|
|
โรคตา...ที่รักษาด้วยเลเซอร์ (LASER) |
|
โรคตาที่รักษาด้วยแสงเลเซอร์ เลเซอร์ (Laser) ย่อมาจากภาษาอังกฤษซึ่งมีคำเต็มว่า Light amplification by the stimulating emission of radiation
เลเซอร์ เกิดจากการสะสมของคลื่นขนาดเล็กๆ ในจำนวนมหาศาลทำให้เกิดความร้อนขึ้นมา ซึ่งความร้อนนี้เองที่เราสามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม เลเซอร์มีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นแต่ละชนิดว่าจะถูกดูดซึมได้ดีกับเนื้อเยื่อชนิดไหน ไม่ทำอันตรายกับเนื้อเยื่อชนิดไหน เราก็เลือกนำมาใช้กับผู้ป่วย ผลที่เรานำแสงมาประยุกต์ใช้ทางตานั้นมี 2 แบบใหญ่ๆ คือ
1. ผลจากความร้อนที่เกิดขึ้น เนื่องจากพลังงานแสงถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนใช้จี้ส่วนต่างๆ ในการรักษาตา 2. ผลจากการกระแทกไอระเหย ทำให้มีลักษณะคล้ายใบมีดหรือกระสุนปืน ถ้าเราเล็งไปที่ไหน เมื่อแสงไปกระทบจะเกิดจากการแตกกระจายหรือมีการตัดขาดของส่วนต่างๆ ที่จะรักษา
คุณสมบัติที่เป็นเลิศของแสงเลเซอร์ มีดังนี้
1. มีสีสม่ำเสมอสีเดียว แต่มีให้เลือกใช้ได้หลายสี สามารถเลือกใช้สีต่างๆ ได้ตามความต้องการ 2. แสงเกาะตัวกันแน่นเป็นผลให้มีกำลังพลังงานมาก แม้จะปรับขนาดลำแสงให้เล็กลง เพื่อให้เหมาะกับขนาดของสิ่งที่เราต้องการรักษาแต่กำลังพลังงานก็ไม่ลดลงไป 3. เลเซอร์บางชนิด เป็นแสงที่เรามองไม่เห็น เช่น พวกอินฟาเรด แต่สามารถทำให้เกิดแรงกระแทก ซึ่งเราใช้แทนใบมีดสำหรับเข้าไปตัดเยื่อใยหรือเจาะทะลุของบางอย่างในตาได้ 4. เวลาที่ใช้ให้เกิดปฏิกิริยานั้นรวดเร็วมาก ผู้ป่วยแทบจะไม่รู้สึก
เลเซอร์ จึงนับว่าสะดวก รวดเร็ว และเป็นประโยชน์มากในแง่ของการที่ผู้ป่วยไม่ต้องเข้านอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ลดความกลัวในการต้องผ่าตัด ไม่เจ็บปวด ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อขณะผ่าตัดและหลังการผ่าตัด เมื่อยิงแสงเลเซอร์แล้ว ผู้ป่วยก็สามารถกลับบ้านได้เลย และมาตรวจตามแพทย์นัด ปัจจุบันนี้โรคตาที่จักษุแพทย์ใช้เลเซอร์รักษา ได้แก่
1. ต้อหินชนิดเฉียบพลัน ได้ผลดีมาก 2. ต้อหินชนิดเรื้อรัง ได้ผลในเกณฑ์พอใช้ 3. ความผิดปกติของม่านตาและรูม่านตา ช่วยเปิดรูม่านตาที่เล็กให้ใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยให้การมองเห็นได้ดีขึ้น 4. ผู้ที่เคยผ่าตัดต้อกระจกแล้วเหลือปลอกหุ้มเลนส์ด้านหลังไว้ ต่อมาปลอกหุ้มเลนส์ที่ยังอยู่ให้เกิดการขุ่นมัว เป็นเหตุให้ตามัวลงกว่าเดิม แพทย์ก็จะใช้เลเซอร์ยิงเป็นการเจาะทะลุให้เกิดช่องว่างเพื่อให้มองเห็นได้อีกโดยไม่ต้องผ่าตัด 5. ผู้ที่มีน้ำวุ้นตาขุ่น จากเคยมีการอักเสบเรื้อรัง หรือมีหลอดเลือดออกในน้ำวุ้นตา 6. ผู้ที่มีความผิดปกติของจอตาหรือประสาทตา โดยเฉพาะความผิดปกติของจอตาที่เกิดจากเบาหวาน โรคเส้นเลือดของจอตาอุดตัน รูรั่วที่ประสาทตา เป็นต้น
โรคดังกล่าวข้างต้นนี้ จักษุแพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไปว่ารายใดที่จะรักษาด้วยเลเซอร์ เพราะไม่จำเป็นว่าจะใช้เลเซอร์ได้ทุกราย และผลการรักษาก็แตกต่างกันไปในแต่ละโรค การรักษาด้วยเลเซอร์ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานขึ้นตาหรือเป็นโรคของจอตา ผู้ป่วยจะได้รับการหยอดยาขยายม่านตาก่อนยิงเลเซอร์ เมื่อม่านตาขยายจากฤทธิ์ของยา จะทำให้จนกว่าพร่ามัวนานประมาณ 2-3 ชั่วโมง จนกว่าฤทธิ์จะหมดตาจึงจะหายพล่ามัว และการแลเห็นจึงจะเห็นเหมือนเดิม
ยาขยายม่านตาบางตัวมีผลทำให้ความดันเลือดสูงขึ้นได้ ฉะนั้น ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่าตนมีประวัติความดันโลหิตสูงหรือไม่ เป็นการระมัดระวังที่ดี
เมื่อยิงเลเซอร์เสร็จแล้วผู้ป่วยบางรายไม่มีอาการเจ็บปวดเลย บางรายอาจมีอาการปวดระคายเคืองตาบ้างแพทย์จะให้ยาหยอด และควรมาตรวจตามนัด ผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจนัดมายิงเลเซอร์เพิ่มเติมอีกตามที่เห็นสมควร
สรุป แสงเลเซอร์เป็นแสงที่มีประโยชน์มากในการรักษาโรคของตา แต่อย่างไรก็ตามแสงเลเซอร์ก็ไม่สามารถจะรักษาโรคตาได้ทุกชนิด ถึงแม้ว่าจะเป็นโรคชนิดเดียวกัน เช่น ผู้ที่มีเบาหวานเข้าจอประสาทตา หรือต้อหินในระยะที่เป็นมากแล้ว เป็นต้น
ข้อมูลจาก ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
Create Date : 07 เมษายน 2551 | | |
|
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:15:30 น. |
| |
Counter : 16282 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
ทำอย่างไรไม่ปวดเข่า รหัส P2481-0511-01
ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
อาการปวดเข่า เป็นอาการที่พบได้ในคนหลายวัยทั้งชายหญิง และเป็นอาการที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์มากที่สุด และส่วนหนึ่งของการรักษาคือ การบรรเทาปวดด้วยยาแก้ปวด ผู้ป่วยส่วนใหญ่หลังได้ยา คืออาการทุเลาลงบ้าง แต่ไม่หายขาด เป็นๆ หายๆ นอกจากนี้ ยังได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยา ทำให้เกิดโรค เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคโลหิตจาง โรคไต ฯลฯ อาการปวดยังส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำอะไรไม่คล่องตัว เกิดความท้อแท้ ดังนั้น ถ้าคุณปรารถนาข้อเข่าที่แข็งแรงและปราศจากอาการปวดโดยไม่ต้องใช้ยา ควรเริ่มบริหารข้อเข่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
การบริหารข้อเข่า คือการบริหารกล้ามเนื้อเหนือเข่าหรือกล้ามเนื้อควอดไดรเซ็บส์ ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สุดของร่างกายและสำคัญที่สุดของข้อเข่า ทำหน้าที่ร่วมกับเนื้อเยื่ออื่นๆ เพื่อทำให้ข้อเข่าแข็งแรงและมั่นคง ถ้ากล้ามเนื้อมัดนี้แข็งแรง จะทำให้ไม่ปวดเข่าและเข่าทำหน้าที่ได้ตามปกติ กล้ามเนื้อที่แข็งแรง จะมีลักษณะเมื่อเกร็งกล้ามเนื้อค้างไว้ แล้วจับดูกล้ามเนื้อจะแน่นแข็ง และคลำได้มัดกล้ามเนื้อชัดเจน คุณสามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้มีลักษณะเช่นนี้ได้จากการบริหาร ซึ่งในระยะ 2-4 สัปดาห์แรกของการเริ่มต้นให้บริหารบ่อยๆ วันละ 4-6 รอบ โดยเกร็งกล้ามเนื้อ รอบละ 5-10 ครั้ง เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงดีแล้ว ให้คงสภาพความแข็งแรงโดยการบริหารทุกวัน วันละ 1-2 รอบ
ประโยชน์การบริหารข้อเข่า จะช่วยลดอาการปวด บวม ส่งเสริมการเสริมน้ำไขข้อของเยื้อบุผิวข้อ ทำให้กระดูกอ่อนผิวข้อแข็งแรง เพราะน้ำไขข้อ กล้ามเนื้อเหนือขาแข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดีและเหยียดเข่าและเดินได้อย่างมั่นคง และชะลอความเสื่อมของข้อเข่า
อาการปวดเข่า เกิดได้จากหลายปัจจัย รวมถึงอายุที่มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อเหนือเข่าอ่อนกำลังลง การสร้างเสริมกล้ามเนื้อเหนือเข่าให้แข็งแรง เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยการบริหารข้อเข่าอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงท่าทางที่เพิ่มแรงกดในข้อเข่า ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควบคุมโรคประจำตัวและเอาใจใส่ดูแลสุขภาพทั่วไป เมื่อมีความผิดปกติของข้อเข่าหรือสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์
โปรดระลึกเสมอว่า ยาบำรุงและยาแก้ปวดไม่ได้ช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อเข่าแข็งแรง การบริหารข้อเข่าอย่างถูกวิธีด้วยตัวคุณเองทุกวัน จะช่วยให้ข้อเข่าแข็งแรงตลอดเวลา
ข้อมูลดีๆๆจาก ramaclinic.com
Create Date : 06 เมษายน 2551 | | |
|
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:12:04 น. |
| |
Counter : 1428 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
มะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกรักษาหายได้ |
|
มะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกรักษาหายได้
ศาสตราจารย์ นายแพทย์วชิร คชการ วท.บ.,พ.บ.(เกียรตินิยม), วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา FRCS (T), FACS
มะเร็งต่อมลูกหมากในปัจจุบันได้รับการกล่าวขวัญถึงบ่อยมาก ทั้งนี้เนื่องจากมีอัตราการพบมะเร็งต่อมลูกหมากบ่อยมากขึ้นกว่าเดิม และยังมีการกล่าวถึงในสื่อต่างๆ มากมาย จนอาจเป็นความวิตกกังวลแก่ประชาชนทั่วไปที่ได้รับข่าวสาร แต่หากได้ศึกษาและมีความรู้อย่างถ่องแท้จะทราบว่ามะเร็งต่อมลูกหมากไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องตรวจให้พบตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ก่อนที่จะลุกลามหรือมีการกระจาบตัว เพราะผลของการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกนี้ได้ผลดีมากจนพูดได้ว่าหายขาด อาการของมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรกนั้นไม่ปรากฏอาการใดๆ หากมีอาการของการขับถ่ายปัสสาวะหรือมีอาการเจ็บปวดแล้วถือได้ว่าเป็นระยะลุกลาม ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกที่ได้รับการรักษาทันท่วงทีจะมาจากการตรวจสุขภาพ ซึ่งแพทย์จะมีวิธีการตรวจคัดกรองเพื่อเสาะหามะเร็งต่อมลูกหมากจนได้รับการวินิจฉัย นำไปสู่การรักษาต่อไป
ใครบ้างสมควรได้รับการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรก มะเร็งต่อมลูกหมากถึงแม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากเหตุใด แต่เราพบว่ามีความเกี่ยวพันกับกรรมพันธุ์ อายุ อาหารที่มีไขมันสูงและเชื้อชาติ ดังนั้นผู้ชายที่มีประวัติครอบครัว เช่น ปู่ พ่อ หรือพี่ เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากก็สมควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากแต่เนิ่นๆ ในต่างประเทศแนะนำให้ตรวจตั้งแต่อายุ 35 ปี ส่วนผู้ที่ไม่มีประวัติครอบครัวแนะนำให้ตรวจเมื่ออายุ 45 ปี ส่วนในประเทศไทยนั้นยังไม่มีการตกลงกันเป็นที่แน่ชัด จึงอาจจะอาศัยข้อมูลจากต่างประเทศเป็นหลัก จึงมักจะแนะนำว่าชายไทยควรจะตรวจเมื่ออายุ 45 ปี
ตรวจอะไรบ้าง สิ่งแรกที่แพทย์ให้ความสนใจคือการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาสารตัวหนึ่งที่เรียกว่า พี เอส เอ (PSA) ซึ่งเป็นสารที่ผลิตออกมาจากต่อมลูกหมากเพียงอวัยวะเดียว ไม่มีอวัยวะอื่นใดในร่างกายผลิตสารนี้ได้ ค่าปกติโดยทั่วไป คือ 0-4 นาโนกรัมต่อซีซี แต่ผลของการตรวจเลือดไม่ใช่ข้อมูลที่นำไปสู่การวินิจฉัยแต่เพียงอย่างเดียว เพราถึงแม้ผลเลือดจะอยู่ในเกณฑ์ปกติยังมีโอกาสพบมะเร็งซ่อนอยู่ไดถึงร้อยละ 25 และเมื่อผลเลือดสูงเกินค่าปกติก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นมะเร็งแต่อย่างใด แพทย์จะต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีก เช่น การตรวจเลือดหาค่าของfree PSA ซึ่งเป็นการตรวจที่จำเพาะมากขึ้น หรือติดตามผลการตรวจเลือดดูอัตราการเพิ่มของ พี เอส เอ เป็นต้น สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการตรวจทางทวารหนัก แพทย์จะใช้นิ้วสอดเข้าทวารหนักเพื่อคลำดูลักษณะของต่อมลูกหมากที่ชี้บ่งว่าจะมีมะเร็งหรือไม่ หากพบความผิดปกติจะพิจารณาส่งตรวจอัลตร้าซาวนด์ หรือตรวจคลื่นแม่เหล็ก แต่อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญที่สุดของการวินิจฉัยคือการนำเอาชิ้นเนื้อของต่อมลูกหมากออกมาตรวจทางพยาธิวิทยา แพทย์จะใช้อัลตราซาวนด์เป็นตัวนำสอดเข็มเล็กๆ เข้าไปเพื่อตัดเอาชิ้นเนื้อออกมาตรวจ
ผลของการตรวจ ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะได้รับรายงานว่ามีมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งจะได้รับการตรวจเพิ่มเติมจัดระยะโรคว่าอยู่ในระยะใด เลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป แต่หากผลการตรวจชิ้นเนื้อไม่พบมะเร็งต่อมลูกหมากก็จะต้องติดตามตรวจต่อเป็นระยะ เช่นอาจจะตรวจ 1-2 ปีต่อครั้ง หากยังมีข้อสงสัยเช่น ผลเลือดเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็วกว่าอัตราปกติ หรือคลำพบความผิดปกติของต่อมลูกหมาก ก็จะต้องตรวจชิ้นเนื้อซ้ำ มีผู้ป่วยหลายรายที่ไม่สามารถตรวจพบมะเร็งต่อมลูกหมากในการตรวจครั้งแรก แต่สามารถตรวจพบได้ในการตรวจครั้งถัดไป
การรักษา เมื่อได้รับการวินิจฉัยและตรวจเพิ่มเติมจัดระยะโรคแล้ว หากพบว่ามะเร็งต่อมลูกหมากยังคงเป็นระยะแรกอยู่ การรักษาเราจะทำเพื่อหวังผลเพื่อให้หายขาด การรักษาประกอบด้วย
* การผ่าตัด นำเอาต่อมลูกหมากออก เหมาะกับผู้ที่ยังมีร่างการแข็งแรง อายุไม่มากจนเกินไป ไม่มีโรคอื่นที่เป็นข้อห้ามต่อการผ่าตัด ซึ่งผลการผ่าตัดหากสามารถนำเอาต่อมลูกหมากออกมาได้หมดถือได้ว่า หายขาด คือจะมีชีวิตยืนยาวเช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ได้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่การผ่าตัดนี้ อาจจะทำให้ผู้ป่วยกลั้นปัสสาวะนานๆไม่ได้ในระยะแรก หรืออาจจรบกวนต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศบ้างในบางราย และเป็นการผ่าตัดใหญ่ ดังนั้นหากผู้ป่วยที่มีอายุมากหรือสุขภาพไม่แข็งแรงก็สมควรเลือกการักษาอื่น
* การใช้รังสีรักษา อาจจะเป็นการฉายรังสีจากภายนอกร่างการหรือมีการสอดใส่สารกัมมันตรังสีเข้าสู่ต่อมลูกหมาก ผลของการรักษาอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ในด้านการควบคุมโรคอาจจะไม่ดีเท่ากับการผ่าตัด เพียงแต่ไม่ต้องทำผ่าตัดใหญ่
* การติดตามอาการ เหมาะกับผู้สูงอายุมากๆ เช่น อายุ 80 ปีขึ้นไป เพราะมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกที่พบในผู้ที่มีอายุมากๆ นี้โตช้า กว่าจะทำอันตรายกับผู้ป่วยจะใช้เวลานาน ส่วนมากผู้ป่วยเหล่านี้จะเสียชีวิตด้วยโรคอื่น หรือเสียชีวิตด้วยอายุขัยของตนเอง
ข้อแนะนำ ดังที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากมีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีประวัติครอบครัว หรือผู้ชายทั่วไปที่มีอายุระหว่าง 45-70 ปี หากมีอายุมากจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป ทั้งนี้พบว่าปัจจุบันผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 70 ปีอาจจะยังมีร่างกายแข็งแรงดีอยู่ ซึ่งสมควรตรวจหามะเร็งระยะแรกเช่นกัน ซึ่งการพบมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกนี้สามารถให้การรักษาจนหายขาดได้ ผู้ชายจึงควรสร้างค่านิยมที่จะตรวจสุขภาพของตนเองให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน
thanks for ramaclinic.com
Create Date : 05 เมษายน 2551 | | |
|
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:11:35 น. |
| |
Counter : 1417 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
เด็กที่มีอาการปัสสาวะรดที่นอนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะแต่ส่วนน้อยอาจมีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะหรือระบบประสาทที่ควบคุมได้ โดยทั่วไปควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและตรวจปัสสาวะหาความผิดปกติเหล่านี้ หากตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติ คือมีอาการปัสสาวะรดที่นอนที่ไม่พบสาเหตุทางกาย ควรปฏิบัติ ดังนี้ หรืออาจจะลองปฏิบัติตามนี้ก่อนไปพบแพทย์ดูก่อนก็ได้
พ่อแม่ควรทราบว่าปัญหาปัสสาวะรดที่นอนเป็นภาวะที่พบได้บ่อย คือประมาณร้อยละ 15 ของเด็กอายุ 5 ปี ยังปัสสาวะรดที่นอน และในจำนวนนี้จะหยุดปัสสาวะรดที่นอนได้เอง ร้อยละ 15 ต่อปี เด็กไม่อยากให้ตนเองปัสสาวะรดที่นอนเหมือนกัน แต่เขาไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ จึงไม่ได้เป็นความผิดของเด็ก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการลงโทษโดยไม่เหมาะสม ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากปัญหาด้านจิตใจ แต่เด็กอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจจากการปัสสาวะรดที่นอน ได้แก่ ความรู้สึกอับอาย ขาดความมั่นใจในตัวเอง วิตกกังวล และปัญหาด้านสังคม เป็นต้น
คำแนะนำในการช่วยเหลือเด็กที่ปัสสาวะรดที่นอนโดยทั่วไปประกอบด้วย
1. การจูงใจให้เด็กต้องการควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนด้วยตนเอง ด้วยการพูดถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นตามมา เช่น พ่อแม่รู้สึกดีใจ เด็กสามารถไปนอนนอกบ้านหรือเข้าค่ายกับเพื่อนได้โดยไม่ต้องกังวลใจ รวมทั้งความรุ้สึกมั่นใจในตนเอง เป็นต้น แต่โดยทั่วไปเด็กมักต้องการหยุดปัสสาวะรดที่นอนเองอยู่แล้ว
2. งดอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลา 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ เช่น น้ำอัดลมบางชนิด และชาเขียว เป็นต้น เนื่องจากสารคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เครื่องดื่มเหล่านี้มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบประมาณ 10 มก./100 มล.
3. ให้ปัสสาวะก่อนเข้านอนทุกคืน
4. เน้นให้การฝึกควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนเป็นความรับผิดชอบของเด็กเอง ตั้งแต่ให้บันทึกอาการปัสสาวะรดที่นอนด้วยตนเอง ลุกขึ้นมาปัสสาวะเองถ้ารู้สึกปวดปัสสาวะ และให้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนหรือทำความสะอาดเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอน เด็กจำนวนหนึ่งปัสสาวะรดที่นอนลดลงมากหลังจากให้เริ่มบันทึกด้วยตนเอง
5. งดการปลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืน เพราะอาจทำให้เด็กหยุดปัสสาวะรดที่นอนได้ช้ากว่าไม่ปลุก และมักทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่และเด็กมากกว่า
6. ใช้หลักพฤติกรรมบำบัด คือให้แรงเสริมทางบวก ( positive reinforcement ) เมื่อเด็กสามารถควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนได้ โดยให้เด็กติดสติกเกอร์รูปที่ตนเองชอบลงบนปฏิทินในวันที่ไม่ปัสสาวะรดที่นอน และพ่อแม่ควรให้รางวัลด้วยการพูดชมเชย ของเล่น หรือสิทธิประโยชน์บางอย่าง เป็นต้น พ่อแม่ต้องช่วยติดตามการเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์ และพิจารณาให้รางวัลที่มีคุณค่ามากขึ้นถ้าเด็กควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนได้มากขึ้นในแต่ละสัปดาห์ที่ผ่านไป
ในกรณีที่เด็กอายุมากกว่า 7-8 ปีแล้วยังไม่หยุดปัสสาวะรดที่นอน มีวิธีการรักษา 2 แบบ คือการใช้อุปกรณ์สัญญาณปลุกเมื่อปัสสาวะรดที่นอน และการใช้ยารักษา
1. การใช้อุปกรณ์สัญญาณปลุก (enuresis alarm) เป็นวิธีการรักษาที่อาศัยพื้นฐานความรู้จากทฤษฎีการเรียนรู้ คือหากพ่อแม่สามารถทำให้เด็กตื่นนอนทุกครั้งเมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม (ปัสสาวะรดที่นอน) ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เด็กจะสามารถตื่นได้เองเมื่อปวดปัสสาวะ (การปลุกเด็กทุกคืนก่อนที่เด็กจะปัสสาวะรดที่นอน ไม่ได้เป็นการทำให้เด็กตื่นตอนที่กระเพาะปัสสาวะเต็มพอดี จึงไม่สามารถหยุดอาการปัสสาวะรดที่นอนได้) เป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลมากที่สุด ประมาณร้อยละ 60-90 และมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้น้อย คือประมาณร้อยละ 15-40 การรักษาโดยใช้วิธีนี้ควรใช้ต่ออีกระยะหนึ่งหลังจากหยุดปัสสาวะรดแล้วจึงได้ผลดี เป็นวิธีการรักษาที่แนะนำให้เลือกใช้เป็นลำดับแรกก่อนการรักษาด้วยยา
2. การรักษาด้วยยา ยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษามี 2 ชนิด คือ imipramine และ desmopressin acetate (DDAVP) แพทย์จะพิจารณาให้ตามความเหมาะสม โดยทั่วไปยา Imipramine ได้ผลประมาณร้อยละ 40-60 แต่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำหลังหยุดยาร้อยละ 50 ส่วนยา DDAVP มี 2 ชนิด คือ ชนิดพ่นจมูกและชนิดกิน ได้ผลร้อยละ 10-65 แต่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำหลังหยุดยาสูงถึงร้อยละ 80
thanks for ramaclinic.com
Create Date : 04 เมษายน 2551 | | |
|
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 17:11:07 น. |
| |
Counter : 1822 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|