|
|
ฮอร์โมนของบุรุษเพศออกอิทธิฤทธิ์ได้ ทำให้คน เปลี่ยนนิสัย |
|
นักวิทยาศาสตร์ ม.ซูริก วิจัย พบฮอร์โมนเทสโตสเตโรน ที่ผลิตจากถุงอัณฑะของผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงมีนิสัยเปลี่ยนไป และก็เชื่อว่าก็คงจะมีผลเช่นเดียวกับบุรุษ..
ฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตโรน ซึ่งมักถูกโทษว่า ก่อนิสัยห่ามและก้าวร้าว กลับถูกพบว่า ทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนนิสัย กลายเป็นคนดีและมีใจเป็นธรรมขึ้นได้ ไม่ว่าจะมีพื้นนิสัยเดิมจะเป็นอย่างไร นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยซูริก ได้ศึกษากับหญิงสาว 121 คนด้วยการให้จับคู่เล่นการพนันกัน โดยบางคนได้รับยาเม็ดฮอร์โมนเพศชาย แต่บางคนก็เป็นยาหลอก
นักวิจัยสังเกตพบว่า ผู้ที่คิดว่าตนได้กินยาเข้าไป แม้ว่าที่แท้จะเป็นยาหลอกก็ตาม จะเปลี่ยนนิสัยไป กลายเป็นคนนิสัยดี
ไม่คิดโกงในการเล่น หรือไม่คิดโต้เถียงเท่าไร แต่ผู้ที่เชื่อว่าตนไม่ได้ยา ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม กลับแสดงนิสัยเอารัด เอาเปรียบมากกว่า ดร.คริสทอป ไอส์เนกเกอร์ นักประสาทวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า"ผลการทดลองนี้ น่ากลัวจะต้องยกเลิกความเชื่อที่ว่าฮอร์โมนเทสโตสเตโรน สร้างนิสัยก้าวร้าวและเห็นแก่ตัวในมนุษย์ไปเสีย และเสริมว่า แม้ว่าการศึกษาจะทำกับผู้หญิงล้วน แต่ก็เชื่อว่าก็คงจะมีผลเช่นเดียวกันกับผู้ชาย"
ในร่างกายของผู้ชาย ฮอร์โมนชนิดนี้ทั้งหมดจะผลิตขึ้นในถุงอัณฑะและปริมาณจะค่อยลดลง เมื่อมีอายุมากขึ้น เป็นผลให้ความต้องการทางเพศและระดับพลังงานลดต่ำลง. ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
Create Date : 13 ธันวาคม 2552 | | |
|
Last Update : 13 ธันวาคม 2552 6:28:53 น. |
| |
Counter : 1428 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
ยาบ้วนปาก ก่อมะเร็ง คอเหล้าคอยายิ่งหวาดเสียวขนาดหนัก |
|
นักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลีย โวยยาบ้วนปาก ทำให้คอเหล้าที่ใช้เสี่ยงกับการเป็นมะเร็งในปากสูงกว่าปกติถึง 9 เท่าแนะควรใช้ภายหลังแปรงฟันหรือขัดฟันด้วยไหมใหม่ ด้วยเวลาสั้นๆ...
ผู้ที่มีอาการติดเชื้อหรือการอักเสบในปากหรือฟัน มักจะได้รับการแนะนำให้ใช้ยาอมบ้วนปาก แต่นักวิทยาศาสตร์เมืองจิงโจ้ คัดค้านโวยวายขึ้นว่า ยาซึ่งล้วนเข้าแอลกอฮอล์เหล่านี้ มันจะทำให้เสี่ยงกับการเป็นมะเร็งในปากสูงกว่าปกติถึง 9 เท่า คณะนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นนักวิจัยของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์และเมลเบิร์นของออสเตรเลีย กล่าวว่า แม้ว่ายาอมบ้วนปากจะเป็นที่นิยม ในการควบคุมคราบจุลินทรีย์จับฟันและเหงือกอักเสบ แต่ก็ควรใช้ภายหลังการแปรงฟันหรือขัดฟันด้วยไหมใหม่ๆ และใช้เป็นเวลาแค่สั้นๆ เท่านั้น
พวกเขาได้บอกเตือนผู้ที่เป็นคอยาว่า หากว่ามาใช้ยาอมบ้วนปาก จะล่อแหลมกับการเป็นมะเร็งปากมากที่สุดถึง 9 เท่า
และแม้แต่คอสุราก็เช่นกัน ก็จะเสี่ยงเป็นได้ง่าย มากกว่าปกติถึง 5 เท่า ถึงแม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่นักดื่มเลย ก็ยังเสี่ยงด้วยเช่นกัน แต่ไม่สูงถึง 5 เท่า ไม่แต่เท่านั้น ยาอมบ้วนปากส่วนใหญ่ล้วนผสมแอลกอฮอล์อยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละ 20 ยังมีอันตรายอย่างอื่นอีกด้วย เช่น ทำให้เหงือกอักเสบ เกิดผื่นจุดเลือด และเยื่อบุเซลล์ของปากลอก. ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
Create Date : 11 ธันวาคม 2552 | | |
|
Last Update : 11 ธันวาคม 2552 7:01:08 น. |
| |
Counter : 1758 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
เตือน สารพัดโรคร้าย!!! ที่นักดื่มต้องระวัง |
|
สุรา สิ่งบันเทิงใจของนักดื่มทั้งหลาย มีงานเลี้ยงที่ไหน เทศกาลอะไร พระเอกของงานที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ สุรา และเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ ซึ่งแอลกอฮอล์เป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการหมักผัก ผลไม้ หรือเมล็ดพืชชนิดต่างๆ แล้วแต่งกลิ่น ในเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์แต่ละชนิดจะมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ต่างกัน เช่น เหล้ามีแอลกอฮอล์ 40 % ไวน์มีแอลกอฮอล์ 12 % และเบียร์มีแอลกอฮอล์ 5 % โดยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะกดประสาท ทำให้สมองทำงานช้าลง พูดจาอ้อแอ้ เดินไม่ตรงทาง ความคิดสับสน และเป็นหนึ่งสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุ เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และในภาคเศรษฐกิจ แม้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็พยายามออกมารณรงค์ ลด ละ เลิก แต่สถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในเทศกาลต่างๆ ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง
สุรา หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไป และติดต่อกันเป็นเวลานาน ย่อมมีผลเสียต่อสุขภาพ นอกจากจะทำให้ผู้ดื่มขาดสติ แล้วยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ มากมาย ได้แก่ กลุ่มโรคทางระบบประสาท ทำให้ความจำเสื่อม หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย เสียการควบคุมด้านอารมณ์ โรคนอนไม่หลับ กระบวนการการรับรู้ ความเข้าใจ บกพร่อง ขาดสติ จิตหลอน ประสาทหลอน โรคคลั่งเพ้อ เกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรัง การทำหน้าที่ของสมองผิดปกติส่งผลถึงการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนปลายแขน ขา อ่อนแรง ปลายประสาทพิการ โรคซึมเศร้า โรคลมชัก และโรคระแวงเพราะสุรา
กลุ่มโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งในปากและช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านมในผู้หญิง และมะเร็งรังไข่
กลุ่มโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้เช่น โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน โรคเบาหวาน (เกิดจากตับอ่อนอักเสบ) โรคตับอักเสบ โรคตับแข็งจากสุรา โรคตับอ่อนอักเสบแบบเฉียบพลัน และ แบบเรื้อรัง โรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือโรคกระเพาะอักเสบจากสุรา เพราะแอลกอฮอล์จะทำลายสารเคลือบกระเพาะ ทำให้เกิดแผลจนกระเพาะทะลุ หรือเลือดออกในกระเพาะ สังเกตได้จากการถ่ายอุจจาระ หรืออาเจียนเป็นเลือด โรคต่อมหมวกไต กระดูกพรุน โรคเกาต์ โรคพิษสุราเรื้อรัง
กลุ่มโรคหลอดเลือดและหัวใจ คนที่ดื่มสุราเป็นประจำมีโอกาสเกิดโรคหัวใจได้มากกว่าคนที่ดื่มน้อยกว่า เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ และยังอาจทำให้เกิด ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหรือเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจหรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมจากสุรา โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมองส่วนนอกลีบฝ่อ อาการระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกิน โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจล้มเหลว
ผลกระทบต่อลูกน้อยสำหรับนักดื่มที่กำลังตั้งครรภ์ ส่งผลให้ทารกมีน้ำหนักตัวแรกคลอดน้อย ปากแหว่งเพดานโหว่ ดวงตาและกรามมีขนาดเล็ก สมองเล็กกว่าปกติ หัวใจผิดปกติแต่กำเนิด แขน-ขาเจริญเติบโตผิดปกติ ความสามารถในการมองเห็นน้อยกว่าทารกปกติ ร้องกวนโยเยง่าย รูปร่างแคระแกรน นอนหลับยาก และมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติ
ดื่มมากขนาดไหนที่เรียกว่า ติดสุรา สามารถแบ่งให้เห็นชัดเจนได้ 3 ระดับ คือ
- ระดับแรกดื่มเฉพาะตอนที่เข้าสังคม - ระดับที่สองดื่มเป็นระยะ - กลุ่มที่สามดื่มจนติดหรือที่เรียกว่า "แอลกอฮอล์ลิซึ่ม" คนที่ดื่มจนติดแล้ว มักจะดื่มเป็นประจำทุกวัน และเพิ่มปริมาณในการดื่มมากขึ้น ถ้าหยุดดื่มจะมีอาการ เช่น ใจสั่น มือสั่น คล้ายจะเป็นลม นักดื่มหลายท่านบอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกปฏิเสธหรือ เลิกดื่ม เป็นการถาวร ทว่าคุณยังสามารถดื่มได้อย่างมีสติและรับผิดชอบ โดยถือหลักปฏิบัติง่ายๆ เช่น ต้องรู้จักสุขภาพตนเอง ถ้าไม่แข็งแรง เมาง่าย ก็ควรดื่มแบบพอเพียง..เรียกว่า ดื่มแบบรู้ตัว รู้รับผิดชอบต่อผู้อื่น รวมถึงรู้กาลเทศะและสถานที่ด้วย หากต้องขับรถก็ต้องมีสติ เมาไม่ขับ หรือหากมีพฤติกรรมเมาแล้วส่งเสียงดัง โวยวาย ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ก็ไม่ควรดื่มจนเมา ที่สำคัญต้องรู้บทบาทตนเอง ถ้าเป็นพ่อแม่ หรือเป็นผู้ปกครองก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีต่อเด็กๆ ด้วย สำหรับคนที่ดื่มจนติดแล้วต้องการเลิกเหล้า ไม่ควรเลิกแบบทันทีทันใด แต่ควรลดปริมาณการดื่มลงทีละน้อย หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าได้ ควรรับประทานอาหารให้อิ่มท้อง พยายามอย่าให้ท้องว่าง ขณะเดียวกันควรหันไปดื่มน้ำผลไม้แทน และพยายามทำกิจกรรมต่างๆ หรือเล่นกีฬา ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้ร่ายกายแข็งแรง กรณีที่มีอาการติดเหล้ารุนแรงควรมาพบแพทย์เพื่อทำการบำบัดรักษา และรับการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี ขอบคุณเนื้อหาจาก เนเวอร์เอจ
Create Date : 09 ธันวาคม 2552 | | |
|
Last Update : 9 ธันวาคม 2552 7:09:24 น. |
| |
Counter : 1298 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
อาหารป้องกันมะเร็งผิวหนัง |
|
ศัตรูตัวร้ายของผิวหนังคือแสงแดด แสงแดดทำให้ผิวเหี่ยวย่น ตกกระ ซึ่งเป็นริ้วรอยของความชราที่ไม่มีใครชอบ ยิ่งกว่านี้แสงแดดยังเป็นต้นเหตุของมะเร็งผิวหนังอีกด้วย ต้องถือว่า สีผิวอย่างคนไทยน่ะโชคดีแล้วที่เกือบจะตัดมะเร็งผิวหนังออกไปได้ อย่าได้คิดเปลี่ยนสีผิวของตัวเอง โดยอาศัยครีมที่โหมโฆษณาว่าสามารถลอกผิวให้ขาวได้ภายในไม่กี่วันเลย คุณจะห้ามไม่ให้ผิวสร้างเมลานิน ห้ามไม่ให้ธรรมชาติปกป้องตัวคุณเองจากมะเร็งทำไมกัน ทำแบบนั้นมันโง่หรือเปล่าล่ะ
อย่างไรก็ตามหากต้องการเป็นฝ่ายกระทำในการป้องกันมะเร็งผิวหนังสามารถทำได้เองดังนี้
1. กินเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเข้าไปต้านรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดที่เราต้องเผชิญทุกวัน อาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือผักผลไม้สีเขียว เหลือง แดง ส้ม ม่วง เช่น ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู มะละกอ ฟักทอง แครอท มะม่วงสุก แคนตาลูป กะหล่ำม่วง บีทรูท เป็นต้น หากกินเข้าไปมากพอ ผิวหนังของเราจะมีสีออกเหลืองน้อย ๆ ใครก็ตามที่มีผิวเหลืองจากเบต้าแคโรทีนจะมีผิวสวยกว่า มีริ้วรอยน้อยกว่า ตกกระน้อยกว่า และแน่นอนเป็นมะเร็งผิวหนังน้อยกว่า
2. เลี่ยงแสงแดด อย่าออกไปตากแดดตอนใกล้เที่ยง หากจำเป็นให้ใช้ร่มกันยูวี สวมแว่นตากันยูวี ใส่เสื้อผ้าที่กันรังสียูวี หรือใช้ยาทากันแดดที่สามารถป้องกันยูวีได้
3. เลี่ยงอาหารและยาที่มีสารหนูปนเปื้อน เพราะสารหนูเป็นสารก่อมะเร็งของมะเร็งผิวหนัง ยาที่มักจะเข้าสารหนูได้แก่ ยาแผนโบราณทั้งตำรับยาไทยและจีน
4. หากมีอายุเกิน 50 ปีซึ่งจะมีอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งโรคผิวหนังมากขึ้น ควรสังเกตผิวของตนเองว่าไฝ กระ และปาน เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ หากพบสิ่งผิดปกติไม่ควรรอช้ารีบไปปรึกษาแพทย์
5. หากมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง ควรรู้ว่ามะเร็งผิวหนังเป็นกรรมพันธุ์ ต้องเร่งดูแลตัวเองด้วยการกินผักสดและผลไม้สดให้มาก จะได้มีสารต้านอนุมูลอิสระมากพอ เพื่อลดอัตราเสี่ยงลง
ขอบคุณข้อมูล : ขวัญเรือน
Create Date : 05 ธันวาคม 2552 | | |
|
Last Update : 5 ธันวาคม 2552 6:38:45 น. |
| |
Counter : 1472 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|