space
space
space
space

ดื่มโกโก้วันละแก้วสุขภาพดี
เนื้อหา

บี บีซีนิวส์ - ผลการศึกษาชิ้นใหม่พบว่านอกจาก ชา หรือไวน์แดง ที่รู้กันดีว่ามีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค รวมถึงยังป้องกันผลกระทบจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ "โกโก้" ที่มีคุณสมบัติมากกว่าเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่ว่ามาเสียอีก

นัก วิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดง

ทั้ง นี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ ดื่มกว่าครึ่งหนึ่ง

ปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้



ในการ ศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

แม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็น อาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่าทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น

" แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย"


ผลการศึกษาตีพิมพ์ใน วารสารของสมาคมการแพทย์อเมริกัน

ขอขอบคุณ samunpai.com




 

Create Date : 22 กันยายน 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:43:05 น.   
Counter : 2379 Pageviews.  
space
space
~~~ อาหารแสลงโรค ~~~
คำว่าแสลงก็หมายความว่าไม่ถูกกัน ทานแล้วอาการของโรคจะยิ่งทรุดหนักลง แล้วอาหารอะไรบ้างล่ะที่แสลงกับโรคของคุณ มาดูกัน...

โรคเบาหวาน - ไม่ควรทานอาหารรสหวานและอาหารที่มีแป้งสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ เพราะร่างกายจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล และควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสดแทน

โรคหัวใจและโรคไต - ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะความเค็มจะทำให้ร่างกายต้องกักน้ำไว้ การไหลเวียนเลือดจึงช้าลงทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และไตก็ต้องทำงานมากขึ้นเพื่อขับเกลือแร่ออกจากร่างกาย ส่วนอาหารรสเผ็ดจะไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้นเช่นกัน



โรคกระเพาะ - ถ้าเป็นโรคนี้ไม่ควรทานรสเผ็ด ของทอด ของมัน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งชา กาแฟ เพราะอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นให้มีการสะสมความร้อนอยู่ในร่างกาย ทำให้โรคหายยาก

ท้องผูก - ควรงดทานหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เนื่องจากสมุนไพรเหล่านี้มีส่วนทำให้ถ่ายลำบากขึ้น

ความดันโลหิตสูง - คนที่เป็นความดันโลหิตสูงต้องระวังไม่ให้มีการสะสมความร้อนในร่างกาย เพราะความร้อนจะทำให้เลือดขับไหลเวียนไม่สะดวก จึงไม่ควรทานอาหารที่ทำให้เกิดความร้อน เช่น อาหารหวานจัด เผ็ดจัด อาหารที่มีโคเลสเตอรอล และของมัน

สิว - สาวๆ หน้าสิวควรงดอาหารเผ็ดจัด มันจัด เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นในกระเพาะอาหารและม้าม ความร้อนนี้จะไปทำให้ปอดทำงานได้ไม่ดี จึงเกิดการอุดตันตามผิวหนังและทำให้เกิดสิวมากขึ้น .

ขอขอบคุณ teenee.com




 

Create Date : 19 กันยายน 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:42:45 น.   
Counter : 1975 Pageviews.  
space
space
เผยผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่คุณไม่เคยทราบ
เนื้อหา

คุณ เคยรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบ้างหรือไม่ และถ้าเคยคุณเคยทราบถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่อสุขภาพบ้างหรือไม่ ขอเวลา 5 นาทีกับบทความนี้ แล้วลองมาดูกันว่าผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์บางประเภทต่อสุขภาพที่คุณอาจเคย ใช้ อยากใช้ คิดจะใช้ เป็นเช่นไรบ้าง


สิทธิผู้บริโภค-รับรู้ทุกแง่มุมของสิ่งที่คิดจะรับประทาน

วิตามิน ซี ( Ascorbic acid )- หากได้รับวิตามิน ซี ในปริมาณสูง 1-3 กรัมต่อวัน ติดต่อกันหลายวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- การได้รับวิตามินซีในปริมาณสูง เพื่อหวังเสริมภูมิต้านทานและป้องกันโรค ยังไม่มีผลการวิจัยยืนยันที่ถือเป็นข้อสรุปได้ว่าทำได้จริง
- ผลการวิจัยในหลอดทดลอง พบวิตามิน ซี อาจทำให้ดีเอ็นเอ ในเซลล์เป็นอันตราย

วิตามิน อี (Tocopherols)
- ประโยชน์ของวิตามินอี ยังไม่พบแน่ชัด แต่ไม่มีพิษ หากรับประทานไม่เกิน 1000 หน่วยสากลต่อวัน
- ภาวะการขาดวิตามินอี ยังไม่พบในคนสุขภาพปกติ เพราะวิตามินอี มีมากในอาหารที่คนรับประทาน จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินอี เสริม

วิตามินเอ และ เบต้าแคโรทีน
- การบริโภควิตามินเอบางชนิดในรูปอาหารเสริม อาจทำให้ได้รับในปริมาณสูงเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดพิษในร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามข้อ ตับทำงานมากขึ้น ในหญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกในครรภ์เกิดความผิดปกติ
- มีรายงานว่า การรับประทานวิตามินเอ เสริม อาจทำให้กระดูกบางลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก
-มีรายงานการวิจัยขนาดใหญ่ในฟินแลนด์พบว่า การใช้เบต้าแคโรทีน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด

ซีลีเนียม (Selenium)
- ไม่ควรรับประทานซีลีเนียม เกินกว่า 400 ไมโครกรัม/วัน อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
- ยังไม่มีข้อมูลมากพอจะบอกว่าปริมาณซีลีเนียมเท่าไรจึงจะสามารถลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง


สังกะสี ( Zinc )
การได้รับในปริมาณสูง (ประมาณ 25 มิลลิกรัม) สามารถขัดขวางการดูดซึมทองแดง


แคลเซียม (Calcium )
- การได้รับแคลเซียมเกินขนาด อาจทำให้คลื่นไส้ ท้องผูก เฉื่อยชา และอาจสะสมทำให้เกิดนิ่วได้
- ปริมาณสูงอาจยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสี

ซุปไก่สกัด
- มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงแค่ไข่ไก่ ครึ่งฟอง
- การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ต้มหรือตุ๋นในระยะเวลานาน ทำให้ได้รับสารก่อมะเร็งกลุ่ม เฮ็ตเตอโรไซคลิก อะโรเมติกเอมีน มากกว่าปรกติ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลายอวัยวะ

โปรตีน (Protein)- การรับประทานอาหารโปรตีนสูง ร่างกายจะไม่ได้นำโปรตีนไปสร้างกล้ามเนื้อ แต่จะกำจัดออก เป็นการเพิ่มภาระให้กับตับและไตต้องทำงานหนักขึ้น
- คนที่ลดน้ำหนักโดยการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนสูง อาจเสี่ยงต่อภาวะโรคหัวใจ


สาหร่ายสไปรูไลน่า
- ระวังภาวะเสี่ยงที่สาหร่ายอาจปนเปื้อนสารโลหะหนักและสารพิษอื่น ๆ จากน้ำที่เพาะเลี้ยง
- มีปริมาณกรดนิวคลิอีกสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าท์

รังนก
- คุณค่าทางโภชนาการต่ำ แต่มีราคาสูง ได้ประโยชน์ต่อร่างกายไม่คุ้มค่าเงิน
- ไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า กินแล้วทำให้ผิวพรรณอ่อนวัย

การ์ซีเนีย (Garcinia)
ไม่มีหลักฐานการวิจัยที่ยืนยันชัดเจนว่า HCA สามารถช่วยลดน้ำหนักได้

น้ำมันปลา(Fish oil )
-ใน การทดลองพบผลเสียจากการรับประทานน้ำมันปลาคือ เกิดเลือดกำเดาไหลไม่หยุด อาจทำให้เกิดสภาวะขาดวิตามินอีได้ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อสารพิษตกค้าง เนื่องจากภาวะมลพิษทางทะเลในถิ่นที่ปลาซึ่งเป็นวัตถุดิบอาศัย
-ขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร หากจะบริโภคเพื่อการรักษาต้องรับประทานในปริมาณสูงมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อร่างกาย

อีฟนิ่ง พริมโรส (EPO)
-มีรายงานผลข้างเคียงในผู้ป่วยโรคลมชัก

เลซิทิน (Lecithin)
-คนปกติมักไม่ขาดเลซิติน การบริโภคในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ท้องเสีย
-เล ซิติน จากพืชดีกว่าในสัตว์ เพราะเลซิตินจากพืชมีส่วนประกอบของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว หากซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เลซิตินจากแหล่งวัตถุดิบที่เป็นสัตว์อาจได้รับกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ยิ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับโคเลสเตอรอล


ใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba )
-ยัง มีรายงานการวิจัยที่ขัดแย้งกันในเรื่องการรักษาผู้ป่วยสมองเสื่อม จึงยังไม่มีข้อสรุป ฤทธิ์ข้างเคียงของแปะก๊วย ในผู้ใช้บางราย คืออาการปวดศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน
-เกิดภาวะแทรกซ้อน เลือดไหลไม่หยุดในขณะผ่าตัด ในรายของผู้ป่วยที่รับประทานแปะก๊วยควบคู่ไปกับการรักษาโรคแผนปัจจุบัน

บุก- หากรับประทานกลูโคแมนแนนชนิดเม็ด ต้องดื่มน้ำตามให้มาก ๆ มิฉะนั้นจะเกิดเจลอุดตันในทางเดินอาหาร ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้
- การรับประทานอาหารไฟเบอร์ติดต่อกันนาน ๆ ส่งผลให้เกิดภาวะการขาดสารอาหารในร่างกายได้
- ไม่มีรายงานว่าสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งในลำไส้ใหญ่

มะขามแขก (Senna)
-ใน การระบายของเสีย ร่างกายจะสูญเสียน้ำออกไป ไม่ใช่ไขมัน ดังนั้นน้ำหนักที่ลดลงคือ น้ำที่หายไป หลังจากดื่มน้ำกลับเข้าไปร่างกายจะกลับมาน้ำหนักเท่าเดิม
-การใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นประจำจะมีอันตรายทำให้ลำไส้บีบตัวเองไม่เป็น เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง

กระเทียมอัดเม็ด
- ผลการวิจัยในระยะหลัง พบว่า สารสกัดจากกระเทียม ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ค่อยมีผลต่อการลดระดับของโคเลสเตอรอล หรือมีก็ในระดับที่น้อยมาก เนื่องจากปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดถูกควบคุมด้วยปัจจัยมากกว่าหนึ่งปัจจัย
- เกิดกลุ่มรณรงค์ในอเมริกายื่นคำร้องให้ อย.ของสหรัฐฯ สั่งห้ามบริษัทอาหารเสริมโฆษณาสรรพคุณของกระเทียมอัดเม็ดว่า ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลได้และช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง

ขอขอบคุณ samunpai.com




 

Create Date : 18 กันยายน 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:42:25 น.   
Counter : 1179 Pageviews.  
space
space
การดูแลเส้นผมแบบใช้สมุนไพร
เนื้อหา

มะกรูด เป็นสมุนไพรที่เรารู้กันอยู่ว่า ใช้ได้ผลดีในการดูแลเส้นผม และใช้กันมานานแล้ว แต่ไม่รู้จักวิธีประยุกต์ใช้ให้สะดวก ส่วนที่จะนำมาใช้ประโยชน์คือผล รวมทั้งผิว และเนื้อในผลมะกรูดด้วย โดยที่ส่วนผิวของผลมะกรูดจะให้น้ำมันหอมระเหยที่ทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม ปราศจากรังแค บำรุงรากผลให้แข็งแรง ส่วนน้ำในเนื้อของผลจะมีรสเปรี้ยว เป็นกรด ช่วยทำให้หนังศีรษะ และเส้นผมสะอาด ลื่นมันเป็นเงางาม

การใช้มีหลากหลายวิธี ซึ่งสามารถใช้ได้ตามความสะดวก และความพอใจของแต่ละคน ดังนี้



วิธีที่ ๑ คือการนำผลมะกรูดมาย่างไฟจนนิ่ม ทำให้ต่อมน้ำมันที่ผิวแตก แล้วนำมะกรูดไปแช่น้ำ
คั้น ให้น้ำมันจากผิวออกมาให้มากที่สุด แล้วนำผลมะกรูดไปผ่าซีกบีบเอาน้ำในผลออกมาผสมกับน้ำคั้นจากน้ำมันของผิว มะกรูด เติมน้ำเล็กน้อย กรองเอากากออก นำไปสระผมที่เปียกทั่วดีแล้ว นวดให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ

วิธีที่ ๒ ปอกผิวผลมะกรูดสดออก นำไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วผ่าซีกเนื้อมะกรูด บีบเอาน้ำออกไปผสมกับผิวที่ปั่นละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย กรองเอาน้ำไปสระผม

วิธีที่ ๓ นำผลมะกรูดมาผ่าซีก ขยี้บนผมเลย โดยจะต้องราดน้ำให้เปียกทั่วดีก่อน แล้วนวดเบา ๆ ให้ทั่วทั้งเส้นผมและหนังศีรษะ

วิธีที่ ๔ ให้นำผลมะกรูดมาหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ทั้งผิว และเนื้อนำไปปั่นรวมกันให้ละเอียด เติมน้ำเล็กน้อย กรองเอาแต่น้ำไปสระผม

ทั้ง ๔ วิธีนี้ เลือกเอาวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือจะทั้ง ๔ วิธีเลยก็ได้สลับกันไป แต่ก็มีข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ คือ ก่อนการใช้ให้สระผมให้สะอาดก่อน และอย่าเกาหนังศีรษะจนเกิดแผล เพราะจะทำให้แสบเวลาสระด้วยมะกรูด

สารสีเหลืองในขมิ้นควบคุมเซลล์มะเร็งได้

สีธรรมชาติที่สกัดได้จากเหง้าของขมิ้นชันนอกจากจะมีประโยชน์สำหรับใช้ปรุงแต่งอาหารให้มีสีสัน
และ กลิ่นหอมแล้ว ขมิ้นชันยังมีสารเคอร์คูมิน ที่ซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวของเราให้แข็งแรง และช่วยให้ผิวทนต่อการแผดเผาของรังสีจากแสงแดดได้ดีขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นจากผลการศึกษาวิจัยของสถาบันแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกายังพบว่าสารชนิดนี้ มีฤทธิ์
และ ถ้าแสบเท่า ๆ กันทั้งศีรษะ แสดงว่าน้ำที่สระเข้มข้นไป ให้เติมน้ำให้เจือจางลงอีก เมื่อสระด้วยมะกรูดเสร็จแล้ว ให้ล้างด้วยน้ำสะอาดออกให้หมด และควรสระสัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้งเท่านั้น
ว่านหางจระเข้ ส่วนที่นำมาใช้คือใบ โดยใช้แต่น้ำเมือก และเนื้อวุ้นในใบ นำใบว่านหางจระเข้
ที่ ตัดมาสด ๆ โดยเลือกเอาเฉพาะกาบใหญ่ ๆ อวบ ๆ มาปอกเปลือกให้เหลือแต่เนื้อวุ้น นำไปล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะยางสีเหลืองเป็นพิษต่อผิว นำวุ้นที่ได้ไปปั่นให้ละเอียด นำไปชะโลมเส้นผมและหนังศีรษะ
ที่สระทิ้งไว้นาน ๑๐-๒๐ นาทีจึงล้างออก หลังจากนั้นจึงนวดด้วยครีมนวดผมตามปกติอีกครั้ง
ผล จากการใช้ว่านหางจระเข้เป็นประจำ จะทำให้เส้นผมสลวยสวยเป็นเงางาม ผมมีน้ำหนักไม่ฟูกระจาย หวีเข้ารูปทรงได้ง่าย ไม่หงอกก่อนวัย หยุดการหลุดร่วงของเส้นผม รากผมแข็งแรง ปราศจากรังแค
และหนังศีรษะสะอาด ควรทำสัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้งเท่านั้น

ทองพันชั่ง ใช้ในการช่วยลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม โดยเด็ดเอาใบสด ๆ มาประมาณ ๑๕
ถึง ๒๐ ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำ หรือปั่นให้ละเอียด เติมน้ำพอแฉะ ๆ ทา หรือพอกบริเวณที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ ใช้ผ้าโพกทิ้งไว้ ๑-๒ ชั่วโมง ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ให้ทำบ่อย ๆ ติดต่อกัน ๘-๑๐ ครั้ง จึงจะเห็นผล

ขิงสด ใช้ ส่วนของเหง้า จะมีสรรพคุณช่วยลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม หยุดลุกลาม และช่วยให้เส้นผมบริเวณนั้นจะค่อย ๆ งอกขึ้นใหม่ โดยการนำเหง้าขิงสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ แล้วนำขิงไปปิ้งไฟให้ร้อนจัด ตำให้ละเอียด ทาหรือพอกบริเวณที่ผมร่วง ทิ้งไว้สัก ๑-๒ ชั่วโมง แล้วสระออกให้สะอาด ทำบ่อย ๆ ติดต่อกัน ๘-๑๐ ครั้ง จึงจะเห็นผลที่น่าพอใจ

ขอขอบคุณ samunpai.com




 

Create Date : 16 กันยายน 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:42:06 น.   
Counter : 1130 Pageviews.  
space
space
» แผลในช่องปาก (Aphthous ulcer) สาเหตุและการป้องกันรักษา
เนื้อหา



แผล ในปากเรื้อรัง พบได้ง่าย ลักษณะเป็นแผลเล็กๆ ตื้นๆ มีอาการเจ็บ มักเกิดบริเวณ เยื่อบุช่องปาก อาจมีแผลเดียว หรือหลายแผลก็ได้ มักหายโดยไม่มีแผลเป็น ภายใน 5-10 วัน

สาเหตุของการเกิดแผล ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด และอาจเป็นอาการของโรคใดโรคหนึ่งได้ ดังนั้นถ้าเป็นบ่อยๆ อาจต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เพิ่มเติม

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดแผลในปาก

1. การติดเชื้อ - เชื้อที่พบมักเป็นจำพวกแบคทีเรีย แกรมบวก-Streptpcoccus sanguis
2. การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน เช่นในช่วงมีประจำเดือน
3. ความเครียด
4. การพักผ่อนไม่เพียงพอ
5. การแพ้ยาสีฟัน
6. การขาดสารอาหาร เช่น ธาตุเหล็ก ฯลฯ



แนวทางการรักษา

1. บ้วนปากให้สะอาด ด้วยน้ำเกลืออุ่น แล้วทายาป้ายแผลในปาก อาทิ Kenalog in Oralbase เพื่อลดการอักเสบ
2. ยารับประทาน พวกปฎิชีวนะ อาทิ Metronidasole 200 มก. รับประทาน 2 เม็ด 3 เวลา หลังอาหาร กรณีที่มีการอักเสบมาก และป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย เพื่อระงับ การมีกลิ่นปาก
3.เปลี่ยนยาสีฟันที่ใช้อยู่ประจำ มักพบคนไข้บางคน แพ้สารที่ทำให้เกิดความรู้สึกซ่า สดชื่น ในยาสีฟันบางชนิด เช่น ดาร์กี้ คอลเกต หรือ ใกล้ชิด ฯลฯ แนะนำให้ใช้ยาสีฟัน รสจืด แทน
4.ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย วันละ 10-12 แก้ว เพื่อลดการอักเสบ และทำความสะอาดช่องปาก
5.รับประทานอาหานที่มีวิตามิน บี 12 ธาตุเหล็ก ในกรณีที่ขาดสารอาหาร
6.ถ้าแผลเป็นนานกว่า 1 สัปดาห์ และปฏิบัติตาม ที่แนะนำแล้วยังไม่หาย อาจต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุอย่างอื่น

แผล ในปาก ถ้ามีลักษณะขอบหนา สกปรก มีกลิ่น และมักไม่เจ็บ ควรนึกถึงมะเร็งในช่องปากด้วย แต่มักเกิดในคนที่มีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือในคนสูงอายุ


ขอขอบคุณ samunpai.com




 

Create Date : 14 กันยายน 2551   
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:41:46 น.   
Counter : 8727 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space