|
|
Do & Do not กินอาหารเพื่อสุขภาพฟัน |
|
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย แต่อีกด้านหนึ่งการกินไม่เลือก ไม่ระมัดระวังก็มีโทษสำหรับร่างกายเช่นกัน ตอนนี้เรารณรงค์ในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารที่รับประทานแล้วน้ำหนักไม่เพิ่ม ไม่อ้วน อาหารที่กินแล้วไม่ก่อให้เกิดโรค เช่น ไขมันอุดตันในเลือด โรคหัวใจ ทางทันตกรรมก็เช่นกัน เราให้ความสำคัญในเรื่องอาหารอย่างมากในการป้องกันโรคฟันผุ โรคเหงือก
เมื่อเรารับประทานอาหารผ่านเข้าไปในช่องปาก แบคทีเรีย ซึ่งอยู่ในรูปของแผ่นบางๆ เหนียว ที่เรียกว่า Plaque (แผ่นคราบ) จะเปลี่ยนอาหารเหล่านั้นให้เป็นกรดทำลายฟันและเหงือก แบคทีเรียเหล่านี้ชอบอาหารหวาน อาหารที่เป็นแป้งมาก หลังรับประทานอาหารหากยังไม่แปรงฟันทันที แบคทีเรียเหล่านี้ก็ทำหน้าที่สร้างกรดไปเรื่อยๆ ดังนั้นยิ่งรับประทานอาหารบ่อยๆ 3 มื้อหลักแล้วยังมีแทรกระหว่างมื้อ อาหารก็สัมผัสกับฟันมากขึ้นโอกาสที่ฟันและเหงือกก็ถูกทำลายมากขึ้น
อะไรบ้างที่ ควร หรือ ไม่ควร ในการดูแลรักษาสุขภาพฟัน
DO (ควรปฏิบัติ)
* ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ ให้เกิดความสมดุล - ขนมปัง ข้าว Cereal อาหารที่มีกากใย - ผลไม้ - ผัก - เนื้อปลา ถั่ว - นม ชีส โยเกิต * ถ้าหากจะทานอาหารว่างลดอาหารพวกแป้ง น้ำตาล ให้ทาน ผัก ผลไม้แทน
* แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์
* ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน Dental Floss
* พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
DONT (ไม่ควร)
* ไม่ควรให้น้ำตาลสัมผัสฟันนานๆ - ลดการอมลูกอม - ขนมกรอบๆ เหนียวๆ ติดฟัน
* น้ำ อัดลม (Soft drink) มีน้ำตาลเยอะมาก 1 กระป๋อง บางยี่ห้อมีน้ำตาล 11 ช้อนกาแฟ ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลม อย่าดื่มน้ำอัดลมทุกมื้ออาหาร
* ไม่สูบบุหรี่ เพราะมีผลต่อ - ฟันเปลี่ยนสี - เสี่ยงต่อโรคเหงือก - เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในช่องปาก ลำคอ
กุญแจสำคัญในการเลือกรับประทานอาหารอย่างชาญฉลาดไม่ใช่จะไม่กินพวกแป้ง น้ำตาลเลย แต่ต้องระวังในการกินและคิดก่อนกินทุกครั้ง เพราะอาหารมีผลต่อสุขภาพของเรา ถ้าเราสามารถควบคุมและผักให้เป็นนิสัยก็จะส่งให้สุขภาพของเราดี และยิ้มได้อย่างสวยงาม
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
Create Date : 30 กันยายน 2551 | | |
|
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:44:20 น. |
| |
Counter : 1295 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
จากรายงาน การศึกษาในสหรัฐอเมริกา พบว่า ในกลุ่มผู้สูบบุหรี่จะมีโอกาส หรือความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมากกว่าคนไม่สูบบุหรี่ถึง 2.4 เท่า
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูบ บุหรี่ที่เป็นโรคความดันเลือดสูงหรือมีไขมันในเลือดสูง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดถึง 1.5 เท่า แต่หากผู้สูบบุหรี่นั้น เป็นทั้งความดันเลือดและไขมันในเลือดสูง จะเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 8 เท่า ของคนทั่วไป โดยเฉลี่ยแล้วผู้ติดบุหรี่ จะทำให้เส้นเลือดเสื่อม และเกิดความตีบตันเร็ว มากกว่าผู้ไม่สูบถึง 10 - 15 ปี
องค์การอนามัยได้ระบุว่า 1 ใน 4 หรือ ร้อยละ 25 ของผู้ที่เสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เป็นผลจากการสูบบุหรี่
ในสตรีสูบบุหรี่ที่ได้รับยาคุมกำเนิด จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบมากกว่าสตรีทั่วไปถึง 40 เท่า และยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบ และระบบหลอดเลือดสูงกว่าสตรีทั่วไปด้วย
นอกจากนี้มีความเสี่ยงต่อการ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 10 เท่า โดยความเสี่ยงจะเพิ่มจากจำนวนบุหรี่ที่สูบ และในกลุ่มผู้ที่เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันนั้น ครึ่งหนึ่ง (ร้อยละห้าสิบ) จะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุเลย และอีกร้อยละ 25 จะไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล นั่นคือ หากเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันขึ้นแล้ว โอกาสจะมีชีวิตอยู่จะน้อยลงและมีปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตต่อไปด้วย ผลจากการสูบบุหรี่ต่อการทำงานของหัวใจ นิโคติน เมื่อดูดซึมเข้ากระแสเลือด มีผลโดยตรงต่อต่อมหมวกไต ก่อให้เกิดการหลั่งสารเอพิเนฟริน (Epinephrine) ทำให้
1. ความดันโลหิตสูงขึ้น 2. หัวใจเต้นเร็วขึ้น 3. หลอดเลือดแดงหดตีบตัน 4. เพิ่มไขมันในเลือด
ผล ของนิโคตินทำให้เกิดการทำลายของเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือดแดง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือหัวใจขาดเลือด
# คาร์บอนมอนน๊อกไซด์ การ หายใจเอาคาร์บอนมอนน๊อกไซด์เข้าไปเป็นจำนวนมาก จะทำลายคุณสมบัติในการเป็นพาหนะนำออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อย เป็นผลทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ทำงานมากขึ้น เพื่อจะสูบฉีดโลหิตนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้เพียงพอ
# ไฮโดรเจนไซยาไนด์ เป็น ก๊าชพิษในควันบุหรี่ ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงแข็ง ปรกอบกับสารพิษอื่นๆ ได้แก่ นิโคตินเป็นพิษต่อเซลล์เยื่อบุชั้นในของหลอดเลือด เมื่อกลไกนี้เกิดซ้ำอีก ร่วมกับการขาดออกซิเจนจากก๊าซคาร์บอนมอนน๊อกไซด์ ยิ่งจะทำลายเซลล์ชั้นในของหลอดเลือดมากขึ้น ทำให้ไขมันที่มีอยู่ในเลือดไปเกาะที่ผนังหลอดเลือดได้ง่าย นอกจากนี้ควันบุหรี่ยังทำให้เกล็ดเลือดเกาะกันมากขึ้น เกล็ดเลือดอายุสั้นลง เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น เลือดข้นขึ้น ทั้งนี้ ทำให้เลือดจับกันเป็นก้อนได้ง่าย เป็นสาเหตุทำให้เส้นแดงที่มีไขมันเกาะอยู่ชั้นในของหลอดเลือด หรือ หลอดแดงที่ตีบอยู่แล้ว เกิดการอุดตันได้ในทีทันใด ทำกล้ามเนื้อหัวใจตาย อาจเสียชีวิตทันทีทันใดได้
การสูบบุหรี่กับโรคหัวใจและหลอดเลือด ในประเทศที่พัฒนาแล้วคนที่สูบบุหรี่ตาย จากโรคหัวใจขาดเลือดมากกว่าคนที่ไม่สูบเกือบ 3 เท่า และการสูบบุหรี่นั้น มีความสัมพันธ์กับจำนวนบุหรี่ที่สูบ ยิ่งสูบมากเกินกว่าวันละ 1 ซอง ก็ยิ่งทำให้อัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากขึ้น
ในประเทศเรา ได้มีการศึกษาในจำนวนประชากรที่เกิดโรคหัวใจขาดเลือด พบปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค เรียงตามลำดับ คือ
1. การสูบบุหรี่มากกว่า 10 มวนขึ้นไป ยิ่งสูบเกิน 20 มวน ต่อวันขึ้นไป ยิ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงมากขึ้น 2. ผู้ป่วยเบาหวาน 3. ความดันโลหิตสูง 4. อ้วน 5. ไขมันในเลือด 6. ความเครียด 7. การไม่ออกกำลังกาย
สรุปข้อมูลที่ได้จากศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
และถ้าสูบบุหรี่ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น เป็นความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวานด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อัตราการเกิดโรคนั้นสูงมากขึ้นตามลำดับ ข้อมูลจาก : คู่มือบุหรี่และสุขภาพ สถาบันควบคุมการบริโภคยาสูบ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
Create Date : 28 กันยายน 2551 | | |
|
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:44:03 น. |
| |
Counter : 924 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
อาหารที่เรารับประทานเข้าไปทุกวันนี้มีทั้งให้คุณและให้โทษ เป็นได้ทั้งตัวก่อโรคและเป็นยารักษา มีสุภาษิตจีนประโยคหนึ่งที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ เขียนไว้ว่า " Whatsoever was the father of a disease, an ill diet was the mother" และนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์บางท่านถึงกับเชื่อว่า " ขบวนการแก่ " (aging) แท้จริงแล้วส่วนใหญ่เกิดจากการที่คนเราขาดสารอาหารต่างๆ ทีละเล็กทีละน้อยตั้งแต่เราเริ่มสู่วัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา
ผมเห็นด้วยแต่ รู้สึกว่าจะเว่อร์ไปหน่อยครับ
เนื่องจากเรายังไม่ทราบถึงกลไกที่แท้จริงของความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและ สุขภาพจึงมีทฤษฎีเกิดขึ้นมากมาย (สิ่งใดถ้านักวิทยาศาสตร์รู้แล้ว ก็มักจะมีทฤษฎีหรือคำตอบเพียงอย่างเดียว) แต่ ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับสุขภาพที่เป็นหลักใหญ่ๆ มีอยู่ 3 เรื่องด้วยกันคือ
* Antioxidants ในอาหารซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำลังพูดถึงนี้ * Fat ไขมันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเซลล์และเอนไซม์ต่างๆ ในร่างกาย เพราะฉะนั้นชนิดของไขมันที่เรารับประทานก็มีผลต่อสุขภาพของเราแน่นอน * Food sensitivities ซึ่งมีทั้งทฤษฎีเก่าและใหม่ ในทฤษฎีใหม่ เชื่อกันว่าการแพ้อาหารบางอย่างอาจไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด และอาจมีอาการได้หลายรูปแบบ เช่น ปวดศีรษะหรือ อ่อนเพลีย เป็นต้น
Antioxidant (สารต้านอนุมูลอิสระ)
ในปี 2497 Denham Harman, M.D, Ph.D. จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ของ University of Nebraska เป็นผู้เสนอเรื่องสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ขึ้น ซึ่งในเวลานั้นมีคนสนใจน้อยมากแต่นายแพทย์ Harman ก็ไม่ย่อท้อ พยายามทำการทดลองหลายครั้งจนในที่สุดก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางใน ปัจจุบัน
แล้วเจ้าอนุมูลอิสระมันคืออะไรมาจากไหนและเกี่ยวกับ antioxidant ได้อย่างไร ถ้าจะให้เขียนกันจริงๆ สามารถเขียนเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ได้หนึ่งเล่มเลยครับ ซึ่งมีคนเขียนไว้มากมายพอควร ผมเลยขออนุญาตย่อสั้นๆ นะครับ
เริ่มกันเลยนะ
สูดหายใจเข้าลึกๆ
. เวลาเราสูดหายใจเข้าออกซิเจนก็จะเข้าไปในปอดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายโดยอาศัยเส้นเลือดต่างๆ แล้วเนื้อเยื่อก็นำออกซิเจนไปใช้ในขบวนการต่างๆ (oxidation) เพื่อทำให้เกิดพลังงาน การสังเคราะห์สารต่างๆ เช่น โปรตีน ไขมัน นอกจากนี้จะเกิดอนุมูลอิสระ (free radical)ขึ้น ซึ่งเป็นสารที่มีอิเล็กตรอนไม่ครบคู่ จึงไม่มีเสถียรภาพ (stable) มันจึงต้องพยายามหาคู่ของมันเพื่อให้เกิดเสถียรภาพ ฟังดูเป็นศัพท์เทคนิคนะครับแต่ในความเป็นจริงอนุมูลอิสระก็มีกลไกเช่นว่านี้ ตอนที่มันวิ่งหาคู่นี้ซิมันไม่วิ่งเปล่าๆ แต่มันจะทำลายเซลล์และสิ่งต่างๆ ด้วย รวมทั้ง DNA ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุสำคัญของขบวนการแก่ (aging) และโรคต่างๆ เป็นจำนวนมากรวมทั้งมะเร็งด้วย
หายใจออกได้แล้วครับ
ซึ่งตอนนี้ก็ถึงพระเอกขี่ม้าขาว คือ สารต้านอนุมูลอิสระหรือ antioxidant มา ช่วยให้อิเล็กตรอนของสารอนุมูลอิสระมีคู่และมีความเสถียรภาพขึ้น จึงไม่ต้องวิ่งไปทำลายใครอีก Antioxidants มีหลายชนิด แต่ที่สำคัญมีอยู่ 3-4 ชนิด ซึ่งส่วนมากจะเรียกกันว่า antioxidant cocktail คือ Vitamin A, C, E และ selenium (เซลิเนียม) ประโยชน์และข้อควรระวังในการบริโภคสรุปอย่างง่ายๆ ได้ดังนี้ครับ
Vitamin A (Beta carotene)
ประโยชน์
* เป็นสาร antioxidant ต้านอนุมูลอิสระ * ช่วยการมองเห็น, ผิวหนังแข็งแรง * ช่วยระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กันเชื้อโรค
แหล่งอาหาร
* เบต้า แคโรทีนมีมากในผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม แครอท, ฟักทอง, มะเขือเทศ, ผักใบเขียว * RDA (Recommened Dietary Allowance) หมายถึงปริมาณที่แนะนำต่อวัน * ผู้ชาย 5000 IU (3 mg beta carotene) * ผู้หญิง 4000 IU (2.4 mg beta carotene) * ปริมาณสำหรับ Antioxidant 25,000 IU หรือ15 mg beta carotene(น้ำแครอท 1 แก้ว มี 24.2 mg beta carotene)
ข้อแนะนำ
* ควรรับประทานพร้อมอาหาร เพราะเป็นวิตามินที่ละลายในไข มัน * ควรรับประทานเบต้า แคโรทีนจากธรรมชาติ คือผักผลไม้หลายๆ ชนิด * ถ้าได้รับปริมาณมากไปอาจทำให้ผิวหนังมีสีเหลืองได้ ซึ่งจะหายไปเมื่อลดหรือหยุดรับประทาน * เบต้า แคโรทีนจะได้จากพืช ส่วน Vitamin A ชนิด retinol จะได้มาจากสัตว์ เพราะวิตามินชนิดนี้อาจทำให้เกิดโทษต่อตับได้
ในปี 1994 มีการศึกษาที่น่าฉงนจาก Finland พบว่าคนที่สูบบุหรี่อย่างหนักที่รับประทานเบต้า แคโรทีนเสริม(20 มก.) มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่า กลุ่มสูบบุหรี่หนักที่ไม่ได้รับเบต้า แคโรทีนเสมอ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนมากไม่เชื่อผลการศึกษานี้ แต่บางท่านก็แนะนำคนที่สูบบุหรี่ว่าไม่ควรรับประทานเบต้า แคโรทีน เสริมจนกว่าจะมีการศึกษาที่ชัดเจนมากกว่านี้
Vitamin C (Ascorbic acid)
ประโยชน์
* เป็นสาร antioxidant * ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อและการรักษาแผล * ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค * ช่วยการสร้างสารสื่อประสาท (neurotransmitter) เช่น นอร์อะดรีนาลีนและซีโรโทนิน
แหล่งอาหาร
* ผลไม้สดจำพวกส้ม ฝรั่ง สตรอเบอรี่ ฯลฯ * RDA ผู้ใหญ่ 60 มก. (ส้มขนาดกลาง 2 ผล หรือฝรั่ง 4-5 ชิ้น) * สตรีตั้งครรภ์ 70 มก. * คนสูบบุหรี่ >80 มก. * ปริมาณ สำหรับ antioxidant 250-500 มก. แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง เพราะถ้ามากกว่านี้เซลล์ในร่างกายไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้ ก็จำเป็นต้องขับทิ้งออกทางปัสสาวะ
ข้อแนะนำ
* ถ้าไม่สบาย หรือเป็นหวัดควรเพิ่มปริมาณให้มากกว่านี้ได้ * วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำเพราะฉะนั้นการรับประทานมากเกินไปเล็กน้อยก็จะถูกขับออกได้ง่าย * ยังมีข้อถกเถียงกันว่าวิตามินซีสามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้หรือไม่
Vitamin E (Tocopherols)
หน้าที่
* เป็นสาร antioxidant * บำรุงให้เซลล์ในร่างกายดีและแข็งแรงอยู่เสมอ * ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์ในร่างกายจากมลภาวะต่างๆ
แหล่งอาหาร
* น้ำมันพืช ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ จมูกข้าวสาลี ขนมปังโฮลวีท ฯลฯ * RDA ผู้ชายและสตรีตั้งครรภ์ 15 IU (10 มก.) * ผู้หญิง 12 IU (8 มก.) * ปริมาณสำหรับ antioxidant อายุ < 40 ปี = 400 IU * อายุ > 40 ปี = 800 IU
ข้อแนะนำ
* ควรเลือกชนิดธรรมชาติ (d-alpha tocopherol รวมถึง Mixed tocopherols) * รับประทานพร้อมอาหาร เพราะเป็นวิตามินที่ะลายในไขมัน * นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าขนาด 400-800 IU ต่อวันค่อนข้างปลอดภัย (ขนาดที่มากกว่า 1000 IU อาจเป็นพิษได้) * ขนาดที่มากกว่า 400 IU จะทำหน้าที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือดได้ (anticlotting)เช่นเดียวกับ แอสไพริน * ท่านที่มีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของเลือดหรือได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดควรสอบถามแพทย์ก่อนที่จะรับประทาน Vitamin E
Selenium (ซิลิเนียม)
ประโยชน์
* สาร antioxidant * ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย * แหล่งอาหาร ธัญพืชเต็มเมล็ด (Whole grain) กระเทียม ไข่ อาหารทะเล หน่อไม้ฝรั่ง ฯลฯ * RDA ผู้ชาย 70 mcg * ผู้หญิง 55 mcg * สตรีตั้งครรภ์ 65 mcg
ปริมาณสำหรับ antioxidant
* 200 mcg * ไม่ควรใช้ขนาดเกิน 400 mcg เพราะอาจเป็นพิษได้ * ควรใช้อยู่ในรูป yeast-bound
จะเห็นได้ว่าวิตามินและแร่ธาตุ ในปริมาณที่เหมาะกับantioxidant ส่วนมากจะต้องเพิ่มปริมาณมากกว่า RDA ซึ่งบางอย่างก็ไม่สามารถรับประทานได้อย่างเพียงพอ ก็อาจจำเป็นที่จะต้องเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผมเองไม่ได้ต่อต้านผลิตภัณฑ์เหล่านี้ แต่อยากให้ข้อคิดสะกิดกันสักนิดว่า ถ้าเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นทางเลือกหนึ่งก็ยิ่งต้องศึกษาให้ดีก่อนถึง โทษของสารแต่ละอย่างหากได้รับมากเกินไป ควรรู้ข้อดี ข้อเสีย ข้อควรระวัง ผมเห็นบางคนรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในแต่ละมื้อจำนวนมากแทบจะอิ่มแทน อาหารได้เลยครับ อย่าลืมว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็คืออาหารเสริมไม่สามารถแทนอาหารหลักได้ครับ ควรระมัดระวังในกรณีที่รับประทานมากเกินไปด้วยครับ เพราะอาจเกิดโทษขึ้นกับร่างกายได้
สุดท้ายนี้ผมจบด้วยหลัก "ล" ที่ผมอ่านเจอจากจดหมายข่าวฉบับหนึ่ง เข้าท่าดีครับเลยหยิบมาฝากกัน
ลด อาหารไขมันจากสัตว์ เลิก อาหารกระป๋องที่ใส่สีสังเคราะห์ และสารเคมี เช่น สารกันบูด หรือสีที่ไม่ใช่สีผสมอาหาร เลี่ยง อาหารปิ้ง ย่าง เผา อบ รมควัน ลุ้น อาหารสด ผัก ผลไม้ อาหารสมุนไพรปลอดสารพิษ
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
Create Date : 25 กันยายน 2551 | | |
|
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:43:46 น. |
| |
Counter : 1649 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
เกร็ดน่ารู้ถนอมสายตา
เชื่อ ว่าคนทำงานต้องหนีไม่พ้นการใช้สายตาจับจ้องจอคอมพิวเตอร์จนกลายเป็นกิจวัตร ประจำวันกันเลยทีเดียว ต่างกันก็แค่ใครจะใช้คอมพิวเตอร์นานกว่าเท่านั้นเอง บางคนยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เนื่องจากต้องตรวจเอกสารซึ่งบางฉบับตัวหนังสือก็เล็กนิดเดียว จึงไม่แปลกเลยที่สายตาของหลายๆ คนจะเริ่มมีปัญหา บ้างสายตาก็สั้นขึ้น บ้างก็ยาวขึ้น นอกจากนี้ บางคนทำงานแล้วเครียดมากๆ ยิ่งส่งผลให้ประสาทตาทำงานหนักเข้าไปอีก ทำให้เกิดอาการปวดหัว แถมปวดเมื่อยตามตัว อย่างไรก็ตาม เราคงปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงงานที่จะต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นการพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสายตาทุก 1-2 ปีจึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก แต่กว่าคุณจะมีเวลาไปพบแพทย์ เรามีคำแนะนำเล็กน้อยมาฝาก เพื่อช่วยถนอมสายตาคุณให้ดีไปนานๆ ดังนี้
* รับประทานผัก ผลไม้มากๆ โดยเฉพาะผักพวกที่มีใบสีเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักโขม * หากจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ อ่านหนังสือ หรือใช้สายตาทำงานหนัก ให้หมั่นพักสายตาเป็นระยะๆ * ควร สวมแว่นตากันแดดที่สามารถกรองแสงจ้าได้ 75-90% และป้องกันรังสี UV-A หรือUV-B ได้ 99-100% จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นต้อกระจก แต่ไม่ควรสวมแว่นตาตอนค่ำๆ หรือในที่ร่ม เพราะจะทำให้ตาต้องทำงานหนักกว่าปกติในการปรับให้รับแสง * หาก ใส่คอนแทคเลนส์ แล้วเกิดอาการคัน ระคายเคืองตา ให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา หรืออาจเปลี่ยนมาใช้คอนแทคเลนส์ชนิดรายวัน เพื่อลดอาการแพ้ที่จะเกิด * หาก คุณเคืองตาบ่อยๆ จากการมองแสงสะท้อน ก็ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อแนะนำเลนส์แว่นที่สามารถลดแสงสะท้อนเหล่านี้ไม่ให้แยงตามากไป หรืออาจติดตั้งโคมไฟในบ้านให้มากขึ้น หรือหลอดไฟที่มีกำลังวัตต์สูงๆ เพื่อช่วยกำจัดลำแสงสะท้อนที่มาจากไฟดวงอื่น * ผู้ สูงอายุมักมองเห็นจุดเล็กๆ ลอยหรือแสงวาบ จากประสาทตาที่เสื่อมไปตามอายุ แต่ในบางกรณีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคต่างๆ เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น จอตาผิดปกติจากโรคเบาหวาน อาการเริ่มแรกของความผิดปกติของเรตินา เป็นต้น ดังนั้นไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบปรึกษาแพทย์ทันที
ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมากส่วนหนึ่งของร่างกาย เพราะหากเรามองไม่เห็นก็คงทำกิจกรรมต่างๆ ได้ลำบาก ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท เราควรไปตรวจเช็คสายตาเป็นประจำทุกปี เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีไปตลอดชีวิตของคุณ
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
Create Date : 24 กันยายน 2551 | | |
|
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:43:24 น. |
| |
Counter : 1262 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|