space
space
space
space

ใช้ยาลดไข้ ป้องกันชัก รักษา IQ




เชื่อว่าผู้อ่านที่เป็นคุณแม่ทั้งหลายต้องสะดุดกับชื่อเรื่อง และรีบอ่านเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะใครๆ ก็อยากให้ลูกเก่ง แต่การทำให้ลูกเก่งมีไอคิวสูงไม่ใช่เนื้อหาของเรื่องนี้
ช้าก่อน อย่าเพิ่งพลิกหน้ากระดาษไป เพราะเรื่องไอคิว (IQ) นั้นทำให้สูงขึ้นได้ลำบากกว่าการทำให้ไอคิวต่ำลง แต่การป้องกันไม่ให้ไอคิวต่ำลงนั้นอยู่ในวิสัยที่คุณแม่จะทำได้ ทั้งนี้มีวิธีการอยู่หลายวิธี แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะการดูแลลูกน้อยเมื่อเป็นไข้ คุณผู้อ่านคงจะนึกไม่ถึงว่าไข้กับไอคิว มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับไข้กันก่อน เมื่อไหร่ จึงจะถือว่าเป็นไข้ คือภาวะที่ตัวร้อน เมื่อนำปรอทวัดไข้มาวัดอุณหภูมิร่างกาย หากวัดทางรักแร้ได้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส จะถือว่าเป็นไข้ มักเกิดจากการติดเชื้อโรค เช่น หวัด ท้องเสียจากการติดเชื้อ เป็นต้น
อาการชักเมื่อไข้สูง
พบมากในเด็กอายุระหว่าง 6 เดือน – 5 ปี (พบมากที่สุดในช่วง 3 ขวบปีแรก) เนื่องจากสมองของเด็กกำลังเจริญเติบโต จึงมีความไวต่อการกระตุ้นจากไข้
ขณะที่เด็กมีไข้ใน 24 ชั่วโมงแรก จะมีอาการชักเกร็งกระตุกขึ้นมาประมาณ 1-2 นาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากในความรู้สึกของแม่ แต่จะหยุดชักได้เอง หลังหยุดชัก เด็กจะฟื้นคืนสติเป็นปกติ ไม่ซึม ไม่มีอาการแขนขาอ่อนแรง และมักจะไม่ชักซ้ำอีกในการเจ็บป่วยครั้งนั้น โดยมากไม่มีอันตรายร้ายแรงและไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
แต่ถ้าเด็กชักนานเกิน 15 นาที หรือมีอาการชักเกิดขึ้นซ้ำภายใน 24 ชั่วโมงหรือในการเจ็บป่วยครั้งนั้นๆ หรือภายหลังการชักอาจมีอาการซึมหรือแขนขาอ่อนแรง หรือชักในขณะที่ไม่มีไข้ เป็นสัญญาณบอกถึงอาการชักที่น่าจะไม่ธรรมดา ซึ่งอาจเกิดความเสียหายต่อสมองเด็กและทำให้มี IQ ต่ำลงได้ จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อให้การรักษาได้ทันท่วงที
คุณแม่ควรทำอย่างไรเมื่อลูกชัก
คุณแม่ควรควบคุมสติให้ดี อย่าตกใจเกินกว่าเหตุ
จับให้ลูกนอนตะแคงในที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการพลัดตก
เช็ดตัวให้ลูกด้วยน้ำธรรมดาเพื่อลดไข้โดยเร็ว
ถ้าเป็นอาการชักครั้งแรก ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อหาว่ามีสาเหตุอื่นๆ ของการชักนอกจากเรื่องไข้สูงหรือไม่
เมื่อลูกเคยชักจากไข้สูงแล้วครั้งหนึ่ง ลูกมีโอกาสจะชักได้อีกเมื่อมีไข้สูง คุณแม่จึงควรเตรียมยาลดไข้ติดบ้านไว้และศึกษาวิธีใช้จากฉลากยาให้ดี
ใช้ยาลดไข้อย่างไร
การใช้ยาลดไข้อย่างถูกต้องจะช่วยลดไข้ได้อย่างเหมาะสม ปลอดภัย และป้องกันผลเสียจากการชักของเด็กได้ ยาลดไข้ในปัจจุบันมี 3 ชนิด คือ พาราเซตามอล แอสไพริน และไอบูโพรเฟน
ยาลดไข้ที่ควรใช้เป็นชนิดแรกในเด็ก คือ พาราเซตามอล ผลิตภัณฑ์มีหลายขนาดความแรง และมีอยู่ในรูปยาน้ำชนิดหยด ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อ 5 ซีซี ยาน้ำเชื่อม หรือยาน้ำแขวนตะกอน ขนาด 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา 160 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา และ 250 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา โดยที่ 1 ช้อนชาเทียบเท่ากับ 5 ซีซี ห้ามใช้ช้อนชาที่ใช้ชงชากาแฟ เพราะช้อนที่ใช้ชงชากาแฟในแต่ละบ้านมีขนาดไม่เท่ากันและมีปริมาตรน้อยกว่า 5 ซีซี ถ้านำมาตวงยาจะทำให้เด็กได้รับยาน้อยกว่าที่ควร
พาราเซตามอลชนิดหยดสำหรับเด็กเล็ก มีขนาดความแรงสูง (100 มิลลิกรัมต่อ 1 ซีซี) ต้องให้โดยใช้หลอดหยดซึ่งมักจะมีมาพร้อมกับขวดยาในกล่อง ให้สังเกตที่หลอดหยดยาจะมีปริมาตรบอกไว้ เป็น 0.3 ซีซี 0.6 ซีซี หรือ 1 ซีซี ให้ดูดยาตามปริมาตรที่แพทย์สั่ง บางครั้งบนฉลากจะระบุว่าให้ป้อนยาเด็ก 1 หลอด ก็ต้องใช้หลอดดูดยาที่มีให้มากับยาขวดนั้น ห้ามเทลงในช้อนชาโดยเด็ดขาด เพราะ 1 หลอดไม่เท่ากับ 1 ช้อนชา หากป้อนยาให้เด็ก 1 ช้อนชาก็จะทำให้เด็กได้รับยาเกินขนาดอย่างมาก
ขนาดยาพาราเซตามอลปกติในเด็กคือ 10-15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อครั้ง ทุก 4-6 ชั่วโมง เวลามีไข้ ขนาดยาสูงสุดไม่เกินวันละ 5 ครั้ง ควรให้ยาพร้อมกับการเช็ดตัวลดไข้ที่ถูกวิธี แต่ถ้าเด็กยังคงมีไข้สูงและซึมลง ควรพบแพทย์เพื่อพิจารณาหาสาเหตุอีกครั้ง
แอสไพรินและไอบูโพรเฟน เป็นยาอีก 2 ชนิดที่เลือกใช้ลดไข้เด็กได้
แอสไพริน เป็นยาเม็ด มีขนาดเม็ดละ 60 มิลลิกรัม ขนาดยาจะแปรไปตามอายุของเด็ก กล่าวคือ เด็กอายุ 1 ปีให้ครั้งละ 1 เม็ด ทุก 8 ชั่วโมง และให้ได้สูงสุดไม่เกินครั้งละ 5 เม็ด
ไม่ให้แอสไพรินในยเด็กที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก อายุต่ำกว่า 16 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคอีสุกอีใส เพราะอาจเกิดความผิดปกติรุนแรงของสมองและตับ โดยเป็นโรคที่เรียกว่า ไรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome)
ไอบูโพรเฟน มีชนิดยาเม็ดในขนาด 200, 400, 600, 800 มิลลิกรัม ยาน้ำชนิดหยด ขนาด 200 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา ยาน้ำเชื่อม และยาน้ำแขวนตะกอน ขนาด 100 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา ขนาดยาปกติในเด็กคือ 5 – 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อครั้ง ทุก 8 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน
ยาน้ำสำหรับเด็กต้องเขย่าขวดก่อนใช้ และจะใช้ในกรณีที่ใช้ยาพาราเซตามอลอย่างเดียวแล้วไข้ไม่ลง ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและเลือกให้ยา ไม่ควรให้ยาไอบูโพรเฟนตอนท้องว่าง เพราะยาระคายกระเพาะอาหาร แต่ก็ไม่ควรหยอดยาลงในนม เพราะยาอาจทำให้รสชาติของนมเปลี่ยนไป และเด็กอาจไม่ยอมกินนม
ไม่ให้ไอบูโพรเฟนในเด็กที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากยาจะทำให้มีภาวะเลือดออกรุนแรงขึ้น และไม่ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน
ควรมียาลดไข้ไว้ประจำบ้านหรือไม่
ยาพาราเซตามอล เป็นยาที่ใช้ได้ผลดีมากสำหรับการลดไข้ในเด็ก จึงควรมีไว้เป็นยาสามัญประจำบ้าน แต่ควรพิจารณาขนาดและรูปแบบยาที่เหมาะสมสำหรับเด็กในแต่ละช่วงอายุ หากมีปัญหาในการเลือกใช้ยาควรปรึกษาเภสัชกร
โดยสรุปแล้วการใช้ยาลดไข้ในเด็กมีประโยชน์อย่างยิ่งถ้าใช้ถูกขนาด ถูกวิธี และเพื่อให้ปลอดภัยในการใช้ยาควรปรึกษาเภสัชกร


ขอบคุณ healthtoday






 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2552   
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2552 7:12:44 น.   
Counter : 1208 Pageviews.  
space
space
"นาโนบีส์" พิษผึ้งกำราบมะเร็ง







ภาพประกอบวันนี้อาจดูยุ่งเหยิง มองไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่

แต่ที่นำมาลงเพราะอยากแสดงให้ท่านผู้อ่านเห็นถึงลักษณะ หรือภาพจำลองขณะ "เมลิตทิน" (Melittin) ซึ่งเป็นสารพิษจากผึ้ง กำลังรุมโจมตี-ทำลาย "เซลล์มะเร็ง" ก้อน กลมๆ อยู่อย่างขะมัก เขม้น

ผู้ริเริ่มพัฒนา เทคนิคการแพทย์ใหม่นี้ ได้แก่

ดร.โซแมน จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน วิทยาเขตเซนต์หลุยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป้าหมายการวิจัยต้องการสร้างระบบนำส่ง "ตัวยาฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง" โดยไม่ทำอันตรายต่อเซลล์ดีอื่นๆ ในร่างกาย!

ดร.โซแมน เปิดเผยกับนักข่าวอเมริกัน ว่า

สารเมลิตทินจากผึ้งมีประโยชน์ทางการแพทย์ก็จริงอยู่
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการนำมาใช้ก็คือ มักออกฤทธิ์ทำลาย "เซลล์ปกติ" ไปด้วย

ล่าสุด จึงวิจัยทดลองนำเอาเมลิตทินไปผูกติดกับอนุภาคนาโน (nanoparticles) ขนาดเล็กจิ๋ว

ผลปรากฏว่า สารตัวนี้เกาะติดกับผิวภายนอกของอนุภาคนาโนได้อย่างรวดเร็วและเหนียวแน่นดีเสียด้วย ช่วยให้ตัวยาไม่หลุดออกมาทำลายเซลล์ดี

โดยส่วนผสมกลายเป็นสารใหม่ที่ได้ตัวนี้เรียกว่า "นาโนบีส์" (nanobees) หรือ "ผึ้งนาโน"

กระบวนการกำหนด (บังคับ) ให้นาโนบีส์เคลื่อนที่ไปออกฤทธิ์เฉพาะกับเซลล์มะเร็งนั้น..

ทีมของโซแมนใช้วิธีผสมโมเลกุลชนิดหนึ่งเข้าไปในอนุภาคนาโน ซึ่งชอบพุ่งไปจับตัวกับเส้นเลือดตรงจุดที่คอยทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง

เบื้องต้น เมื่อทดลองฉีดอนุภาคนาโนบีส์ดังกล่าวให้กับ "หนูทดลอง" พบว่า

สามารถนำส่งตัวยาไปยังเซลล์มะเร็งได้ตรงเป้าและสัมฤทธิผลจริงตามคาด

ทำให้เซลล์ "มะเร็งทรวงอก-มะเร็งผิวหนัง" ในหนูทดลองเจริญเติบโต หรือลุกลามช้าลงอย่างเห็นได้ชัด!

สำหรับการทดลองในมนุษย์ ดร.โซแมนไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะเริ่มต้นเมื่อไหร่และมีโอกาสประสบความสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์

แต่ก็ถือเป็นอีก 1 ความหวังในการพัฒนาวิธีต่อสู้กับมะเร็ง..

โรคร้ายที่คร่าชีวิตประชากรมากอันดับต้นๆ ของโลก


ขอขอบคุณ : หนังสือพิมพ์ข่าวสด







 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2552   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2552 8:17:16 น.   
Counter : 1272 Pageviews.  
space
space
"กาแฟลดความอ้วน"โฆษณาเกินจริง! ดื่มมากยิ่งบีบหัวใจ






อย.เตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อโฆษณากาแฟราคาแพงๆ อวดอ้างสรรพคุณลดความอ้วนได้ และบางชนิดยังลอบผสมยาอันตราย
น.พ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปจำนวนมากโฆษณาว่ามีผลช่วยลดน้ำหนัก หรืออ้างว่าดื่มแล้วน้ำหนักลดใน 2 สัปดาห์ เข้าข่ายอวดอ้างเกินจริงทั้งสิ้น ดังนั้น ก่อนเลือกซื้อ ขอให้อ่านฉลากให้ถี่ถ้วน โดยต้องมีฉลากภาษาไทยแจ้งส่วนผสม ระบุชื่อผู้ผลิตอย่างชัดเจน และมีเลขสารบบอาหารในกรอบเครื่องหมาย อย.

"แม้ที่ฉลากจะระบุส่วนประกอบว่ามี "ไฟเบอร์คอลลาเจน แอลคาร์นิทีน" หรือ "โครเมียม"

แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลวิจัยทางวิชาการยืนยันว่าสารดังกล่าวมีผลในการลดน้ำหนัก หรือทำให้ผิวสวย หรือเพิ่มความงาม ส่วนเลขสารบบอาหารที่แสดงบนฉลากอาหารเป็นเพียงการประเมินความปลอดภัยเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สถานที่ผลิต และส่วนประกอบเท่านั้น ไม่ได้รับรองการโฆษณาแต่อย่างใด และอย.ไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณลดความอ้วน" น.พ.นรังสันต์ กล่าว

รองเลขาธิการ อย.เตือนว่า การดื่มกาแฟดังกล่าว ถ้าดื่มมากอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นจากการเติมน้ำตาล ครีม หรือนม ทั้งยังทำให้หัวใจทำงานหนัก เพราะได้รับกาเฟอีนมากไป ที่ร้ายไปกว่านั้น ผู้บริโภคบางรายอาจได้รับอันตรายจากการเจือปนของยาบางชนิดที่ลักลอบใส่ในผลิตภัณฑ์ เช่น "ไซบูทรามีน" ก่อให้เกิดผลข้างเคียง คือ ปวดศีรษะ ปากแห้ง นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็วขึ้น

ทั้งนี้ การลดน้ำหนักทำได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงด้วยการหมั่นออกกำลังกายอย่างเหมาะสมต่อเนื่องอย่างน้อยวันละ 30 นาที ทานอาหารครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำใจให้แจ่มใส ถ้าพบปัญหาผลิตภัณฑ์กาแฟอวดอ้างเกินจริง โทรศัพท์แจ้งได้ที่สายด่วน อย. 1556



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด








 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2552   
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2552 13:44:57 น.   
Counter : 3060 Pageviews.  
space
space
ไอศกรีมลดอาการเคมีบำบัด






นักวิจัยมหาวิทยาลัยโอ๊กแลนด์ นิวซีแลนด์ จับมือกับบริษัทฟอน เทอร์ราและแลคโตฟาร์มา คิดค้นไอศกรีมโคนสูตรใหม่รสสตรอว์เบอร์รี่

ช่วยบรรเทาผลข้างเคียงที่เกิดจากเข้ารับคอร์สเคมีบำบัดรักษา โรคมะเร็ง เจเรอมี่ ฮิลล์ หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีฟอนเทอร์รา บริษัทจำหน่าย ผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ กล่าวว่า ไอศกรีม "เดอะรีชาร์จ" (เติมพลัง) ได้รับเงินสนับสนุนการวิจัย 70 ล้านบาท และปีหน้าเตรียม นำไปทดลองตามโรงพยา บาลใหญ่ๆ 8 แห่งทั่วนิวซี แลนด์

ตัวไอศกรีมจะมีส่วนผสมของไขมันและโปรตีนจากนม

ซึ่งเมื่อทานเข้าไปแล้วจะช่วย ป้องกันไม่ให้ปากกับลำไส้ของผู้รับเคมีบำบัดเกิดอาการแพ้สารเคมีมากเกินไป ส่วนเหตุที่เลือกผลิตรสสตรอว์เบอร์รี่เพราะเป็นรสยอดนิยม


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2552   
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2552 9:09:16 น.   
Counter : 2234 Pageviews.  
space
space
ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้...ไม่ต้องแคร์วัย





จริงอยู่ที่ “ยิ่งแก่ตัวลงอะไรๆ ก็ยิ่งเสื่อม” แต่ในบรรดาความเสื่อมและโรคภัยที่อาจแวะเวียนมาเยี่ยม “มะเร็ง”
เป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังและร้ายแรงที่ผู้สูงอายุกลัวและกังวลมากที่สุด โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มีการยืนยันแล้วว่า ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมากกว่า 90% ที่เป็นมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ทั้งนี้อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเราอาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เพราะหากเฝ้าระวังและมีวิธีป้องกันที่ดี แม้วัยจะเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่ปัญหา!

อัพเดทสถานการณ์มะเร็งลำไส้ใหญ่

ในประเทศไทย สถาบันมะเร็งระบุว่า ผู้ชายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งตับและมะเร็งปอด ส่วนผู้หญิงพบมากเป็นอันดับ 5 รองจากมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งตับและมะเร็งปอด... ฟังดูน่ากลัวแต่หากเทียบกับประเทศอื่นๆ คนไทยยังถือว่าเป็นน้อย แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มารับการรักษามักเป็นขั้นลุกลามและเสียชีวิตสูงมาจากความกลัวและอายที่จะถูกตรวจทางทวารหนัก... เป็นที่น่าเสียดายเพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ระยะแรกและมีโอกาสรักษาหายขาดแต่เนิ่นๆ

ดังนั้นการสังเกตอาการผิดปกติเริ่มต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้สูงอายุทุกคนควรรู้ไว้ก่อนสายเกินแก้ ซึ่งสัญญาณเตือนที่สำคัญ ได้แก่

* มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย มีเลือดออกปนมากับอุจจาระหรือถ่ายเป็นมูกเลือด
*อุจจาระมีขนาดลำเรียวเล็กเป็นประจำซึ่งอาจเกิดจากมีก้อนมะเร็งโตเบียดอยู่ในลำไส้ ทำให้ลำไส้อุดตันหรือตีบแคบลง
*รู้สึกอึดอัดและแน่นท้อง มีอาการปวดเกร็งท้องเรื้อรัง
*น้ำหนักลดอย่างไม่มีสาเหตุ
*ซีด มีอาการเหนื่อยและอ่อนเพลีย เนื่องจากมีการเสียเลือดในลำไส้เป็นเวลานาน


อย่างไรก็ตามหากภาวะหัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ เกิดขึ้นถี่หรือบ่อยขึ้น หรือคุณรู้สึกมากจนทนไม่ไหว อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกว่าคุณมีปัจจัยเสี่ยงของเกิดโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ ที่คุณต้องรีบหาสาเหตุ โรคที่คุณอาจเป็นได้แก่

* ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
* โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
* ภาวะหัวใจล้มเหลว
* ภาวะลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ
* โรคความดันโลหิตสูง
* โลหิตจาง
* ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ
* ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ช่วงก่อนหรือหลังการมีประจำเดือน
* โรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง
* ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น


และเพื่อความไม่ประมาท หากคุณอายุย่างเข้า 50 ปีและยังไม่เคยผ่านการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมาก่อน ขอแนะนำให้ไปรับการตรวจค้นหามะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ที่โรงพยาบาลต่างๆ

โดยการตรวจมีหลายวิธีดังนี้

การตรวจหาเลือดในอุจจาระ นำอุจจาระส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาเลือดที่เกิดจากการหลุดลอกของเซลล์มะเร็งที่ปนออกมากับอุจจาระ ซึ่งควรตรวจเป็นประจำทุกปี
การสวนแป้ง เพื่อดูก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เพื่อดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่
การส่องกล้องตลอดความยาวลำไส้ การส่องกล้องตลอดความยาวของลำไส้ มีความแม่นยำมาก ซึ่งหากพบชิ้นเนื้อที่ผิดปกติหรือติ่งเนื้อก็สามารถตัดออกมาส่งตรวจได้เลย เพื่อดูว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่
CT Scan 64 slices เป็นการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่แม่นยำรองจากการส่องกล้อง แต่มีค่าใช้จ่ายสูง
้ อย่าลืมว่าการเป็นคนช่างสังเกตและหมั่นตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอ หากคุณโชคร้ายเป็นก็มักจะเป็นระยะเริ่มแรก ซึ่งโอกาสที่จะหายขาดก็มีมากถึง 95% !



ขอบคุณ healthtoday









 

Create Date : 30 ตุลาคม 2552   
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 7:38:29 น.   
Counter : 1894 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space