|
|
|
คำว่าแสลงก็หมายความว่าไม่ถูกกัน ทานแล้วอาการของโรคจะยิ่งทรุดหนักลง แล้วอาหารอะไรบ้างล่ะที่แสลงกับโรคของคุณ มาดูกัน...
โรคเบาหวาน - ไม่ควรทานอาหารรสหวานและอาหารที่มีแป้งสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ เพราะร่างกายจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล และควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสดแทน
โรคหัวใจและโรคไต - ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะความเค็มจะทำให้ร่างกายต้องกักน้ำไว้ การไหลเวียนเลือดจึงช้าลงทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และไตก็ต้องทำงานมากขึ้นเพื่อขับเกลือแร่ออกจากร่างกาย ส่วนอาหารรสเผ็ดจะไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้นเช่นกัน
โรคกระเพาะ - ถ้าเป็นโรคนี้ไม่ควรทานรสเผ็ด ของทอด ของมัน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งชา กาแฟ เพราะอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นให้มีการสะสมความร้อนอยู่ในร่างกาย ทำให้โรคหายยาก
ท้องผูก - ควรงดทานหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เนื่องจากสมุนไพรเหล่านี้มีส่วนทำให้ถ่ายลำบากขึ้น
ความดันโลหิตสูง - คนที่เป็นความดันโลหิตสูงต้องระวังไม่ให้มีการสะสมความร้อนในร่างกาย เพราะความร้อนจะทำให้เลือดขับไหลเวียนไม่สะดวก จึงไม่ควรทานอาหารที่ทำให้เกิดความร้อน เช่น อาหารหวานจัด เผ็ดจัด อาหารที่มีโคเลสเตอรอล และของมัน
สิว - สาวๆ หน้าสิวควรงดอาหารเผ็ดจัด มันจัด เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นในกระเพาะอาหารและม้าม ความร้อนนี้จะไปทำให้ปอดทำงานได้ไม่ดี จึงเกิดการอุดตันตามผิวหนังและทำให้เกิดสิวมากขึ้น .
ขอขอบคุณ teenee.com
Create Date : 19 กันยายน 2551 | | |
|
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:42:45 น. |
| |
Counter : 1975 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
เผยผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่คุณไม่เคยทราบ |
|
เนื้อหา
คุณ เคยรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบ้างหรือไม่ และถ้าเคยคุณเคยทราบถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่อสุขภาพบ้างหรือไม่ ขอเวลา 5 นาทีกับบทความนี้ แล้วลองมาดูกันว่าผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์บางประเภทต่อสุขภาพที่คุณอาจเคย ใช้ อยากใช้ คิดจะใช้ เป็นเช่นไรบ้าง
สิทธิผู้บริโภค-รับรู้ทุกแง่มุมของสิ่งที่คิดจะรับประทาน
วิตามิน ซี ( Ascorbic acid )- หากได้รับวิตามิน ซี ในปริมาณสูง 1-3 กรัมต่อวัน ติดต่อกันหลายวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ - การได้รับวิตามินซีในปริมาณสูง เพื่อหวังเสริมภูมิต้านทานและป้องกันโรค ยังไม่มีผลการวิจัยยืนยันที่ถือเป็นข้อสรุปได้ว่าทำได้จริง - ผลการวิจัยในหลอดทดลอง พบวิตามิน ซี อาจทำให้ดีเอ็นเอ ในเซลล์เป็นอันตราย
วิตามิน อี (Tocopherols) - ประโยชน์ของวิตามินอี ยังไม่พบแน่ชัด แต่ไม่มีพิษ หากรับประทานไม่เกิน 1000 หน่วยสากลต่อวัน - ภาวะการขาดวิตามินอี ยังไม่พบในคนสุขภาพปกติ เพราะวิตามินอี มีมากในอาหารที่คนรับประทาน จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินอี เสริม
วิตามินเอ และ เบต้าแคโรทีน - การบริโภควิตามินเอบางชนิดในรูปอาหารเสริม อาจทำให้ได้รับในปริมาณสูงเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดพิษในร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามข้อ ตับทำงานมากขึ้น ในหญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกในครรภ์เกิดความผิดปกติ - มีรายงานว่า การรับประทานวิตามินเอ เสริม อาจทำให้กระดูกบางลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก -มีรายงานการวิจัยขนาดใหญ่ในฟินแลนด์พบว่า การใช้เบต้าแคโรทีน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด
ซีลีเนียม (Selenium) - ไม่ควรรับประทานซีลีเนียม เกินกว่า 400 ไมโครกรัม/วัน อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง - ยังไม่มีข้อมูลมากพอจะบอกว่าปริมาณซีลีเนียมเท่าไรจึงจะสามารถลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
สังกะสี ( Zinc ) การได้รับในปริมาณสูง (ประมาณ 25 มิลลิกรัม) สามารถขัดขวางการดูดซึมทองแดง
แคลเซียม (Calcium ) - การได้รับแคลเซียมเกินขนาด อาจทำให้คลื่นไส้ ท้องผูก เฉื่อยชา และอาจสะสมทำให้เกิดนิ่วได้ - ปริมาณสูงอาจยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสี
ซุปไก่สกัด - มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงแค่ไข่ไก่ ครึ่งฟอง - การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ต้มหรือตุ๋นในระยะเวลานาน ทำให้ได้รับสารก่อมะเร็งกลุ่ม เฮ็ตเตอโรไซคลิก อะโรเมติกเอมีน มากกว่าปรกติ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลายอวัยวะ
โปรตีน (Protein)- การรับประทานอาหารโปรตีนสูง ร่างกายจะไม่ได้นำโปรตีนไปสร้างกล้ามเนื้อ แต่จะกำจัดออก เป็นการเพิ่มภาระให้กับตับและไตต้องทำงานหนักขึ้น - คนที่ลดน้ำหนักโดยการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนสูง อาจเสี่ยงต่อภาวะโรคหัวใจ
สาหร่ายสไปรูไลน่า - ระวังภาวะเสี่ยงที่สาหร่ายอาจปนเปื้อนสารโลหะหนักและสารพิษอื่น ๆ จากน้ำที่เพาะเลี้ยง - มีปริมาณกรดนิวคลิอีกสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าท์
รังนก - คุณค่าทางโภชนาการต่ำ แต่มีราคาสูง ได้ประโยชน์ต่อร่างกายไม่คุ้มค่าเงิน - ไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า กินแล้วทำให้ผิวพรรณอ่อนวัย
การ์ซีเนีย (Garcinia) ไม่มีหลักฐานการวิจัยที่ยืนยันชัดเจนว่า HCA สามารถช่วยลดน้ำหนักได้
น้ำมันปลา(Fish oil ) -ใน การทดลองพบผลเสียจากการรับประทานน้ำมันปลาคือ เกิดเลือดกำเดาไหลไม่หยุด อาจทำให้เกิดสภาวะขาดวิตามินอีได้ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อสารพิษตกค้าง เนื่องจากภาวะมลพิษทางทะเลในถิ่นที่ปลาซึ่งเป็นวัตถุดิบอาศัย -ขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร หากจะบริโภคเพื่อการรักษาต้องรับประทานในปริมาณสูงมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อร่างกาย
อีฟนิ่ง พริมโรส (EPO) -มีรายงานผลข้างเคียงในผู้ป่วยโรคลมชัก
เลซิทิน (Lecithin) -คนปกติมักไม่ขาดเลซิติน การบริโภคในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ท้องเสีย -เล ซิติน จากพืชดีกว่าในสัตว์ เพราะเลซิตินจากพืชมีส่วนประกอบของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว หากซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เลซิตินจากแหล่งวัตถุดิบที่เป็นสัตว์อาจได้รับกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ยิ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับโคเลสเตอรอล
ใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba ) -ยัง มีรายงานการวิจัยที่ขัดแย้งกันในเรื่องการรักษาผู้ป่วยสมองเสื่อม จึงยังไม่มีข้อสรุป ฤทธิ์ข้างเคียงของแปะก๊วย ในผู้ใช้บางราย คืออาการปวดศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน -เกิดภาวะแทรกซ้อน เลือดไหลไม่หยุดในขณะผ่าตัด ในรายของผู้ป่วยที่รับประทานแปะก๊วยควบคู่ไปกับการรักษาโรคแผนปัจจุบัน
บุก- หากรับประทานกลูโคแมนแนนชนิดเม็ด ต้องดื่มน้ำตามให้มาก ๆ มิฉะนั้นจะเกิดเจลอุดตันในทางเดินอาหาร ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ - การรับประทานอาหารไฟเบอร์ติดต่อกันนาน ๆ ส่งผลให้เกิดภาวะการขาดสารอาหารในร่างกายได้ - ไม่มีรายงานว่าสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งในลำไส้ใหญ่
มะขามแขก (Senna) -ใน การระบายของเสีย ร่างกายจะสูญเสียน้ำออกไป ไม่ใช่ไขมัน ดังนั้นน้ำหนักที่ลดลงคือ น้ำที่หายไป หลังจากดื่มน้ำกลับเข้าไปร่างกายจะกลับมาน้ำหนักเท่าเดิม -การใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นประจำจะมีอันตรายทำให้ลำไส้บีบตัวเองไม่เป็น เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง
กระเทียมอัดเม็ด - ผลการวิจัยในระยะหลัง พบว่า สารสกัดจากกระเทียม ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ค่อยมีผลต่อการลดระดับของโคเลสเตอรอล หรือมีก็ในระดับที่น้อยมาก เนื่องจากปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดถูกควบคุมด้วยปัจจัยมากกว่าหนึ่งปัจจัย - เกิดกลุ่มรณรงค์ในอเมริกายื่นคำร้องให้ อย.ของสหรัฐฯ สั่งห้ามบริษัทอาหารเสริมโฆษณาสรรพคุณของกระเทียมอัดเม็ดว่า ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลได้และช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง
ขอขอบคุณ samunpai.com
Create Date : 18 กันยายน 2551 | | |
|
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:42:25 น. |
| |
Counter : 1179 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
การดูแลเส้นผมแบบใช้สมุนไพร |
|
เนื้อหา
มะกรูด เป็นสมุนไพรที่เรารู้กันอยู่ว่า ใช้ได้ผลดีในการดูแลเส้นผม และใช้กันมานานแล้ว แต่ไม่รู้จักวิธีประยุกต์ใช้ให้สะดวก ส่วนที่จะนำมาใช้ประโยชน์คือผล รวมทั้งผิว และเนื้อในผลมะกรูดด้วย โดยที่ส่วนผิวของผลมะกรูดจะให้น้ำมันหอมระเหยที่ทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม ปราศจากรังแค บำรุงรากผลให้แข็งแรง ส่วนน้ำในเนื้อของผลจะมีรสเปรี้ยว เป็นกรด ช่วยทำให้หนังศีรษะ และเส้นผมสะอาด ลื่นมันเป็นเงางาม
การใช้มีหลากหลายวิธี ซึ่งสามารถใช้ได้ตามความสะดวก และความพอใจของแต่ละคน ดังนี้
วิธีที่ ๑ คือการนำผลมะกรูดมาย่างไฟจนนิ่ม ทำให้ต่อมน้ำมันที่ผิวแตก แล้วนำมะกรูดไปแช่น้ำ คั้น ให้น้ำมันจากผิวออกมาให้มากที่สุด แล้วนำผลมะกรูดไปผ่าซีกบีบเอาน้ำในผลออกมาผสมกับน้ำคั้นจากน้ำมันของผิว มะกรูด เติมน้ำเล็กน้อย กรองเอากากออก นำไปสระผมที่เปียกทั่วดีแล้ว นวดให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ
วิธีที่ ๒ ปอกผิวผลมะกรูดสดออก นำไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วผ่าซีกเนื้อมะกรูด บีบเอาน้ำออกไปผสมกับผิวที่ปั่นละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย กรองเอาน้ำไปสระผม
วิธีที่ ๓ นำผลมะกรูดมาผ่าซีก ขยี้บนผมเลย โดยจะต้องราดน้ำให้เปียกทั่วดีก่อน แล้วนวดเบา ๆ ให้ทั่วทั้งเส้นผมและหนังศีรษะ
วิธีที่ ๔ ให้นำผลมะกรูดมาหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ทั้งผิว และเนื้อนำไปปั่นรวมกันให้ละเอียด เติมน้ำเล็กน้อย กรองเอาแต่น้ำไปสระผม
ทั้ง ๔ วิธีนี้ เลือกเอาวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือจะทั้ง ๔ วิธีเลยก็ได้สลับกันไป แต่ก็มีข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ คือ ก่อนการใช้ให้สระผมให้สะอาดก่อน และอย่าเกาหนังศีรษะจนเกิดแผล เพราะจะทำให้แสบเวลาสระด้วยมะกรูด
สารสีเหลืองในขมิ้นควบคุมเซลล์มะเร็งได้
สีธรรมชาติที่สกัดได้จากเหง้าของขมิ้นชันนอกจากจะมีประโยชน์สำหรับใช้ปรุงแต่งอาหารให้มีสีสัน และ กลิ่นหอมแล้ว ขมิ้นชันยังมีสารเคอร์คูมิน ที่ซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวของเราให้แข็งแรง และช่วยให้ผิวทนต่อการแผดเผาของรังสีจากแสงแดดได้ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นจากผลการศึกษาวิจัยของสถาบันแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกายังพบว่าสารชนิดนี้ มีฤทธิ์ และ ถ้าแสบเท่า ๆ กันทั้งศีรษะ แสดงว่าน้ำที่สระเข้มข้นไป ให้เติมน้ำให้เจือจางลงอีก เมื่อสระด้วยมะกรูดเสร็จแล้ว ให้ล้างด้วยน้ำสะอาดออกให้หมด และควรสระสัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้งเท่านั้น ว่านหางจระเข้ ส่วนที่นำมาใช้คือใบ โดยใช้แต่น้ำเมือก และเนื้อวุ้นในใบ นำใบว่านหางจระเข้ ที่ ตัดมาสด ๆ โดยเลือกเอาเฉพาะกาบใหญ่ ๆ อวบ ๆ มาปอกเปลือกให้เหลือแต่เนื้อวุ้น นำไปล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะยางสีเหลืองเป็นพิษต่อผิว นำวุ้นที่ได้ไปปั่นให้ละเอียด นำไปชะโลมเส้นผมและหนังศีรษะ ที่สระทิ้งไว้นาน ๑๐-๒๐ นาทีจึงล้างออก หลังจากนั้นจึงนวดด้วยครีมนวดผมตามปกติอีกครั้ง ผล จากการใช้ว่านหางจระเข้เป็นประจำ จะทำให้เส้นผมสลวยสวยเป็นเงางาม ผมมีน้ำหนักไม่ฟูกระจาย หวีเข้ารูปทรงได้ง่าย ไม่หงอกก่อนวัย หยุดการหลุดร่วงของเส้นผม รากผมแข็งแรง ปราศจากรังแค และหนังศีรษะสะอาด ควรทำสัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้งเท่านั้น
ทองพันชั่ง ใช้ในการช่วยลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม โดยเด็ดเอาใบสด ๆ มาประมาณ ๑๕ ถึง ๒๐ ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำ หรือปั่นให้ละเอียด เติมน้ำพอแฉะ ๆ ทา หรือพอกบริเวณที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ ใช้ผ้าโพกทิ้งไว้ ๑-๒ ชั่วโมง ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ให้ทำบ่อย ๆ ติดต่อกัน ๘-๑๐ ครั้ง จึงจะเห็นผล
ขิงสด ใช้ ส่วนของเหง้า จะมีสรรพคุณช่วยลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม หยุดลุกลาม และช่วยให้เส้นผมบริเวณนั้นจะค่อย ๆ งอกขึ้นใหม่ โดยการนำเหง้าขิงสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ แล้วนำขิงไปปิ้งไฟให้ร้อนจัด ตำให้ละเอียด ทาหรือพอกบริเวณที่ผมร่วง ทิ้งไว้สัก ๑-๒ ชั่วโมง แล้วสระออกให้สะอาด ทำบ่อย ๆ ติดต่อกัน ๘-๑๐ ครั้ง จึงจะเห็นผลที่น่าพอใจ
ขอขอบคุณ samunpai.com
Create Date : 16 กันยายน 2551 | | |
|
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:42:06 น. |
| |
Counter : 1130 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|