space
space
space
space

ใบตำลึงแก้พิษบุ้งชะงัดนัก




ผู้ที่มีชีวิตคลุกคลีอยู่กับต้นไม้ใบหญ้า หลายคนคงจะรู้จักถึงพิษสงของบุ้งดี บุ้งก็คือตัวหนอนที่มีขนหนาๆ นั่นแหละ มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ สีสันก็แตกต่างกัน บางชนิดก็สวยงามน่าจับต้อง แต่อย่าไปแตะต้องเข้าเชียว เพราะพิษสงที่ขนของมันร้ายกาจมาก ไม่ว่าตัวเล็กหรือตัวใหญ่ สัมผัสผิวหนังเราเข้าเป็นคันเขยอ ยากที่จะหายาแก้มันได้

บุ้งบางชนิดก็ชอบเกาะล้อมวงกันเป็นหมู่ ส่วนมากชอบอยู่ใต้ใบไม้ ถ้าเอาไม่สังเกตจะไม่เห็น โดยเฉพาะส่วนหน้าแข้งจะถูกมาก ต่อไปก็ที่แขนหรือไหล่ ถ้าถูกบุ้งเข้าแล้วจะคันมาก แถมปวดแสบปวดร้อนอย่าบอกใครเชียว ยาหม่องหรือยาประเภทร้อนๆ ไม่มีทางจะดับพิษมันได้ ถ้าทิ้งไว้จะกลายเป็นตุ่มน้ำเหลือง พอตุ่มแตกก็จะเกิดแผลเป็นด่างไปเป็นปี

ผู้เขียนเคยโดนมาแล้วสมัยเมื่อหนุ่มๆ ขึ้นเก็บผลไม้ไม่ทันเห็น ข้อศอกไปถูกมันเข้า ทั้งคันทั้งปวดทรมานยิ่งนัก ใครว่ายาอะไรดีเอามาทาทั้งนั้น ก็ไม่ยอมหาย ขนมันตำติดไม่ยอมออก มือไปถูกเข้าจะเสียวแปล๊บๆ เหมือนมีเสี้ยนเล็กๆ หลายอันตำอยู่ ต่อมาก็พองเป็นแผลเป็นมาจนทุกวันนี้

แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าสัมผัสตัวบุ้งจะไม่ตกใจเลย เพราะเจอยาดีและหาง่ายเข้าแล้ว คือใบตำลึงนี่เอง แก้พิษบุ้งได้ชะงัดนัก ทดลองมาสามครั้งแล้วได้ผลทั้งสามครั้ง หายทันทีที่ทาเสร็จ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อกลางปีนี่เอง

วันนั้นผู้เขียนได้เดินเข้าไปในพงไม้เตี้ยๆ เดินผ่านไปได้เล็กน้อย รู้สึกปวดแสงปวดร้อนหน้าแข้ง คิดว่าคงถูกใบไม้ใบหญ้าบาดเอา ประเดี๋ยวคงหายไปเอง เสร็จธุระแล้วก็เอาน้ำล้างเอาผ้าเช็ดจนแห้ง ความปวดร้อนก็ไม่หายและยิ่งทวีมากขึ้น และคันมากขึ้นด้วย แน่ใจว่าไม่ใช่ถูกใบไม้แน่ๆ เดาเอาว่าต้องถูกบุ้งเข้าแล้ว รีบเดินเข้าถ้ำจะอายาหม่องมาทา

ในขณะนั้นเกิดนึกขึ้นได้ว่า เคยอ่านพบที่ใดไม่ทราบว่าถ้าถูกบุ้งขนให้เอาใบตำลึงขยี้ใบเอาน้ำเขียวๆ ทาบริเวณที่คันให้ทั่ว ผู้เขียนแม้ไม่เชื่อว่าใบตำลึงจะแก้พิษบุ้งได้ แต่ก็มีความเชื่อว่าถึงจะรักษาพิษบุ้งไม่ได้ก็ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังแน่ เพราะใบตำลึงใช้ต้มและลวกกินได้อยู่แล้ว อีกทั้งการหาก็ง่ายมีขึ้นเองอยู่ทั่วไป

จึงไปเด็ดเอาใบตำลึงแก่มาสองสามใบ เอาขยี้ลงไปที่แผลซึ่งกำลังคันปวดแสบปวดร้อนอยู่นั่นแหละ มีน้ำเป็นยางเขียวๆ ออกมา รู้สึกเย็นดี ชั่วระยะเพียงสองสามนาทีที่ขยี้เสร็จก็หายปวดแสบปวดร้อนทันที ช่างน่าอัศจรรย์นัก เคยใช้ยาหม่องทายิ่งพากันร้อนใหญ่ แล้วก็ไม่หายด้วย

ต่อมาเมื่อไม่นานนี้ก็ไปถูกเข้าอีกก็ใช้ตำรับเดิมแล้วก็หาย ครั้งที่สามคือวันนี้ ก่อนที่จะเขียนเรื่องนี้ส่งมา ได้ถูกบุ้งเข้าอีก พอเอาตำลึงขยี้ทาแล้วเกิดเมตตาขึ้นว่า ชาวไร่ชาวนา หรือผู้คนที่อยู่ตามชนบท แม้ไม่ทำไร่ทำนาเข้าป่าเข้าดง ก็อาจจะมีต้นไม้หรือสวนอยู่ในบ้าน

เมื่อมีต้นไม้ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ย่อมจะมีตัวบุ้งเกาะอยู่ตามต้นหรือใบไม้บ้าง เมื่อมีอาการคันควรสันนิษฐานไว้ก่อน อาจจะถูกขนบุ้งเข้าแล้ว โดยเฉพาะเด็กที่ซนๆ ควรแนะนำให้ป้องกันเอง ด้วยการเอาใบตำลึงขยี้ทาเพื่อดับพิษเสียก่อน


ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 30 พฤษภาคม 2552 7:24:06 น.   
Counter : 6388 Pageviews.  
space
space
ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ





ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ
มองจากทัศนะแพทย์แผนจีน (๑)
นพ.ภาสกิจ (วิทวัส) วัณนาวิบูล

ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพในประเทศที่พัฒนาทั่วโลก มีมูลค่ามหาศาลจากตัวเลขปี พ.ศ.๒๕๔๖ ของนิตยสาร Young ในสหรัฐอเมริกา มีมูลค่า ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๖ แสนล้านบาท) และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี รวมถึงตลาดในประเทศไทยด้วย เนื่องจากความตื่นตัวทางด้านสุขภาพ โดยเฉพาะ กลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง โรคของความเสื่อม ชรา เป็นปัญหาที่ค่อยๆ เกิดจากการสะสมความเสียสมดุลอย่างต่อเนื่อง และจะบังเกิดผลเมื่อถึงจุดหนึ่ง ซึ่งมักยากแก่การเยียวยา และมีต้นทุนการรักษาที่สูงลิ่ว

ความคิดในเชิงป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้เกิดทฤษฎีใหม่ๆ ขึ้นมากมาย และมีการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งทางด้านรสชาติ ความทันสมัย ความสะดวกสบาย อันเหมาะสมกับสภาพของคนไทยในสังคมโลกาภิวัตน์ ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลสุขภาพตนเองแบบธรรมชาติ การใช้จ่ายบริโภคเพื่อสุขภาพที่ดี ด้วยอาหารสุขภาพจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย

อีกด้านหนึ่งความรู้ภูมิปัญญาตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีน แผนไทย อายุรเวท ฯลฯ ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้น มีการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่องและมีการปรับปรุงรูปแบบอาหารและสมุนไพร ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมควบคู่กันไป แต่ก็ไม่ร้อนแรงเหมือนตลาดอาหารเสริมที่มีความก้าวหน้า ทันสมัย ทั้งในแง่การศึกษาวิจัย (เงินลงทุน) และเทคโนโลยี การตลาด ทำให้ระยะ ๑๐ ปีต่อจากนี้ไป การพยายามผนวกภูมิปัญญาตะวันออก ในด้านอาหารหรืออาหารที่มีผลทางยาเข้าไปในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพตลาดสุขภาพโดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ความคิดเห็นต่อผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพที่มีอยู่เกลื่อนกลาดในท้องตลาด มากกว่า ๑ พันบริษัท มี ทั้งผู้ที่เห็นด้วยและคัดค้าน เนื่องจากบางครั้งมีการโฆษณาสรรพคุณที่เกินความเป็นจริง ทำให้คนหลงเชื่อ หรือไม่ก็ปฏิเสธไปเลย โดยไม่พิจารณาคุณค่าที่เป็นจริงของผลิตภัณฑ์ ราคาที่เสนอขายก็สูงเกินไปจนมองว่าเป็นเรื่องทางธุรกิจมากกว่า จากประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบัน ทำให้มีความต้องการถ่ายทอด และใช้หลักการวิเคราะห์ แยกแยะ แนวคิดเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเปรียบเทียบ เพื่อจุดประเด็นมุมมองจากภูมิปัญญาตะวันออกสู่โลกาภิวัตน์

แน่นอนว่าข้อคิดเห็นนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัว จุดอ่อน ข้อบกพร่อง ท่านผู้รู้สามารถให้คำชี้แนะ และวิพากษ์วิจารณ์ได้

ความเห็นที่แตกต่าง
มุมมองเรื่องอาหารสุขภาพมีหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
๑. กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย
มองว่าเป็นของฟุ่มเฟือย เกินจำเป็น เป็นการโฆษณาเกินจริง เป็นเรื่องเชิงพาณิชย์ เน้นบริโภคนิยม ทำให้เกิดการตื่นกลัว เพื่อกระตุ้นการขาย
กลุ่มนี้เชื่อว่าการกินอาหารครบหมู่ ออกกำลังกาย พักผ่อนเพียงพอ ไม่เครียด ฝึกจิตสมาธิ เป็นต้น ก็มี ความเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินตามคำโฆษณา
กลุ่มนี้มีความเชื่อจากแนวคิดแผนตะวันตกแบบดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่น รวมถึงผู้ที่ยึดมั่นในแนวทางธรรมชาติ การพึ่งตนเอง ที่มักแสวงหาอาหารรูปแบบ ธรรมชาติตามท้องถิ่นและฤดูกาล เนื่องจากประหยัด เรียบง่าย โดยไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของกระแสบริโภคนิยม
๒. กลุ่มที่เห็นด้วย
กลุ่มนี้มองว่ามีความจำเป็น เพราะอาหารเพื่อสุขภาพสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรค รวมถึงบางครั้งสามารถนำมารักษาโรคได้ เป็น "โภชนเภสัชภัณฑ์Ž ดังตัวอย่างของนายแพทย์เรย์ ดี สแตรน (Ray D. Strand) ที่เขียนหนังสือชื่อ เมื่อคุณหมอ ไม่รู้จักสารอาหารเสริมบำบัดโรค ความตายอาจกำลังครอบงำคุณ" (What your doctor doesn't know about nutritional medicine may be killing you) ซึ่งท่านเชื่อเรื่องภาวะอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายจากสภาวะสังคม อาหาร อากาศ ความเครียด และสารพิษต่างๆ ในยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้เกิดภาวะ oxidative stress ซึ่งเป็นต้นเหตุของเสียสมดุลในระบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งการเกิดโรคต่างๆ

การศึกษาวิจัยสมัยใหม่ มีข้อสนับสนุนความเชื่อในทฤษฎีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นกระแสหลักของการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ทฤษฎีความเชื่อเรื่องการลดลงของฮอร์โมนเจริญเติบโต (growth hormone) เป็นสาเหตุของความเสื่อมก็มีการศึกษาและพัฒนาเป็นอาหารเสริม สุขภาพกลุ่มที่รักสุขภาพที่เชื่อในแนวนี้มีอยู่จำนวนมาก เพราะเป็นแบบตะวันตก มีเหตุผลและการศึกษาวิจัยน่าเชื่อถือ มักเป็นพวกไม่ชอบยาเคมี ส่วนมากเป็นชนชั้นกลางและชั้นสูงในเมือง เป็นคนที่ทำงานตามสำนักงานต่างๆ ไม่มีเวลาดูแลตนเองตามแบบฉบับดั้งเดิม แต่พร้อมจะเจียดงบประมาณเพื่อการซื้ออาหารสุขภาพ เพราะสะดวก รสชาติดี รูปแบบสวย มีความทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มนี้ และแนวโน้มของคนกลุ่มนี้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ



ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 7:21:16 น.   
Counter : 1030 Pageviews.  
space
space
กินอย่างไรไกลเบาหวาน




รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ
กินอย่างไรไกลเบาหวาน

เบาหวานไม่ใช่เรื่องไกลตัว
ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติราวปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ระบุว่า ทั่วโลกมีคนเป็นโรคเบาหวาน ๒๔๖ ล้านคน และประมาณการว่าจะเพิ่มเป็น ๓๘๐ ล้านคนปี พ.ศ.๒๕๖๓
ผลการสำรวจประชากรอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปของกระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.๒๕๔๘ พบว่าประชากรไทยเป็นโรคเบาหวานร้อยละ ๙ หรือประมาณ ๓ ล้าน คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยชาย ๑.๖ ล้านคน เฉพาะเขตกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ ๓๗๑,๐๐๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๔ ของผู้ป่วยทั้งประเทศ

การสำรวจสุขภาวะของชาวชนบทภาคกลาง อำเภอ วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๒ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘ พบว่าเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพ ๑ ใน ๔ อันดับต้นของชาวบ้าน

จากการสอบถามชาวบ้านวัดห้วยโรง อำเภอวิเศษ-ชัยชาญ ชาวบ้านบอกว่าเบาหวานเป็นปัญหาที่ต้องการ ได้ทางแก้และป้องกันมากที่สุด เพราะจากการสังเกตของชาวบ้านพบว่าผู้ป่วยเบาหวานอ่อนแรง ทำงานได้น้อย คุณภาพชีวิตต่ำ เมื่อเจ็บป่วยเพราะแผลและอาการอื่นๆ หายยาก ต้องพบแพทย์บ่อยเป็นภาระทั้งด้านค่าเดินทางและเสียเวลาทำงาน เป็นภาระต่อญาติมากกว่าผู้ป่วยโรคอื่นๆ นอกจากนี้ พระสงฆ์ในหมู่บ้านก็มีความเห็นเหมือน ชาวบ้าน พระสงฆ์หลายรูปมีโรคเบาหวานประจำตัว

ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดต่อเนื่องจากการเป็นเบาหวาน

ข้อมูลจากงานวิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยร็อตเตอดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ และหน่วยวิจัยบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศสหราชอาณาจักรสรุปว่า ผู้ที่เป็นเบาหวานจะมีชีวิตสั้นกว่าบุคคลทั่วไปประมาณ ๘ ปี นอกจากนี้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมักมีโรคหัวใจเกิดขึ้นเร็วกว่าบุคคลปกติ การเกิดโรคเบาหวานหลังอายุ ๕๐ ปี นอกจากจะทำให้แนวโน้มการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและเสี่ยงเสียชีวิตสูงขึ้นแล้ว ยังทำให้อายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็น และมีชีวิตอยู่กับโรคหลอดเลือดหัวใจเป็นเวลานาน

งานวิจัยนี้เก็บข้อมูลจากชาวอเมริกัน ๕,๒๐๐ คนที่เข้าร่วมศึกษาสภาวะหัวใจแบบต่างๆ โดยตามข้อมูลของผู้เข้าร่วมโครงการจนเกิดโรคหัวใจขึ้นตราบจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ข้อมูลสภาวะเบาหวานในผู้ร่วมโครงการได้ถูกบันทึกไว้ด้วย

ดร.ฟรังโกหัวหน้าคณะนักวิจัยกล่าวถึงงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารรวมข้อมูลอายุรกรรม Archives of Internal Medicine ฉบับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐ ว่า ผู้ป่วย เบาหวานร้อยละ ๙๕ เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ ที่เกิดจากความผิดปกติของน้ำตาลในเลือดอันเนื่องมาจากความอ้วน แปลว่าการป้องกันโรคเบาหวานเป็นความจำเป็นเบื้องต้นในสังคมที่ต้องการให้ประชากรมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีขึ้น

จากการศึกษาของ ดร.ฟรังโกและคณะ พบว่าหญิงที่เป็นเบาหวานในกลุ่มศึกษามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มเป็น ๒ เท่าเทียบกับหญิงปกติ หญิงที่เป็นทั้งเบาหวานและโรคหัวใจจะมีความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ๒ เท่า ส่วนชายที่เป็นโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มเป็น ๒ เท่า และความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ๑.๗ เท่าหลังการเกิดโรคหัวใจเทียบกับชายปกติ

กลุ่มผู้มีอายุ ๕๐ ปีขึ้นไปชายและหญิงที่เป็นเบาหวานมีอายุสั้นกว่ากลุ่มปกติ ๗ ปีครึ่งและ ๘.๒ ปีเศษตามลำดับ นอกจากนั้นประมาณการอายุของชายและหญิงที่เป็นเบาหวานจะเกิดโรคหัวใจก่อนกลุ่มปกติ ๗.๘ ปีและ ๘.๔ ปีตามลำดับ

อธิบายง่ายๆ ว่า คุณยายที่ปลอดเบาหวานอาจอยู่ ได้ถึง ๘๐-๘๒ ปี ส่วนคุณยายข้างบ้านเกิดปีเดียวกันถ้าเป็นเบาหวานตั้งแต่อายุ ๕๐ ก็อาจเสียชีวิตราวอายุ ๗๔ แถมใช้ชีวิตราว ๘ ปีสุดท้ายกับโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย ทำให้เป็นภาระอย่างมากกับครอบครัว และมีคุณภาพชีวิตวัยชราต่ำ

ตื่นเถิดชาวไทย
ปัจจุบันประชากรวัยกลางคนของไทยมีความเสี่ยง เกิดเบาหวานมากขึ้น เกิดได้ทั้งสังคมเมืองหลวงและสังคมชนบท สังคมเมืองประชากรส่วนใหญ่กินอาหารหลัก เครื่องดื่ม และของขบเคี้ยวที่มีแป้งและน้ำตาลเป็นองค์-ประกอบหลัก ทำงานนั่งโต๊ะ ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ขับรถเป็นเวลานาน เล่นเกมคอมพิวเตอร์ ดูโทรทัศน์ และภาพยนตร์วิดีโอเพื่อการพักผ่อน ขาดการออกกำลัง- กาย มีพลังงานส่วนเกินสะสมจากแป้ง น้ำตาล และไขมันเป็นสาเหตุของโรคอ้วนในภายหลัง

ส่วนชาวชนบทปัจจุบันกินอาหารเหมือนบรรพบุรุษ คือมีข้าวเป็นส่วนประกอบหลัก แต่เป็นข้าวขัดขาวมีใยอาหารและวิตามินต่ำไม่ใช่ข้าวซ้อมมือ มีการกินไขมันและน้ำตาลเพิ่มจากแกงกะทิและขนมหวานต่างๆ เนื่อง จากชอบกินรสชาติดังกล่าว หาซื้อได้ง่ายตามตลาดนัดทุกตำบล (ผลัดกันจัดเกือบทุกวัน)

ยุคเศรษฐกิจทุนนิยม ชาวชนบทลดการใช้พลังงาน ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการเดินทางไปทุกที่แทนการเดินเท้า การทำนาก็ใช้การจ้างเครื่องจักรมาทำงานแทนแรงงานคน กลุ่มทำนาเวลาว่างก็งีบบนเปลญวนตั้งแต่บ่ายสาม จึงทำให้มีพลังงานสะสมส่วนเกินและมีปัญหาโรคความ ดันเลือดสูง หลอดเลือดและเบาหวานตามมา เมื่อ ๓๕ ปีที่แล้วผู้เขียนเป็นนักเรียนชั้นประถม จำได้ว่าร้านค้าจำหน่ายของว่างหลังเลิกเรียนขายบะหมี่ ผัดคะน้าใส่กระทงใบตองแห้งราคาหกสลึง ลูกชิ้นปิ้ง ทอดมัน เศษบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหักใส่ถุงเล็กๆ ถั่วลิสงและถั่วปากอ้าคั่วเกลือ มีไอศกรีมยี่ห้ออาปาเช่จำหน่าย แต่ราคาแพงเด็กๆ ซื้อหาได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น อย่างเก่งก็มีเงินซื้อแค่ยักษ์คู่รสส้มเอามาหารแบ่งกับเพื่อนนานๆ ครั้งเพราะได้ค่าขนมแค่วันละ ๒ บาท

ปัจจุบันนี้อาหารว่างของเด็กมีแต่ขนมขบเคี้ยว (แป้งทอด) ลูกอม (โฆษณาแข่งกันเหลือเกิน) หมากฝรั่ง ขนมเบเกอรี่ ไส้กรอกสีแดงแจ๊ดและลูกชิ้นทอด (ไขมันและสีผสมอาหาร) มันฝรั่งทอด น้ำอัดลม นมใส่น้ำตาลทั้งนมสดและนมเปรี้ยว ชาพร้อมดื่มใส่น้ำตาล ดังนั้นเด็กได้รับแต่แป้ง ไขมันและน้ำตาลขัดขาวเพราะไม่มีทางเลือกอื่น โฆษณาทางโทรทัศน์ทั่วประเทศทำให้การกินขนมแป้งทอดน้ำตาลเกลือสูงเหล่านี้เป็นเครื่องหมาย สถานภาพของเด็กชนบท

จากการสอบถามพบว่าชาวบ้านจังหวัดสิงห์บุรีไม่ทำขนมกล้วยขายในโรงเรียนประถมแล้วเพราะเด็กไม่ซื้อกิน ทำไมแป้งขัดขาว ข้าวขัดขาว น้ำตาลทรายขาว มันฝรั่งทอดและน้ำอัดลมจึงทำให้คนเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น

อาหารที่เป็นหลักในการให้พลังงานแก่ร่างกายคือคาร์โบไฮเดรต ส่วนโปรตีนและไขมันนั้นร่างกายจะเอามาใช้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น
อาหารคาร์โบไฮเดรตทุกชนิดเมื่อผ่านการย่อยแล้ว จะได้เป็นโมเลกุลของน้ำตาลกลูโคส ซึ่งจะถูกดูดซึมโดย ลำไส้เล็ก ส่งผ่านตับเข้าสู่หลอดเลือดและส่งผ่านให้กับเซลล์ทั้งหลายเพื่อใช้เป็นพลังงานต่อไป ร่างกายใช้ฮอร์โมนสองตัวจากตับอ่อน คืออินซูลิน และกลูคากอน ในการรักษาสภาวะสมดุลของน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด ให้มีระดับราว ๙๐-๑๐๐ มก./มล. ในระหว่างมื้ออาหารตลอดเวลา

แป้งและน้ำตาลขัดขาวย่อยสลายเป็นน้ำตาลกลูโคส ได้รวดเร็ว เมื่อสารทั้งสองเข้าสู่ร่างกายปริมาณมากเซลล์จากตับอ่อนต้องขับอินซูลินเพิ่มอย่างเฉียบพลันเพื่อนำโมเลกุลกลูโคสไปสู่เซลล์เป้าหมาย ถ้ามีกลูโคสสูงมากเกินเซลล์เป้าหมายรับได้ อินซูลินส่วนเกินจะล่องลอยในกระแสเลือดเกิดสภาวะอินซูลินสูง การผลิตอินซูลินเพิ่มมากๆ นี้ถ้าเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นเวลานานจะก่อให้เกิดสภาวะอ่อนล้าของเซลล์ตับอ่อน หรือทำให้ประสิทธิภาพของการรับอินซูลินเข้าเซลล์ปลายทางเสื่อม ไปเกิดอาการดื้อ อินซูลินขึ้น ซึ่งทั้ง ๒ กรณีในที่สุดแล้วจะก่อให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ ๒

มนุษย์ปัจจุบันมีสารพันธุกรรมเหมือนกับมนุษย์ โบราณทุกประการ ระบบการย่อยอาหารของร่างกายก็เหมือนกัน แต่มนุษย์โบราณยุคล่าสัตว์เป็นอาหารได้คาร์โบไฮเดรตจากผลไม้ หรือน้ำผึ้ง อาจกินเมล็ดธัญพืช บ้างก็เป็นส่วนน้อย อวัยวะผลิตอินซูลินบนผิวตับอ่อน เรียกว่าเกาะแลงเกอฮานส์ (ตามชื่อผู้ค้นพบ) มีขนาดเล็กน้ำหนักไม่ถึง ๒ กรัม มีความเหมาะสมต่อการกินคาร์โบไฮเดรตปริมาณต่ำดังกล่าว

มนุษย์ยุคเกษตรกรรมกินข้าว แป้งสาลี ข้าวโพด มากขึ้นทำให้ได้รับคาร์โบไฮเดรตปริมาณที่มากกว่าบรรพบุรุษผู้ล่าสัตว์ แต่เมล็ดธัญพืชดังกล่าวผ่านการขัดสีเพียงแค่กระเทาะเปลือกหุ้มเมล็ดออกเท่านั้น จมูกธัญพืชและเยื่อหุ้มเมล็ดธัญพืชมีสารอาหาร เกลือแร่และวิตามินที่มีคุณค่าต่อการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตมากมาย (ดูบทความข้างล่าง) และมีใยอาหารปริมาณมากช่วยชะลออัตราการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด

ยุคอุตสาหกรรมน้ำตาลเป็นสิ่งของที่ได้มายากมาก ขนมหวานจำพวกขนมเบื้อง ทองหยิบ ทองหยอดเป็นอาหารฉลองพิธีมงคลหรือฉลองเทศกาลเท่านั้นมิใช่ของขบเคี้ยวประจำวันแต่อย่างใด สมัยนั้นไม่มีขนมอบเบเกอรี่จำหน่ายทั่วไป

ประเทศทางยุโรปและอเมริการาวร้อยปีที่แล้วขนมอบเป็นอาหารที่กินตามเทศกาลเหมือนกัน
คนไทยเดิมดื่มน้ำฝนหรือน้ำยาอุทัยหอมชื่นใจไม่มีน้ำตาลปน ประชากรสังคมเกษตรกรรมไทยในอดีตมีการใช้แรงงานประกอบกิจกรรมประจำวัน มักไม่มีพลังงานสะสมให้เกิดโรคอ้วน และไม่มีรายงานการเกิดโรคเบาหวานเมื่อราวร้อยปีก่อน

งานวิจัยของ ดร.ดอมินี แห่งมหาวิทยาลัยแคลิ-ฟอร์เนีย ณ เมืองซานตาครู๊สที่เพิ่งเปิดเผยในวารสารธรรมชาติ (ฉบับพันธุศาสตร์) ฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ นี้กล่าวว่า ชนเผ่าที่กินแป้งมาก เช่น ชาวอเมริกัน ชาวญี่ปุ่น มีจำนวนชุดของยีนของเอนไซม์ย่อยแป้ง เป็นน้ำตาลในปากมากกว่ากลุ่มที่กินแป้งน้อย เช่น ชาวยาคุทที่ขั้วโลกเหนือ และมากกว่าจำนวนชุดที่พบใน ลิงชิมแปนซี ซึ่งเป็นญาติสนิทของบรรพบุรุษของเรา เนื่องจากสมองใช้น้ำตาลกลูโคสเป็นพลังงานเท่านั้น ความสามารถย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลในปากอย่างมีประสิทธิภาพนี้จึงทำให้มนุษย์ต่างจากลิงอื่นๆ โดยสามารถพัฒนาให้มีสมองขนาดใหญ่กว่าลิงเหล่านั้นได้ มนุษย์สามารถใช้ไฟและเทคโนโลยีสำหรับปรุงอาหารได้ ดังนั้น แต่ละวันมนุษย์ควรลดปริมาณการกินแป้งขัดขาว เพราะเทคโนโลยีและการปรุงอาหารช่วยย่อยแป้งไม่ขัดขาวไปส่วนหนึ่งแล้ว ดร.ดอมินีและคณะกล่าว

กินอย่างไรให้ไกลเบาหวาน (สำหรับคนที่ยังไม่เป็น)

ถ้าผู้อ่านต้องการรู้ว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ ให้พบแพทย์เพื่อตรวจเลือด แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยโรค สำหรับผู้ที่อายุ ๓๕ ปีขึ้นไปแนะนำให้ตรวจเบาหวานปีละครั้ง ไม่ว่าจะอ้วนหรือไม่ก็ตามกันไว้ดีกว่าแก้

สรุปอย่างง่ายๆ ว่า ถ้าผู้อ่านเข้าใจตรงกันว่า ร่างกาย มนุษย์ถูกสร้างมาให้เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้ในระดับ หนึ่ง การกินเมล็ดธัญพืชที่ขัดสีน้อยดีกว่าการกินเมล็ดธัญพืชขัดขาว น้ำตาลขัดขาวเป็นของที่ควรจำกัดการกิน แต่เป็นสารที่พบทั่วไปในผลิตภัณฑ์อาหารทุกชนิด เพราะมนุษย์ปัจจุบันถูกเลี้ยงให้ติดรสหวาน (เด็กไทยดื่มนมรสหวานที่ได้รับจากโรงเรียนมากว่า ๓๐ ปีแล้ว เด็กฝรั่งดื่มนมรสจืด) และน้ำตาลเป็นสารปรุงรสราคาถูก

ผู้อ่านจะสามารถเลือกกินอาหารประจำวันให้มาจากข้าวกล้อง หรือขนมปังโฮลวีต ในปริมาณที่ไม่เกินความสามารถในการจัดการของร่างกาย (ขนมปัง ๖-๘ แผ่นต่อวัน หรือข้าวสุกหนึ่งถ้วยภัตตาคารจีนไม่เกินหกถ้วย หรือข้าวครึ่งขนมปังครึ่งต่อวัน ถ้ากินเค้กก็ต้องหักข้าวออก ๑ ส่วน) ลดน้ำตาลให้มากที่สุดจากการจำกัดการกินขนมเบเกอรี่ ไอศกรีม ขนมน้ำแข็งไส น้ำผลไม้ที่ไม่ได้คั้นเอง กาแฟ ชาเย็น ชาเขียวสำเร็จ โอเลี้ยง เป็นต้น

กินผักและผลไม้เพิ่ม และออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๓ วันโดยการเดินวันละ ๔๐ นาที ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแรงทำงาน ผู้อ่านจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาก ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ในขณะที่ยังไม่เป็นเบาหวานผู้อ่านจะไกลเบาหวานไปอีกนาน

ส่วนผู้อ่านที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน เช่น มีบิดา มารดาเป็นเบาหวาน หรือมีน้ำหนักเกินแต่น้ำตาลในเลือดยังไม่ผิดปกติอาจอยู่ในภาวะฟักตัวก่อนเบาหวาน ถ้ากลัวจะเป็นเบาหวานในวันข้างหน้าให้กินอาหารตาม ข้อแนะนำข้างต้น และเพิ่มอาหารแนะนำตามส่วนล่างนี้

อาหารที่ลดการดื้ออินซูลิน
๑. โปรตีน จากปลาน้ำเย็น เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาอินทรี (สด) ปลาทะเลต่างๆ ปลา น้ำจืด ไข่จากไก่บ้านหรือเป็ดไล่ทุ่ง แนะให้นึ่ง ย่าง หรือต้มเท่านั้น
๒. ไขมัน จากน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันถั่วเหลือง
๓. คาร์โบไฮเดรต จากผักสด และผลไม้ที่ไม่หวาน มาก ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต
๔. เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ จากฝรั่ง แอปเปิ้ล สาลี่ต่างๆ แก้วมังกร ถั่วต่างๆ ข้าวโอ๊ต เมล็ดแมงลัก เมล็ดสำรอง (ดูปริมาณน้ำตาลด้วย) ถ้ากินฝรั่งครึ่งผลให้ตัดโควต้าข้าวออก ๑ ส่วนด้วยเพราะฝรั่งมีแป้งมาก
๕. ธาตุโพแทสเซียม จากแป้งถั่วเหลือง ผลแอบ-ปริคอต มะเขือเทศ ลูกเกด กล้วย มันฝรั่งอบพร้อมเปลือก
๖. พืชผักที่ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือด ได้แก่ หอมหัวใหญ่ ผลมะระ และชาอบเชย

อาหารที่เพิ่มการเผาผลาญกลูโคส
๑. อาหารที่มีวิตามินบี ๓ ได้แก่ ปลา รำข้าว จมูกข้าว ข้าวกล้อง ไข่ เนื้อไก่ อินทผลัม และลูกพรุน ทั้งนี้ต้องกินอาหารที่มีธาตุโครเมียมด้วยเพื่อช่วยลำเลียงกลูโคสไปยังแหล่งเผาผลาญอย่างมีประสิทธิภาพและลดปริมาณอินซูลินในกระแสเลือด อาหารที่มีธาตุโครเมียม ได้แก่ บร็อกโคลี่ น้ำองุ่น น้ำส้ม มันฝรั่ง ถั่วแขก เนื้อวัว แอปเปิ้ล (พร้อมเปลือก) และกล้วย
๒. อาหารที่มีวิตามินบี ๖ ได้แก่ รำข้าว จมูกข้าว ข้าวกล้อง ตับ ปลา ถั่วเหลือง แคนทาลูป กะหล่ำปลี ไข่ ข้าวโอ๊ต และผลเกาลัด
๓. อาหารอุดมวิตามิน ดี ได้แก่ น้ำมันตับปลา ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และให้ผิวหนังได้รับแสงแดดยามเช้าวันละ ๑๕ นาทีสัปดาห์ละ ๓ วันโดยไม่ทาครีมกันแดด
๔. อาหารอุดมธาตุสังกะสี ได้แก่ เนื้อแดง ตับ จมูกข้าวสาลี โยเกิร์ต เมล็ดฟักทอง ข้าวโอ๊ต ผักขม ไข่ อาหารทะเลทุกชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหอยนางรม
๕. อาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ เต้าหู้ ข้าวกล้อง ถั่ว เมล็ดพืช กล้วยหอม และผักสีเขียวเข้ม (เช่น คะน้า ใบช้าพลู) บร็อกโคลี่ที่ปรุงด้วยความร้อนต่ำ (เช่น กินสด หรือการนึ่ง)
๖. อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งธรรมชาติ ได้แก่ ผักผลไม้ที่มีสีม่วงแดงและสีน้ำเงิน ได้แก่ น้ำกระเจี๊ยบ (ต้มเองแบบไม่หวาน) น้ำดอกอัญชัน ลูกหว้า ผลบลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ผลตำลึง สุก ชมพู่ม่าเหมี่ยวและชมพู่สีแดงอื่นๆ เมล็ดทับทิม เนื้อผลแก้วมังกรสีม่วง เยื่อเมล็ดผลฟักข้าว บีตรูต แตงโม มะเขือเทศและซอสมะเขือเทศ ผลองุ่นม่วง (ระวังน้ำตาล) ที่มองเห็นไม่ชัดแต่มีคุณค่าคือผลไม้สีขาว ได้แก่ฝรั่ง ลำไย (ระวังน้ำตาล) แก้วมังกรสีขาว แอปเปิ้ล ผักใบเขียวเข้ม
ผลไม้ที่มีสีส้มหรือเหลือง ได้แก่ มะละกอสุก มะม่วงสุก (ระวังน้ำตาล) แคนทาลูป ลูกพลับ ส้ม ส้มโอ กล้วย
๗. อาหารที่มีธาตุแมงกานีส ได้แก่ ข้าวโอ๊ตสับปะรดและน้ำสับปะรด (ไม่ใส่น้ำตาล) ข้าวกล้อง ผักขม เมล็ดอัลมอนด์ และถั่วลิสง
๘. อาหารที่มี แอล-คาร์นิทีน ได้แก่ เนื้อแดง เนื้อไก่ ปลา ไข่ (ยิ่งสุกน้อยยิ่งมีสารดังกล่าวมาก)
๙. อาหารที่อุดมด้วยธาตุวาเนเดียม ได้แก่ ปลา มะกอกฝรั่ง และข้าวกล้อง

ใส่ใจสุขภาพอนาคตของชาติ
ผู้อ่านคงพอจะเห็นภาพว่าตัวเราเองอาจมีแนวโน้ม เป็นเบาหวานได้ เพราะวิธีการกินอาหารและตัวเลือกด้านอาหารนอกบ้านที่มีในปัจจุบัน เยาวชนของชาติบางส่วนไม่ว่าจะเป็นเด็กกรุงหรือเด็กชนบทก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเบาหวานชนิด ๒ ได้ตั้งแต่อายุ ๓๐ ปีขึ้นไปในอนาคต

หันมาเปลี่ยนวิถีการกินอาหารในบ้านก่อนดีไหม เพื่อตัวเราเองและเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอนาคตของชาติด้วยก่อนที่จะสายเกินไป


ขอบคุณ หมอชาวบ้าน





 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 7:28:16 น.   
Counter : 2087 Pageviews.  
space
space
เลือดและการบริจาคเลือด








ทุกคนมีเลือดอยู่ในตัว เวลาเรามีบาดแผลมีเลือดก็จะออกมาจากร่างกายปกติเลือดไหลวนเวียนอยู่ในระบบไหลเวียนโลหิตอันประกอบด้วย เส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ เส้นเลือดฝอย และหัวใจเมื่อเราถูกมีดบาดหรือเข็มแทงเพียงนิดเดียว ก็เท่ากับการไปเจาะให้เลือดไหลออกนอกวงจรปกติที่มันเคยไหลอยู่ เลือดก็จะออกเป็นหยด ๆ เลือดที่ออกเพียง 2-3 หยดจากอุบัติเหตุข้างต้นไม่น่ากลัวเลย เพราะว่าร่างกายของเรามีเลือดอยู่มากมายตั้ง 4-5 ลิตร
เลือดที่ออกมาจากร่างกายให้เราเห็นไม่ใช่น้ำสีแดงเฉย ๆ หากประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และส่วนที่เป็นของเหลงที่เรียกว่าพลาสมา


พลาสมา เป็นน้ำเหลือง พวกเม็ดเลือดและเกล็ดเลือดจะแขวนลอยอยู่ในพลาสมา เลือดของเรามีส่วนประกอบดังนี้คือ มีพลาสมา 2 ส่วน และส่วนที่เป็นเม็ดเลือด 1 ส่วน ทุกคนคงเคยเห็นเลือดมาแล้ว แต่คุณเคยเห็นพลาสมาไหม ถ้าคุณช่างสังเกตเวลามีแผลถลอกตามเข่า แขน คุณอาจจะเห็นน้ำใสสีเหลือง หนืดเล็กน้อยซึมออกมา ที่คนโบราณเรียกว่า น้ำเหลือง นั่นแหละคือพลาสมา ดังนั้นน้ำเหลืองจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่กลับมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นส่วนที่ทำให้เลือดเหลว ไหลไปได้ทั่วร่างกาย ถ้าไม่มีพลาสมาเลือดจะแข็งตัวไหลไปเลี้ยงร่างกายไม่ได้

นอกจากนี้พลาสมายังมีความสำคัญเพราะเป็นส่วนที่มีอาหารที่ย่อยแล้วสำหรับนำไปแจกจ่ายเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย หากไม่มีพลาสมาเราก็ไม่มีพลังงานให้เซลล์ร่างกายได้ใช้ พลาสมายังเป็นที่แขวนลอยของขยะ ของเสียต่าง ๆ ที่ร่างกายกำจัดออก เพื่อที่จะนำกลับไปกำจัดออก เพื่อที่จะนำกลับไปกำจัดออกที่ไต ปัสสาวะที่ไตกำจัดออกมาประกอบด้วยน้ำและของเสียเหล่านี้เอง


เม็ดเลือดแดง คือส่วนที่ทำให้เลือดเป็นสีแดง เม็ดเลือดแดงเป็นรูปกลมตรงกลางบุ๋ม เป็นส่วนของเม็ดเลือดแดงที่มีมากที่สุด มีอยู่นับหลายล้านเม็ด แต่ละเม็ดมีอายุใช้งานเพียง 4 เดือน เม็ดเลือดถูกสร้างขึ้นที่ไขกระดูก ไขกระดูกก็คือส่วนสีแดงโปร่ง ที่เป็นรูพรุนอยู่ในแกนกลางของกระดูก โดยเฉพาะกระดูกที่เป็นแท่ง ถ้าคุณอยากเห็นก็ลองหากระดูกขาไก่หรือขาหมูดู

หน้าที่ของเม็ดเลือดแดงคือนำเอาออกซิเจนไปให้เนื้อเยื่อใช้ และขนเอาคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปยังปอด เราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปให้เม็ดเลือดแดงขนไปใช้งาน และหายใจออกเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ที่เม็ดเลือดขนมาถ่ายเทที่ปอด


เม็ดเลือดขาว มีไม่มากเท่าเม็ดเลือดแดง แต่เม็ดเลือดขาวก็มีหน้าที่สำคัญมาก คือมีหน้าที่ต่อสู้กับการอักเสบเชื้อโรค แบคทีเรียหรือไวรัส ที่เข้ามารุกรานร่างกายของเรา ถ้าไม่มีเม็ดเลือดขาวก็เหมือนไม่มีทหารป้องกันประเทศ


เกร็ดเลือด ทีหน้าที่ทำให้เลือดหยุดไหล ถ้าไม่มีเกล็ดเลือดเวลาถูกมีดบาดเลือดจะออกไม่หยุด เพราะเกล็ดเลือดจะทำหน้าที่ไปอุดรูรั่วเส้นเลือดที่ฉีกขาดเพื่อทำให้เลือดหยุดไหล
เราต้องมีเลือดจำนวนมากพอ และมีส่วนประกอบของเลือดที่พอดี จึงจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ถ้าเรามีเม็ดเลือดแดงน้อยหรือที่เรียกว่า โลหิตจาง จะทำให้เรามีพาหนะที่ใช้ขนออกซิเจนไปให้ร่างกายใช้น้อย ทำให้เราอ่อนเพลียได้ง่าย การทำให้เลือดเข้มข้นสมบูรณ์ต้องทำดังนี้

1.หายใจแต่อากาศที่บริสุทธิ์ เพราะจะได้ออกซิเจนที่มากพอสำหรับใช้ทั้งร่างกาย สูดหายใจเข้าออกให้ยาวลึก เพื่อให้ได้ออกซิเจนมากที่สุดและกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด

2.กินอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่นตับ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว เพราะเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดที่จะใช้ขนส่งออกซิเจน

3.ออกกำลังกายทุกวัน เพราะการเคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกายทำให้เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้สะดวก

4.เมื่อมีบาดแผล ต้องล้างแผลและระวังให้บาดแผลสะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ทางเส้นเลือดและเนื้อเยื่อที่เปิดออก

5.เมื่อไม่สบาย หมอสั่งให้นอนพัก คุณก็ต้องพักเพราะจะทำให้เม็ดเลือดขาวมีโอกาสต่อสู้ทำลายเชื้อโรคได้อย่างเต็มที่







การบริจาดเลือดคืออะไร
การบริจาดเลือดก็คือการเอาเลือดในร่างกายของคนคนหนึ่งออกไปจำนวนน้อยเพื่อเอาไปให้คนป่วยคนหนึ่งในกรณีที่คนนั้น ๆ เสียเลือดไปมากจนเป็นอันตรายต่อชีวิต หรือในกรณีที่มีเม็ดเลือดอยู่น้อยหรือขาดส่วนประกอบที่จำเป็นในเลือด อย่างเช่นกรณีที่บาดเจ็บเลือดออกมาก ผ่าตัดเสียเลือดไปมาก โลหิตจางอย่างร้ายแรง เป็นโรคเลือดบางอย่างเป็นต้น

ปัจจุบันเรามีธนาคารเลือดเป็นที่เก็บเลือดที่มีคนบริจาคเพื่อเก็บเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ในธนาคารเลือดจะมีเลือดสำรองเอาไว้ใช้ตลอดเวลาเขาเก็บเลือดเอาไว้ในตู้เย็น เลือดแต่ละรุ่นจะเก็บได้นาน 2-3 อาทิตย์ หากเราประสงค์จะบริจาคเลือดจะทำได้ทุก ๆ 3 เดือน เลือดของเรามีมากถึง 4-5 ลิตร บางคนมีมากถึง 6 ลิตร ถ้าเอาออกสัก 300-400 ซีซี. (ขนาดเท่ากับน้ำประมาณ 2 แก้ว) ไขกระดูกก็จะรีบสร้างเลือดใหม่มาให้ใช้ทดแทนภายใน 7 วัน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะมีเลือดใหม่มาหมุนเวียนใช้อยู่เรื่อยๆ เด็ก ๆ บริจาคเลือดไม่ได้เพราะร่างกายยังต้องเจริญเติบโต และร่างกายของเด็กมีเลือดน้อยกว่าผู้ใหญ่ เราเริ่มบริจาดเลือดได้เมื่อมีอายุ 18 ปี สถานที่ที่จะบริจาคเลือดได้คือสถานเสาวภา สำนักงานกาชาดทุกจังหวัดหรือโรงพยาบาลทุกแห่ง

เม็ดเลือดของคนเราแม้จะมีรูปร่างกลม ๆ เหมือนกันหมด แต่ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกันออกไปจนแบ่งกรุ๊ปใหญ่ได้ 4 กรุ๊ป คุณคงเคยได้ยินเรื่องกรุ๊ปเลือดมาบ้างแล้ว กรุ๊ป เอ, บี, เอบี และโอ เมื่อมีการให้เลือดหมอต้องทดสอบเลือดของผู้บริจาคกับเลือดของคนไข้ว่าเป็นกรุ๊ปเดียวกันหรือไม่ หมอจะให้เลือดกรุ๊ปเอกับคนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ เลือดกรุ๊ปบี ให้คนกรุ๊ปบี แต่ในกรณีฉุกเฉินหมอสามารถให้เลือดกรุ๊ปโอแก่ทุกคนได้ เพราะร่างกายของทุกคนรับเลือดกรุ๊ปโอได้
แต่บางทีคุณอาจจะเคยได้ยินว่าคนเลือดกรุ๊ปเดียวกันอาจจะเข้ากันไม่ได้ ไม่สามารถถ่ายเลือดให้กันได้ เพราะเลือดยังมีกรุ๊ปย่อยอีกหลายกรุ๊ป เช่น อาร์ เอช เป็นต้น ดังนั้นทุกครั้งที่มีการถ่ายเลือด หมอจะต้องทดสอบอย่างละเอียด

การบริจาคเลือดทำได้ไม่ยากเพียงแต่เจาะเอาเลือดจากเส้นเลือดดำ บรรจุไว้ในถุงหรือขวดที่มีสารพิเศษกันเลือดแข็งตัว เวลาเจาะก็ไม่เจ็บ หลังจากบริจาคเลือดแล้วคุณจะไม่รู้สึกอะไรเลยทุกคนควรจะรู้กรุ๊ปเลือดของตนเอง เพื่อสะดวกในกรณีฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเลือดหรือรับเลือดการบริจาคเลือดไม่มีอันตรายแต่อย่างใด แต่ผู้บริจาคจะอิ่มเอมใจในกุศลที่ได้ช่วยชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน








ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 27 พฤษภาคม 2552 7:33:40 น.   
Counter : 8131 Pageviews.  
space
space
การออกกำลังกายที่ถูกต้อง







นพ.บรรลุ ศิริพานิช
การออกกำลังกายที่ถูกต้อง

การออกกำลังกายที่มีผลทำให้หัวใจและปอดทำงานมากขึ้น เรียกการออกกำลังนี้ว่าแอโรบิก (aerobic แปลว่า อากาศ) จึงมีการเรียกการออกกำลังกายด้วยการเต้นจนหัวใจและปอดทำงานมากขึ้นว่า การเต้นแอโรบิก

การออกกำลังกายที่ถูกต้อง ประกอบด้วย ๓ ขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ ๑ การอุ่นร่างกาย
ก่อนที่รถยนต์จะออกวิ่ง ควรมีการอุ่นเครื่องก่อนฉันใด ก่อนออกกำลังกายก็ต้องมีการอุ่นร่างกายก่อนฉันนั้น ถ้าต้องการออกกำลังด้วยการวิ่ง เมื่อไปถึงสนามอย่าเพิ่งลงวิ่งทันที จะต้องอุ่นร่างกายให้มีอุณหภูมิสูงขึ้นก่อนช้าๆ เช่น การเคลื่อนไหวร่างกายสะบัดแข้งสะบัดขา แกว่งแขน วิ่งเหยาะๆ อยู่กับที่ช้าๆ ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน แล้วจึงออกวิ่ง ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ถ้าไม่มีการอุ่นร่างกายก่อนออกกำลัง อาจทำให้หัวใจล้มเหลว ถึงตายได้ ดังนั้นการอุ่น ร่างกายก่อนออกกำลังกายจึงเป็นขั้นตอนแรกที่จะต้องกระทำก่อน

ขั้นตอนที่ ๒ ออกกำลังกายอย่างจริงจัง

การออกกำลังด้วยวิธีใดก็ตาม จะได้ผลสมบูรณ์เป็นประโยชน์แก่ร่างกายได้ การออกกำลังนั้นจะต้องเพียงพอทำให้ร่างกายเกิดการเผาไหม้อาหารในร่างกาย โดยใช้ออกซิเจนในอากาศ ซึ่งหายใจเข้าไปเพื่อทำให้เกิดพลังงานจนถึงระดับหนึ่ง การออกกำลังกายที่มีผลทำให้หัวใจและปอดทำงานมากขึ้นเช่นนี้ เรียกว่าแอโรบิก (aerobic แปลว่า อากาศ) ดังนั้น การออกกำลังด้วยการเต้นจนหัวใจและปอดทำงานมากขึ้นจึงเรียกว่าเต้นแอโรบิก (aerobic dance หรือ aerobic exercise)
การเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นนี้ เพียงพอทำให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย และพบว่าจะขึ้นอยู่กับอายุของบุคคลด้วย

คนที่มีอายุมากน้อยต่างกันหัวใจจะมีความสามารถ เต้นได้ในอัตราสูงสุดต่างกัน มีวิธีคิดง่ายๆ ซึ่งเป็นสูตรของ American College of Sport Medicine คือ นำอายุลบออกจาก ๒๒๐ ผลลัพธ์ได้เท่าใดก็เท่ากับความสามารถของหัวใจที่จะเต้นได้สูงสุดของผู้นั้น ๑ นาที และร้อยละ ๖๕-๘๐ ของการที่หัวใจเต้นได้สูงสุดเป็นอัตราที่เหมาะสมเพียงพอให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายได้
ยกตัวอย่าง นาย ก. อายุ ๖๕ ปี
ดังนั้น อัตราสูงสุดของการเต้นของหัวใจของนาย ก.= ๒๒๐ - ๖๕ = ๑๕๕ ต่อนาที
ร้อยละ ๖๕ ถึง ๘๐ ของ ๑๕๕ = ๖๕ x ๑๕๕ ถึง ๘๐ x ๑๕๕
๑๐๐ ๑๐๐
= ๑๐๐.๗๕ ถึง ๑๒๔ ครั้งต่อนาที
หมายความว่า นาย ก. จะต้องออกกำลังจนหัวใจเต้นอยู่ระหว่าง ๑๐๐.๗๕ ถึง ๑๒๔ ครั้งต่อนาที จึงจะมีผลทำให้การออกกำลังนั้นพอดี ไม่มากไปและไม่น้อยไป จะเกิดประโยชน์แก่ร่างกาย
การเต้นของหัวใจ ๑ ครั้ง ก็คือชีพจรเต้น ๑ ครั้ง การจับชีพจรนับก็สามารถรู้ได้ว่าหัวใจเต้นกี่ครั้ง
การออกกำลังขั้นตอนที่ ๒ นี้จะต้องออกจนชีพจรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖๕-๘๐ ของอัตราสูงสุดของการเต้นของหัวใจแต่ละคน
เมื่อออกกำลังจนหัวใจเต้นได้จำนวนที่คำนวณแล้ว จะต้องออกกำลังให้หัวใจเต้น เช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน ๑๕-๔๕ นาที (ถ้าเต้นมากก็ใช้เวลาน้อยลง ถ้าเต้นน้อยก็ใช้เวลามากขึ้น) และ ๑ สัปดาห์ต้องออกกำลัง ๓-๕ ครั้ง จึงจะมีผลทำให้เกิดการออกกำลังที่พอเหมาะเป็นประโยชน์แก่ร่างกายอย่างจริงจัง

ขั้นตอนที่ ๓ การผ่อนให้เย็นลง

เมื่อได้ออกกำลังตามกำหนด ที่เหมาะสมตามขั้นตอนที่ ๒ แล้ว ค่อยๆ ผ่อนการออกกำลังทีละน้อย แทนการหยุดออกกำลังโดยทันที ทั้งนี้เพื่อให้เลือดที่คั่งอยู่ตามกล้ามเนื้อได้มีโอกาสกลับคืนสู่หัวใจ เช่น ถ้าออกกำลังโดยการวิ่ง เมื่อวิ่งจนได้กำหนดตามขั้นตอนที่ ๒ แล้ว ก็ค่อยลดความเร็ว ของการวิ่งลงจนเป็นวิ่งช้า-เดิน เร็ว-เดินช้า ตามลำดับ จึงถึงระยะพักจริงๆ ระยะเวลาของขั้นตอนที่ ๓ นี้ มิได้กำหนดแน่นอน หากแต่ให้สังเกตดูจากร่างกายเอาเอง ก็พอจะสังเกตได้



ขอบคุณ หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 26 พฤษภาคม 2552 7:15:21 น.   
Counter : 996 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space