space
space
space
space

ภัยเงียบ"อัลไซเมอร์"!! รักษาป้องกันก่อนสู่ขั้นสมองเสื่อม








เราเคยสำรวจตัวเองหรือคนใกล้ชิดบ้างหรือเปล่าว่ามีอาการขี้หลงขี้ลืมกันบ้างไหม เช่น ลืมปิดประตูบ้าน จำไม่ได้ว่าวางสิ่งของสำคัญไว้ที่ไหนหรือจำชื่อบุคคลที่รู้จักไม่ได้ หากต่อมาสามารถระลึกได้ในภายหลังถือว่าเป็นอาการหลงลืมไม่รุนแรง แต่อาการเช่นนี้ถ้าปล่อยไว้อยู่เรื่อย ๆ พบว่าร้อยละ 30 ของกลุ่มคนเหล่านี้อาจจะกลายเป็นภาวะสมองเสื่อมได้...

พ.อ.นพ.สามารถ นิธินันทน์ หัวหน้ากองจิตเวชและประสาทวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าให้ความรู้ว่า โรคสมองเสื่อม คือการที่สูญเสียความจำระยะสั้น ร่วมกับมีความผิดปกติทางวุฒิปัญญา สูญเสียทักษะ โดยที่มีผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันของตัวเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม และอาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสาเหตุของโรคสมองเสื่อมที่พบมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ “โรคอัลไซเมอร์” พบได้ร้อยละ 50-60 รองลงมาได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองพบได้ร้อยละ 15-20 สำหรับในประเทศไทยเริ่มพบว่ามีจำนวนมากขึ้น

โรคอัลไซเมอร์ คือ โรค ที่เกิดจากการตายของเซลล์สมองโดยไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้น ทดแทน ทำให้การทำงานของสมองเสื่อมลงจนกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่จากการตรวจพบทางพยาธิวิทยาพบว่ามีสมองฝ่อและตรวจ พบนิวโรฟิบริวลารี่ แทงเกิลส์ (neurofibrillary tangles) เป็นโครงสร้างที่พันกันยุ่งเหยิง ซึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของเส้นประสาท มีการสะสมโปรตีนอมัยลอยด์ (amyloid) ในสมองซึ่งเป็นสารเหนียว ๆ จับกันเป็นก้อนที่เรียกว่า พลัค (plaque) ซึ่งทั้ง 2 ตัวต่างทำลายเซลล์สมองที่ดีที่อยู่ รอบ ๆ ให้เสียหาย และลักษณะอีกอย่างหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์คือ เซลล์สมองสร้างสารส่งผ่านประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำลดลง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์มีความ ผิดปกติทางพันธุกรรมร่วมกับสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกระตุ้นด้วย

ปัจจัยเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ที่สำคัญได้แก่
1. อายุ ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าใด ก็มีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากเท่านั้น พบว่าร้อยละ 10 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ และร้อยละ 50 ของผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 85 เป็นโรคนี้

2. เพศ พบว่าโรคอัลไซเมอร์พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย

3. ประวัติครอบครัว พบว่ามีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรค อัลไซเมอร์

4. กลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome) ผู้ป่วยโรคนี้จะป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์เมื่ออายุ 30-40 ปี และสัมพันธ์ กับอุบัติเหตุทางสมอง

5. สารพิษจากสิ่งแวดล้อม มีนักวิจัยบางคนสรุปว่าการได้รับสารอะลูมิเนียมมากเกินไปจะทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ 6. ผู้มีระดับการศึกษาต่ำ แม้ว่าจะยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดนัก แต่จากการสังเกตพบว่าผู้ป่วย โรคอัลไซเมอร์มักจะมีระดับการศึกษาต่ำ

อาการต่าง ๆ ที่อาจจะพบ พ.อ.นพ.สามารถ อธิบายว่า

ได้แก่ อาการหลงลืมซึ่งเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ ชอบถามคำถามซ้ำ ๆ นึกคำหรือประโยคที่จะพูดไม่ออก หลงลืมสิ่งของที่ใช้เป็นประจำ สับสนเรื่องเวลา สถานที่ จำบุคคลที่เคยรู้จักไม่ได้ มีอารมณ์หงุดหงิด หวาดระแวง ซึมเศร้า อาการเหล่านี้เป็นมากขึ้นจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ โดยผู้ป่วยอัลไซเมอร์ในระยะแรกใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี ญาติมักจะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติมากนัก อาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นตามลำดับ

ในผู้ป่วยระยะกลางใช้เวลา ประมาณ 2-10 ปี ผู้ป่วยบาง รายยังพอรู้ตัวว่าหลงลืมง่าย โดยเฉพาะเรื่องวัน เวลา สถานที่ ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจจะมีอาการด้านอารมณ์ เช่น ก้าวร้าว หวาด ระแวง ซึมเศร้า ทำให้ความสน ใจต่อตนเองลดลง ญาติมัก จะสังเกตเห็น ความผิดปกติ

จึงควรรีบนำ ผู้ป่วยมาพบแพทย์ หากปล่อยไว้จนผู้ป่วยเข้าสู่ระยะที่ 3 ความจำจะเลวลงมาก พูดน้อยลง ปัสสาวะหรืออุจจาระโดยไม่บอก มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ สับสน เอะอะอาละวาด หรือ มีอาการทางจิตประสาท เช่น เห็นภาพหลอน หูแว่ว หวาดระแวงกลัวคนมาทำร้าย

ในปัจจุบันแม้จะยังไม่มียารักษาโรคนี้ให้หายได้ แต่จากการศึกษาทั้งในและต่างประเทศพบ ว่ามีตัวยาที่สามารถช่วยให้ความ จำ พฤติกรรมและการทำกิจวัตรประจำวันดีขึ้น ทั้งในโรคอัลไซ เมอร์ตั้งแต่ระยะปานกลาง จนถึงรุนแรงได้ และความจำเสื่อมที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง มีผลข้างเคียงที่พบ ได้แก่ คลื่นไส้ ปวดท้อง นอนไม่หลับ วิงเวียน ปวดศีรษะ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มรับประทานยาครั้งแรก ดังนั้นหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ และทำการรักษาอาการจะทุเลาลง

วิธีการป้องกันแนะนำให้รับประทานอาหาร ประเภท ผัก ผลไม้ และเนื้อปลาให้มาก ๆ เพราะจากการศึกษาของศูนย์ การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่รับประทาน อาหารเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อ การเกิดโรคอัลไซเมอร์ลดลงร้อยละ 10 นอกจากนี้ยังช่วยลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต และลดไขมันได้อีกด้วย หากใครสงสัยว่าตัวเองหรือพ่อแม่ญาติพี่น้อง ผู้สูงอายุ จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ สามารถปรึกษาแพทย์ตามสถาบันที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องความจำ อาทิ โรงพยาบาลพระมงกุฎ ศิริราช พยาบาล หรือโรงพยาบาลจุฬา ลงกรณ์ โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วย ทำแบบสอบถามทดสอบความ จำเพื่อเปรียบเทียบคะแนน หรือทดสอบความจำกับเครื่อง อัตโนมัติ เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือที่ทันสมัยไว้ทดสอบแล้วจะได้ ผลคัดกรองคร่าว ๆ ก่อนทำการรักษา

ถึงแม้ว่าโรคอัลไซเมอร์มีอาการไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิต และใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานแต่กว่าจะทราบก็สายไป แก้ ไขสิ่งใดไม่ได้แล้ว ดังนั้นเราควรหันมาดูแลเอาใจใส่พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติหรือผู้สูงอายุรวมทั้งหมั่นสังเกตอาการเพื่อพามารักษาความทรงจำให้ดีขึ้น อย่าให้ท่านจาก เราไปโดยที่จดจำเราไม่ได้เลย.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 6 พฤษภาคม 2552 7:11:49 น.   
Counter : 2214 Pageviews.  
space
space
แพทย์พบวิธีผ่าตัด-ฉีดสเต็มเซลล์ ช่วยคนตาบอดให้มองเห็น!









แพทย์จากโรงพยาบาลจักษุมัวร์ฟิลด์ส กรุงลอน ดอน ประเทศอังกฤษ พัฒนา การผ่าตัดกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (AMD) ที่เกิดกับผู้สูงอายุ เพื่อช่วยคนตาบอดนับล้านคนจากทั่วโลก ให้กลับมามองเห็นอีกครั้ง

ศ.พีต คอฟฟี ซึ่งทำงานร่วมกับ ดร.ลินดอน ดาครูซ กล่าวว่า "1 ใน 4 ของผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี และกว่าครึ่งของผู้ที่มีอายุมากกว่า 75 ปี มักมีอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง อาการนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือแบบแห้งและแบบเปียก แบบเปียกใช้ยารักษาได้และมักพบราว 10% ของผู้มีอาการ ส่วนอีก 90% เป็นแบบแห้งที่ไม่มีทางรักษา"

การผ่าตัดใช้เวลาเพียง 45 นาที โดย 6 ปีข้างหน้า จะเปิดให้บริการตามโรงพยา บาล และต่อมาจะกลาย เป็นการผ่าตัดปกติ เหมือนอย่างการผ่าตัดต้อกระจก

ในการทดลองนั้น แพทย์นำสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์มาเลี้ยงในห้องทดลอง จากนั้นแบลงก์เซลล์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ใดๆ ก็ได้ จะกลายเป็นเซลล์ดีก่อนจะถูกทำลายเพราะโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เมื่อได้เซลล์ดีแล้ว แพทย์จะนำเซลล์ดีนี้ไปใส่ไว้ในหลอดฉีดยาและฉีดเข้าไปในดวงตาแทนที่เซลล์ที่เสียไป จากนั้นดวงตาก็จะกลับมาเห็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ซึ่งเทคนิคนี้ได้ทดลองในหนูและหมูจนประสบความสำเร็จแล้ว และอีก 2 ปีจะทดลองในมนุษย์



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ข่าวสด




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 5 พฤษภาคม 2552 7:09:06 น.   
Counter : 1287 Pageviews.  
space
space
อัศจรรย์เคี้ยว มะนาว เลิกบุหรี่ใน 2 สัปดาห์








อัศจรรย์ “มะนาว” ช่วยลดสารนิโคติน เลิกบุหรี่ได้ใน 2 สัปดาห์ แนะ กินมะนาวพร้อมเปลือก เคี้ยวนานๆ 3-5 นาที ทุกครั้งที่อยากบุหรี่ ทำให้สูบรสบุหรี่ไม่อร่อย ขม เฝื่อน จนไม่อยากสูบอีก



ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวในการประชุมวิชาการ “บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 7 เรื่อง “เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่” โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ว่า จากผลการวิจัยพบว่า ในวิตามินซีจะมีสารที่ช่วยลดความอยากของนิโคตินได้ และช่วยฟื้นฟูร่างกายที่ทรุดโทรมให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า จึงมีการนำใช้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยเทคนิคการรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว ที่มีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะมะนาว พบว่า เมื่อนำไปใช้แล้วมีประสิทธิภาพได้ผลดีมาก เนื่องจากมะนาวมีผลต่อการทำงานของต่อมรับรสขม ทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไป ผศ.กรองจิต กล่าวต่อว่า วิธีการกินมะนาวช่วยเลิกบุหรี่ ต้องหันมะนาวเป็นชิ้นเล็กๆให้มีเปลือกติดมาด้วย ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง หรือ พอคำ เมื่อมีความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ ให้กินมะนาวแทน โดยอมแล้วค่อยดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคี้ยวเปลือกอย่างช้าๆ นาน 3-5 นาที จะมีผลทำให้ลิ้นข่ม เฝื่อน จากนั้นดื่มน้ำ 1 อึก นอกจากช่วยลดความอยากนิโคตินแล้ว เมื่อสูบบุหรี่จะทำให้รสชาดบุหรี่เปลี่ยนขมจนไม่อยากสูบ และสามารถกินมะนาว หรือผลไม้ชนิดอื่นที่มีความเปรี้ยวมากๆ ได้ทุกครั้งที่เกิดความอยากบุหรี่ แต่เมื่อเทียบกัน พบว่ามะนาวจะได้ผลดีที่สุด


“การเลิกบุหรี่ ด้วยการกินมะนาวส่วนใหญ่จะสามารถเลิกบุหรี่ได้ภาย ใน 2 สัปดาห์ และไม่อยากบุหรี่อีก ถือว่าชนะนิโคตินได้ มีการนำไปทดลองกับนักเรียน หลายคนที่ได้ทดลองวิธีนี้ จะรู้สึกว่าสูบบุหรี่แล้วไม่อร่อย รสชาดไม่เหมือนเดิม ทำให้ไม่อยากสูบบุหรี่อีก อย่างไรก็ตาม แม้อาการทางกาย คือ ความอยากจะหมดไปแต่ อาการทางใจบางครั้งจะยังมีอยู่ เช่น เศร้า หงุดหงิดเหมือนคนอกหัก คนรอบข้างต้องให้กำลังใจ และตั้งใจเลิกอย่างเด็ดขาด จะสามารถเลิกได้อย่างแน่นอน”ผศ.กรองจิต กล่าว


ด้าน นางอนงค์ พัวตระกูล อาจารย์โรงเรียนบางมดวิทยา 'สีสุกหวาดจวนอุปถัมภ์'
ซึ่งได้รับ รางวัลควบคุมยาสูบแห่งชาติ ประเภท สถานศึกษาปลอดบุหรี่ กล่าวว่า จากการทำค่ายลดละเลิกบุหรี่ โดยนำนักเรียนที่สูบบุหรี่จำนวน 75 คน มาทำกิจกรรมโดยให้ความรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่ และให้เด็กใช้เวลาในการเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง ประมาณ 3-7 วัน รวมทั้งใช้วิธีการเคี้ยวมะนาวเพื่อช่วยลดความอยากสูบบุหรี่ พบว่า ร้อยละ 75 จะสูบไปครั้งคราว เมื่อผ่าน 2 สัปดาห์ จะมีเด็กที่เลิกสูบเด็ดขาด ร้อยละ 50 และภายใน 1 ปี มีเด็กเพียง ร้อยละ 30 ที่กลับไปสูบอีก โดยปัจจัยเสริมที่ทำให้เลิกได้พบว่า หากเป็นเด็กที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงก็จะเลิกง่ายกว่าเด็กที่หัวอ่อนตามเพื่อน


“ภายใน 2 สัปดาห์ พบว่าการติดตามพฤติกรรมร่วมกับ การใช้มะนาวช่วยเลิกบุหรี่ สามารถทำให้เด็กลด และเลิกบุหรี่ได้ นอกจากนี้ ต้องมีคนให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ ซึ่งโรงเรียนต้องใช้ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็งในการดูแลเด็ก มีการทำโทษ แจ้งผู้ปกครอง หรือแม้แต่การให้ไปเสียค่าปรับที่โรงพักก็เคยมี เนื่องจากการเลิกบุหรี่ในเด็กกับผู้ใหญ่มีความแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ที่เลิกได้จริง ก็จะเกิดจากความตระหนักรู้เกี่ยวกับพิษภัย และไม่กลับมาสูบบุหรี่อีกตลอดไป”นางอนงค์ กล่าว




ขอขอบคุณ bangkok health




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 4 พฤษภาคม 2552 7:19:26 น.   
Counter : 1926 Pageviews.  
space
space
ผมร่วง








“ผมร่วง” ถ้าไม่ประสบกับตัวเองก็คงจะไม่รู้หรอกว่า อาการผมร่วงก่อนให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลเพียงใด เพราะเชื่อกันว่าผมร่วงมาก ๆ จะทำให้เป็นโรคหัวล้าน ที่จริงแล้ว เรื่องผมร่วงกับหัวล้านนั้น ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกันเท่าใด คนเป็นโรคผมร่วงส่วนใหญ่ไม่ทำให้หัวล้าน และบางคนที่คิดว่าตนเองกำลังเป็นโรค ผมร่วงอยู่ก็ไม่ได้เป็นโรคผมร่วงจริง
เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ ‘หมอชาวบ้าน’ ได้สนทนากับรองศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ ศิวยาธร อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องของเส้นผม


ลักษณะของผมร่วง
1. ผมร่วงเป็นหย่อม
2. ผมร่วงทั้งศีรษะ


⇒ผมร่วงเป็นหย่อม
ลักษณะนี้มักจะไม่ค่อยร่วงทั้งศีรษะ แต่จะคล้าย ๆ ผมแหว่ง อาจจะมีหย่อมหนึ่งหรือหลายหย่อม กลุ่มนี้สามารถสังเกตเห็นได้เร็ว เพราะว่าจะมีบริเวณใดบริเวณหนึ่งบนศีรษะหายไป เกิดเป็นช่องว่าง มีสาเหตุมาจากหลาย ๆ กรณีดังนี้

1. กลุ่มที่เกิดจากเชื้อราของหนังศีรษะ ส่วนมากมักพบในเด็กซึ่งอาจจะติดมาจากที่โรงเรียนหรือคนอื่นได้ รวมทั้งกรณีการใช้ของใช้ร่วมกัน เช่น แปรง ฟรี เป็นต้น เพราะฉะนั้น คนที่มีเชื้อราบนหนังศีรษะก็สามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้ ในผู้ใหญ่มักไม่ค่อยพบว่าเป็นเชื้อรา อาจจะเป็นเพราะหนังศีรษะมีความต้านทานต่อเชื้อรามากกว่า
กลุ่มนี้จะสังเกตอาการได้ง่าย เด็กจะเริ่มผมร่วงเป็นหย่อม ๆ และหนังศีรษะเป็นขุย ถ้าพบแพทย์มักจะขูดหนังศีรษะ หรือดึงเอาเส้นผมไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ก็จะพบเชื้อรา หรืออาจจะเรียกง่าย ๆ ว่า เป็นขี้กลากบนหนังศีรษะ ถ้าได้รับการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อราอย่างถูกต้องก็หายได้
ขี้กลากที่ศีรษะ การใช้ยาทาอย่างเดียวคงไม่หาย ไม่เหมือนขี้กลากตามตัวซึ่งรักษาง่ายกว่า ซื้อยาทาเองได้ ส่วนขี้กลากที่ศีรษะส่วนมาก จะต้องรับยา เพราะเชื้อเข้าไปในเส้นผม การทายาอย่างเดียวตัวยาไม่สามารถซึมเข้าไปได้ ส่วนมากจะต้องกินยาด้วย

การป้องกัน เชื้อรากลุ่มนี้จะมีอยู่ตามธรรมชาติ การป้องกันอาจทำได้โดยการรักษาความสะอาด ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน อย่างเด็กที่อยู่รวมกันมาก ๆ โดยขาดสุขลักษณะที่ดี จะมีการติดต่อกันได้ง่าย ส่วนมากมักพบในชุมชนที่มีฐานะยากจน เช่น ชุมชนแออัด กลุ่มชาวเขา บางทีไม่ได้สระผม เกิดการหมักหมม เป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อราบนหนังศีรษะได้ แต่ถ้าหากว่ามีการดูแลสุขลักษณะได้ดี ส่วนมากก็มักจะไม่มีการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น



2. กลุ่มที่มีลักษณะเป็นรูปเหรียญกลมหรือรูปไข่ ผมร่วงเป็นหย่อมขนาดประมาณเท่ากับเหรียญบาทอาจเป็นหย่อมเดียวหรือหลายหย่อม บางคนเป็นมากถึงกับทำให้ผมบางไปทั้งศีรษะ ลักษณะนี้มักเกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน กลุ่มนี้เรียกกันว่า ALOPECIA AREATA คำว่า ALOPECIA หมายถึง ผมร่วง AREATA หมายถึง ลักษณะเป็นวง (อาจจะเป็นรูปเหรียญหรือรูปไข่) ส่วนมากคนที่เห็นเป็นคนแรกคือช่างตัดผม เพราะคนไข้ไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่น และรอยนี้ซ่อนอยู่ใต้เส้นผมจึงไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่

กลุ่มนี้หนังศีรษะจะดูปกติ เลี่ยนไม่มีการอักเสบอะไรทั้งสิ้น ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มที่เกิดจากเชื้อรา เพราะเชื้อราทำให้ผมหักบ้าง หนังศีรษะเป็นขุยเพราะเชื้อราไปทำลายผิวหนัง แต่กลุ่มนี้เป็นลักษณะที่ผมหลุดมาเองจากรากผม พบได้ค่อนข้างบ่อย ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องผมก็จะกลับขึ้นได้เป็นปกติ บางทีหายเองได้ แต่ทางที่ดีควรไปหาหมอเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องจะดีกว่า



3. กลุ่มที่เกิดจากการถอนผม ส่วนมากมักจะพบในเด็กเช่นเดียวกับที่เกิดจากเชื้อรา แต่กลุ่มนี้การร่วงของเส้นผมจะมีรูปร่างที่ไม่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับว่าคนไข้ถนัดมือไหน (ซ้าย หรือ ขวา) อาจจะชอบดึงด้านหน้า ด้านข้าง หรืออาจจะดึงผมเป็นวงกว้าง วงแคบ ทำให้มีรูปร่างของการร่วงที่แปลกประหลาด บางทีมีลักษณะเหมือนแผนที่ ซึ่งในแต่ละคนจะมีลักษณะการร่วงที่ไม่เหมือนกัน
หนังศีรษะมักจะนูนขึ้นมาเป็นตุ่ม ๆ คล้ายเวลามีอาการขนลุก หรือเหมือนหนังไก่ที่ถูกถอนขนออกไปแล้ว เป็นลักษณะการดึงผมแต่รูขุมขนยังอยู่ และจะมีผมเส้นสั้น ๆ เหลืออยู่ จะไม่เลี่ยนไปหมด เพราะเป็นผมเส้นที่สั้นเกินไป เด็กยังถอนไม่ได้
อาการผมร่วงลักษณะนี้มักเกิดขึ้นในเด็กที่ขาดความอบอุ่น และได้รับการเลี้ยงดูที่ค่อนข้างเข้มงวด เช่น ทำผิดก็ถูกผู้ปกครองว่าหรือตีอย่างไม่มีเหตุผล เพราะฉะนั้นการดึงผม จึงเป็นลักษณะการหาทางออก เป็นการระบายอารมณ์ของเด็กอย่างหนึ่ง เพราะเด็กเกิดความรู้สึกเก็บกด ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทำร้ายตัวเองด้วยการดึงผม และมักจะแอบทำ

พ่อแม่จะไม่รู้เลยว่าเด็กถอนผม และคิดว่าเกิดจากสาเหตุอื่น ถ้าถามเด็กอาจจะไม่ยอมรับ ส่วนใหญ่มักพบในเด็กอายุประมาณ 5-8 ขวบ เพราะเด็กวัยนี้ยังไม่มีทางออกอย่างอื่น ต่างกับเด็กวัยรุ่นซึ่งมีทางออกอย่างอื่น เช่น หนีออกจากบ้าน คบเพื่อน ติดยาเสพติด เป็นต้น
กลุ่มนี้ถ้ารู้สาเหตุก็แก้ไขไม่ยาก โดยมากหมอจะเชิญพ่อแม่มาคุย ชี้แจงการปฏิบัติกับลูกที่ถูกต้อง โดยการให้ความรัก ความอบอุ่นกับเด็กมากขึ้น ถ้าแก้ไขพฤติกรรมได้ผมก็จะขึ้นใหม่ตามปกติ กรณีเช่นนี้ยังไม่นับเป็นโรคจิต ถ้าแก้ปัญหาได้เองก็ไม่จำเป็นต้องไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา



⇒ผมร่วงทั้งศีรษะ
กลุ่มนี้จะตรวจดูค่อนข้างยาก หมอมองไม่เห็นเพราะผมบนศีรษะยังดูเต็มอยู่ แต่คนไข้รู้เพราะว่าปริมาณ ผมที่ร่วงต่อวันเพิ่มขึ้น และกระจายทั้งศีรษะ ลักษณะนี้ต้องอาศัยการนับจำนวนเส้นผมที่ร่วง เพราะถ้าร่วงเกินวันละ 100 เส้น ถือว่าขณะนั้น มีอาการผมร่วง แต่ถ้าต่ำกว่า 100 เส้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
สาเหตุที่ทำให้ผมร่วงทั้งศีรษะ มีอยู่หลายอย่าง เพราะฉะนั้นต้องมีการซักประวัติ การตรวจร่างกาย หรือการทดสอบที่ค่อนข้างละเอียด สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมร่วงทั่วไปมีดังนี้

1. โรคซิฟิลิส โรคนี้แบ่งเป็นหลายระยะ ระยะแรกจะเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ระยะที่ 2 อาจจะมีลักษณะเป็นผื่นออกดอกในช่วงที่เชื้อกระจายไปทั้งตัว บางคนไม่มีผื่น แต่แสดงออก โดยการมีผมร่วง หรือบางคนอาจจะมีผมร่วงร่วมกับมีผื่นของซิฟิลิสเกิดขึ้นก็ได้
ดังนั้นคนที่ยังหนุ่มสาว ค่อนข้างแข็งแรง ถ้าหมอตรวจไม่พบอะไร แต่มีอาการผมร่วงมาก มักจะได้รับการตรวจเลือด หลายคนอาจมองข้ามสาเหตุนี้ไป เพราะคิดว่าผมร่วงกับกามโรคไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน และซิฟิลิสถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็จะหายได้

2. เกิดจากความเครียดทางจิตใจหรือร่างกายอย่างรุนแรง เช่น มีไข้สูง ประสบอุบัติเหตุรุนแรง หรือมีการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง เส้นผมจะเปลี่ยนไปอยู่ในช่วงที่จะหลุดได้ หรืออยู่ในระยะพัก(วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ระยะพักคือระยะที่เส้นผมหยุดการเจริญเติบโต พร้อมที่จะหลุดออกไป เพื่อให้รูขุมขนเดิมกลับสร้างเส้นผมขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง) และหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้นไปแล้ว ประมาณ 2-3 เดือน ก็จะมีผมร่วง ค่อนข้างมาก เข้าลักษณะที่ว่า “จับไข้หัวโกร๋น” เช่น ไทฟอยด์ มาลาเรีย พวกนี้จะมีไข้สูงมาก มีโอกาสเกิดผมร่วงตามหลังอย่างนี้ได้ หลังจากนั้นรูขุมขนก็จะกลับเจริญขึ้นมาใหม่เป็นปกติ กลุ่มนี้จะหายได้เอง

3. ระยะหลังคลอด ผู้หญิงที่อยู่ในสภาพที่ท้องมา 8-9 เดือน ช่วงที่คลอดและระยะหลังคลอดนี้ เป็นช่วงหนึ่งซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ค่อนข้างจะเฉียบพลัน ก็จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรากผม คือหลังคลอดจะมีผมร่วง และมักจะเป็นระยะ 2-3 เดือนหลังจากคลอด ดังที่มีคำโบราณกล่าวว่า “เมื่อเด็กเริ่มจำหน้าแม่ได้ ผมของแม่ก็จะร่วง” แต่ความจริงจะสรุปเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะเป็นเพียงแต่เด็ก อายุ 2-3 เดือนเริ่มมีการตอบสนอง เช่น ยิ้ม หรือร้องอ้อแอ้ เท่านั้น
อาการผมร่วงที่เกิดขึ้นแต่ละคน ก็มากน้อยต่างกันด้วย ลักษณะอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาหมอ การที่มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับร่างกายค่อนข้างรุนแรงและกะทันหัน จะมีผมร่วงในลักษณะนี้ ควรรอดูไปสักพัก หลังจากนั้นผมจะค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพปกติลง

4. โรคทางกาย
มีหลายชนิด เช่น เอสแอลอี(ลูปัส) โรคของต่อมธัยรอยด์การกินยาบางชนิด ซึ่งอาการผมร่วงเกิดจากผลข้างเคียงของยา เช่น ยารักษามะเร็ง เพราะมีผลไปทำลายเซลล์และการสร้างผม ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องมาหาหมอโดยตรงเพื่อค้นหาสาเหตุ เพราะถ้ารู้สาเหตุก็สามารถรักษาให้หายได้



⇒ยาสระผมกับปัญหาผมร่วง

สำหรับเรื่องการใช้ยาสระผมชนิดต่าง ๆ นั้น จะไม่มีผลต่อรูขุมขน เพราะฉะนั้นการที่บางคนเปลี่ยนยาสระผมแล้วรู้สึกว่ามีผมร่วงมากขึ้น ก็อาจจะมีหลายสาเหตุ
ปกติผมของคนเราจะร่วงประมาณ วันละ 100 เส้น แต่ไม่ใช่ว่าจะร่วงเท่ากันทุกวัน บางวันร่วงมาก บางวันร่วงน้อย ถ้าบังเอิญช่วงที่เปลี่ยนยาสระผมตรงกับช่วงที่ผมร่วงมากหน่อย ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกว่ายาสระผมเป็นสาเหตุทำให้ผมร่วง
ถ้าขณะนั้นเป็นโรคทางกาย หรือกินยาบางชนิดดังที่ได้กล่าวมาแล้ว บังเอิญไปตรงกับช่วงที่เปลี่ยนยาสระผมพอดี ก็จะทำให้เข้าใจว่ายาสระผมนั้นทำให้ผมร่วง
การใช้ยาบางชนิดที่มีฤทธิ์ค่อนข้างแรง การสระผมบ่อยครั้งเกินไป หรือการเป่าผม การดัดผม ถ้าทำมากเกินไปหรือบ่อยครั้งเกินไป จะทำให้เส้นผมกรอบและหัก แต่ไม่ร่วง เพราะว่ารากผมยังอยู่

ปกติเส้นผมของคนเราจะมีความนิ่มบ้าง ความมันบ้าง ถ้าผมไม่มีความมันเลยจากสาเหตุข้างต้นก็ส่งผลให้เส้นผมขาดความแข็งแรง กรอบหัก และอาจจะแตกปลาย ถ้าผมกรอบและหักมาก จะทำให้เข้าใจผิดว่าผมร่วงได้เหมือนกัน แต่กลุ่มนี้จะสังเกตได้ง่าย เพราะว่าผมที่หักร่วงนั้นไม่มีรากผม ในกรณีเช่นนี้การใช้ครีมนวดผมสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะในคนที่มีผมค่อนข้างแห้ง เพราะจะทำให้เส้นผมมีความกรอบ ความกระด้างลดลง โอกาสที่ผมจะหักหรือแตกปลายก็มีน้อยลงด้วย



⇒แนวทางปฏิบัติ
เมื่อประสบปัญหาผมร่วง
ในเรื่องผมร่วงนี้ ประมาณร้อยละ 50 ของคนไข้ที่มาหาหมอแล้ว บ่นว่าผมร่วงนั้น ไม่ได้เป็นโรคผมร่วงจริง คนไข้ประเภทนี้มักจะเป็นผู้หญิงที่มีผมค่อนข้างยาว ถ้าวันไหนสระผมแล้วบังเอิญเหลือบไปเห็นมีผมขดอยู่กองหนึ่งที่ท่อน้ำทิ้งเป็นก้อนใหญ่ ซึ่งอาจเป็นเพราะผมยาว ก็เริ่มตกใจว่าตนเองเป็นโรคผมร่วง ความจริงผมก็อาจจะร่วงตามปกติอยู่เท่าเดิม แต่ไม่เคยสังเกตมาก่อน พอเริ่มสังเกตเห็นก็รีบวิ่งมาให้หมอตรวจ ส่วนใหญ่พบว่า หนังศีรษะและเส้นผมแข็งแรงเป็นปกติดีทุกประการ ฉะนั้น กลุ่มนี้เป็นอาการผมร่วงไม่จริง

ฉะนั้นก่อนที่จะไปหาหมอต้องพิจารณาก่อนว่า ที่คิดว่าตนเองมีผมร่วงนั้น จริงหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจจะไม่ร่วงจริง คือเป็นผมร่วงตามปกติ แต่คนไข้เกิดอุปาทาน หรือเป็นเพราะเหตุบังเอิญบางอย่างตามที่กล่าวไปข้างต้น

วิธีที่จะทดสอบทำได้ง่าย ๆ คือ ให้นับเส้นผมที่รวบรวมได้ในแต่ละวัน คิดเฉลี่ยแล้วถ้าผมที่ร่วงยังต่ำกว่า วันละ 100 เส้น ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้าเกินวันละ 100 เส้นก็คงผิดปกติแน่และควรปรึกษาแพทย์ จะมัวเย็นใจ เพราะมองข้ามความสำคัญไปก็ไม่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความสงสัยว่าอาการผมร่วงของคุณนั้นผิดปกติหรือไม่ ควรนับดูจำนวนเส้นผมที่ร่วงในแต่ละวันเสียก่อน เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาไปหาหมอ โดยที่คุณไม่มีอาการผมร่วงที่ผิดปกติแต่อย่างใด



ขอบคุณ หมอชาวบ้าน






 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 3 พฤษภาคม 2552 7:18:39 น.   
Counter : 1085 Pageviews.  
space
space
ปลา อาหารป้องกันโรคหัวใจ





พอเอ่ยถึงปลา ใคร ๆ ก็รู้จัก แม้แต่ในหนังสือ ก.ไก่ ก็พูดถึงปลา คือ ป.ปลาตากลม สำหรับสุภาษิตของจีนก็พูดถึงปลาว่า
“ปลาเห็นเหยื่อแต่ไม่เห็นเบ็ด คนเห็นผลประโยชน์แต่ไม่เห็นโทษ”

นี่ก็พอจะเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับปลาที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว

หลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า เมื่อประมาณ 17,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ถ้ำบนยอดเขา (ซานติ่งต้งเหยิน) รู้จักการจับปลามาเป็นอาหารแล้ว ตราบจนทุกวันนี้ปลายังเป็นอาหารที่สำคัญของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา

ทั่วโลกมีปลาประมาณ 2 หมื่นกว่าชนิด และปลาเป็นสัตว์ที่มีมากที่สุดในบรรดาสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังทั้งหลาย ปลามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าในมหาสมุทร ทะเล แม่น้ำ ลำคลอง ธารน้ำ หนอง หรือบึง ถ้าจะพูดรวบรัดเอาก็คงพูดได้ว่า มีน้ำที่ไหนก็มีปลาที่นั่น

ปลามีขนาด รูปร่าง สัณฐานที่แตกต่างกันมากมาย เหตุที่ปลามีจำนวนมากมายเพระความสามารถวางไข่ของปลานั่นเอง คือ ปลาตัวหนึ่งมีความสามารถในการวางไข่ในแต่ละครั้งตั้งแต่หลายแสนใบไปถึงหลายพันล้านใบ แต่เนื่องจากภัยจากสัตว์อื่นๆรอบตัว ไข่ปลาจะถูกทำลายไปครั้งละมากๆ จึงทำให้จำนวนที่รอดมามีอยู่เป็นจำนวนน้อย

แม้ปลาจะมีมากมายหลายหมื่นชนิด แต่ถ้าแบ่งเป็นพวกแล้ว ก็แบ่งได้เป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็ม

เมื่อเทียบกับเนื้อวัว หมู และไก่แล้ว ปลาจะมีปริมาณโปรตีนที่สูงกว่า และมนุษย์สามารถดูดซึมได้ถึง 96% เนื้อปลามีส่วนประกอบทางเคมีใกล้เคียงกับเนื้อของมนุษย์มาก เนื้อปลามีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม และฟอสฟอรัสมากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น โดยเฉพาะในปลาทะเลจะมีไอโอดีน เนื้อปลายังมีวิตามิน A, B1 , B12 และ D อีกด้วย

ในอาหารจำพวกเนื้อ เนื้อปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายที่สุด หลังจากปรุงแล้วจะสูญเสียน้ำไป 10-30% เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแล้วจะน้อยกว่ามาก (ประมาณ 50%) ดังนั้นเนื้อปลาจึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารของผู้ป่วย คนชรา หรือเด็ก

โดยทั่วไปเนื้อสัตว์อื่น ๆ จะมีไขมันสัตว์ และโคเลสเตอรอลมาก ถ้ากินเนื้อสัตว์มากจะทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดได้ง่าย เช่น หลอดเลือดแข็งตัว โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น

ชาวเอสกิโมนั้น มีชีวิตอยู่ในแถบอากาศหนาวเย็นมีน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ชาวเอสกิโมกินปลาเป็นอาหารหลัก

ผลการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ พบว่า ชาวเอสกิโมเป็นชนชาติที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และเบาหวานน้อยที่สุด นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะผลจากการกินเนื้อปลานั่นเอง นอกจากนี้ยังมีรายงานจากจีน และญี่ปุ่นในทำนองเดียวกันนี้คือ ชาวประมงที่กินปลาเป็นประจำมาหลายชั่วอายุคนจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในอัตราต่ำ

ทำไมเนื้อปลาจึงแตกต่างจากไปจากเนื้อสัตว์อื่น การศึกษาวิจัยพบว่า เป็นผลเนื่องมาจากไขมันในสัตว์อื่นส่วนมากเป็นไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) และกรดไขมัน (fatty acid) เป็นเหตุคือทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ดังนั้น การกินเนื้อสัตว์เป็นประจำจะทำให้เกิดโรคหัวใจโคโรนารีได้ง่าย แต่ในเนื้อปลามีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว (Unsaturated fat) หลายชนิดมากกว่า 80% กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวเหล่านี้สามารถลดโคเลสเตอรอลได้ ดังนั้น จึงไม่ทำให้เกิดโรคหัวใจโคโรนารี

ตั้งแต่โบราณกาลปลาได้ถูกนำมาใช้เป็นอาหารและยา น้ำมันตับปลานั้นสกัดมาจากตับของปลา ในน้ำมันตับปลามีวิตามิน A และ D เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ในน้ำมันตับปลายังมีวิตามินB1, B2 และ B12 อีกด้วย ปลาบางชนิดสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำอินซูลิน ซึ่งเป็นยาที่สำคัญในการรักษาโรคเบาหวาน

ข้อควรระวัง
ในการกินเนื้อปลา พยาธิในปลาน้ำจืดมักพบอยู่เสมอ ดังนั้นในการปรุงจะต้องปรุงให้สุกก่อนจึงจะกินเสมอ



ขอบคุณ หมอชาวบ้าน





 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 2 พฤษภาคม 2552 7:41:25 น.   
Counter : 1043 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space