอาหาร ฮอร์โมนเกรลินถูกผลิตขึ้นในระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร ในขณะที่เลปตินถูกผลิตในเซลล์ไขมัน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณรับรู้ว่าอิ่มไปยังสมอง เมื่อได้รับอาหารพอดีกับความต้องการ ดังนั้นหากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลทำให้ระดับเลปตินต่ำลง ร่างกายไม่รู้สึกอิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามฮอร์โมนเกรลินจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายรับประทานอาหารเกินพอดี น้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เป็นการสร้างเสริมสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
|
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2553 7:20:21 น. |
| |
Counter : 1295 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
ม่านพลาสติกที่แขวนในห้องน้ำเพื่อกั้นพื้นที่แห้ง กับเปียก ใช้ไปนาน ๆ ก็คงสกปรก และอาจก่อให้เกิดเชื้อแ |
|
ม่านพลาสติกที่แขวนในห้องน้ำเพื่อกั้นพื้นที่แห้ง กับเปียก ใช้ไปนาน ๆ ก็คงสกปรก และอาจก่อให้เกิดเชื้อแบคทีเรียได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
มีนักจุลชีววิทยา ในต่างประเทศ สังเกตว่าที่ม่านพลาสติกมีคราบดำ ๆ ทีแรกคิดว่าเป็นคราบสบู่ ลองขูดแล้วเอาไปส่องกล้อง ปรากฏว่าคราบดำ ๆ ดังกล่าวเป็นแบคทีเรียชนิดร้ายแรงที่เติบโตโดยอาศัย การผายลม การเลอ การไอ จาม
แนะนำว่า ควรถอดไปซัก อาทิตย์ละครั้ง หรือ เดือนละ 2 ครั้งก็ได้ หรือถ้าไม่มีเวลาก็เดือนละครั้งก็ยังดี
นอกจากนี้ อะไรที่เป็นพลาสติกก็เข้าข่ายเหมือนกัน เชื้อโรคมันจะทำอันตรายเราก็ต่อเมื่อ เราป่วย มีบาดแผล คนแก่ คนที่ผ่าตัด เปลี่ยนอวัยวะ แล้วต้องกินยากดภูมิคุ้มกันยังไงก็อย่าลืมหันมาทำความสะอาดม่านพลาสติกกันด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี.
ขอบคุณ เดลินิวส์
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
|
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 8:04:53 น. |
| |
Counter : 2013 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|